“แค่ก…แค่กๆ…”นางไอเบาๆ สองที ขณะที่จับโต๊ะลุกขึ้น เตรียมจากไปอย่างเงียบๆ จู่ๆ ก็มีเสียงสายหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลัง“เหตุใดจึงมาหลบที่นี่ ไม่กล้าออกไปหรือ?”อวิ๋นอิงหันกลับไปมองจิ่งอี้เขาสวมชุดจิ้งจวนสีดำ สะอาดเรียบร้อย เย็นชาเย่อหยิ่ง ยิ้มที่มุมปากอย่างเฉยเมย จงใจราดเกลือลงบนบาดแผลของนางไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ จิตใจของอวิ๋นอิงก็สงบมากเมื่อก่อน ตอนที่พัวพันกับท่านโหวน้อง นางติดอยู่ระหว่างยืนหยัดกับปล่อยมือ ต้องจมอยู่กับความเจ็บปวดทุกวัน ยากจะนอนหลับทุกคืนกลัวการผลักเขาออกและกลัวหลังจากที่เขารู้ว่าร่างกายนางเปื้อนมลทิน จะรังเกียจนางกังวลทุกวัน หวาดกลัวทุกคืนแต่หลังจากตัดความสัมพันธ์กับท่านโหวน้อยโดยสิ้นเชิง นางกลับรู้สึกเหมือนก้าวข้ามความหวาดกลัวนางไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว ย่อมไม่กลัวการข่มขู่ของจิ่งอี้“ใช่สิ ไม่กล้า ข้าแอบหลบอยู่ที่นี่ มองดูห่างๆ ก็พอ อย่างไรนางเอกในวันนี้ก็ไม่ใช่ข้า ข้าไป มีแต่จะสร้างปัญหา” เสียงของนางเรียบเฉย สีหน้าดูซีดเล็กน้อย โดยรวมดูอ่อนเพลียมากจิ่งอี้หัวเราะอย่างเย็นชา“นับว่าเจ้ารู้จักประมาณตน”อวิ๋นอิงยืนอยู่ตรงนั้น เม้มริมฝีปาก หลุบตา ไ
อวิ๋นอิงหลุบตา ไม่รู้เพราะเหตุใด รู้สึกเหนื่อย เหนื่อยจนไม่มีแรงอ้าปากทะเลาะด้วยซ้ำ อยากพักผ่อน อยากนอนอย่างเกียจคร้านท่านพ่อท่านแม่ไปแล้ว ผู้ชายที่ชอบก็แต่งงานกับหญิงอื่นแล้ว บนโลกนี้ ไม่มีอะไรให้นางอาลัยอาวรณ์แล้ว อาจเพราะชาติที่แล้วทำชั่ว ชาตินี้จึงมีอุปสรรคเช่นนี้เมื่อไม่มีความอาลัยอาวรณ์ ก็สูญเสียความหมายของชีวิตเมื่อหาความหมายไม่เจอ ก็อยากหลุดพ้น“อวิ๋นอิง?”“ไม่ได้ยินข้าคุยกับเจ้าหรือ?”จิ่งอี้กล่าวอยู่หลายประโยค แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ พลันคว้าคอเสื้อของนาง แล้วยกคนขึ้นราวกับลูกไก่ร่างกายเบาเหมือนต้นหญ้าท่าทางที่ห่อเหี่ยวนั่น ก็เหมือนกับดอกไม้ที่ตากแดดนานเกินไป จะตายไม่ตาย เหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย“ดูสภาพเช่นนี้ของเจ้าสิ น่าอนาถจริงๆ” เขาเขย่านางอวิ๋นอิงเวียนศีรษะ อยากไอ และอยากอาเจียนนางฝืนเผยอมุมปาก ยิ้มอย่างจืดชืด ในที่สุดก็เอ่ยปาก“จิ่งอี้ ยินดีด้วย เพราะเจ้า ชีวิตข้ารันทดมาก เจ็บปวดมาก ความเกลียดชังที่เจ้ามีต่อข้า น่าจะบรรเทาลงแล้วกระมัง?”น้ำเสียงที่ไม่ใส่ใจของนาง ราวกับกำลังพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองจิ่งอี้กลับอึ้งเล็กน้อยเพราะเขา?ความเกลี
การแต่งงานเป็นวันมงคล แขกเหรื่อนั่งดื่มกันอย่างสุขสันต์ บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข“ขอแสดงความยินดีกับท่านโหวน้อย!”“มีลูกชายในเร็ววัน”“ยินดีด้วยๆ…”คนรับใช้เดินเข้าออก แขกเหรื่อพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน กลายเป็นภาพที่มีชีวิตชีวาในห้องโถงองค์หญิงใหญ่กับโหวติ้งกว๋อดูแลฮ่องเต้“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงสละเวลามาร่วมงาน เป็นเกียรติของจวนโหวติ้งกว๋อ และเป็นเกียรติของอี้เอ๋อร์ด้วย กระหม่อมขอดื่มให้ท่านหนึ่งจอก” โหวติ้งกว๋อใช้สองมือถือจอกฮ่องเต้ลูบเครา พลางหัวเราะเหอะๆ“เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ พริบตาเดียว เจ้าเด็กน้อยหลิงเชียนอี้ก็แต่งงานมีลูกแล้ว เราก็แก่แล้ว!”“ฝ่าบาททรงตรัสหนักแล้ว พระองค์กำลังอยู่ในวัยกลางคน”“ฮ่าๆๆ! เลิกพูดเรื่องเหล่านี้ดีกว่า มา ดื่มหนึ่งจอก”“พ่ะย่ะค่ะ”ทุกคนพูดคุยด้วยรอยยิ้มทันใดนั้น ร่างเงาสีฟ้าเข้มสายหนึ่งไม่รู้โผล่ออกมาจากที่ใด พุ่งพรวดเข้ามาในห้องโถง และทิ้งตัวคุกเข่าลงต่อหน้าฮ่องเต้ ผู้คนที่อยู่โดยรอบต่างหันไปมองเกิดอะไรขึ้น?เมื่อดูดีๆคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่ใช่พ่อของเจ้าสาว นายท่านรองกู้แห่งตระกูลกู้หรือ?ฮ่องเต้ตะลึง“นายท่านรองกู้ นี่ท่าน…?”
ในเมื่อนายท่านรองกู้เลือกแล้ว ก็ไม่กลัวล่วงเกินอ๋องหลีเพื่อความสุขของลูกสาว เขาสามารถทำได้ทุกอย่างอ๋องหลี เดิมทีเจ้ากับข้าก็อยู่ในความสัมพันธ์ต่างฝ่ายต่างใช้ประโยชน์จากกันและกัน ทุกคนล้วนทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ตอนนี้ เขาให้ความสำคัญกับลูกสาวเป็นหลักต้องขอโทษด้วย!นายท่านรองกู้ตัดสินใจแล้ว กล่าวเสียงดัง“ฝ่าบาท ตั้งแต่อ๋องเฉินออกรบ จดหมายที่กระหม่อมไปมาหาสู่กับอ๋องหลี สถานที่นัดพบ วิธีติดต่อกับซยงหนู แพร่งพรายความลับทางทหาร ลักลอบส่งอาวุธ กระหม่อมบันทึกไว้ทุกอย่างพ่ะย่ะค่ะ”“ถ้าหากฝ่าบาทไม่ถือสาที่จะตรวจสอบตอนนี้ กระหม่อมยินดีให้ความร่วมมือ!”สีหน้าเฟิงเจิ้งหลีบูดบึ้งทันทีบ้าจริง!หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ควรเก็บนายท่านรองกู้ไว้ตั้งแต่ตอนนั้น!ฮ่องเต้นิ่งเงียบตามสถานการณ์ปกติ นี่เป็นโอกาสที่ดีในการกำจัดอ๋องหลี แต่ในมืออ๋องหลียังมีสิ่งที่เขาต้องการทว่าเขาสามารถใช้โอกาสนี้ พลิกกลับไปรุกฆาตอ๋องหลีมือของฮ่องเต้พาดอยู่บนที่วางแขน ยกนิ้วเคาะเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจผ่านไปครู่หนึ่งกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เมื่อหลายวันก่อน อ๋องเฉินเคยพูดเรื่องนี้กับเรา แต่เราไม่เชื่อ วั
วันนี้ มีคนมาร่วมงานแต่งของจวนโหวติ้งกว๋อเยอะมาก ราชสำนัก ขุนนาง พ่อค้า…ผู้คนจากทั่วสารทิศเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เหมือนกับติดปีก หนึ่งบอกต่อสิบ สิบบอกต่อร้อย ร้อยบอกต่อพัน แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วเวลาไม่ถึงสองชั่วยาม เรื่องที่อ๋องหลีถูกสงสัยว่าสมคบคิดศัตรู ทรยศชาติ และพยายามฆ่าอ๋องเฉิน ผู้คนรู้กันหมดแล้ว และมีการถกเถียงทั่วใต้ฟ้ามีทั้งคนที่เห็นด้วย สนับสนุน ด่าทอ รอดู…จวนอ๋องหลีระหว่างที่กักตัว มีทหารรักษาพระองค์เฝ้า ประตูใหญ่จวนปิดสนิท ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้าออก ห้ามเข้าใกล้ บรรยากาศเกรงขามเงียบสงัดห้องโถงเฟิงเจิ้งหลีนั่งหลับตาเงียบๆ การแสดงออกปกติ สีหน้าเรียบเฉย สงบจนไม่รู้คิดอะไรอยู่กลับกัน ฉู่เจียวเจียวที่อยู่ข้างๆ เดินวนไปมา ร้อนใจจนนั่งไม่ติด ราวกับนั่งบนพรมเข็ม“ทำอย่างไรดี?”“ท่านอ๋อง ท่านทำเรื่องเช่นนี้จริงๆ หรือ? ถ้าหากฝ่าบาทสืบพบหลักฐาน จะมีบทลงโทษอย่างไร? จะส่งพวกเราเข้าจวนเฟิงเหรินหรือไม่?”“จื่อเยี่ยไม่อยู่ข้างกาย…”“ข้าเป็นแม่แท้ๆ ของจื่อเยี่ย ฝ่าบาทน่าจะไม่อะไรกับพวกเรากระมัง?”นางกังวลมากหันไปดูอ๋องหลี ใจเย็นจนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นฉู่เจ
ยามราตรีมาเยือนคืนส่งตัวเข้าห้องหอ ยามสอบติดขุนนางเดิมทีควรเป็นวันมงคลแห่งการเฉลิมฉลอง คืนจันทร์เต็มดวง หลิงเชียนอี้กลับนั่งอยู่บนบันไดและพิงเสา ไม่รู้ดื่มเหล้าไปมากเท่าไร ทั้งร่างกายมีแต่กลิ่นเหล้า ข้างมือมีไหเหล้าเปล่าตกกระจายสี่ห้าใบ และยังแหงนหน้ากระดกเหล้าไม่หยุดคนรับใช้เห็นแล้ว อดไม่ได้ที่จะเกลี้ยกล่อม“ท่านโหวน้อย ท่านดื่มไม่ได้แล้ว บ่าวประคองท่านเข้าห้องหอดีกว่า?”“ไสหัวไป!”เขาผลักคนที่อยู่ข้างกายอย่างมึนเมา ทว่าผลักไม่โดน กลับกันตัวเองหน้าทิ่มลงพื้น“ท่านโหวน้อย!”เขารับใช้รีบประคองเขาร่างกายที่หนักอึ้งของเขาฟุบอยู่บนพื้นราวกับดินโคลน ออกแรงอย่างไรก็ลุกไม่ขึ้นคนรับใช้หมดหนทาง ได้แต่ไปรายงานองค์หญิงใหญ่กับท่านโหวตอนที่ทั้งสองมาถึง เห็นสภาพที่หมดอาลัยตายอยากของหลิงเชียนอี้ สบตากันด้วยสายตาที่ซับซ้อนแวบหนึ่ง ต่างก็มองเห็นความจนใจในแววตาอีกฝ่ายนิสัยของลูกชาย พวกเขารู้ดีที่สุดคำเดียวดื้อดึง!ขอแค่เป็นเรื่องที่เขาตัดสินใจแล้ว ต่อให้ผิด ต่อให้ต้องทุกข์ทรมาน ต่อให้ตนเองไม่ต้องการ เมื่อเขาตัดสินใจแล้ว ก็จะไม่หันหลังกลับ และไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้นี่คือเส
ขณะเดียวกัน ทางด้านโรงหมอจิ่งอี้กลับจากข้างนอก เฟิ่งหรานเดินตามข้างๆ เขาพลางกล่าว “หลังจากแม่นางอวิ๋นมาถึงเมื่อช่วงบ่าย ก็ไม่ยอมกินอะไรเลย แม้แต่น้ำก็ไม่ดื่ม”จิ่งอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย“น้ำก็ไม่ดื่ม?”“ใช่”เขาเดินเข้าไปในเรือนส่วนหลัง กวาดมองห้องที่ปิดประตูสนิทแวบหนึ่ง หลังจากหันไปกล่าวกับเฟิ่งหรานเบาๆ สองประโยค ก็เดินไปผลักประตูห้องโดยตรงภายในห้อง ไม่ได้จุดเทียนยามราตรีมืดสลัว สามารถมองเห็นร่างเงาที่เพรียวบางสายหนึ่ง นั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะรางๆเขาเดินเข้าไปจุดเทียนแสงเทียนสีเหลืองที่อบอุ่นปะทุขึ้น ส่องสว่างทั้งห้อง บนโต๊ะ มีอาหารที่ไม่ได้แตะต้องเลยวางอยู่ ข้างโต๊ะ อวิ๋นอิงหลุบตา นั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น สีหน้ามืดมน ราวกับวิญญาณล่องลอยออกจากร่าง เหลือเพียงร่างกายที่ว่างเปล่าแสงเทียนกระทบลงบนใบหน้านาง แลดูซีดเซียวไร้ชีวิตชีวา เหมือนดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาเขาเดินไปที่ข้างโต๊ะ ก้มมองนางแล้วกล่าว“กิน!”อวิ๋นอิงราวกับไม่ได้ยิน ยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นเขาขมวดคิ้วพลันยกมือจับคางนาง นิ้วที่แข็งแรงออกแรงบีบ“อื้อ…”นางขมวดคิ้วเพราะความเจ็บ เมื่อถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้น ในที่สุดสา
“แค่กๆ…อ่า…”อวิ๋นอิงอาเจียนอย่างหนัก สีหน้าซีดขาวเหมือนกระดาษ ไร้ร่องรอยของเลือดปฏิกิริยาของนางทำให้สายตาจิ่งอี้ขรึมลง และดุร้ายขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นอายโดยรอบก็เย็นลงเรื่อยๆเมื่อเอ่ยถึงท่านโหวน้อย ปฏิกิริยาก็รุนแรงเช่นนี้ต่อให้ท่านโหวน้อยแต่งงานแล้ว นางก็ยังคิดถึงเขา?เขาลุกขึ้นยืน คว้าไหล่ของนาง แล้วกดกลับไปนั่งที่เก้าอี้ “กิน!”ในกระเพาะอวิ๋นอิงปั่นป่วนมาก กินไม่ลงแล้วจริงๆ“ข้าไม่กิน!”นางปฏิเสธสายตาจิ่งอี้เย็นชา “เจ้าคิดว่าข้ากำลังหารือกับเจ้าหรือ?”เขาจับคางของนาง พลันออกแรงบิดเปิดปากนาง มืออีกข้างที่ว่างอยู่ หยิบช้อนขึ้นตักข้าวหนึ่งคำ แล้วยัดใส่ปากนาง“อ๊ะ!”นางพลางบิดร่างกาย พลางส่ายศีรษะ พยายามดิ้นรน“ข้าไม่…อ่า…แค่กๆ…ปล่อย ปล่อยข้า…”นางพยายามบิดอย่างสุดชีวิต แต่ฝ่ามือใหญ่ของจิ่งอี้ที่จับนางเหมือนกับเหล็กกล้า เย็นๆ แข็งๆ ทำอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุดถูกบังคับให้กลืน ในกระเพาะปั่นป่วน ร่างกายทรมาน แทบเป็นลมแล้วทรมานมาก“ข้าไม่กิน…ไม่กิน…” นางถูกบังคับให้เงยหน้า ไม่รู้เพราะสำลัก หรือเพราะทรมาน น้ำตามารวมกันตรงหางตาที่เปียกชุ่ม ไหลออกจากเบ้าตา หยดลงมาติ๋ง!หยดน้ำต
ผู้ชายที่ร่างกายสูงใหญ่งอหัวเข่า คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอ๋องหลีอย่างตั้งตรง แม้อยู่ต่ำกว่า แต่ความสูงศักดิ์ที่แผ่ซ่านออกมาจากกระดูก ไม่ลดน้อยลงเลยสักนิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา นอกจากคุกเข่าให้ฮ่องเต้และบรรพชน พวกเขาไม่เคยเห็นอ๋องเฉินคุกเข่าให้ใครเฟิงเจิ้งหลีเห็นดังนี้ แหงนหน้าหัวเราะ“ฮ่าๆๆ!”คิดไม่ถึงจริงๆ เขาจะมีวันนี้ด้วยลูกชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด แพ้ให้กับลูกชายที่ไม่โปรดปรานที่สุด ไม่สะดุดตาที่สุด และยังถูกทุกคนรังแก ความรู้สึกที่อยู่เหนือกว่าเช่นนี้ ทำให้ในใจเขาสาแก่ใจจริงๆ“ฮ่าๆๆๆ เฟิงเย่เสวียน เจ้าก็มีวันนี้ด้วย!”หัวเราะเสร็จ เขารู้สึกว่าความเย่อหยิ่งของอ๋องเฉินมันขัดตาทั้งๆ ที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจนต้องคุกเข่า เหตุใดยังอวดดีหยิ่งผยองเช่นนี้?เขาออกคำสั่ง “ก้มหัวเจ้าลงไป”เฟิงเย่เสวียนเม้มปาก ก้มศีรษะลงเขาออกคำสั่งอีกครั้ง “โขกศีรษะ!”“อ๋องหลี ท่านอย่ารังแกให้มันมากนัก! ท่านกับท่านอ๋องของเราเป็นคนรุ่นเดียวกัน ท่านรับการโขกหัวจากเขาไม่ได้! ไม่กลัวบรรพชนรู้แล้ว อายุสั้นหรือ!” พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความโกรธเพิ่งกล่าวจบ ก็ถูกผู้บัญชาการจางถีบจนล้มลงพื้นหลังจากล้มลง ก
“ปล่อยคนของเจ้าแล้ว เจ้าเป็นอิสระแล้ว คืนลูกให้ข้า” ฉู่เชียนหลีจ้องเขาเฟิงเจิ้งหลีเหลือบมองเด็กน้อยในอ้อมแขน ท่าทางที่ร้องไห้จนหน้าแดง เห็นแล้วปวดใจนักคิดว่าแค่นี้ก็จบแล้วหรือ?เขายิ้ม“ฉู่เชียนหลี เหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์นะ?”“?”“……”“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับข้า? เด็กอยู่ในมือข้า เป็นหรือตายขึ้นอยู่กับข้า ถึงคราวที่เจ้าต้องมาสอนข้าทำงานตั้งแต่เมื่อไร?”สีหน้าฉู่เชียนหลีเคร่งขรึมทันทีเห็นได้ชัด เขาได้คืบจะเอาศอก“เจ้ายังต้องการอะไรอีก?”“ข้าหรือ” เขาเงยหน้าด้วยรอยยิ้ม กวาดมองทุกคน และตำหนักอันหรูหราหลังนี้ วังหลวงที่กว้างใหญ่แห่งนี้ แผ่นดินที่ดีเช่นนี้เขาต้องการอะไร ยังต้องให้พูดอีกหรือ?แต่ว่า มองดูท่าทางที่ร้อนใจของฉู่เชียนหลี เขาเกิดอยากสนุก ต้องการระบายความคับข้องใจที่ได้รับในสองวันนี้ออกมาให้หมดลูบแก้มของเด็กน้อยพลางกล่าว“อยากได้ลูกคืน ไม่มีปัญหา มันก็ต้องดูว่าอ๋องเฉินมีความจริงใจหรือไม่”เงียบไปครู่หนึ่ง“อืม หรือไม่อ๋องเฉินคุกเข่า โขกหัวให้ข้าสามครั้ง ข้าก็คืนลูกให้เจ้า เป็นอย่างไร?”ฉู่เชียนหลีโมโหแล้วด้วยนิสัยที่ยอมหนึ่งก้าว จะเอาสิบก้าวข
“เจ้า!”ฉู่เชียนหลีถูกความเฉยเมยของนางยั่วจนโมโหแล้ว ยิ่งคิดไม่ถึงว่าใต้ฟ้าจะมีแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้มันก็จริงฉู่เจียวเจียวกับเฟิงเจิ้งหลี ถ้าไม่เหมือนกันก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่มีอะไรที่พวกเขาสองสามีภรรยาทำไม่ลงรอหลังจากลู่ฉินเติบโต รู้ว่าตัวเองมีแม่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะเศร้าเพียงใด!“ฉู่เชียนหลี เฟิงเย่เสวียน พวกเจ้าเลิกพูดไร้สาระได้แล้ว รีบปล่อยตัวอ๋องหลี ความอดทนข้ามีขีดจำกัด!” ฉู่เจียวเจียวกล่าวอย่างเย็นชา“จะเอาชีวิตของลูกชาย หรือจะปล่อยคน พวกเจ้าเลือกเอง”อย่างไรนางก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วไม่ดิ้นรน ตายสถานเดียวดิ้นรน เดิมพัน ยังมีโอกาสสายตาเฟิงเย่เสวียนเคร่งขรึมมาก หางตาเหลือบมองหานเฟิง หานเฟิงเข้าใจทันที เขาซ่อนมือไว้ที่หลัง และทำท่าสัญญาณมือไปที่ด้านหลังมือธนูเตรียมพร้อมจู่ๆ ฉู่เจียวเจียวก็กล่าวเสริมอีกประโยคอย่างเย็นชา “พวกเจ้าสามารถลองดูได้ ดูสิว่าการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าไว หรือมีดที่อยู่ในมือข้าเร็ว”“ต่อให้ข้าตาย การฆ่าเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยก็ใช้เวลาแค่พริบตาเดียว”ฉู่เชียนหลีสั่งให้มือธนูหยุดทันที “ปล่อยคน!”อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามผู้หญิงคนนี้มันเป็นผู
พลันฉู่เชียนหลีแน่นหน้าอก“หยุดนะ…”“อย่าเข้ามา!”ฉู่เจียวเจียวถอยหลังสามก้าว มือซ้ายจับเด็ก มือขวาถือมีดสั้น มีดสั้นที่แวววาวจ่ออยู่บนผิวอันบอบบางของเด็ก กรีดจนรอยเลือดออกแล้วเลือดไหลออกมาแล้ว“จู่ๆ เจ้าก็มาเป็นห่วงข้า และยังพยายามอยากอุ้มลูกทุกวิถีทาง ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ได้มีเจตนาดี”นางยิ้มอย่างเย็นชา“เหอะ! ดูเหมือนฮ่องเต้ที่แกไม่ตายสักทีนั่นเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเจ้าสินะ!”ไอ้แก่ เป็นอัมพาตเฉียบพลันยังไม่ยอมอยู่อย่างสงบเสงี่ยมอีกต่อให้รู้ความจริงแล้วอย่างไร?ชีวิตของเด็กคนนี้อยู่ในมือนาง“ฉู่เชียนหลีนะฉู่เชียนหลี เจ้าคิดอย่างไรก็คงคิดไม่ถึงกระมังว่า เจ้าเลี้ยงลูกสาวข้า ข้าเลี้ยงลูกชายเจ้า และก็ต้องขอบคุณลูกชายคนดีคนนี้ของเจ้า กลายเป็นตัวช่วยที่สำคัญของอ๋องหลี” นางเผยอมุมปาก รอยยิ้มนั้นน่ากลัวมากฉู่เชียนหลียืนตัวแข็งอยู่ตรงที่เดิม ไม่กล้าขยับ“เจ้าต้องการอะไร?”ฉู่เชียนหลีจ้องมีดสั้นในมือนาง กลัวว่านางจะพลั้งเผลอกรีดโดนคอของเด็กตั้งครรภ์สิบเดือนลูกชายเป็นก้อนเนื้อชิ้นหนึ่งที่ตกลงมาจากร่างกายนางนางไม่กล้าเดิมพัน และเดิมพันไม่ไหวฉู่เจียวเจียวกล่าว “ข้าต้องก
กลางดึกกำลังถึงช่วงที่คนเงียบสงบ คนกลุ่มหนึ่งวิ่งไปที่ตำหนักเจาหยางราวกับคลื่นยักษ์ ตอนที่ใกล้จะถึง ฉู่เชียนหลีตวาดสั่งให้พวกเขาหยุด“พวกเจ้าอยู่ห่างๆ อยากเข้าใกล้!”พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความเป็นห่วง “พระชายา พวกเราต้องไปเอาพระนัดดาองค์โตกลับมา นั่นเป็นเลือดเนื้อของท่านกับท่านอ๋องนะ”“ข้ารู้!”ก็เพราะรู้ จึงไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้“ไปทำอะไรคนเยอะแยะ ถ้าหากบีบจนฉู่เจียวเจียวไม่มีทางเลือก นางทำอะไรขึ้นมา…”ฉู่เชียนหลีแทบจะเป็นบ้าแล้ว ร้อนรนเหมือนมดที่อยู่บนกระทะร้อน ทั้งร้อนใจทั้งไม่สบายใจ น้ำเสียงก็ค่อนข้างฉุนเฉียวไม่อยากพูดมาก วิ่งเข้าไปในตำหนักเจาหยางเพียงลำพัง คนอื่นรออยู่ที่ข้างนอก ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามภายในตำหนักฉู่เจียวเจียวกำลังกล่อมจื่อเยี่ย ฉู่เจียวเจียวมาแล้ว นางมองเด็กน้อยที่อ้วนสมบูรณ์ กล่าวโดยไม่เงยหน้า“พระชายาอ๋องเฉิน ลูกของข้าเพิ่งนอนหลับ ”โปรดให้อภัย ข้าอุ้มเขาไว้ ร่างกายหนัก ไม่สะดวกลุกขึ้นยืน สายตาฉู่เชียนหลีมองไปที่ตัวเด็กเด็กน้อยอ้วนสมบูรณ์ ใบหน้าจ้ำม่ำ คิ้วละเอียดอ่อน หน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดู คล้ายเฟิงเจิ้งเว่ยซีแปดส่วนเหตุใดเมื่อก่อนนางไม่สังเกต
อวิ๋นอิงถูกนางทำเอาตกใจจนหน้าซีด รีบถาม“พระชายา มีอะไรหรือ? เหตุใดกะทันหันเช่นนี้?”“รีบไป!”มือทั้งสองข้างของฉู่เชียนหลีเย็นเฉียบ เสียงนั้นเกือบจะคำรามออกมา แม้แต่คอก็กำลังสั่นสะเทือนคนข้างล่างไม่กล้ารอช้า รีบไปตามหาคนทันทีเฟิงเย่เสวียนประหม่า “เชียนหลี นี่เจ้าเป็นอะไร?”“ข้าอาจจะเข้าใจผิด อาจจะทำผิดพลาด ข้าอาจจะ…ข้า ข้า…” ฉู่เชียนหลีพูดวนไม่ปะติดปะต่อ พูดอยู่ดีๆ เบ้าตาก็แดงแล้วหัวใจเหมือนถูกแมวข่วน กระสับกระส่ายนางกุมเสื้อตรงหน้าอก หายใจอย่างอึดอัดขออย่าให้มันเป็นเรื่องจริง…ขออย่า…นางทรมานจังนางไม่ใช่แม่ที่ดี กลัวรู้ความจริง แต่ก็อยากรู้ความจริงหลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ผู้คนร้อยกว่าคนเข้าวังในคืนนั้น มีคนของจวนอ๋องเฉิน หมอ หมอตำแย ผู้ช่วยหมอ และยังมีองครักษ์ลับ ทหารยาม หมอหญิงเว่ยก็อยู่เมื่อหนึ่งเดือนกว่าก่อน ตอนที่ฉู่เชียนหลีคลอดลูก คนเหล่านี้อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนเมื่อฉู่เชียนหลีเห็นพวกเขา รีบถามทันที“วันที่ข้าคลอดลูก เคยมีคนแปลกหน้ามาหรือไม่?”ทุกคนหันมองกันและกัน ล้วนส่ายศีรษะ“พระชายา เรื่องสำคัญอย่างท่านคลอดลูก พวกเราจับตาดูอย่างเข้มงวด ในจวนมีแต่คนข
นางกำนัลรีบนำพู่กันมาฉู่เชียนหลีเอาพู่กันจุ่มน้ำหมึก แล้วใส่ในมือฮ่องเต้ร่างกายของฮ่องเต้เป็นอัมพาต ไม่ควบคุมมือไม่ได้ ไม่สามารถจับพู่กันด้วยซ้ำ ปากของเขาเบี้ยว ใช้แรงทั้งหมดหนีบด้ามพู่กันด้วยนิ้วชี้กับนิ้วกลาง อาศัยแรงกระตุกของร่างกาย ลงพู่กันบนกระดาษอย่างเบี้ยวไปเบี้ยวมาเพียงไม่กี่ขีด เขียนอย่างยากลำบาก บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อแนวเฉียง…แนวตั้ง…สองคำ ทั้งหมดสี่ขีดเขียนเสร็จ พู่กันก็ร่วงตกบนพื้น เขาเหนื่อยจนหอบบนเตียง ขยับไม่ได้อีกแล้ว“ลูกชาย…” อวิ๋นอิงอุทานเบาๆ “คนที่ฝ่าบาทคิดถึงคือลูกชาย?”ฉู่เชียนหลีถือกระดาษ แม้สองคำนี้เขียนได้คดเคี้ยวมาก แต่เนื่องจากลายเส้นเรียบง่าย จึงมองออกในปราดเดียวว่ามันคือคำว่า ‘ลูกชาย’นี่เขาอยากบอกอะไรนาง?“หรือเป็นอ๋องหลี?” อวิ๋นอิงคาดเดาฉู่เชียนหลีส่ายศีรษะโดยไม่ต้องคิด“อ๋องหลีวางยาพิษเขา กบฏวังชิงราชบัลลังก์ มีความทะเยอทะยาน ฝ่าบาทไม่มีทางคิดถึงอ๋องหลี”นางกล่าววิเคราะห์“ส่วนอ๋องหลีหลังจากขึ้นบัลลังก์ ไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ องค์ชายท่านอื่นอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีอันตราย ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางคิดถึงองค์ชายท่านอื่น”อวิ๋
ตอนที่ตื่น ก็เป็นเที่ยงของวันใหม่แล้ว เฟิงเย่เสวียนรู้จักเตียงนานแล้ว หลังจากฉู่เชียนหลีกินอะไรง่ายๆ ก็ไปที่สำนักหมอหลวง หมกมุ่นอยู่กับตำราแพทย์พริบตาเดียวก็กลางคืนแล้วนางกำนัลมารายงาน ฮ่องเต้ฟื้นแล้ว ฉู่เชียนหลีไปตำหนักผานหลง ฮ่องเต้นอนตัวเกร็งอยู่บนเตียง นิ้วมือหยิกงอ ร่างกายครึ่งหนึ่งแข็งเหมือนท่อนไม้ ปากก็เบี้ยวจนมีน้ำลายไหลยืดเขาเบิกตากว้างจนลูกตาแทบทะลักออกมาแล้ว นางกำนัลที่ปรนนิบัติกลัวเล็กน้อย ไม่กล้าเข้าไปปรนนิบัติฉู่เชียนหลีเดินเข้ามา“ฝ่าบาททรงฟื้นเมื่อไร”“เมื่อหนึ่งเค่อก่อนเจ้าค่ะ” นางกำนัลตอบ“ดื่มโอสถหรือยัง?”“หนึ่งวันสามมื้อ ป้อนตรงเวลาเจ้าค่ะ”“อืม”นางเดินไปที่หน้าเตียง จับชีพจรของฮ่องเต้ ลักษณะชีพจรคงที่ ไม่มีปัญหาใหญ่อะไร เพียงแต่ร่างกายได้รับหญ้าหมาเฟ้ยมากเกินไป ส่งผลให้ร่างกายชาจนไม่ตอบสนอง อย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกครึ่งปี จึงจะสามารถสลายหญ้าหมาเฟ้ยเหล่านี้หมดถึงเวลา ก็สามารถกลับมาเป็นปกติ“ดูแลดีๆ ต้องมีคนเฝ้าอยู่ข้างพระวรกายตลอดอย่างน้อยสองคน” นางกำชับนางกำนัลเวลานี้เอง ที่นอกประตู อวิ๋นอิงอุ้มน้องสาวมาแล้ว“พระชายา ท่านเอาแต่ยุ่งทั้งวัน ลู่ฉิ
ฉู่เชียนหลีมองนาง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าหากไม่ใช่เพราะเจ้า อ๋องหลีก็ไม่สามารถก่อเรื่องมากมายเช่นนี้ เจ้าจะให้ข้าจัดการเจ้าอย่างไรจึงจะดี?”ถ้าไม่มียาอายุวัฒนะ อ๋องหลีจบสิ้นไปนานแล้วและยาชนิดนี้ก็มาจากมือของอูหนูอูหนูยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา ยืดอกหลังตรง การแสดงออกบนใบหน้าไม่เย่อหยิ่งแต่ก็ไม่ถ่อมตน นางเป็นคนที่เคยตายมาแล้วหนึ่งครั้ง ย่อมไม่กลัว“จะฆ่าจะแกง เชิญตามสะดวก”นางเงยหน้า หลับตา“เจ้าเป็นผู้ช่วยที่ดีของอ๋องหลี ข้าฆ่าเจ้าทั้งเช่นนี้ จะไม่เสียดายแย่หรือ?” ฉู่เชียนหลีเดินไปที่ตรงหน้านาง “ข้าขอถามเจ้า เจ้าทำอะไรกับฝ่าบาท? เหตุใดจู่ๆ เขาก็เป็นอัมพาตเฉียบพลัน”อูหนูย่อมไม่อยากพูดไม่รอนางเอ่ยปาก ฉู่เชียนหลีเสริมอีกประโยค“ตายเป็นแค่ผลลัพธ์อย่างหนึ่ง แต่ขั้นตอนการตาย ควรตายอย่างไร ขึ้นอยู่กับข้า”“เจ้าสามารถปากแข็ง แต่ปากแข็งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ และยังจะเพิ่มความเจ็บปวด เจ้าเป็นคนฉลาด รู้ว่าควรเลือกอย่างไร”อูหนู “...”ข่มขู่อย่างโจ่งแจ้งถ้าหากนางยอมพูด มอบความตายที่ไม่เจ็บปวดให้นางถ้าหากนางไม่ยอมพูด คิดวิธีทรมานสารพัด เพื่อทำให้นางยอมพูด สุดท้ายก็ตายอยู่