ไม่ว่าจะเป็นอวิ๋นฝูหลิงผ่าท้องคุณชายน้อยสกุลลู่เมื่อครั้งก่อน หรือผ่าท้องทำคลอดให้ฮูหยินน้อยจวนแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินในช่วงที่ผ่านมา แม้ข่าวได้แพร่กระจายออกเป็นวงกว้าง แต่คนที่เคยเห็นกับตากลับมีไม่มากประกอบกับหลังจากผ่าท้อง คนยังสามารถมีชีวิตอยู่ นี่ยิ่งเพิ่มสีสันของตำนานและความลึกลับด้วยเหตุนี้ อวิ๋นฝูหลิงเอ่ยปากเอง ในบรรดาหมอที่มาเข้าร่วมการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ มีไม่น้อยที่เกิดความสนใจทุกคนพากันรุมถามอวิ๋นฝูหลิงเป็นเช่นนี้อยู่สองสามวัน ทุกอย่างยังคงปกติ ไม่พบความผิดปกติใดๆแรกเริ่มอวิ๋นฝูหลิงไม่ได้รีบร้อน แต่เมื่อเห็นว่าการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ใกล้จะสิ้นสุดแล้ว ปลายังไม่ติดเบ็ดอวิ๋นฝูหลิงอดไม่ได้ที่จะเริ่มร้อนใจแล้วแต่ไม่นานนางก็เกลี้ยกล่อมตัวเองสำเร็จ ต้องอดทนเอาไว้ในเมื่อเหยื่อไม่พอ เช่นนั้นก็เพิ่มเหยื่ออีกวันนี้อวิ๋นฝูหลิงไปอวิ๋นเทียนย่วนตามปกติใครจะรู้ว่ากลับพบเฉิงชงระหว่างทางอวิ๋นฝูหลิงพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย หลังจากทักทายก็เดินผ่านไปใครจะรู้ว่าเฉิงชงกลับเรียกนางกะทันหัน“แม่นางอวิ๋น” เฉิงชงยิ้มแย้ม ท่าทางนอบน้อมและกระตือรือร้นเล็กน้อย “ข้าน้อยมีเรื่องจะปรึกษ
อวิ๋นฝูหลิงหันไปมองเหยากวง “เจ้าก็ได้ยินแล้ว มีหมอหลวงเฉิงค่อยปกป้องข้า เจ้ารีบไปเถอะ”เหยากวงลังเลครู่หนึ่ง จึงจะประสานมือกล่าวกับเฉิงชง “รบกวนหมอหลวงเฉิงแล้ว ข้าน้อยจะรีบไปรีบกลับเจ้าค่ะ”กล่าวจบ เหยากวงสื่อสารกับอวิ๋นฝูหลิงทางสายตาแวบหนึ่ง ก็หมุนกายจากไปแล้วส่วนอวิ๋นฝูหลิงหันกลับไปมองเฉิงชงอีกครั้ง นางกล่าว “พวกเราไปคุยกันทางนั้น”โถงบุปผาที่เฉิงชงพูดถึงอยู่ไม่ไกลนักทั้งสองเดินไปได้ครู่เดียวก็ถึงแล้วตำแหน่งของโถงบุปผาแห่งนี้ค่อนข้างเปลี่ยว แต่พื้นที่โดยรอบเขียวขจี ดอกไม้บานสะพรั่ง เป็นทิวทัศน์ที่งดงามมากอวิ๋นฝูหลิงเพิ่งก้าวเข้าโถงบุปผา จู่ๆ ก็ถูกคนใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูกจากข้างหลังอวิ๋นฝูหลิงสูดดมไปแค่ทีเดียว ก็ดมออกแล้วว่าบนผ้าเช็ดหน้าเต็มไปด้วยผงวิญญาณเคลิ้ม สามารถทำให้คนหมดสติชั่วคราวนางรีบกลั้นหายใจทันที แสร้งดิ้นรนครู่หนึ่ง ก็หมดสติไปแล้ว ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็รู้สึกว่ามือเท้าของตัวเองถูกมัดแล้ว และยังมีก้อนผ้ายัดไว้ในปากก่อนหน้านี้ตอนเพิ่งเจอเฉิงชง อวิ๋นฝูหลิงไม่ได้คิดอะไรมากกระทั่งเฉิงชงบอกว่ามีเรื่องจะปรึกษากับนางหลายวันนี้อวิ๋นฝูหลิงโยนเหยื่อเพื่อต
อวิ๋นฝูหลิงหลับตาแสร้งถูกมอมจนหมดสติผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็รู้สึกว่าตัวเองถูกคนแบกขึ้นมาอวิ๋นฝูหลิงกลัวว่าจะถูกสังเกตเห็นความผิดปกติ ดังนั้นจึงไม่กล้าขยับตัวเลย แต่ก็ครุ่นคิดในใจอย่างรวดเร็วนี่เฉิงชงตั้งใจจะพานางไป?แม้เฉินชงสามารถใช้แง่ที่ว่า ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุดในอวิ๋นเทียนย่วน แต่นอกอวิ๋นเทียนย่วนมีองครักษ์ไม่น้อยกลางวันแสกๆ เช่นนี้ เขาอยากไปนางไปจากอวิ๋นเทียนย่วนโดยไม่ให้ใครรู้ มันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยอย่างไรก็ตาม ต่อให้ใส่นางไว้ในกล่องพาออกไป ของที่ใหญ่เช่นนี้ต้องทำให้ผู้อื่นสงสัยแน่นอนแต่ในเมื่อเฉิงชงเลือกที่จะลงมือกับนาง คาดว่าคิดแผนรับมือไว้แล้วชั่วขณะอวิ๋นฝูหลิงเริ่มเกิดความอยากรู้อยากเห็น อยากดูว่าตกลงเฉิงชงคิดจะใช้วิธีอะไรเพียงแต่ไม่รู้ว่าทางเซียวจิ่งอี้ได้รับข่าว และเตรียมความพร้อมสำหรับการไล่ตามแล้วหรือไม่หวังว่าเหยากวงจะเป็นคนมีไหวพริบ!อวิ๋นฝูหลิงกำลังคิดนู่นคิดนี่ จู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่าเฉิงชงหยุดลงแล้วหลังจากนั้นนางถูกวางลงบนพื้นจากนั้นก็มีเสียงทุ้มสายหนึ่งดังขึ้น ลองฟังดีๆ เหมือนเป็นเสียงเสียดสีของก้อนหินขนาดใหญ่อวิ๋นฝูหลิงลืม
เหยากวงติดตามอวิ๋นฝูหลิงมานานเช่นนี้ ระหว่างนายกับบ่าวก็พอเข้าใจกันอยู่บ้างวันนี้เหยากวงเห็นสถานการณ์ผิดปกติ แค่สายตาของอวิ๋นฝูหลิง ระหว่างนายบ่าวก็ร่วมมือกันแล้วเหยากวงบอกว่าไปหานายท่านผู้เฒ่าหาง แต่ในความเป็นจริง พอหมุนกายก็สั่งให้คนไปแจ้งเซียวจิ่งอี้แล้วเซียวจิ่งอี้มองไปทางโถงบุปผาแล้วเอ่ยถาม “พระชายาเข้าไปนานแค่ไหนแล้ว?”เหยากวงประมาณเวลาครู่หนึ่งแล้วตอบ “ประมาณหนึ่งเค่อแล้วเจ้าค่ะ”เมื่อเซียวจิ่งอี้ได้ยินก็ขมวดคิ้วผ่านไปนานเช่นนี้แล้ว ข้างในกลับไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลยเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีที่คลุมเครือขึ้นในใจเขาเขาหันไปมองทางเทียนเฉวียนแล้วกล่าว “เจ้าลองไปดูสถานการณ์ใกล้ๆ เคลื่อนไหวเบาหน่อย อย่าให้คนข้างในรู้ตัว”พูดถึงวิชาตัวเบาและความสามารถในการพรางตัว เทียนเฉวียนเก่งที่สุดในบรรดาองครักษ์ลับส่งเขาไปเหมาะสมที่สุดเทียนเฉวียนพยักหน้าเบาๆ กระโดดลอยตัวไปทางโถงบุปผาราวกับสายลมผ่านไปครู่หนึ่ง เทียนเฉวียนก็กลับมาแล้ว สีหน้าดูไม่ดีนัก“เรียนท่านอ๋อง ในโถงบุปผาไม่มีคนขอรับ”เมื่อเซียวจิ่งอี้ได้ยินแล้วสีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน “ไม่มีคน?”เทียนเฉวียนพยักหน้า “ข้าน้อยตรวจดู
เซียวจิ่งอี้ออกคำสั่ง “งัดกระเบื้องหินพวกนี้ออก!”เทียนเฉวียนพาคนไปงัดกระเบื้องหินทันทีหลังจากกระเบื้องหินถูกงัดออก ก็เผยให้เห็นหลุมสีดำหนึ่งหลุมเมื่อเซียวจิ่งอี้เห็นทางเข้าอุโมงค์ ก็รู้แล้วว่าการคาดเดาก่อนหน้านี้ของตนถูกต้องเฉิงชงพาอวิ๋นฝูหลิงออกไปโดยผ่านอุโมงค์นี้แน่นอนเขากำลังจะลงไปในอุโมงค์ ก็ถูกเทียนเฉวียนห้ามไว้แล้ว“ท่านอ๋อง ให้ข้าน้อยลงไปสำรวจทางก่อนดีกว่า”เทียนเฉวียนกล่าวจบ ก็กระโดดลงไปในหลุมแล้วเหยากวงรีบกล่าวต่อ “ท่านอ๋อง ข้าน้อยก็ลองลงไปดูก่อน ถ้าหากมีเรื่องอะไร ก็สามารถช่วยช่วยเทียนเฉวียนได้”เมื่อเซียวจิ่งอี้ได้ยินก็พยักหน้า อนุญาตคำขอของเหยากวงรอหลังจากเหยากวงลงไปแล้ว เซียวจิ่งอี้ก็กระโดดลงไปในอุโมงค์โดยไม่สนใจคำห้ามปรามของคนอื่นภายในอุโมงค์มืดสนิท ยังดีที่ทุกคนพกตะบันไฟติดตัว อาศัยแสงของตะบันไฟ ยังพอจะเห็นอะไรบ้างอุโมงค์สายนี้ไม่ถือว่ายาวมาก ทุกคนใช้เวลาเดินประมาณสองเค่อ ก็เดินมาจนสุดทางแล้วหลังออกมาจากอุโมงค์ เซียวจิ่งอี้กวาดมองโดยรอบ พบว่าที่นี่คือด้านหลังของอวิ๋นเทียนย่วน อยู่ไม่ไกลจากอวิ๋นเทียนย่วนมากนักองครักษ์ลับคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านการแ
ถ้าหากนางอยากไป แค่เชือกเส้นเดียวมัดนางไม่อยู่หรอกนางหยิบมีดออกมาจากในมิติหนึ่งเล่ม ต่อให้เป็นเชือกที่ทนทานแค่ไหน ก็สามารถใช้มีดตัดจนขาดเพียงแต่อวิ๋นฝูหลิงแสดงละครมาตั้งนาน ไม่ได้ทำเพื่อจะหนีออกไปนางประมาณเวลา รู้สึกว่านานเช่นนี้ ฤทธิ์ยาน่าจะหมดแล้วอวิ๋นฝูหลิงแสร้งค่อยๆ ฟื้นทันทีนางลืมตาอย่างสะลึมสะลือ สายตาสับสนครู่หนึ่ง จึงจะมีสติมากขึ้นหลายส่วนจากนั้นนางรู้สึกว่าร่างกายถูกพันธนาการ ก็เริ่มดิ้นรนทันทีนางอยากตะโกนเสียงดังๆ ตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่กลับมีของบางอย่างอุดอยู่ที่ปาก ทำได้เพียงส่งเสียง ‘อื้อๆ’เพิ่งจะดิ้นรนได้ครู่เดียว เสียงของเฉิงชงก็ดังขึ้น“ท่านฟื้นแล้ว เร็วกว่าที่ข้าคาดไว้เล็กน้อย”“ดูเหมือนยาสลบของข้ายังต้องปรับปรุงอีก”อวิ๋นฝูหลิงมองเฉิงชงที่ยืนอยู่ตรงหน้านาง แล้วก้มมองตัวเองที่ถูกมัดไว้ เหมือนมีสติขึ้นในทันทีนางเบิกตากว้าง สายตาที่มองไปทางเฉิงชงมีความโกรธ ไม่เข้าใจ และยังมีความตื่นตระหนกกับหวาดกลัวเล็กน้อยอวิ๋นฝูหลิงพลางแสดง พลางกดไลค์ให้ตัวเองทักษะการแสดงระดับนักแสดงยอดเยี่ยมของนางนี้ สมควรได้รับตุ๊กตาทองของออสการ์จริงๆเฉิงชงชื่นชมปฏิกิริยาข
เฉิงชงเห็นอวิ๋นฝูหลิงยอมให้ความร่วมมือ ก็อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าพอใจออกมาหลายส่วนเขานึกถึงปัญหาเหล่านั้นที่รบกวนเขามานาน ก็ยิ่งไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไปถึงอย่างไรอวิ๋นฝูหลิงก็มีสถานะที่พิเศษ เมื่อทางด้านอวิ๋นเทียนย่วนพบว่าอวิ๋นฝูหลิงหายตัวไป จะต้องทำทุกหนทางเพื่อหาตัวอวิ๋นฝูหลิงให้พบเป็นแน่แม้สถานที่แห่งนี้จะอยู่ห่างไกล จนยากมากที่คนธรรมดาจะหาที่นี่เจอแต่ด้วยความสามารถของเซียวจิ่งอี้ กอปรกับอิทธิพลของตระกูลใหญ่อย่างพวกโอวหยางหมิง เป็นไปไม่ได้ที่จะหาที่นี่ไม่เจอดังนั้นเฉิงชงจึงตัดสินใจฉวยช่วงเวลา ก่อนที่พวกเซียวจิ่งอี้จะหาเจอ ทำเรื่องที่ตัวเองอยากทำให้ลุล่วงเฉิงชงแก้เชือกบนตัวอวิ๋นฝูหลิง และถือมีดจ่อนางให้ไปอีกเรือนหนึ่ง“พระชายา ข้าขอแนะนำท่านอย่างตรงไปตรงมาเสียหน่อย อย่าได้เล่นตุกติก และอย่าได้คิดจะหลบหนีออกไปจากที่นี่ด้วย มิเช่นนั้นมีดในมือข้าย่อมไม่มีตา”อวิ๋นฝูหลิงแสร้งทำท่าทางหวาดกลัว พลางรับปากซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ข้าจะทำตัวซื่อตรง เจ้าถือมีดไว้ให้มั่นเถอะ อย่าทำให้ข้าบาดเจ็บ...”ไม่นานหลังจากนั้น เฉิงชงก็พาอวิ๋นฝูหลิงไปที่เรือนหลังหนึ่งหน้าประตูเรือนหลังนั้นมีองครักษ์เฝ
“เมื่ออายุสิบห้าปี ข้าก็สามารถวินิจฉัยโรคและสั่งยาให้คนไข้ของโรงหมอสกุลเฉิงได้ด้วยตัวเอง”“ทว่ายิ่งทักษะแพทย์สูงขึ้น ข้าก็ยิ่งรู้สึกเบื่อหน่ายมากขึ้น”“จนกระทั่งอายุยี่สิบปี ขณะที่ข้ากำลังเดินทางเพื่อสั่งสมประสบการณ์ ก็บังเอิญพบหมอซางผู้หนึ่ง”“หมอซางผู้นั้นหลังจากเย็บบาดแผลยาวสองนิ้วให้คนไข้รายหนึ่งด้วยเข็มกับด้าย จึงเพิ่งทายาและพันแผล”“ข้าเห็นเข้าก็รู้สึกสนใจ จึงหยุดสนทนากับเขา”“คาดไม่ถึงว่ากลับคุยถูกคอเป็นอย่างยิ่ง ข้าหยุดพักการเดินทาง อยู่ที่นั่นเป็นเวลาสองเดือน”“หมอซางพบว่าหลังจากเย็บบาดแผลแล้ว บาดแผลจะฟื้นตัวได้ดีและหายเร็วขึ้น เขาจึงเกิดความคิดที่น่าอัศจรรย์ขึ้นมาโดยพลันว่า อาจมีสักวันหนึ่ง เมื่อใครบางคนได้รับบาดเจ็บที่อวัยวะภายใน ก็จะสามารถผ่าตัดช่องท้อง หลังจากรักษาบาดแผลภายในแล้ว จากนั้นก็ใช้เข็มกับด้ายเย็บบนบาดแผลได้”“คราแรกที่ข้าได้ยินก็รู้สึกว่าเป็นความคิดเพ้อเจ้อ แต่เมื่อใคร่ครวญดูอีกที ก็คิดว่าเป็นไปได้”“พวกเราใช้กระต่ายป่ากับไก่ป่าจำนวนหนึ่งมาทำการทดลองก่อน แต่ก็ล้มเหลว”“ผ่านไปไม่นาน มีครั้งหนึ่งยามที่หมอซางผู้นั้นไปเก็บสมุนไพร บังเอิญมีฝนตกลงมาห่าใหญ่ ไม
เทียนเฉวียนได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันทีว่าท่านอ๋องคิดจะนั่งรอลาภลอยในเมื่อเวินเจาผู้นั้นเป็นนายน้อยเผ่าเยว่ สถานะในเผ่าเยว่ก็ย่อมไม่ธรรมดาหลังจากคนแคว้นเยว่เหล่านั้นรู้ข่าวว่าเวินเจาถูกจับตัวมา จะต้องคิดหาวิธีมาช่วยเขาออกไปเป็นแน่เทียนเฉวียนไปทำตามคำสั่งของเซียวจิ่งอี้ทันทีทว่าหลังจากรอมาสามวัน ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวจากทางด้านเวินเจาแม้แต่น้อยเซียวจิ่งอี้ตระหนักได้ว่าตัวเองเจอคู่ต่อสู้เข้าแล้วราชครูแคว้นเยว่หลบหนีเก่งมาก ทำให้ยามนี้เขารู้สึกจนปัญญาอยู่บ้างหากพูดตามหลักการแล้ว คนแคว้นเยว่เหล่านั้นต้องการฟื้นฟูแคว้น ตัวตนของเวินเจาซึ่งมีสายเลือดราชวงศ์ จึงทำให้พวกเขามีเหตุผลอันชอบธรรมมิเช่นนั้นอาศัยเพียงราชครูผู้นั้น คนแคว้นเยว่ที่เหลือจะเชื่อฟังคำสั่งเขาได้อย่างไร?ทว่าหลังจากผ่านไปนาน คนแคว้นเยว่เหล่านั้นกลับไม่มีท่าทีว่าจะมาช่วยเวินเจาแม้แต่น้อยนี่หมายความว่ามองแผนของเขาออกใช่หรือไม่? หรือคิดว่ายามนี้ไม่ใช่จังหวะที่ดีในการช่วยเหลือ จึงกำลังวางแผนและเฝ้าดูอยู่?หรือคนแคว้นเยว่ยอมแพ้เรื่องนายน้อยเวินเจาผู้นี้แล้ว?เซียวจิ่งอี้คิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนแ
ทหารชั้นผู้น้อยคนนั้นได้กลิ่นเลือดจาง ๆ สายหนึ่งกลิ่นเลือดจางมาก จนแทบไม่ได้กลิ่นแต่เขาเกิดมาพร้อมจมูกที่อ่อนไหวต่อกลิ่น แค่เพียงกลิ่นจาง ๆ ก็สามารถได้กลิ่นเช่นกันทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินหลายก้าว ไล่ตามสือจ่างซึ่งเป็นผู้นำไปยามนี้สือจ่างเดินออกมาจากเรือนแล้ว ทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินไปตรงหน้าสือจ่าง และกระซิบไม่กี่ประโยคก้นบึ้งในดวงตาของสือจ่างฉายแววประหลาดใจ และหันกลับไปมองลานบ้านด้านหลังในลานบ้าน ชายวัยกลางคนกับหญิงสาวผู้งดงามเห็นว่าในที่สุดทหารก็ตรวจค้นเสร็จแล้ว จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกใครจะรู้ว่ายังไม่ทันถอนหายใจเสร็จ ประตูเรือนกลับถูกคนพังเปิดเข้ามาอย่างกะทันหันกลุ่มทหารที่เข้ามาตรวจค้นก่อนหน้านี้บุกเข้ามาอีกครั้งชายวัยกลางคนเห็นเช่นนั้นก็ใจเต้นแรง แต่บนใบหน้ากลับยังสงบ และก้าวออกมาด้วยรอยยิ้มคาดไม่ถึงว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก สือจ่างผู้นั้นซึ่งเป็นหัวหน้าก็ผลักเขาไปด้านข้าง ก่อนออกคำสั่งเสียงเคร่งขรึมว่า “ค้นหาทั้งในและนอกเรือนใหม่อีกครั้ง ค้นให้ละเอียด!”ทหารทุกคนตอบรับ และแยกย้ายไปค้นหาอีกครั้งทันทีทหารชั้นผู้น้อยซึ่งประสาทรับกลิ่นไวยืนอยู่ที่เดิม จมูกขยับฟ
“ขอรับ” เทียนซูรับคำสั่งก่อนจะถอยออกไปผ่านไปไม่นาน เทียนซูก็กลับมา“ท่านอ๋อง ผู้ดูแลหอจินอวี้กับพนักงานยืนยันศพกันหมดแล้วขอรับ แน่ใจแล้วว่าเป็นคนที่อยู่ข้างตัวราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้น”เซียวจิ่งอี้ใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า “คนผู้นี้ถูกจับได้ที่ใด?”“ถูกจับที่ตรอกหูลู่ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองขอรับ” เทียนซูตอบกลับเซียวจิ่งอี้กล่าวทันที “ไปเอาแผนที่จินโจวมา”ผ่านไปไม่นาน แผนที่จินโจวก็ถูกแขวนขึ้นเซียวจิ่งอี้เดินไปข้างหน้าแผนที่ หาตำแหน่งตรอกหูลู่บนแผนที่เขายื่นมือออกไปแตะบนแผนที่ หลังจากนั้นก็วงขอบเขตโดยประมาณและกล่าวว่า“ถ่ายทอดคำสั่ง ให้คนไปค้นหาทุกซอกทุกมุมของตรอกหูลู่”คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ย่อมไม่ปรากฏตัวที่ตรอกหูลู่โดยไม่มีสาเหตุบางทีสถานที่ซ่อนตัวของพวกเขา อาจจะอยู่ใกล้ตรอกหูลู่นอกจากนี้คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ยังกัดลิ้นปลิดชีพตัวเอง ไม่ให้ความหวังตัวเองว่าจะมีชีวิตรอดเลย เห็นได้ชัดว่าทำเพื่อปกป้องใครบางคนดูท่าคนรอบกายราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้นจะจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่งการเดินทางมาจินโจวครั้งนี้ของเขา ไม่แน่คนข้างกายที่พามาอาจจะล้วนเป็นคนสนิททั้งสิ้นหากคนสนิทเห
จิตรกรฝีมือดีเช่นนี้ เหตุใดจึงถูกเซียวจิ่งอี้เชิญไปได้ง่าย ๆยิ่งไปกว่านั้นจิตรกรฝีมือดีเหล่านั้นก็ยังไม่เคยเห็นพวกท่านจอมปราชญ์เหวินมาก่อน เหตุใดจึงสามารถวาดภาพเหมือนจากความว่างเปล่าให้เหมือนพวกเขาโดยสมบูรณ์ได้?นอกจากนี้ท่านจอมปราชญ์เหวินอยู่ที่จินโจวมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินว่าในจินโจวมีจิตรกรชื่อดังอันใดเลยตั้งแต่เขาหลบหนีจากหอจินอวี้มาจนถึงตอนนี้ ก็ยังผ่านไปไม่พ้นครึ่งวันเสียด้วยซ้ำภายในระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมีคนที่สามารถวาดภาพพวกเขาออกมาได้มากมายเช่นนี้?ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินไม่อยากจะเชื่อแต่เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาพูดจาหนักแน่น เขาก็ไม่กล้าคิดไปเองมากเกินไปไม่รู้เพราะเหตุใด เขามักรู้สึกว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเซียวจิ่งอี้ จะมีความแปลกประหลาดมากเสมอบางทีอาจมีคนมากความสามารถอยู่ข้างกายเซียวจิ่งอี้จริง ๆ ซึ่งสามารถวาดภาพเหมือนออกมาได้เหมือนจริงโดยสมบูรณ์ โดยที่อาศัยเพียงคำอธิบายไม่กี่ประโยคยามนี้คนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา ต่างเป็นคนที่เคยปรากฏตัวที่หอจินอวี้หากข้างกายเซียวจิ่งอี้มีจิตรกรฝีมือดีอยู่จริง ๆ เกรงว่าคนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา คงล้วนถูกวาด
ท่านจอมปราชญ์เหวินได้แต่แสร้งทำเป็นผ่านทางมา และรีบพาคนจากไปยามที่ออกมาจากหอจินอวี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็ถอดหน้ากากออกการสวมหน้ากากเดินบนท้องถนน จะยิ่งดึงดูดความสนใจหลังจากถอดหน้ากาก รูปลักษณ์ของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก ในฝูงชนจึงแทบไม่มีใครสังเกตเห็นเมื่อคิดว่าแผนการของตนล้มเหลว จนถูกเซียวจิ่งอี้ไล่ล่าราวกับสุนัขไร้บ้านตัวหนึ่ง อีกทั้งนายน้อยเผ่าเยว่เป็นหรือตายก็ไม่อาจรู้ได้ ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินจึงหดหู่เป็นอย่างยิ่งเป็นความผิดของเซียวจิ่งอี้!ท่านจอมปราชญ์เหวินรู้สึกราวกับว่าเซียวจิ่งอี้เกิดมาเพื่อเป็นหายนะของเขาเขาวางแผนจัดการเซียวจิ่งอี้หลายครั้ง แต่ก็ถูกอีกฝ่ายหลบเลี่ยงได้ทุกครั้งเมื่อเขาคิดจะฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวายให้แคว้นต้าฉี ก็จะถูกเซียวจิ่งอี้ทำลายแผนการเสมอยามนี้เมื่อนึกถึงเซียวจิ่งอี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็โกรธจนกัดกรามในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นี้ เขายังไม่มีกำลังที่จะโต้กลับได้รอก่อนเถอะรอให้เขากลับไปที่เมืองหลวง ก็จะสามารถอาศัยอำนาจขององค์ชายสาม จัดการเซียวจิ่งอี้ให้สิ้นซาก!ท่านจอมปราชญ์เหวินกัดฟัน ขณะที่สีหน้ามืดครึ้มผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดท่านจอมป
อวิ๋นฝูหลิงยังจำเรื่องที่เซียวจิ่งอี้ขอให้นางวาดภาพเหมือนได้หลังจากพบเซียวจิ่งอี้ ทั้งสองคนก็ไปยังคุกที่ขังผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ไว้เมื่อพูดถึงแขกผู้มีเกียรติบนชั้นสามของหอจินอวี้ ผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ก็ต่างจดจำได้เป็นอย่างดีชั้นสามของหอจินอวี้ ไม่ใช่ว่าใครต่างก็มีสิทธิ์ขึ้นไปได้นี่เป็นอุบายที่หอจินอวี้โยนออกมา เป็นวิธีดึงดูดลูกค้าเพื่อสร้างกำไรแบบหนึ่งผู้ที่สามารถขึ้นไปชั้นสามของหอจินอวี้ได้ หมายความว่าเป็นคนที่มีสถานะและทักษะการพนันสูงแต่กลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน กลับเป็นเวินเจาพาขึ้นไปด้วยตัวเองนับตั้งแต่เวินจือเหิงนอนป่วยติดเตียง อำนาจทั้งหมดของสกุลเวินก็ตกไปอยู่ในมือของเวินเจาเวินเจาพาคนไปพักอยู่ที่ชั้นสามของหอจินอวี้ ทั้งยังบอกให้ปรนนิบัติกลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน เหล่าคนของหอจินอวี้ย่อมไม่กล้าไม่เชื่อฟังไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลของหอจินอวี้ หรือพนักงาน ยามนี้เมื่อถูกขังอยู่ในคุก ทุกคนก็หวาดกลัวอยู่ตลอดเมื่อเห็นการสืบสวนก่อนหน้านี้ของเซียวจิ่งอี้ คนเหล่านี้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง และออกไปจากคุกโดยเร็ว ทุกคนต่างก็แย่งชิงกันเป็นคนแรกเพราะกล
“พี่สาม ทางด้านเมืองหลวงมีข่าวคราวบ้างหรือไม่?”“พวกท่านปู่โอวหยางคิดค้นเทียบยาใหม่ที่ใช้รักษาผู้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองได้แล้วหรือไม่?”หลังจากค้นพบขี้ผึ้งทอง อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงพวกรองเจ้าสำนักโอวหยางกับหมอหลวงจงมาร่วมศึกษาด้วยกัน ทั้งยังเขียนจดหมายส่งให้นายท่านผู้เฒ่าหาง รวมถึงส่งข้อมูลที่เกี่ยวกับชีพจรและการรักษาให้เขาด้วยแม้เมืองหลวงกับจินโจวจะเป็นสถานที่ที่ได้รับผลกระทบจากขี้ผึ้งทองมากที่สุด แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าที่อื่นจะไม่ได้รับผลกระทบถึงอย่างไรการค้าของแคว้นต้าฉีก็เจริญรุ่งเรืองมาก จากใต้ขึ้นเหนือมีพ่อค้ามากมาย บางทีอาจจะมีคนที่เดินทางระหว่างเมืองหลวงกับจินโจว ซื้อขี้ผึ้งทองติดไปด้วยสองสามกล่องก็เป็นได้อวิ๋นฝูหลิงคิดว่านางออกจากเมืองหลวงมาหลายวันถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าทางด้านเมืองหลวงจะมีความคืบหน้าใหม่อันใดบ้างตั้งแต่อวิ๋นฝูหลิงกลับมาถึงจินโจว ก็ยุ่งอยู่กับการรักษาผู้ป่วยมาโดยตลอด หางซานสุ่ยจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับนางตอนนี้เมื่อเห็นว่าอวิ๋นฝูหลิงเป็นฝ่ายถามขึ้นมา หางซานสุ่ยก็นับว่ามีโอกาสแล้วเขาหยิบจดหมายสองสามฉบับออกมาจากในโต๊ะ“จดหมายพวกนี้ถูกส่ง
แม้ว่าราชครูแคว้นเยว่จะหนีไปแล้ว แต่เขาอยู่ที่หอจินอวี้ตั้งหลายวัน จึงมักจะมีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายจนเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงแม้เขาจะใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าอยู่เสมอ จึงไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนรอบตัวเขาทุกคนจะสวมหน้ากากกระมัง?เริ่มต้นไล่ไปจากผู้ใต้บังคับบัญชา บางทีอาจจะค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ก็เป็นได้เซียวจิ่งอี้ตัดสินใจไต่สวนผู้ดูและกับพนักงานเหล่านั้นของหอจินอวี้ยังมีทักษะการวาดภาพเหมือนอันยอดเยี่ยมของอวิ๋นฝูหลิง จะต้องจับพวกปลาซิวปลาสร้อยพวกนั้นได้เป็นแน่แม้ว่ากลุ่มของราชครูแคว้นเยว่จะฉวยโอกาสวางเพลิงเพื่อหนีออกไปจากหอจินอวี้ แต่ประตูเมืองจินโจวก็ปิดอยู่ ยามนี้พวกเขาคงยังซ่อนตัวอยู่ในเมืองนอกจากนี้ มีบางสิ่งที่ต้องจัดการด้วยเช่นกันเซียวจิ่งอี้ยืนอยู่หน้าประตูสำนักผิงอัน หันกลับมามองอวิ๋นฝูหลิงที่กำลังยุ่งคราหนึ่งเพียงชั่วครู่เดียว เขาก็พลิกร่างขึ้นหลังม้า มุ่งตรงไปยังที่ว่าการเมืองจินโจวครึ่งชั่วยามต่อมา มีประกาศใบหนึ่งถูกนำมาติดไว้ที่ประตูที่ว่าการทั้งยังมีคนตีฆ้องจากที่ว่าการ อ่านเนื้อหาในประกาศไปทั่วเมืองประกาศนี้กล่าวถึงอันตรายของขี้ผึ้งทอง
“ข้าอยากจับคนร้ายที่กระทำความผิด ให้ได้แบบคาหนังคาเขา”“แต่ไม่คิดเลยว่าคนผู้นั้นจะโหดเหี้ยมถึงขั้นเสียสติ ตั้งใจวางเพลิงในหอจินอวี้ เพื่อหลบหนีการไล่ล่า”“เป็นเพราะข้าไม่รอบคอบ ทำให้ผู้บริสุทธิ์ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตราย”“วันนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเพราะเหตุเพลิงไหม้ที่หอจินอวี้ ค่ารักษาและค่ายาข้าจะจ่ายให้เอง”“นอกจากนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จะได้รับห้าตำลึง ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักจะได้รับสิบตำลึง”“ได้ยินว่ามีสองคนที่ถูกไฟไหม้จนบาดเจ็บสาหัส สองคนนี้จะได้รับยี่สิบตำลึง”“เงินเหล่านี้ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า ที่อยากจะรักษาร่างกายเหล่าผู้บาดเจ็บ”“ข้าจะให้คนนำเงินมามอบให้ในภายหลัง!”ผู้บาดเจ็บทุกคนได้ยินเช่นนั้น ความไม่พอใจที่สุมอยู่ในอกก็หายไปกว่าครึ่งทันทีตอนนี้เมื่อย้อนคิดดูแล้ว เมื่อคืนยามที่หอจินอวี้ถูกปิดล้อม ผู้นำคนนั้นก็บอกว่าทำเพื่อสืบคดีบางอย่างจริง ๆคิดดูอีกครายามนั้นที่เกิดเพลิงไหม้ ทหารเหล่านั้นก็มิได้บังคับขังพวกเขาไว้ในหอจินอวี้ ทว่ากลับรีบเข้ามาในหอเพื่อดับไฟช่วยคนหากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เกรงว่าพวกเขาคงไม่ใช่แค่ได้รับบาดเจ็บ แต่กว่าครึ่งคงตายตกไปในเหตุเพ