การเดินทางกลับไม่ราบรื่นนักมือขวาตงฟางหลีใส่เฝือกไว้ น้ำหนักตัวของฉินเหยี่ยนเย่ว์จึงไปรวมอยู่ที่มือซ้ายของเขาแทน ระยะทางจากวัดวั่นเฮ่อมาจนถึงรถม้า ทำเอาเขาเดินได้ยากลำบากเป็นพิเศษปรมาจารย์ลัทธิเต๋าอวิ๋นเฮ่อต้องการจะเข้ามาช่วย ถูกเขาจ้องกลับไปอย่างดุดัน อากาศอันหนาวเย็นและถนนลื่น เขาเกิดความกลัวว่
นางคว้าไว้ไม่ได้ สัมผัสก็ไม่ได้ ทำได้เพียงร้อนรนครั้นผ่านไปได้สองถึงสามนาที ปู่ก็พบความผิดปกติจากทางฝั่งนี้ พลันรีบเข้ามาทันที ทันทีที่เห็นนางล้มอยู่ด้านในอุปกรณ์ ใบหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นขาวซีดทันใด เขาร้องเรียกอย่างรีบร้อน กลับมิอาจปลุกนางให้ตื่นขึ้นมาได้ ปู่ทรุดนั่งลงกับพื้นด้วยใบหน้าซีดเผือดราวก
ฉินเหยี่ยนเย่ว์มองทุกการกระทำของปู่อยู่ข้าง ๆ ในใจเต็มไปด้วยความตกใจ และเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเช่นกันไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ตงลู่ที่สงบสุขและรุ่งเรืองหรือฐานะบุตรสาวคนโตของตระกูลฉิน ล้วนเป็นปู่ที่แย่งชิงมาเพื่อนางทั้งนั้นตาแก่คนนั้น เพื่อนางแล้ว ได้ทำมากมายถึงเพียงนี้เรื่องที่นางคิดว่าเป็นเรื่องที่สมค
“เหยี่ยนเย่ว์ อย่าร้องไห้ แล้วตื่นขึ้นมาก่อนดีหรือไม่?”“เหยี่ยนเย่ว์ ตื่นได้แล้ว รีบตื่นขึ้นมาเถอะ” น้ำเสียงที่เย็นเยียบประหนึ่งหยกดังก้องที่ข้างหูไม่หยุด เมื่อเสียงดังขึ้นแต่ละครั้ง ได้แทงทะลุไปถึงก้นบึ้งหัวใจน้ำเสียงของเขาราวกับมีมนต์ขลัง ขจัดความโศกเศร้า และขับไล่ความโดดเดี่ยวของนางให้พ้นไป
กลุ่มควันที่ลอยพวยพุ่งขึ้นจากกระถางธูปป๋อชานกลายเป็นสีชมพูอ่อน ราวกับมีระรอกคลื่นพัดอยู่ภายในห้องเป็นดั่งดวงจันทราและดวงดารา ไม่รู้ว่าจะเป็นคืนนี้หรือว่าคืนไหนตงฟางหลีตะกละตระกรามไม่เพียงพอ ราวกับว่าจะกลืนนางลงไปทั้งตัว ร้อนแรงเสียจนทำเอานางไม่รู้จะทำอย่างไรดีเป็นครั้งแรกที่ฉินเหยี่ยนเย่ว์รู้สึกว
“ตงฟางหลี หม่อมฉันรู้สึกสับสนนิดหน่อย”“หือ?”“หม่อมฉันฝันถึงบางเรื่องที่หม่อมฉันเองไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไรดี” นางเอ่ยพร้อมทั้งถอนหายใจ “หม่อมฉันไม่รู้แม้กระทั่งว่านั่นเป็นความทรงจำที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของสมองหรือว่าเป็นความฝันกันแน่”นับตั้งแต่ไปที่วัดวั่นเฮ่อจนถึงตอนนี้ ข้อมูลทุกอย่างที่ได้รับม
ขณะที่ฉินเหยี่ยนเย่ว์คิดจะดึงมือกลับไป ตงฟางหลีก็ฉวยโอกาสดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดนัยน์ตาทั้งสองข้างเต็มไปได้ด้วยสีสันสวยงามราวกับเมฆหมอกเสียงของเขาอ่อนโยนเหมือนดั่งสายลมอันอบอุ่นโชยอย่างแผ่วเบา “ยังจำได้หรือไม่?”ฉินเหยี่ยนเย่ว์ถูกน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างกะทันหันของตงฟางหลีทำให้ตกใจนางตัวสั่นสะท้านอย่าง
“เป็นพิธีอย่างไรเล่า”“แต่ นี่น่าจะควรดื่มตอนแต่งงานนะเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พูดขึ้น “นี่ก็ผ่านไปได้นานเท่าไรแล้ว ยังมีพิธีอันใดอีก? ท่านออกไปก่อนเถอะ”“ต้องดื่ม” ตงฟางหลีถึงกับใช้น้ำเสียงจริงจังอย่างหาได้ยาก“เหยี่ยนเย่ว์ สิ่งที่ข้าติดค้างเจ้าไว้ก่อนหน้านี้ ล้วนต้องชดใช้ให้หมด”ฉินเหยี่ยนเย่ว์อยากจะพ
“เจ็บหรือไม่?”“ยังพอไหว”นางคว้าข้อมือของเขาขึ้นมาก่อนจะกัดลงไปอย่างแรงครานี้ได้ใช้แรงมหาศาล“ยัยหนู เจ้าเกิดปีสุนัขหรือ” รอยฟันฝังลึกบนข้อมือ นัยน์ตาตงฟางหลีเริ่มฉายแววดำคล้ำ“เจ็บหรือไม่?” ฉินเหยี่เย่ว์กล่าว พลางล้วงเข็มเล่มใหญ่ออกมา หมายจะลอบทิ่มบนร่างกายของเขาเงียบ ๆตงฟางหลีใบหน้าดำทะมึนเป็นแ
“อ้อ?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เลิกคิ้วคราก่อนนางได้ช่วยเหลือเด็กหนุ่มคนนั้นที่จวนสกุลฉินไว้ หลังจากที่ถูกนางช่วยชีวิต ก็รักษาตัวอยู่ในจวนสกุลฉินมาตลอดเรื่องที่เด็กหนุ่มตามหาพี่สาวนั้น นางได้มอบให้ตงฟางหลีไปจัดการในยุคสมัยที่ข้อมูลเข้าถึงได้ยากนี้ การตามหาคนเดิมก็เป็นงานที่เพ้อฝันอยู่แล้ว บางครั้งตามหาทั้
“เสด็จพ่อชื่นชอบนิสัยเรียบง่ายของเสด็จแม่ ยามที่อยู่กับนางก็ไร้ซึ่งความกดดัน ดังนั้นพระองค์จึงปล่อยให้เสด็จแม่ทำตามอำเภอใจ เสด็จพ่อชอบตัวตนที่แท้จริงของสนมเหยา เมื่ออยู่กับสนมเหยา จะสามารถรับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของตนเองได้ บางครั้งเสด็จพ่ออาจรักเสด็จแม่มากกว่าหลายส่วน ทว่า หากเจ้าพูดว่าเสด็จพ่อชื่น
กระถางธูปจินหนีเย็นตัวลง หลงเหลือไว้เพียงกลิ่นหอมของเจี้ยงเจินเซียงที่ฝังลึกอยู่ในผ้าม่านแสงอาทิตย์สาดส่องทะลุผ่านผ้าม่านโปร่งสีเขียว ติดเลือนรางอยู่ในผ้าม่านที่ปลิวไหวฉินเหยี่ยนเย่ว์คร้านลืมตา นิ้วมือขยุ้มลวดลายดอกไม้ที่ปักบนผ้าห่ม ตำหนิด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านใจแคบเสียจริง”แค่เรียกเขาว่าเจ้าหน
“พระชายางดงามเหมือนกับภาพวาดเลย” ตงฟางหลีพูดยิ้ม ๆ“เอ๋ ท่านกินยาผิดหรือเพคะ? จู่ ๆ ถึงได้พูดถ้อยคำแปลกประหลาดเช่นนี้” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ไร้คำใดจะเอ่ย “พี่เจ็ดหม่อมฉันพบว่าท่านมักจะพ่นถ้อยคำหวานซึ้งออกมาโดยที่มิมีสัญญาณบอกกล่าวล่วงหน้า”ตงฟางหลียิ้มกว้าง“เจ้าไม่ชอบหรือ?”ฉินเหยี่ยนเย่ว์ครุ่นคิดชั่วอึด
“แม่มดเฒ่าทรมานท่านเช่นนี้ นางได้รับบทลงโทษบ้างหรือไม่?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ไม่สบอารมณ์“เลิกคิดวุ่นวายเรื่องนี้ได้แล้ว มันผ่านไปแล้ว...” ตงฟางหลียื่นถ้วยชาให้นาง “มา ระงับโทสะสักหน่อย”“ไม่ได้ ท่านต้องบอกหม่อมฉัน” ฉินเหยี่ยนเย่ว์จับมือเขา พลางกัดฟันกรอด “หม่อมฉันก็เป็นคนเช่นนี้ มีแค้นต้องชำระ มิอาจกลั้
“...” ฉินเหยี่ยนเย่ว์มุมปากกระตุกถึงสองครั้งมองจากบางมุมแล้ว ตงฟางหลีบุรุษผู้นี้ช่างเหมือนกับฮ่องเต้เสียจริงหน้าเนื้อใจเสือเหมือนกัน“แล้วท่านเล่า ระหว่างท่านกับไท่เฟยฉางเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเพคะ?” นางลอบจดจำคดีของพระสนมอวิ๋นไว้ในใจ ก่อนหันหน้าไปถามเขา ยังไม่ทันสิ้นเสียง กลิ่นอายสังหารอันน่าหวาด
ฉินเหยี่ยนเย่ว์รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติอยู่ตลอดผู้หญิงที่ใส่ร้ายเสด็จแม่ริษยาในความงามและความโชคดีของเสด็จแม่ การที่ทำสิ่งเหล่านี้ออกมาได้ย่อมเป็นเรื่องปกติตั้งแต่เริ่มคดีจนถึงการเปิดโปงความจริง ห่วงโซ่เชิงตรรกะนั่นสมเหตุสมผลแล้วทว่า ถ้าคิดทบทวนไปข้างหน้าอีกสักหน่อย กลับไม่สมเหตุสมผลมีความรู้ส
“คราวนี้ เสด็จพ่อสงสัยอยู่ในใจว่าเสด็จแม่ถูกใส่ร้าย เขาคิดไม่ตก เมื่ออยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จึงไปเข้าพบพระพันปี หลังจากที่พระพันปีได้ทราบเหตุและผลของเหตุการณ์แล้ว จึงยกไม้เท้าขึ้นทุบตีเสด็จพ่อ”“นางตำหนิเสด็จพ่อที่ไม่แยกแยะถูกผิด ตำหนิว่าตาบอดหูหนวก และบอกว่าวิชาสาปแช่งนั้นที่ใช้ทำให้บ้านเมื