“ลงมือ!"ฉินเหยี่ยนเย่ว์หลุบสายตาลงต่ำตำหนักมิอาจเทียบได้กับจวนอ๋อง แต่ละพระสนมย่อมมีประวัติความเป็นมาป้าฉาเคยเตือนนางไว้ว่า เรื่องในวังหลวงหากทนได้ก็ให้ทน มากขึ้นหนึ่งเรื่องมิสู้น้อยลงหนึ่งเรื่องทว่า!นิสัยอารมณ์ร้อนของนางนี้ทนการหาเรื่องหาความโดยไม่มีสาเหตุเช่นนี้ไม่ได้ผู้ใดทำให้นางไม่มีความสุ
ตอนที่นางกำนัลสี่คนโอบล้อมเข้ามา ฉินเหยี่ยนเย่ว์มิได้ตอบโต้ปล่อยให้พวกนางลากจูงได้ตามใจชอบครั้นเหล่านางกำนัลเห็นว่านางไม่ตอบโต้ จึงลงมือรุนแรงขึ้นบางคนดึงผม บางคนดึงอาภรณ์ของนาง หรือแม้กระทั่งยังมีบางคนฉวยโอกาสตีนางหลายครั้งหลังจากป้าฉาดึงตัวนางออกมา ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง อาภรณ์ที่เดิมสกปรกถูกฉีกทึ้
ฉินเหยี่ยนเย่ว์ก็ควรจะหาทางลงตาม ด้วยการทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็กผู้ใดจะรู้ ฉินเหยี่ยนเย่ว์ไม่ลงตามก็ช่างเถอะ ยังทำลายทางลงทิ้งจนหมดสิ้น!“พระชายาอ๋องเจ็ดพูดเช่นนี้ได้อย่างไร นี่เป็นการเข้าใจผิดกัน” พระสนมหรงฝืนยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ“ในวังหลวงแห่งนี้มีกฎเข้มงวดมาก หากเหล่านางกำนัลเดินผิด
ฉินเหยี่ยนเย่ว์ยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธหลังจากลูกแกะวิ่งเข้ามา นางก็ตามเข้ามาติด ๆ นางมองเห็นอย่างชัดเจน ลูกแกะเพียงแค่กำลังวิ่งอย่างมีความสุข กำลังจะเข้าใกล้ผู้คน มิได้ทำเรื่องอะไรเกินเลยไปอีกอย่าง ลูกแกะที่เพิ่งคลอดออกมาตัวเดียว จะมีพลังมากมายเพียงใดกัน?หากให้คนไล่ออกไป หรือว่าสั่งสอนสักหน่อย ก็ไม่เป
“ท่านคิดไม่ผิดหรอกเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ราวกับมองความคิดของนางออก “อีกหนึ่งเค่อ ท่านก็จะเป็นเหมือนกับพี่สาวนางกำนัลผู้นี้ กลิ้งไปบนพื้นโดยมิสนภาพลักษณ์ ใบหน้าก็จักบวมจนดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง คันไปทั้งตัว เจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ”“อ้อไม่สิ ไม่เหมือน ท่านถูกเลี้ยงดูเอาอกเอาใจมาตั้งแต่เด
“ภูมิหลังของสนมหรงผู้นั้นคืออะไรกันแน่?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ขมวดคิ้วป้าฉาไม่ใช่คนประเภทที่กลัวนั่นกลัวนี่ นางย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าพระสนมหรงมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระสนมหรงผู้นั้นไม่ควรหาเรื่องด้วย“พระองค์รู้จักหอกิเลนหรือไม่?” ป้าฉาถามฉินเหยี่ยนเย่ว์พยักหน้าสัตว์สัญลักษณ์ของราชวงศ
“ข้ากับเสด็จแม่มีนิสัยคล้ายกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับแตกต่างกัน”ความรู้สึกของพระสนมอวิ๋นที่มีต่อฮ่องเต้นั้นเป็นเรื่องจริงความรู้สึกของฮ่องเต้ที่มีต่อพระสนมอวิ๋นนั้น ย่อมเป็นเรื่องจริงเช่นกันอย่างไรก็ตามเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เกรงว่าจะมิใช่เช่นนี้ในตอนนั้น หากได้รับการสนับสนุนอย่างแน่วแน่จากฮ่องเต
เมื่อฮ่องเต้นึกถึงฉินเหยี่ยนเย่ว์ผู้ชอบทำตัวกำเริบเสิบสานก็พิโรธมากวิธีการกระทำเรื่องต่าง ๆ ของนาง เสมือนเป็นนักพรตเต๋าเทียนหลิงอีกคนแม้กระทั่งบางเวลาจะทำตัวกำเริบเสิบสานยิ่งกว่านักพรตเต๋าเทียนหลิงไปอีกหลายส่วนด้วยซ้ำ“ไม่ไป นางรู้นานแล้วว่าข้าอยู่ที่นี่” ฮ่องเต้แค่นหัวเราะเสียงเย็น “จมูกของนางนั่
ความเป็นไปได้มากที่สุด คือพี่ใหญ่ใช้ประโยชน์จากทาสเป่ยลู่คนนั้น ทำเรื่องที่มิอาจเปิดเผยได้เหล่านั้นอยู่ที่นี่หากเป็นเหตุผลเช่นนี้ เบาะแสทุกอย่างล้วนราบรื่นแล้วตงฟางหลีเดินอ้อมห้องอีกหนึ่งรอบใช้มือสัมผัสและเคาะสิ่งของที่น่าสงสัยทั้งหมดเบา ๆ ไปหนึ่งรอบน่าเสียดาย ที่หาร่องรอยของห้องลับไม่เจอ“จางฉู
ตงฟางหลีพยุงตัวกับราวบันได ใบหน้าหล่อเหลานั้นซีดเผือดหากเป็นน้ำพุจริง ๆ ไม่เพียงแต่รสนิยมเลวร้าย มิหนำซ้ำยังส่งกลิ่นเหม็นจนทำให้คนเดือดดาลจางฉู่ส่ายหน้า “มิทราบได้พ่ะย่ะค่ะ แทนที่จะบอกว่าเป็นน้ำพุ มิสู้บอกว่า พวกมันดูเหมือนเสาค้ำยันศาลามากกว่า ที่แห่งนี้เป็นที่ที่เฉียนอ๋องสร้างขึ้นกับมือเพื่ออนุภร
ในแววตาเขาไร้คลื่นลม และน้ำเสียงก็ราบเรียบมากเช่นกันเฟยอิ่งลอบขมวดคิ้วแน่นเขารู้จักจางฉู่มาแต่ไหนแต่ไร จางฉู่มีนิสัยเย็นชา กระทำการสุขุมหนักแน่น ไตร่ตรองพิจารณารอบด้าน มิใช่คนที่มุทะลุบุ่มบ่ามพรรค์นั้นหากแต่พฤตกรรมครานี้ ผิดแปลกไปอย่างแท้จริงแปลกไปจนมิคล้ายกับเป็นจางฉู่ตัวจริงเฟยอิ่งยิ่งคิดก็ยิ
ตงฟางหลีเดิมทีก็มีโรครักความสะอาดอยู่แล้ว ทนรับกลิ่นแปลกประหลาดเช่นนี้ไม่ได้ที่สุดยามที่กลิ่นเหม็นเน่าสายนั้นถาโถมเข้ามา เขาถึงกับอดถอยหลังไปหลายก้าวไม่ได้ ภายในกระเพาะประหนึ่งพลิกแม่น้ำล้มมหาสมุทรก็มิปานเขารีบล้วงหาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูก สะกดความรู้สึกขยะแขยงลงไปเฟยอิ่งเองก็ถูกความรู้สึกน่ารัง
“เหตุผลที่คุณหนูเซียวหย่ากับพี่ใหญ่ เป็นเพราะว่าพี่ใหญ่สังหารลูกของพวกเขาเองกับมือ” ตงฟางหลีพูดต่อไป “ที่นางมิสามารถตั้งครรภ์มาโดยตลอด ก็เป็นการขัดขวางของพี่ใหญ่เช่นกัน”“พี่ใหญ่คิดว่าการตายของทาสเป่ยลู่เกี่ยวข้องกับคุณหนูเซียว จึงเอาโทสะมาระบายใส่คุณหนูเซียว คุณหนูเซียวที่ลุ่มหลงในความรักอย่างลึกซึ
บนใบหน้าเย็นชาและแน่วแน่นั้น เผยให้เห็นถึงสีหน้าไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่งร่างกายสูงใหญ่ของเขาถอยหลังไปอย่างไร้ร่องรอย น้ำเสียงนั้นทั้งลำบากใจทั้งเจ็บปวด “หวั่นเอ๋อร์...ไม่สิ พระชายาเฉียนจากไปแล้ว และคงไม่มีวันกลับมาอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เรือนบุปผาหาได้มีผู้ใดอยู่ไม่ เชิญท่านอ๋องเจ็ดกลับไปเถิด”ยามที่จางฉู
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด เวลาที่เหยี่ยนเย่ว์จะได้รับความทรมานก็จะยิ่งนานมากขึ้นเท่านั้นยามที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา หน้าผากตงฟางหลีถึงกับเต้นตุบ ๆ โดยไม่รู้ตัวไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกไปเองหรือไม่เขามักจะรู้สึกว่า แม้ว่ายัยหนูของเขาจะพลั้งเผลอถูกคนลักพาตัวไปทว่า มิใช่สตรีที่จะปล่อยให้ผู้อื่นเข่นฆ่าได้
ขณะเดียวกันภายในหอฉยงฮวาใบหน้าตงฟางหลีดำทะมึนนิ้วของเขาเคาะที่โต๊ะเบา ๆหลังจากคาดเดาได้ว่าเหยี่ยนเย่ว์อาจถูกเฉียนอ๋องลักพาตัวไปเขากลัวว่าหากเข้าไปหาตรง ๆ จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นกลัวว่าหลังจากพี่ใหญ่ที่มีนิสัยวิปริตเช่นนั้นถูกกระตุ้นเข้า จะทำอันตรายต่อเหยี่ยนเย่ว์ดังนั้น จึงมาที่หอฉยงฮวาก่อ
ท่ามกลางการนองเลือดพร่าเลือน เขาตกตะลึงและเผยสีหน้าเหลือเชื่อ “เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”“ดูเหมือนข้าจะเดาถูก” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เย้ยหยันเดิมทีนางไม่แน่ใจนัก และอยากหลอกลวงเขาคิดไม่ถึงว่าการหลอกลวงจะประสบผลสำเร็จในครั้งเดียวการกระทำโหดเหี้ยมเกิดขึ้นที่ก้นทะเลสาบ ช่างเข้ากับนิสัยวิปริตนี้จริง ๆ“เจ้ารู้ได