บทที่1 ⚠️ Trigger Warning มีเนื้อหาอ่อนไหว suicidal thoght, depression โรคซึมเศร้า/มีอาการซึมเศร้า
พ่อแม่รังแกฉัน สำหรับนาเดียนั้นไม่เกินจริงเลย คุณหนูลูกสาวคนเดียวของหยางเว่ย เจ้าของสัมปทานโรงแรมและรังนกของเกาะแห่งหนึ่งในประเทศไทย ไม่ว่าเธอจะทำอะไรบิดาและมารดาล้วนตามใจ ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม่ มีเพียงอย่างเดียวที่ไม่ตามใจคือ ห้ามไปไหนมาไหนคนเดียว ต้องมีพี่เลี้ยงและบอดี้การ์ดตามติดดังเงา ซึ่งตัวเธอเองนั้นก็ชินเพราะตั้งแต่รู้สึกตัวจากอุบัติเหตุก็ถูกปฎิบัติแบบนี้ ราวกับว่าที่ผ่านมาก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุก็มีคนคอยดูอยู่ไม่ห่างตลอดเวลา
แต่สำหรับพนักงานที่เกาะและคนในเกาะแล้วกลับรู้สึกว่า หยางเว่ยโอ๋ลูกสาวจนเกินไป แต่อย่างว่าล่ะ คนมีเงินชอบทำอะไรโอเวอร์
แม้นาเดียจะยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่แต่ก็มาช่วยงานที่โรงแรมเสมอเพราะเบื่อที่จะอยู่บ้านเฉย วันๆ เอาแต่เรียนๆๆตอนนี้เธออายุ 22 แล้ว แต่ยังเรียนมหาวิทยาลัยไม่จบ คนอื่นจึงมักจะดูแคลนเธอเสมอว่าถูกบิดามาราตามใจคนเสียคน ใครจะรู้ว่าแทนจริงแล้ว เธอใช้เวลาเพียง 2 ปี เริ่มหัด พูด อ่าน เขียนทั้งภาษาไทยและอังกฤษ เรียนหลักสูตรพื้นฐานจนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้และปีนี้ก็เป็นปีสุดท้ายแล้ว
พนักงานที่ทำงานที่โรงแรม มักจะนินทาลับหลังตลอดว่าลูกสาวเจ้าของโรงแรมโคตรหยิ่ง อย่าเดินเข้าไปทักหากไม่มีความจำเป็น ไม่งั้นโดนมองจิกถึงกระดูก โคตรเกลียดเลยใบหน้าเชิดๆ คอตั้งตลอดเวลานั้น เวลามองใครก็มองด้วยหางตา หากใครทำอะไรผิดก็มักจะว่าตรงๆ แรงๆ จนพนักงานแอบตั้งฉายาเธอว่า’ นางมารร้าย’
นาเดียเองก็ไม่ได้อยากทำให้ใครไม่ชอบ แต่สกิวการเข้าสังคมของเธอคือ ศูนย์ ไข่ใบโตๆ เลย เหตุเพราะ
เธอทานยาต้านโรคซึมเศร้า ยานั้นกดประสาทให้เธอหน้านิ่ง เหม่อลอยในบางครั้ง ไม่ได้อยากจะโทษว่าเป็นสาเหตุจากโรค แต่เพราะมันคือเหตุผลเดียวที่คิดออก
อาการนี้เริ่มเป็นมาตั้งแต่เธอฟื้นจากอุบัติเหตุ เธอเดินทางตามบิดามารดาที่มาทำธุรกิจสัมปทานโรงแรมที่เกาะแห่งหนึ่งในประเทศไทย ระหว่างที่เดินทางมาครอบครัวของเธอประสบอุบัติเหตุ ป๊ากับม๊าบาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนเธอนั้นได้รับการกระทบกระเทือนที่ศีรษะ จนทำให้ความจำหายไปไม่เหลืออะไรเลย ขนาดตอนที่ฟื้นขึ้นมายังจำบิดามารดาของตัวเองไม่ได้ อยู่โรงพยาบาลนานนับเดือนก็ยังจำอะไรไม่ได้ บิดามารดาจึงอยากให้เธอไม่ต้องสนใจความทรงจำเก่าๆและสร้างความทรงจำใหม่ๆ ขึ้นมาแทน ตอนนั้นเธออายุเพียง 17 ปี ต้องฝึกอ่านเขียนและฝึกพูดภาษาไทย ทักษะต่างๆ ก็ต้องเรียนรู้ใหม่ การศึกษาก็ต้องให้ครูมาสอนที่บ้านและสอบเทียบเอา
เธอเข้ากับคนลำบาก ไม่รู้ว่าเพราะโรคที่เป็นหรือนิสัยตั้งแต่กำเนิด บางครั้งก็แอบรู้สึกเหมือนไม่ใช่คนบนโลกนี้ อยากกลับยังที่เดิม แต่ที่ที่ว่านั้นคือที่ไหนกันล่ะ หรือจะเป็นโลกหลังความตาย แต่เธอไม่เคยคิดฆ่าตัวตายเลยซักครั้ง แค่รู้สึกว่าตัวเองนั้นจืดจางราวกลับไม่มีตัวตนบนโลกนี้เท่านั้น แค่เริ่มคิดก็ปวดหัวจนต้องหยิบยาแก้ปวดในกระเป๋าออกมากิน
###ไรท์ไม่ได้ตั้งใจเขียนขึ้นมาเพื่อทำให้รู้สึกจิตตกกังวลใจเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าและการคิดฆ่าตัวตายเพียงเนื้อหาสอดคล้องกับตัวละครเท่านั้น
หากใครที่กำลังเผชิญหน้าและรักษาโรคซึมเศร้าอยู่ ไรท์บีบมือเป็นกำลังใจให้ ตัวไรท์เองก็ไม่รู้หรอกนะว่าคนที่กำลังเป็นโรคนี้จะรู้สึกแย่สักแค่ไหน แต่ไรท์ยินดีจะอยู่เคียงข้างและให้กำลังใจเสมอนะคะ
บทที่2“ถามจริงเถอะ อยากโดนไล่ออกหรือไง” เสียงดังมาจากด้านหลัง นาเดียหรี่ตามอง ผู้จัดการโรงแรม และพนักงานหลายคนที่ยืนอยู่หน้าฟ้อนท์ของโรงแรม กวาดตามองทีล่ะคนอย่างช้าๆ และใจเย็น“คุณนาเดีย!” พนักงานทุกคนหันมามองตามเสียง พอรู้ว่าเป็นใครก็ประสานเสียงอุทานออกมาเสียงดัง“คุณพัดเชิญไปคุยที่ห้องเดียนะคะ เดี๋ยวนี้!” เสียงแหวดังไม่สนใจหน้าอินหน้าพรหมไม่สนใจหน้าไหนทั้งนั้นตอนนี้เรียกผู้จัดการโรงแรมให้ตามไปพบที่ห้องทำงานทันที หมุนตัวหน้าเชิด เดินฉับๆ ตรงไปยังลิฟต์เพื่อขึ้นไปห้องทำงานของตัวเอง“พี่พัด ทำไงดี นางมารร้ายองค์ลงแล้ว”“ตายแน่งานนี้ แม่งซวยซิบหาย ไหนแกบอกว่าวันนี้ยัยนาเดียไม่เข้ามาไง” พัดชาหันไปต่อว่าพนักงานรุ่นน้อง“ก็เมื่อวานคุณเดียบอกเมย์ว่าวันนี้จะอ่านหนังสือสอบ ไม่เข้ามาจริงๆ นะพี่” เมย์รีบแก้ตัว เธอถามคุณนาเดียแล้วจริงว่าเธอจะเข้ามาวันไหนบ้าง“ทำไงดีพี่พัด”“เออเดี๋ยวพี่เข้าไปคุยเอง พวกแกทำงานต่อไปแล้วกัน” พัดพรูลมหายใจยาวเหยียด รีบเดินเข้าไปลิฟต์ก๊อกๆ“เชิญค่ะ” นาเดียหมุดเก้าอี้หันหน้าตรงมายังประตูทางเข้า“คุณนาเดียเรียกพี่ มีงานอะไรสั่งพี่หรือเปล่าค่ะ” พัดทำใจดีสู้เสือ“พี่ทำอ
บทที่3“อาจื่อ ทำไมไม่ไล่คุณพัดออกไปเลย ในเมื่อหนูก็เห็นเต็มสองตาว่าคุณพัดทุจริต”นาเดียเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ป๊ากับม๊าฟัง เธอไม่เคยมีอะไรปิดบังพวกเขาทั้งสองคน“เดียอยากให้โอกาสพี่พัดค่ะ” รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏที่ริมฝีปาก แม้จะยิ้ม แต่แววตาไม่เคยยิ้มเลย“ปวดหัวอีกแล้วเหรอลูก” หยางเหม่ย เห็นสีหน้าและแววตาลูกสาวก็รีบ เอามือทาบหน้าผากมนของนาเดีย กวักมือเรียกให่พี่เลี้ยงไปหยิบยาแก้ปวดหัวมาให้“เดียหยุดกินยาค่ะม๊า อาทิตย์หน้าเดียมีสอบ” นาเดียต้องกินยารักษาโรคซึมเศร้าตลอด แต่ช่วงนี้เธอหยุดกินเพราะอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องเลย อีกไม่มีวันก็จะสอบแล้ว ไหนจะมีเรื่องของพนักงานวันนี้อีก เลยทำให้ปวดหัว“เรียนไม่จบ สอบไม่ได้ก็ชั่งมัน สมบัติป๊ามีให้ลูกสาวคนเดียวใช้ได้อีกสิบชาติ”“ป๊าาาา เดียอยากเรียนให้จบ อย่างน้อยๆ ก็ปริญญาตรี พนักงานจะได้นับถือเดียขึ้นอีกซักนิด” เธอรู้ว่าสกิวการเข้าถึงคนของเธอ มีผลทำให้พนักงานไม่ชิบเธอ และไม่นับถือเธอว่าเป็นเจ้านาย ด้วย้พราะเธอนั้นยังเด็กและเรียนยังไม่จบนั้นเอง“ใครไม่นับถือลูกสาวม๊าก็ไล่มันออกไปเลย มีอย่างที่ไหนมาทำงานกับเราแต่ไม่นับถือเจ้านายเปิดรับสมัครใหม่เลยที่พักฟ
บทที่4หลังจากสอบเสร็จเรียบร้อย นาเดียก็พาพี่เลี้ยงไปช๊อปปิ้งซื้อของใช้มากมาย บอดี้การ์ดที่ตามมาอีกสองคนช่วยถือจนล้นมือ กว่าจะขนขึ้นเรือได้ เล่นเอาผู้ชายตัวโตสองคนลิ้นห้อย ให้ฝึกต่อสู้ยิงปืนยังไม่เหนื่อยเท่ากับเดินตามผู้หญิงช๊อปปิ้งนาเดียรีบขึ้นเรือ เธอซื้อของใช้มากมายตุนไว้สำหรับ 3-4เดือนเลยทีเดียว เพราะสอบคราวนี้คือการสอบครั้งสุดท้ายแล้ว ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะได้เข้าเมืองอีก เธอไม่ชอบอยู่ในเมืองที่มีแสงสีเสียงมากมาย รู้สึกว่ามันไม่ใช่ที่ของเธอไม่ใช่โลกที่เธอควรจะอยู่ สงสัยจะอยู่บนเกาะ อยู่กับธรรมชาติมากจนเกินไปนาเดียนั่งเรือเรือยอร์ชกลับไปยังเกาะ ร่างบางนั่งอยู่ท้ายเรือชมวิวท้องทะเลสีฟ้าอ่อนที่สะท้อนสีของท้องฟ้าแต่อยู่ๆ ผมของเธอก็ชี้ตั้งราวกับไฟฟ้าสถิต ผมยาวชี้ออกไปคนละทิศคนละทาง เพียงแค่อึดใจเดียว แสงสีขาวก็สว่างวาปจนตาพร่าร่างบางนั่งมองสีฟ้าของทะเลที่ทอดไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา เธอหมดแรงนั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่พระอาทิตย์ตรงกับศีรษะจนตอนนี้พระอาทิตย์คล้อยต่ำ เธอฟื้นขึ้นมาพบว่าตัวเองนอนอยู่บนชายหาดเพียงคนเดียว ไม่รู้ว่าตัวเองมาเกยตื้นบนหาดได้อย่างไร สลบไสลไปนานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ เร
บทที่5นาเดียอาศัยอยู่ในกระท่อมกับหญิงชรามาหลายวันแล้ว ฝนตกเกือบทุกวัน จึงยังไม่สามารถเดินเข้าเมืองไปได้ อีกทั้งเธอก็ไม่กล้าเดินไกลออกจากกระท่อมมากนัก เพราะกลัวหลงทาง แม่เฒ่าม่านม่านคือที่พึ่งเดียวของเธอในตอนนี้ ‘ป๊าม๊า เมื่อไหร่จะหาเดียเจอ’ ผ่านมาหลายวันแล้วก็ไม่มี เฮลิคอปเตอร์บินค้นหาหรือป๊าม๊าคิดว่าเธอเสียชีวิตแล้ว“แม่เฒ่าเดินเข้าหมู่บ้านหรือในเมืองไกลไหมคะ” นาเดียตัดสินใจถาม เริ่มร้อนใจกลัวทุกคนจะคิดว่าเธอตายแล้วและหยุดการค้นหา“หมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดก็เดินเท้า 1 ชั่วยาม หากจะเข้าเมืองก็เดินเท้า 2 ชั่วยาม” หญิงชราล่ะมือจากกอป่านที่กำลังปั่นเป็นเชือกเอาไว้สานเสื้อกันฝน หันมาตอบหญิงสาวที่เธอช่วยมาจากชายหาด“ชั่วยาม? แม่เฒ่า เมืองที่ว่าชื่อเมืองอะไรคะ” นาเดียรู้สึกแปลกในคำแทนเวลาของหญิงชรา แม้ตอนแรกจะแปลกใจที่หญิงชราพูดภาษาจีน ก็เพียงคิดว่าคงเป็นคนรุ่นเก่าแก่ของเกาะ ต้นตระกูลเดินทางจากเมืองจีนมาตั้งรกรากที่เกาะแบบเธอและครอบครัว ยังใช่ภาษาของบรรพบุรุษในการสื่อสาร แม้เสื้อผ้าจะแปลก แต่เธอก็เพียงคิดว่าในเกาะห่างไกล นาเดียมีเพียงชุดที่ติดตัวมากับสร้อยคอที่สวมใส่เท่านั้น มีเสื้อผ้าที่แม่เ
บทที่6นาเดีย นอนลืมตาตื่นมาบนแคร่ไม้เก่าๆ มีเพียงฟูกบางๆ ปูทับ เท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเรื่องราวที่ผ่านมาเธอนั้นไม่ได้ฝันไป เธอหลุดมาอยู่ในโลกอดีต นัยต์ตาหวานไหวระริกน้ำตาคลอไปทั้งหน่วย ตอนที่ประสบอุบัติเหตุฟื้นตื่นขึ้นมาแม้จะจำอะไรไม่ได้ แต่ก็ยังมีป๊าและม๊าค่อยอยู่ข้างๆ แต่คราวนี้กลับตื่นขึ้นมาโพล่ที่ไหนก็ไม่รู้ ตัวคนเดียวไม่มีใครเลย ไม่รู้เกิดจากสาเหตุอะไรทำให้เธอมาอยู่ที่นี่ เพราะสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา หรือเกิดเหตุลึกลับตอนที่ฟ้าผ่า ตัวเธอเองทำได้เพียงคาดเดาไปต่างๆ นาๆ ร่างบางลุกขึ้นจากเตียง เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดเดิมที่ใส่นิดตัวมา วิ่งออกจากกระท่อมหลังน้องมุ่งตรงไปยังทิศทางที่คิดว่าน่าจะสามารถนำเธอไปยังชายหาดได้เธอวิ่งตรงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มองเห็นสีฟ้าจากน้ำทะเล“แล้วจะกลับไปโลกเดิมได้ยังไง พี่ๆ คนอื่นหลุดมาแบบเดียหรือเปล่า” นาเดียพึมพำกับตัวเอง เดินลุยทรายสีขาวจนไปถึงน้ำทะเล คลื่นซัดกระทบจ้อเท้านวลลออ เธอไม่คิดจะเดินลุยออกไปไกลกว่านี้ เพราะนังรักตัวกลัวตายอยู่ ต่อให้เสี่ยงเดินออกไปก็คงหากทางกลับโลกเดิมไม่ได้ เผลอตะจมหน้ำทะเลตายซะก่อน“กลับไม่ได้ก็ไม่ต้องกลับหรอก” แม่เฒ่าม่านม่าน เดิ
บทที่7ม่านเจียวรับปากว่าจะให้หยางจื่ออาศัยและทำงานด้วย แต่ท่านยายต้องมาอยู่กับนางที่ร้านเต้าหู้ด้วย ไม่ใช่นั้นนางก็จะไม่รับหยางจื่อ ไม่ใช่ไม่อยากช่วย แต่ม่านเจียวไม่อยากให้ท่านยายอยู่คนเดียวในป่าในเขาห่างไกลผู้คนแบบนั้น ที่ผ่านมาไม่ว่าจะตื้อเท่าไรคนแก่หัวรั้นก็ไม่ยอม แต่วันนี้กลับยอมง่ายๆ เพียงเพราะอยากให้นางรับหญิงสาวแปลกหน้าคนนั้นไว้ แต่เมื่อพบหยางจื่อ แม้นัยน์ตาหงส์นั้นจะดูเย่อหยิ่งแต่ม่านเจียวกลับรู้สึกถูกชะตานางอยู่ไม่น้อย“เจ้าอายุเท่าไหร่” ฮูหยินร้านขายเต้าหู้เอ่ยถาม“ข้าชื่อหยางจื่อ ปีนี้อายุ 25”“ข้าอายุมากว่าเจ้า 3 ปี เรียกข้าพี่เจียวเจียวก็แล้วกันท่านยายบอกข้าแล้วว่าเจ้าตัวคนเดียวพลัดหลงจากครอบครัวหากคิดจะมาอยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยงานที่ร้าน”“ขอบคุณพี่เจียวเจียวที่ช่วยเหลือ” นาเดียน้ำตารื้อ ในความโชคร้ายยังมีความโชคดี ยังมีคนช่วยเหลือให้ที่พักพิงเงาดำทะมึนของร่างสูงใหญ่กำยำยืนอยู่ที่ริมหน้าผา ผิวสีน้ำตาลแดงบ่งบอกว่าคนผู้นี้ใช้ชีวิตกลางแจ้งเป็นเวลามาหลายปี หรืออาจจะทั้งชีวิตก็ว่าได้ แม่ทัพซ่งเวยหลง ทอดสายตามองพื้นทะเลเบื้องล่า เขาจะมายืนที่ริมหน้าผาแหง่นี้ทุกปี ข้างๆ กันนี้ค
บทที่8หยางจื่อช่วยม่านเจียวทำงานอยู่ที่ร้านเต้าหู้ แม้จะไม่เคยหยิบจับทำงานหนักมาก่อน แต่นางก็พยายามอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังต้องเรียนรู้เรื่องต่างๆ จากแม่เฒ่าไปด้วย แต่แปลกที่นางกลับมีความสุขกว่าการใช้ชีวิตอย่างคุณหนูที่เกาะกับครอบครัว“เจ้ายิ้มหน่อยเถอะ แม้เจ้าจะมีใบหน้างดงามเพียงใดแต่ถ้าหากไม่ยิ้มแย้มเลยก็ไม่มีใครชอบเจ้าหรอกนะ” ม่านเจียวตักเต้าหู้ใส่ถ้วยยื่นให้ลูกค้า ตั้งแต่หยางจื่อมาช่วยงานที่ร้าน ลูกค้าหนุ่มๆ ที่มานั่งทานเต้าหู้ที่ร้านก็มีมากขึ้น แต่นางกลับไม่เคยยิ้มหรือชายตาให้ชายใดเลย อีกไม่นานคนก็คงเลิกเห่อใบหน้างามแต่ไร้ซึ่งรอยยิ้มของนาง“หน้าข้าก็เป็นแบบนี้ล่ะ ข้าไม่เห็นมีความจำเป็นต้องยิ้มหวานให้บุรุษที่ข้าไม่ชอบ” นางมีหน้าที่เก็บล้างและช่วยทำเต้าหู้ งานก็หนักมากเรียกว่าเกินกำลังคุณหนูแบบนางไปมากโข แล้วยังจะให้มานั่งปั้นหน้ายิ้มอีกคงทำไม่ได้และไม่เคยทำและจะไม่ทำด้วยม่านเจียวพรูลมหายใจ สั่งให้หยางจื่อทำอะไร นางทำโดยไม่อิดออด ท่าทางเงอะงะมือบางอ่อนนุ่มนิ่มดูก็รู้ว่าไม่เคยหยิบจับทำงานหนักมาก่อน แต่นางก็พยายามช่วยงานในร้านทุกอย่าง การให้นางยิ้มมันกลายไปเป็นเรื่องยากไปซะอย่างงั้น
บทที่9 ⚠️ Trigger Warning มีเนื้อหาอ่อนไหวทางอารมณ์ยามห้าย (คือ 21.00 – 22.59 น.) แม่เฒ่าม่านม่านเรียก หยางจื่อมาพบที่ห้องนอน วันนี้แม่เฒ่าถูกเจ้าเมืองตามให้ไปคุย แม้เรื่องที่เจ้าเมืองขอร้องนางนั้นจะยาก แต่แม่เฒ่าคิดไตร่ตรองดูแล้ว แม้บางคำพูดของท่านเจ้าเมืองจะสะกิดใจแม่เฒ่า แต่การที่ท่านยื่นข้อเสนอมาทั้งหมดนั้นก็ดีสำหรับหยางจื่อไม่น้อย“ท่านยายมีเรื่องอะไรจะคุยกับข้า” หยางจื่อมานั่งได้ซักพักแล้ว แต่แม่เฒ่าม่านม่านก็ยังไม่ปริปากพูดจึงเอ่ยถามขึ้นมาก่อน“วันนี้ข้าไปพบท่านเจ้าเมืองมา ท่านอยากรับเจ้าเป็นหลานบุญธรรม”“ห๊า” หยางจื่อตกใจดีดตัวลุกจากเก้าอี้“คนในสมัยนี้รับบุตรบุญธรรมหรือหลานบุญธรรมเป็นเรื่องปกติ ท่านเจ้าเมืองเสียหลานสาวไปเมื่อหลายปีก่อน ฮูหยินเฒ่าของท่านเจ้าเมืองเสียใจมากจนตรมใจ เพราะนางมีหลานสาวสายตรงเพียงคนเดียว พอท่านเจ้าเมืองเห็นเจ้าแล้วก็นึกถึงหลานสาวที่จากไปแล้ว จึงอยากขอให้เจ้าไปช่วยดูแลฮูหยินเฒ่า ข้าก็เห็นว่าเป็นการดีกับตัวเจ้าเอง เจ้าก็ไม่มีใคร อีกทั้งไม่ต้องมาทำงานงกๆ แบบนี้ ข้าหลับตาดูก็รู้ว่าเจ้าไม่เคยทำงานแบบนี้ ไปเป็นหลานเจ้าเมืองเจ้าจะสุขสบาย” แม่เฒ่าม่านม่านพย
บทที่35เวลาผ่านไปเกือบ 2 ปีแล้วหลังจากที่ทิ้งเมืองหลวงมาตั้งรกรากที่เมืองหยิ่งตู่แม่ทัพซ่งเว่ยหลงและรองแม่ทัพ พร้อมทหารในกองทัพอีกหลายพันนาย ประจำการที่เมืองหยิ่งตู่ ก่อนเดินทางเขาได้แจ้งกับทหารทุกคนแล้วว่าตัวเขาและครอบครัวจะไปอยู่ที่เมืองหยิ่งตู่ถาวร หากใครไม่อยากเดิมทางไปเขาก็ไม่ว่า ทหารที่ติดตามมาทั้งหมดจึงล้วนสมัครใจมาหลังจากฝึกทหารและตรวยตราบริเวณแนวกำแพงเมืองเรียบร้อย แม่ทัพซ่งก็จะรีบกลับจวน เป็นเช่นนี้ทุกวันจนทหารในกองทัพคุ้นชิน ทุกคนต่างรู้ดีว่าท่านแม่ทัพนั้นรักฮูหยินมาก แทบไม่เคยให้ห่างสายตา จะออกจากจวนได้ก็ตาอเมื่อแม่ทัพพาออกมาเท่านั้น แต่ก็ว่าไม่ได้นางงดงามราวกับดอกไม้ หากชายใดมีภรรยางดงามเล่นนั้นยีอมต้องหวงแหนเป็นเรื่องปกติ“ท่านพี่ กลับเร็วอีกแล้ว”หยางจื่อส่ายหัวเมื่อเห็นผู้เป็นสามีควบม้าเข้าประตูด้านข้างของจวนเข้ามา แม้ปากจะบ่น แต่นางก็มานั่งรอเขาที่ประตูที่ใช้เข้าออกสำหรับรถม้าและม้า ทุกวัน“หยางเว่ย คิดถึงพ่อไหม” ร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์ ผิวดำแดงกร้านแดด กระโดดลงยสกหลังม้าอย่างองอาจ รีบเดินปรี่เข้าไปรับบุตรชายจากฮูหยิน เจ้าก้อนแป้งของเขาอ้วนกลม เขาไม่อยากให้นางอุ้มบ
บทที่34โทษประหารชีวิตของเจ้าเมืองหยางไห่เลื่องลือไปทั้งแคว้น แม้การประหารขุนนางของฮองเต้หลงจะเป็นที่ชาชินของประชาชน สาเหตุล้วนมาจากการแข็งข้อและเห็นต่างจากพระองค์ แต่การประหารเจ้าเมืองในครั้งนี้กลับเป็นเพราะการทุจริตมาอย่างยาวนาน อีกทั้งคนหาหลักฐานและถวายฎีกาคือจองหงวนคนใหม่ที่เพิ่งสอบติด แต่เรื่องมันจะสิ้นสุดเพียงเท่านี้ หากจองหงวนคนดังกล่าวไม่ใช่เจียวเจี้ย ลูกชายคนโตของอดีตเสนาบดีเจียวก้านที่ถูกประหารไปเมื่อหลายปีก่อน ครั้งนี้เจียวเจี้ยเหมือนพบทางลัด ถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นเสนาบดีกรมพิธีการทันที นั้นล่ะ ต่อให้ฮองเต้หลงจะกบฏสังสารเชื่อพระวงค์ทั้งหมด แต่จะให้ตัดขาดเครือญาติที่ยังเหลืออยู่ฐานอำนาจพระองค์คงจะสั่นคลอน อย่างไรฮองเต้กับเจียวเจี้ยก็เป็นอาหลานกัน เรื่องราวถูกเล่าปากต่อปากไปเรื่อย ยิ่งหลายปากเรื่องราวย่อมเปลี่ยน สุดท้ายกลายเป็นว่า ฮองเต้หลงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด พระองค์ต้องการจะสังหารเจ้าเมืองหยางไห่อยู่แล้ว จึงให้เจียวเจี้ยลงมือสร้างหลักฐานเล่านั้นขึ้นมา ฮองเต้ก็ทรงเพิกเฉยต่อข่าวลือทั้งหมด อย่างไรก็ไม่มีใครแตะต้องพระองค์ได้ เพราะอำนาจทั้งหมดอยู่ในมือพระองค์แล้ว
บทที่33เจียวเจี้ยเขียนฎีการายงานความผิดของเจ้าเมืองหยางไห่ อีกทั้งยังแนบหลักฐานเอาผิดอีกมากมาย ฮองเต้หลงที่คอยจะตัดแขนตัดขาขุนนางที่แข็งข้ออยู่แล้ว ย่อมไม่พลาดที่จะสำเร็จโทษประหารชีวิตให้หยางไท่จง ยิ่งนับวันหยางไท่จงยิ่งแสดงว่ารวมเป็นใหญ่ เมื่อ 5 ปีก่อนที่พระองค์ละละเว้นตระกูลหยางเพราะหยางไท่จงยอมสังหารองค์หญิงจ้าวเว่ยเพื่อพิสูจน์ความจงรักภักดี ชายหนุ่มในชุดมังกรพลิกอ่านฎีกาจากขุนนางฝ่ายบุ๋นให้ลงโทษประหารและริบทรัพย์สินเจ้าเมืองหยางไห่ พระองค์จะไม่แปลกใจเลยหากในกองฎีกานั้นไม่มีฎีกาของฝ่ายบู้ปนมาด้วยหลายฉบับ พระองค์แน่ใจว่าพระองค์เป็นเพียงผู้เดียวที่ควบคุมกองกำลังทหารทั้งแคว้นเอาไว้ในมือ หากแม่ทัพแต่จะหน่วยจะเขียนฎีกาเหล่านี้ พระองค์ย่อมต้องรู้ก่อน แต่กลับไม่มีรายงานเข้ามา“แม่ทัพซ่งเพิ่งแต่งฮูหยินเอก ได้ข่าวว่านางคือหลานสาวจากตระกูลรองของหยางไท่จงพ่ะย่ะค่ะ” หลิวกงกงรีบเดินมารายงานข่าวที่ฮองเต้ให้ไปสืบ แม่ทัพซ่งเดินทางกลับเมืองหลวงได้หลายวันแล้ว อย่างไรเขาก็เคยเป็นคู่หมั้นองค์หญิงจ้าวเว่ย หากยอมแต่งงานแล้วก็แสดงว่าคงจะลืมพระขนิษฐาของพระองค์ได้แล้ว“เรียกแม่ทัพซ่งเข้าวัง เจิ้นต้องการพ
บทที่32หลังจากพักผ่อนที่จวนตระกูลซ่งได้เพียงไม่กี่วันหยางจื่อจึงทำการส่งจดหมายยัแนะให้เจียวเจี้ยออกมาพบร่างบางเดินสำรวจไปรอบๆ ไม่คาดคอดว่าที่นัดพบคือวัดที่อดีตฮองเฮาเจียวเอินจวิ้นเป็นคนสร้างเอาไว้ใหญ่โตมโหฬารแต่กลับเงียบสงบ มีพระเพียงไม่กี่รูปเท่านั้นไม่นานคนที่นัดก็เดินทางมาถึง เจียวเจี้ยเกินตรงเข้ามายังม้าหินข้างน้ำตกทันทีเมื่อเห็นแม่ทัพซ่งนั่งอยู่เคียงข้างสตรีนางหนึ่ง เขารู้แผนของหยางไท่จงมาโดยตลอดว่าจะพยายามชัดชวนให้แม่ทัพซ่งเว่ยหลงเข้าพวกให้ได้ หลายปีที่ผ่านมาก็ล้มเหลวตลอด ไม่อาจดึงใจบุรุษผู้นี้ได้เลย ไม่คาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะทำสำเร็จในเวลาไม่ถึงเดือน ษุรุษร่างบางเฉกเช่นคุณชายที่ทำเพียงขยับพู่กัน ปรายตามองสตรีที่นั่งเคียงข้างบุรุษรูปร่างกำยำ เขาเคยพบแม่ทัพซ่งหลายครั้ง“ข้าน้อยขอภัยที่มาช้า ทางขึ้ยเขาค่อยข้างลำบาก ด้วยขาพาคนตอดตามมาเพียงคนเดียว”เจียวเจี้ยเอ่ยปากขอโทษก่อนจะรีบรวบลัดคุยเรื่องทั้งหมด“ข้ามีทั้งเงินทุนจากตระกูลเจียว เงินทุกของท่านเจ้าเมืองหยางไห่ ท่านจะดำเนินแผนการยกทัพเมื่อไรเพียงเอ่ยปาก”“ท่านจองหงวน ท่านเข้าใจผิดแล้ว การทาของท่านแม่ทัพและข้าในครั้งนี้หาใช่เรื่อ
บทที่31แม่ทัพใหญ่ซ่งและซ่งฮูหยินต้อนรับบุตรชายและสะใภ้เป็นอย่างดี แม้จะรู้ว่าเรื่องราวการแต่งงานทั้งหมดจากปากบุตรชายแล้ว แต่สายตาของทั้งคู่ยังคงแอบมองใบหน้าของหยางจื่อเป็นระยะๆ‘คล้ายคลึงกันจนเกินไป’ ตอนองค์หญิงจ้าวเหว่ย บุตรชายของเขาก็ไปอยู่เฝ้าหลุมศพนางมาตลอด 5 ปี หากเกิดอะไรขึ้นกับหยางจื่อ หนนี้บุตรชายเขาจะยังคลองสติอยู่ได้ยากแล้ว“กินเยอะๆ เจ้าอายุมากแล้ว ต้องบำรุงหนักๆเลย แม่อยากมีหลานเต็มแก่แล้ว มีลูกชายกับเขาอยู่คนเดียว กว่าจะยอมแต่งงานก็เกือบจะอายุ 30 แล้ว บ้านอื่นเขามีหลานจนจะสอบจองหงวนได้อยู่แล้ว” ซ่งฮูหยินคีบอาหารใส่ชามหยางจื่ออย่างต่อเนื่อง แม้จะตะขิดตะขวงใจในคราวแรกที่เห็นใบหน้าของหยางจื่อ แต่ในที่สุดบุตรชายก็ยอมแต่งงาน เหมือนแล้วอย่างไร ไม่เหมือนแล้วอย่างไร ขอเพียงมีสายเลือดสืบสกุลก็เพียงพอแล้ว“ท่านแม่ พอเถอะนางอิ่มจะแย่แล้ว”ซางเว่ยหลงดึงชามออกจากมือบาง นางอิ่มมาซักพักแล้วแต่ก็ยังเฝื่อนกิน ด้วยอยากให้ท่านแม่ประทับใจ หากเป็นองค์หญิงจ้าวเหว่ย นางคงไม่มาเสียเวลาเอาอกเอาใจใครแบบนี้ “นางผอมเกินไป แล้วแบบนี้จะอุ้มท้องหลานไหม”ก่อนจะหันมามองตำหนิหยางจื่อกลายๆ อยู่ๆนางก็ถูก
บทที่30เมื่อกลับถึงจวนแม่ทัพหยางจื่อก็เดินตรงไปยังเรือนนอนของตนทันที รู้ว่าสหายทั้งสองคบมีเรื่องต้องคุยกัน ไม่พ้นเรื่องตัวตนที่แท้จริงของนาง มือบางกอดสมุดเล่มหนาที่ซ่งเว่ยหลงมอบให้บอกรถม้าไว้แนบอกซ่งเว่ยหลงบอกว่าท่านยายมอขมันให้เขาและเขาก็มอบทันให้นางระหว่างที่นั่งเปิดอ่านสมุดบันทึกนั้นที่ละตัวอักษร ซ่งเว่ยหลงก้าวเดินเข้าเรือนมาพร้อมรองแม่ทัพสีหน้าละแววตาของอู๋จวินถงต่างจากชั่วยามก่อนจ่กหน้ามือเป็นหลังมือ คงจะรู้แล้ว่านางคือองค์หญิงจ้าวเว่ย“ไม่ตีหน้ายักษ์ใส่ข้าแล้วอย่างงั้นหรือ”“กระหม่อมมิกล้า”“เจ้าไม่ควรใช่คำราชาศัพท์กับข้านะท่านรองแม่ทัพ ตอนนี้ข้าคือหยางจื่อเป็นเพียงฮูหยินของแม่ทัพเท่านั้น” หยางจื่อเอ่ยติงรองแม่ทัพพร้อมเชิดหน้าใส่แฉกเช่นเดียวกับที่เคยทำในสมัยก่อย“ข้าน้อยขอภัย ขอเวลาข้าปรับตัวซักหน่อยทุกอย่างมันกระทันหันเกินไปข้าน้อยตั้งตัวไม่ทัน” รองแม่ทัพค้อมศีรษะลงเล็กน้อยแต่ตาคมยังเพ่งมองเม็ดขี้แมลงวันเล็กๆที่อยู่หางตานั้น ใช่เลย องค์หญิงจ้าวเหว่ยไม่ผิดแน่ ครั้งแรกที่พบกันเขาก็แอะใจอยู่แล้วเชียวคนอะไรจะหน้าเหมือนกันแถมจุดไฝฝ้ายังอยู่ตำแหน่งเดียวกัน หากไม่เพราะเขาและม่านแม่
บทที่29พ่อบ้านโจวยืนอยู่ด้านหน้าของเรือนหนังสือกันไม่ให้บ่าวไพร่หรือผู้ใดเข้าใกล้เรือน เพราะการสนทนาในครั้งนี้เป็นคงามลับกว่าครั้งใด โดยหารู้ไม่ว่ามีสองร่างเงายืนแอบฟังอยู่บนต้นอู๋ถงไม่กี่หุน ระยะเพียงเท่านี้ไม่เกินกำลังของคนที่อยู่ในเงามืดเลย “หากท่านไม่บอกแผนทั้งหมดเห็นที ข้าคงช่วยต่อไม่ได้”เสียงหวานเอ่ยขึ้นทันทีที่ได้ยินว่าให้นางชวนแม่ทัพกลับเมืองหลวง“เจ้าเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง แค่ทำตามที่ข้าสั่งก็พอ”“ใช่เดิมข้าต้องทำตามที่ท่านสั่ง แต่ท่านก็เห็นว่าตำแหน่งที่ท่านต้องการไปยืนนั้นหากไม่มีข้า ท่านก็คงต้องเสียเวลาเริ่มใหม่” หยางจื่อทรุดตัวลงบนตั่งข้างชั้นหนังสือ ไม่มีทีท่านอบน้อบหยางไท่จงอย่างเช่นทุกครั้ง “หึ เพียงแค่แต่งออกไปเจ้าก็คิดจะแปรพรรคแล้วงั้นหรือ”หยางจื่อหัวเราะออกมาเสียงดัง ใช่เวลาแต่งออกไปแล้วนางถึงได้แข็งข้อเสียเมื่อไร แค่ที่ผ่านมาความจำเสื่อมเท่านั้น จึงแสร้งไม่มีปากเสียงเพราะคิดว่าตน หลงยุคมาอยู่ที่นี่แต่ตอนนี้ความทรงจำทั้งหมดกลับมาแล้ว“ตัวข้าจากเดิมเป็นแค่หญิงชาวบ้าน อยู่ๆก็ได้เป็นถึงหลานเจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่ ในอนาคตอาจมีวาสนาได้เป็นหลานของฮองเต้ วาสนานี้คงไม่มีใคร
บทที่28ซ่งเว่ยหลงไม่ปิดบังความรักที่มีต่อหยางจื่อแม้แต่น้อย เขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าในสายตาของเขานั้นมีเพียงนาง แม้ผู้อื่นจะคิดว่านางคือตัวแทนขององค์หญิงจ้าวเหว่ย แต่สำหรับตัวเขานั้นที่รู้ความจริงทุกอย่างเป็นอย่างดี ก็ไม่คิดที่จะแก้ไขความเข้าใจผิดนั้น เพราะนางสั่งเอาไว้ แม่ทัพมองใบหน้าของฮูหยินเฒ่า ที่นั่งอยู่เก้าอี้ถนัดจากฮูหยินของเขานางดูรักและเอ็นดูหยางจื่อ ตั้งแต่ลงรถม้ามามือเหี่ยวหย่นนั้นไม่ปล่อยออกจากมือฮูหยินของเขา นั่งแนบข้างนางไม่ห่างไปไหน คงจะมีเพียงฮูหยินเฒ่าล่ะมั่งที่รอการกลับมาขององค์หญิงจ้าวเหว่ยเช่นเขา ต่างจากชายชราที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ประธานของห้องโถง ไม่ใช่สายตายินดีเปรมปรีดิ์ที่หลานสาวกลับมาเยี่ยมบ้านหลังจากเพิ่งแต่งงานออกไป แต่กลับเป็นสายตาของผู้ชนะ หยางไท่จงชนะสิ่งใดกันเขาอยากรู้นัก“หยางจื่อ ตามีของจะมอบให้เจ้า เจ้าตามไปเอาที่เรือนอักษรที ข้าขอยืมฮูหยินท่านแม่ทัพซักครู่” หยางไท่จงเห็นว่าฮูหยินของเขาชวนหยางจื่อคุยนานเกินไปแล้ว เขามีเรื่องสำคัญจะคุยกับนาง จึงตัดบทขึ้นมากลางวงสนทนา หันไปขออนุญาตพาตัวหลานสาวไปยังเรือนหนังสือน้ำเสียงในประโยคที่เอ่ยออกมาไม่ได้ต้องการกา
บทที่27“ท่านยาย ข้ามาแล้ว” เมื่อรถม้าของจวนแม่ทัพมาถึงบริเวณหน้าจวนของเจ้าเมืองหยางไห่ หยางจื่อก็รีบกระวีกระวาดลงรถม้ารีบเดินตรงเข้าหาหญิงชราทันที น้ำตาคลอหน่วยจวนเจียนจะไหล เพียงแค่เปิดผ้าม่านรถม้าออกยังไม่ทันได้ก้าวลงนางก็มองเห็นหญิงชรามายืนรอนางที่หน้าประตูจวนเจ้าเมืองแล้ว ราวกลับรอการกลับมาของนางมาโดยตลอดท่านยายท่านรอข้ามาตลอดเลยใช่ไหมทันทีหยางจื่อเดินมาหยุดตรงหน้าฮูหยินเฒ่ารีบคว้าตีวหลานสาวบุญธรรมมากอดไว้แนบอกทันที“เจ้ากลับมาแล้ว เจ้ากลับมาแล้วหลานรักของข้า”ฮูหยินเฒ่าน้ำตาไหลพรากกอดหญิงสาวเอาไว้แน่น เมื่อ 7 ปีก่อน นางยืนรอจ้าวเหว่ยอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ฟ้ายังไม่ส่าง รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีทีท่าว่าหลานรักจะปรากฏตัว แต่กลับได้รับข่าวร้ายแทน จ้าวเหว่ยไม่เคยกลับมาเยือนจวนของนางอีกเลย ไม่มีแม้แต่ร่างให้ทำพิธีศพ แต่การการเฝ้ารอหลานสาวเพียงของหญิงชราก็ไม่เคยสิ้นสุดลง ในใจของฮูหยินเฒ่ายังคงวนเวียนคิดถึงดวงหน้าของบุตรสาวและหลานสาวอยู่เสมอ“ท่านยาย ข้ากลับมาหาท่านแล้ว ฮึก ฮื่อ” ตั้งแต่มาอยู่ในฐานะของหลานสาวบุญธรรม แม้จะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ใกล้ชิดสนิทสนม แต่ฮูหยินเฒ่าก็ไม่เคยโอบกอดนางเลยซักคร