ฉินเหยี่ยนเย่ว์ทานอาหารเช้าอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเปลี่ยนเป็นอาภรณ์สีขาวเรียบ ๆ ที่สำหรับสวมใส่เข้าพระราชวังเพื่อขอรับโทษ ไม่สวมเครื่องประดับและไม่ประทินโฉมตงฟางหลีก็แต่งกายด้วยอาภรณ์แบบเดียวกันเมื่อเตรียมพร้อมแล้ว นางจึงสั่งให้ตู้เหิงเปิดประตูทันทีที่ประตูถูกเปิด พระสนมซูซึ่งรออยู่ข้างนอกก็โผเข้าม
“พระสนมซูอยากให้หม่อมฉันตายหรือ?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์กอดอกแล้วก้าวไปข้างหน้าสองก้าว“เหยี่ยนเย่ว์” ตงฟางหลีดึงแขนเสื้อของนาง “เจ้าไม่ใช่บอกว่าแส้มีพิษรึ? ระวังไว้ดีกว่า”“สำหรับท่านมันคือพิษ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์มองเขาด้วยสายตาที่ขอให้เขาวางใจ “พิษนี้ ไม่มีประโยชน์สำหรับหม่อมฉันเพคะ ท่านถอยหลังไปสามเมตรเถอะ
“เจ้าทำอะไรน่ะ?” พระสนมซูเจ็บปวดจากพิษเป็นอย่างมาก นางเกาบาดแผลอย่างแรงเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดจากพิษเข้าโจมตี “เจ้าคนต่ำทราม”ฉินเหยี่ยนเย่ว์เย้ยหยัน “สิ่งที่พระสนมซูพูดนี้ตลกยิ่งนัก คนที่นี่ต่างก็เห็นกันอยู่ เป็นท่านเองที่ตวัดแส้ใส่หม่อมฉัน แต่หม่อมฉันมือเท้ารวดเร็วจึงหลบได้ทัน ท่านออกแรงมากเกินไป แ
ขันทีสองสามคนที่อยู่ด้านหลังถลาขึ้นมา ไม่นานก็ควบคุมตัวพระสนมซูไว้ได้“ปล่อยข้า พวกเจ้าปล่อยข้านะ พวกเจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร? กล้าทำเช่นนี้กับข้า ข้าจะตีพวกเจ้าให้ตายเสีย” พระสนมซูผมเผ้ายุ่งเหยิงรุงรัง ดิ้นรนอย่างแรงราวกับคนเสียสติเหล่าขันทีควบคุมตัวคนโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าพระสนมซูดิ้นรนไม่หลุด จึงดิ
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น จึงขับไล่ดวงดาวและดวงจันทร์ที่หลงเหลืออยู่ให้เลือนหายไปแสงสีแดงอ่อนโผล่พ้นจาก้อนเมฆ ขับไล่หมอกที่อยู่อย่างเงียบเหงามาตลอดทั้งคืนออกไปฉินเหยี่ยนเย่ว์เปิดม่านมองออกไปภายใต้แสงยามเช้าที่สาดส่อง ตำหนักที่ตั้งอยู่เรียงรายเปล่งประกายแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วน ภายใต้แสงสีแดงจึงดูโอ่อ่าแ
ตงฟางหลีรู้สึกกังวลเล็กน้อยนี่แตกต่างจากที่เขาคิดเอาไว้เสด็จพ่อเรียกพบเหยี่ยนเย่ว์ตามลำพัง เหยี่ยนเย่ว์มีนิสัยแข็งกร้าว จะโชคดีหรือโชคร้ายก็ยากจะคาดเดาได้“ไม่ต้องกังวลเพคะ หม่อมฉันจะไปยอมรับผิดกับเสด็จพ่อก่อน” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ตบไหล่ของเขานางลดเสียงลง แล้วเอ่ยขึ้น “เสด็จพ่อเรียกพบหม่อมฉันตามลำพัง
“พูด!” ฮ่องเต้เห็นว่านางนิ่งงันไป ก็ตรัสตะคอกเสียงเข้ม“ลูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของราชวงศ์ ลูกไม่ควรลงมือกับท่านอ๋องสาม และยิ่งไม่ควรทำให้เขากลายเป็นขันที” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ไม่ทันได้คิดไตรตรอง รีบพูดออกมาทันที“เพล้ง” ฮ่องเต้ยกโถที่บรรจุน้ำตาลขึ้นมา ก่อนจะใช้แรงเท่ากันเขวี้ยงลงบนพื้นโถน้ำตาลทำขึ้นจากเคร
ครั้นได้ดื่มน้ำหวานที่นึกถึงมานาน อารมณ์ของพระองค์ก็แจ่มใสขึ้นมาหลังจากดื่มชานมไปหนึ่งแก้วใหญ่เต็ม ๆ พระองค์ถึงได้หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดที่มุมพระโอษฐ์ ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจเมื่อเงยหน้าขึ้น พลันเห็นฉินเหยี่ยนเย่ว์ที่คุกเข่าที่พื้นอย่างว่านอนสอนง่าย“เราพูดคำไหนคำนั้น และทำตามที่ได้ตกลงกัน
เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าตงฟางหลีรู้สึกว่าตงฟางเจวี๋ยผิดปกติทีเดียวเมื่อก่อนพี่รองดื่มสุราน้อยมาก ยกแก้วก็ดื่มจนหมดเหมือนเช่นนี้ หาได้ยากมาก ๆ“พี่รอง ข้าจำได้ว่าเหยี่ยนเย่ว์เคยบอกว่าท่านไม่สามารถดื่มเหล้าได้” เขาจะแย่งแก้วสุราของตงฟางเจวี๋ยมา“วันนี้เจ้าให้ข้าดื่มสักหน่อยเถอะ” ตงฟางเจวี๋หลบนิ้วม
สีหน้าของฮ่องเต้ยังคงมืดทะมึนนักลูกหลานเชื้อพระวงศ์ ไหนเลยจะไม่มีสามภรรยาสี่อนุชายา ถือเป็นความสุขของผู้คนทั่วไป?แม้แต่เจ้าห้าซึ่งกลัวภรรยาที่สุดก็ยังมีเรือนอนุชายาถึงสองเรือนเจ้าเจ็ดอยากจะแต่งภรรยาเพียงคนเดียวจริง ๆ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในราชวงศ์“เจ้าเจ็ด เจ้าจะขัดราชโองการหรือ?”“ล
“จริงแท้แน่นอน”“หลายปีมานี้ ซูเตี่ยนฉิงโกหกเจ้ามาตลอดหรือ?” แม้แต่ฮ่องเต้เองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าประหลาดใจ และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแทรกขึ้นมาในวังนั้นคนอื่นมีอำนาจก็ประจบสอพลอ สูญสิ้นอำนาจก็ไม่แยแส หลังจากพระสนมอวิ๋นประสบกับความลำบาก อ๋องเจ็ดก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก และยังเกือบจะเสียชีวิตอยู่ในทะเ
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง “เมื่อก่อนมิใช่ว่าเจ้าอยากแต่งงานกับนางมากหรือ?”ในฐานะพระโอรสลำดับที่เจ็ด การที่จะมีสตรีโปรดปรานหลายคนถือเป็นเรื่องปกติมาก ๆแต่งงานกับคนนี้แล้ว แต่งงานกับคนนั้นต่อ ก็เป็นเรื่องปกติเช่นกันแม้ว่าฉินเหยี่ยนเย่ว์จะริษยา ก็ไม่ควรให้นางทำตามอำเภอใจหากต่อไปสามารถส
เมื่อหายโกรธแล้วอย่าลืมคืนตำแหน่งให้เหยี่ยนเย่ว์กลับมา...ฮ่องเต้มองท่าทีของตงฟางหลี ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “มองไม่ออกเลยว่าเจ้ายังมีความรักหวานซึ้งด้วย รอนางให้กำเนิดท่านอ๋องน้อยก่อน เราถึงจะคืนตำแหน่งพระชายาเอกให้นาง”สีหน้าของตงฟางหลีไม่น่ามอง “นี่คงต้องใช้เวลานานทีเดียว”“ทำไม เจ้าไม่ไหว หรือศิษย์น
ครั้นได้ยินคำว่า “แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์” สองคำนี้จากปากของฮ่องเต้สีหน้าของตงฟางหลีพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาความหมายของการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์คือ หนานลู่จะส่งองค์หญิงมาแต่งงานที่ตงลู่ฮ่องเต้เรียกเขาและพี่รองมาเข้าพบโดยเฉพาะ ซึ่งความหมายก็ชัดเจนมากองค์หญิงหนานลู่อาจจะแต่งงานกับเขา หรืออาจจะแต่งงานกับ
“เชื่อฟังนะเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เอ่ยขึ้น“ภรรยาเจ้าเจ็ด อย่ากระซิบกระซาบกับเจ้าเจ็ดอีกเลย เจ้ากลับมาพอดี รีบไปเตรียมขนมให้เราที” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้น “เราอยากกิน ไม่ใช่สิ เป็นเสด็จอาของเจ้าต่างหากที่อยากกินอันนั้นน่ะ...”“ขนมที่เรียกว่ามูสอะไรสักอย่างอันนั้นน่ะ ขันทีหลาน เจ้าไปกับพระชายาอ๋องเจ็ดเสีย เป็น
มีโต๊ะไม้จันทน์สีแดงแปดเซียนฝังทองวางอยู่กลางห้องโถงใหญ่บนโต๊ะแปดเซียนวางเตากระต่ายทองขนาดเล็ก และมีหม้อทองแดงวางอยู่บนเตาน้ำแกงในหม้อทองแดงกำลังเดือดปุด ๆ และทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมเข้มข้นของอาหารในที่นั่งตรงกลาง ฮ่องเต้ถือแก้วสุราและดื่มกับอ๋องอี๋หยางที่นั่งตรงข้ามอย่างมีความสุขในที่นั่งทั
“อืม” ฉินเหยี่ยนเย่ว์รู้ว่าเรื่องนี้มิอาจเร่งรีบได้พระชายาเฉียนไหว้วานให้มนุษย์เงาไปสืบสวนลู่จิ้นและตงฟางหลีเองก็กำลังสืบสวนเช่นกัน ช้าเร็วจะได้รู้ผล“เช่นนั้น ศิษย์พี่รู้หรือไม่ ท่านปู่...ไม่สิ อาจารย์มีภรรยาหรือไม่?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ถามอีกครั้งเนื่องจากเป็นศิษย์คนสุดท้ายของท่านปู่ เรื่องนี้ลู่จิ