จีอู๋เยียนแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “ไม่มีอารมณ์”“เช่นนั้นถึงได้พูดไง เล่นหมากสักกระดานกันเถอะ” ตงฟางหลีหยิบตัวหมากขึ้นมาหนึ่งเม็ด และวางไว้บนกระดานหมากรุก “ถ้าข้าแพ้ ข้าจะรับปากท่านเรื่องหนึ่ง หากท่านแพ้ แค่ตอบคำถามของข้าแต่โดยดี”“ท่านอย่าเอาแต่ด่วนปฏิเสธเลย เรื่องที่ข้าจะรับปากท่านก็คือเรื่องที่เหย
ตู้เหิง คนผู้นี้เขาจำได้อยู่บ้าง คนที่ดูไม่ค่อยฉลาดนักหลังจากถูกตงฟางหลีทรมานมานาน เอาตู้เหิงมาฝึกมือก็อาจไม่เลวจีอู๋เยียนคิด ทันใดนั้นก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขาตู้เหิงกำลังรู้สึกว่างจนเบื่อ และสุ่มสั่งให้ผู้คนย้ายดอกไม้ในที่ตั้งอยู่ตรงทางเดินไปยังที่อื่น เมื่อจีอู๋เยียนมาหาเขาราวกับผี เขาก็ตกใจมาก
ฉินเหยี่ยนเย่ว์รู้สึกว่าตงฟางหลีแปลกไปก็จริงที่ว่านางรั้งอยู่ที่นี่ไปมันไม่มีประโยชน์อะไร จึงกำชับกับไป๋โค้วและชื่อเจี้ยนสองสามคำ ก่อนจะออกไปกับเขา“พี่สะใภ้ใหญ่มาเพื่อขอโทษน่ะ” หลังออกจากเรือนโยวหลาน นางถอนหายใจยาวแล้วพูดขึ้น “นางขอโทษเรื่องงานเลี้ยงชมบุปผา หม่อมฉันยกโทษให้นางไปแล้ว”ตงฟางหลีชะงัก
หลังจากท้องฟ้ามืดลง ตะเกียงในจวนอ๋องพลันสว่างไสวขึ้น เรียงรายเป็นแถว ตะเกียงเงินเอียงเล็กน้อย คบไฟดอกบัวชูชัน เปลวไฟวูบไหวแสงสีแดงถูกผ้าโปร่งสีเขียวคลุม ปลิวไสวตามสายลม เงาเยียบเย็นสีแดงสั่นคลอนฉินเหยี่ยนเย่ว์และตงฟางหลีเดินเคียงข้างกันท่ามกลางแสงไฟ แสงเทียนดุจสายรุ้ง เพิ่มสีสันสดใสให้กับค่ำคืนอัน
คนสองคนพูดคุยกัน ทว่าเขากลับเอาแต่ใจลอย นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกัน?นางสะบัดเขาออก แล้วเร่งฝีเท้าก้าวไปข้างหน้าสองก้าว “หากท่านไม่อยากฟัง หม่อมฉันก็จะไม่พูดแล้ว ที่นี่มีแค่พวกเราสองคนนะเพคะ ท่านยังคิดฟุ้งซ่านอยู่ได้ มิใช่ว่าไม่ให้เกียรติกันเกินไปหรือ?”ตงฟางหลีรีบดึงนางกลับมา พลางแย้มรอยยิ้มไปจนถึงดวง
ฉินเหยี่ยนเย่ว์มุ่งความคิดทั้งหมดไปที่หมอก กระทั่งจู่ ๆ ร่างลอยขึ้นไปบนอากาศจึงสะดุ้งตัว เกี่ยวแขนไว้รอบคอของเขาเหมือนเป็นปฏิกิริยาสะท้อนกลับ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธเคือง “ตงฟางหลี ท่านเป็นบ้าอะไร?”ก่อนหน้านี้มักจะอยู่ดี ๆ ก็อุ้มนางขึ้นพาดบ่าหลังจากที่นางคัดค้านอย่างต่อเนื่อง เขาก็เปลี่ยนจริง ๆ
“พวกท่านกลับมาเมื่อใดหรือ?” เขารีบก้มลงหยิบตัวหมากมือเป็นระวิง “ไยถึงไม่ส่งเสียงเลยพ่ะย่ะค่ะ?”“พวกเราเรียกเจ้าหลายครั้งแล้ว แต่เจ้าดูเหมือนคนโง่งมเลย” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พูดขึ้นอย่างไร้คำพูด “เจ้าคิดอะไรอยู่น่ะ ถึงได้ใจลอยอย่างนี้? กำลังฝันว่าตบแต่งภรรยาหรือ?”ใบหน้าของตู้เหิงพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง “พระน
อีกด้านหนึ่งณ จวนอ๋องสามฉินเสวี่ยเย่ว์สลบไม่ได้สติอยู่ในห้องโถงใหญ่ของตำหนักเป่าหยวนกำลังนอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียว และยังนอนหลับลึกมากอีกด้วยนางนอนตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ก่อนจะตื่นขึ้นมาอย่างงุนงงนางปวดหัวแทบแตกเป็นเสี่ยง ๆ และท้องก็ปวดจนทนไม่ไหวฉินเสวี่ยเย่ว์อยากจะลุกขึ้นนั่ง ทว่าร่างกายอ่อน
ความเป็นไปได้มากที่สุด คือพี่ใหญ่ใช้ประโยชน์จากทาสเป่ยลู่คนนั้น ทำเรื่องที่มิอาจเปิดเผยได้เหล่านั้นอยู่ที่นี่หากเป็นเหตุผลเช่นนี้ เบาะแสทุกอย่างล้วนราบรื่นแล้วตงฟางหลีเดินอ้อมห้องอีกหนึ่งรอบใช้มือสัมผัสและเคาะสิ่งของที่น่าสงสัยทั้งหมดเบา ๆ ไปหนึ่งรอบน่าเสียดาย ที่หาร่องรอยของห้องลับไม่เจอ“จางฉู
ตงฟางหลีพยุงตัวกับราวบันได ใบหน้าหล่อเหลานั้นซีดเผือดหากเป็นน้ำพุจริง ๆ ไม่เพียงแต่รสนิยมเลวร้าย มิหนำซ้ำยังส่งกลิ่นเหม็นจนทำให้คนเดือดดาลจางฉู่ส่ายหน้า “มิทราบได้พ่ะย่ะค่ะ แทนที่จะบอกว่าเป็นน้ำพุ มิสู้บอกว่า พวกมันดูเหมือนเสาค้ำยันศาลามากกว่า ที่แห่งนี้เป็นที่ที่เฉียนอ๋องสร้างขึ้นกับมือเพื่ออนุภร
ในแววตาเขาไร้คลื่นลม และน้ำเสียงก็ราบเรียบมากเช่นกันเฟยอิ่งลอบขมวดคิ้วแน่นเขารู้จักจางฉู่มาแต่ไหนแต่ไร จางฉู่มีนิสัยเย็นชา กระทำการสุขุมหนักแน่น ไตร่ตรองพิจารณารอบด้าน มิใช่คนที่มุทะลุบุ่มบ่ามพรรค์นั้นหากแต่พฤตกรรมครานี้ ผิดแปลกไปอย่างแท้จริงแปลกไปจนมิคล้ายกับเป็นจางฉู่ตัวจริงเฟยอิ่งยิ่งคิดก็ยิ
ตงฟางหลีเดิมทีก็มีโรครักความสะอาดอยู่แล้ว ทนรับกลิ่นแปลกประหลาดเช่นนี้ไม่ได้ที่สุดยามที่กลิ่นเหม็นเน่าสายนั้นถาโถมเข้ามา เขาถึงกับอดถอยหลังไปหลายก้าวไม่ได้ ภายในกระเพาะประหนึ่งพลิกแม่น้ำล้มมหาสมุทรก็มิปานเขารีบล้วงหาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูก สะกดความรู้สึกขยะแขยงลงไปเฟยอิ่งเองก็ถูกความรู้สึกน่ารัง
“เหตุผลที่คุณหนูเซียวหย่ากับพี่ใหญ่ เป็นเพราะว่าพี่ใหญ่สังหารลูกของพวกเขาเองกับมือ” ตงฟางหลีพูดต่อไป “ที่นางมิสามารถตั้งครรภ์มาโดยตลอด ก็เป็นการขัดขวางของพี่ใหญ่เช่นกัน”“พี่ใหญ่คิดว่าการตายของทาสเป่ยลู่เกี่ยวข้องกับคุณหนูเซียว จึงเอาโทสะมาระบายใส่คุณหนูเซียว คุณหนูเซียวที่ลุ่มหลงในความรักอย่างลึกซึ
บนใบหน้าเย็นชาและแน่วแน่นั้น เผยให้เห็นถึงสีหน้าไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่งร่างกายสูงใหญ่ของเขาถอยหลังไปอย่างไร้ร่องรอย น้ำเสียงนั้นทั้งลำบากใจทั้งเจ็บปวด “หวั่นเอ๋อร์...ไม่สิ พระชายาเฉียนจากไปแล้ว และคงไม่มีวันกลับมาอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เรือนบุปผาหาได้มีผู้ใดอยู่ไม่ เชิญท่านอ๋องเจ็ดกลับไปเถิด”ยามที่จางฉู
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด เวลาที่เหยี่ยนเย่ว์จะได้รับความทรมานก็จะยิ่งนานมากขึ้นเท่านั้นยามที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา หน้าผากตงฟางหลีถึงกับเต้นตุบ ๆ โดยไม่รู้ตัวไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกไปเองหรือไม่เขามักจะรู้สึกว่า แม้ว่ายัยหนูของเขาจะพลั้งเผลอถูกคนลักพาตัวไปทว่า มิใช่สตรีที่จะปล่อยให้ผู้อื่นเข่นฆ่าได้
ขณะเดียวกันภายในหอฉยงฮวาใบหน้าตงฟางหลีดำทะมึนนิ้วของเขาเคาะที่โต๊ะเบา ๆหลังจากคาดเดาได้ว่าเหยี่ยนเย่ว์อาจถูกเฉียนอ๋องลักพาตัวไปเขากลัวว่าหากเข้าไปหาตรง ๆ จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นกลัวว่าหลังจากพี่ใหญ่ที่มีนิสัยวิปริตเช่นนั้นถูกกระตุ้นเข้า จะทำอันตรายต่อเหยี่ยนเย่ว์ดังนั้น จึงมาที่หอฉยงฮวาก่อ
ท่ามกลางการนองเลือดพร่าเลือน เขาตกตะลึงและเผยสีหน้าเหลือเชื่อ “เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”“ดูเหมือนข้าจะเดาถูก” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เย้ยหยันเดิมทีนางไม่แน่ใจนัก และอยากหลอกลวงเขาคิดไม่ถึงว่าการหลอกลวงจะประสบผลสำเร็จในครั้งเดียวการกระทำโหดเหี้ยมเกิดขึ้นที่ก้นทะเลสาบ ช่างเข้ากับนิสัยวิปริตนี้จริง ๆ“เจ้ารู้ได