หลังมื้ออาหารเย็น อวิ๋นฝูหลิงก็เดินเล่นอยู่ในสวนรอบหนึ่ง และถือโอกาสไปดูฮูหยินน้อยฉู่ที่ห้องคลอดหลังจากยาชาหมดฤทธิ์ ฮูหยินน้อยฉู่ก็เริ่มรู้สึกปวดบาดแผลบนท้องขึ้นมาแรกเริ่มราวกับมีบางสิ่งคั่นอยู่ชั้นหนึ่ง ความเจ็บปวดไม่ได้รุนแรงมากถึงเพียงนั้นหลังจากนั้นก็ค่อย ๆ เจ็บมากขึ้นทุกที ก่อนฮูหยินน้อยฉู่จะเจ็บปวดจนทนไม่ไหวฉู่หมิงเห็นเช่นนั้น ก็กำลังจะให้คนไปเชิญอวิ๋นฝูหลิง ใครจะรู้ว่าทันใดนั้นเองอวิ๋นฝูหลิงจะมาพอดี“พระชายาอี้อ๋อง” ฉู่หมิงประสานมือโค้งคำนับ กล่าวด้วยสีหน้าวิตก “ท่านรีบมาดูนางเถิด นางเริ่มร้องว่าเจ็บเมื่อช่วงเย็น ตอนนี้ความเจ็บปวดก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ”อวิ๋นฝูหลิงก้าวไปด้านหน้าเพื่อตรวจสอบครู่หนึ่ง“เป็นเพราะยาชาหมาเฟ่ยซ่านค่อย ๆ หมดฤทธิ์ ดังนั้นนางจึงรู้สึกเจ็บบาดแผลบนท้องมากขึ้นเรื่อยๆ”“นี่เป็นอาการปกติ โดยทั่วไปหลังผ่านไปเจ็ดวัน ความเจ็บปวดเช่นนี้ก็จะทุเลาลง หลังจากผ่านไปประมาณสิบวันก็จะแทบไม่เจ็บปวดแล้ว”ฮูหยินน้อยฉู่ได้ยินว่าต้องเจ็บปวดไปอีกนับสิบวัน ก็รู้สึกไม่ดีไปทั้งร่างเพราะตอนนี้นางไม่เพียงแต่เจ็บปวดอย่างยิ่งยวด ทว่ายังหิวมากด้วยตั้งแต่เมื่อวานตอนเย
อวิ๋นฝูหลิงตรวจสอบอาการของฮูหยินน้อยฉู่รอบหนึ่งแล้ว ก็ยังกำชับเรื่องการผายลมอีกครา และปล่อยให้หมอหญิงซุนดูแลอยู่ข้าง ๆ ต่อ จึงกลับมาพักผ่อนที่เรือนเล็กอวี้หลานก่อนจากไป นางกำชับกับหมอหญิงซุนว่า “หากมีเรื่องอันใด ก็ให้คนไปเรียกข้าทันที”สามวันแรกหลังการผ่าตัดเป็นช่วงวิกฤต ตราบใดที่ผ่านสามวันนี้ไปได้อย่างราบรื่น อาการของฮูหยินน้อยฉู่ก็จะคงที่ โดยพื้นฐานก็แทบจะไม่มีปัญหาอันใดแล้วหมอหญิงซุนตอบรับอย่างสุภาพยามที่อวิ๋นฝูหลิงกลับมายังเรือนเล็กอวี้หลาน เซียวจิ่งอี้ก็กำลังดูบางสิ่งอยู่ใต้แสงไฟอวิ๋นฝูหลิงเดินเข้าไปใกล้ ก็พบว่าเหมือนจะเป็นกระดาษแผ่นหนึ่ง“ดูสิ่งใดอยู่หรือ?”อวิ่นฝูหลิงเกิดความคิดที่อยากแกล้งคนขึ้น จึงยื่นมือไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมานางไม่ได้อ่านเนื้อหาบนกระดาษ แต่เขย่ากระดาษในมือ พลางกล่าวหยอกเย้าว่า “ตั้งใจอ่านถึงเพียงนี้ ในนี้มีความลับอันใดที่ให้ข้ารู้ไม่ได้อยู่หรือไม่?”เซียวจิ่งอี้มองนางด้วยรอยยิ้ม “ข้ามีความลับที่ไม่อาจให้เจ้ารู้ได้เสียที่ไหน?”อวิ๋นฝูหลิงหยอกล้อเขาต่อ “เช่นมีสาวงามคนใด หรือมีจดหมายรัก?”“ไม่กี่วันก่อนท่านไปงานเลี้ยงมา มิใช่ว่าระหว่างงานเลี้
เซียวจิ่งอี้มองไปทางอวิ๋นฝูหลิง“ข้าส่งลูกน้องไปจับตาดูพวกโอวหยางหมิง”“เจ้าอยากฟังด้วยกันหรือไม่?”อวิ๋นฝูหลิงพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว “ท่านส่งคนไปจับตาดูพวกท่านปู่โอวหยางเพราะเหตุใด?”ทันทีที่กล่าวออกมา อวิ๋นฝูหลิงก็ตอบสนองออกมาโดยพลันหากวันนี้มีคนบงการอยู่เบื้องหลังจริง ย่อมมีช่องโหว่อยู่ในบรรดาพวกโอวหยางหมิงยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นช่องโหว่ที่เปิดได้ง่ายที่สุดถึงอย่างไรจวนแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินก็มีองครักษ์แน่นหนา คนแปลกหน้าสักคนจะบุกเข้ามาถึงห้องคลอด ก็มิใช่เรื่องง่ายถึงเพียงนั้นฮูหยินฉู่จัดการเรื่องในจวนได้เป็นอย่างดี คนรับใช้ในจวนต่างก็มีความซื่อสัตย์ภักดี ไม่ใช่เรื่องง่ายหากคิดจะติดสินบนแต่พวกโอวหยางหมิงต่างออกไปใครจะรับรองได้ว่าในบรรดาพวกเขาจะไม่ถูกซื้อตัวไป?ยิ่งไปกว่านั้นอวิ๋นฝูหลิงยังไหว้วานโอวหยางหมิงว่าต้องการหมอหญิงสี่คนจากสำนักหมอหลวงด้วยแรกเริ่มอวิ๋นฝูหลิงต้องการผู้ช่วยเพียงสองคน คิดไม่ถึงว่าจะมีคนฉวยโอกาสนี้ก่อเรื่องเพราะเหตุนี้นางจึงขอเพียงเป็นหมอหญิงที่มีความละเอียดรอบคอบ และมีคุณธรรมส่วนพื้นเพของพวกนาง ก็ไม่ได้ชัดเจนนักยังมีหมอหลวงจง ที่เขามาโดยไม่ได้
“แม้แต่ยามที่อวิ๋นกานซงยังเป็นหมอหลวง ตำแหน่งของเฉิงชงก็ยังสูงกว่าเขามาก”“ยิ่งไปกว่านั้นสกุลเฉิงยังเป็นสกุลแพทย์ที่เก่าแก่นับร้อยปี มีพื้นเพความเป็นมาลึกล้ำ เฉิงชงมิใช่คนที่จะถูกทรัพย์สินหรือสิ่งของธรรมดาทำให้เคลื่อนไหวได้”“อวิ๋นกานซงยามนี้กำลังตกยาก มิใช่ว่าข้าดูถูกเขา แต่ด้วยสภาพเขาในตอนนี้ ยังจะสามารถติดสินบนเฉิงชงได้หรือ?”ทันใดนั้นเองอวิ๋นฝูหลิงก็กล่าวขึ้นมาว่า “มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!”“หมอทุกคนไม่มีผู้ใดไม่สนใจเรื่องการตรวจโรคและแผนการรักษา รวมถึงเรื่องการเขียนใบสั่งยา”“ยามนั้นที่พ่อของข้าสิ้นใจ ข้ายังเด็กนัก ทุกสิ่งของจวนจี้ชุนโหวจึงล้วนตกไปอยู่ในมือของอวิ๋นกานซง”“บันทึกมากมายเกี่ยวกับประสบการณ์การรักษาและการวินิจฉัยโรคที่ปู่ทวดกับพ่อของข้าเหลือทิ้งไว้ ล้วนถูกอวิ๋นกานซงเอาไป”“ของเหล่านั้นในวงการแพทย์ ไม่ต่างไปจากสมบัติล้ำค่า”“หากอวิ๋นกานซงเอาตำราแพทย์ที่ปู่ทวดและพ่อของข้าเหลือทิ้งไว้ ไปใช้ติดสินบนเฉิงชง ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”อวิ๋นฝูหลิงเดาว่าสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดคืออวิ๋นกานซงใช้ตำราแพทย์เป็นแต้มต่อรอง เพื่อทำการแลกเปลี่ยนกับเฉิงชง จุดประสงค์คือต้องการแก้แค้
“นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้า!” ในน้ำเสียงของอวิ๋นฝูหลิงแฝงไปด้วยความประหลาดใจและผิดหวังหมอหญิงซุนถูกมัดขณะที่นำตัวเข้ามาในห้อง เห็นได้ชัดว่ากระอักกระอ่วนเป็นอย่างมากใบหน้าของนางราวกับคนตาย ดวงตาทั้งสองข้างไม่มีชีวิตชีวาแม้แต่น้อยเหยากวงส่งถุงกระดาษเล็ก ๆ ถุงหนึ่งให้อวิ๋นฝูหลิง“พระชายา ระหว่างที่ข้าสังเกตการณ์ หลังจากนางเห็นว่าฮูหยินน้อยฉู่หลับไปแล้ว ก็ส่งสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติในห้องคลอดออกไป และคิดจะโรยผงนี้บนบาดแผลของฮูหยินน้อยฉู่”อวิ๋นฝูหลิงรับถุงกระดาษถุงเล็กใบนั้นมา หลังจากเปิดออกก็พบว่าด้านในคือผงยาสีเขียวอ่อนจำนวนหนึ่งนางใช้เล็กหยิบขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะวางไว้ที่จมูกและสูดดมสีหน้าของอวิ๋นฝูหลิงเปลี่ยนไปโดยพลันหญ้ากระดูกผี!สมุนไพรชนิดนี้จะขึ้นอยู่รอบหลุมศพ มิได้พบเห็นได้โดยทั่วไปเพราะเติบโตออกมาจากในรอยแยกกระดูกคนตาย และในช่วงกลางคืนยังเปล่งแสงสีเขียวออกมาจาง ๆ ด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกว่าหญ้ากระดูกผีหลังจากนำสมุนไพรชนิดนี้ไปตากแห้งและบดจนกลายเป็นผง หากนำมาโรยบนบาดแผล จะทำให้บาดแผลฟื้นฟูช้าลงมาก ต่อมาแผลจะบวมแดงและเกิดหนอง ก่อนที่แผลจะเน่าการใช้อุบายเช่นนี้ทำร้ายคน ช
สูตรลับและทักษะแพทย์เหล่านั้นที่สืบทอดมาของสกุลซุน ย่อมไม่อาจถ่ายทอดให้นางได้หมอหญิงซุนชอบเรียนแพทย์ ต่อให้ต้องแอบเรียน นางก็ไม่สนใจทว่าหลังจากบิดาซุนสังเกตเห็นความคิดของนาง ก็ดุด่านางอย่างรุนแรง และออกคำสั่งอย่างเข้มงวด ไม่อนุญาตให้นางมีความคิดที่จะเรียนทักษะแพทย์ของสกุลซุนหลังจากนั้น สำนักหมอหลวงก็ต้องการรับสมัครหมอหญิงกลุ่มหนึ่งหมอหญิงซุนคิดว่าอยู่สกุลซุนนางก็ไม่ได้เรียนรู้สิ่งใดเลย ไม่สู้ไปเป็นหมอหญิงที่สำนักหมอหลวงจะดีกว่าในสำนักหมอหลวงมีหมอหลวงมากมาย หากมีวาสนาได้พบคนใจดี ได้รับคำแนะนำเพียงเล็กน้อย นางก็ได้รับประโยชน์มากแล้วแม้จะไม่มีใครยอมชี้แนะนาง นางก็แอบเรียนรู้ด้วยตัวเอง หลังจากผ่านไปนานก็สามารถเรียนรู้มาได้บ้างเรื่องที่หมอหญิงซุนต้องการไปเป็นหมอหญิงที่สำนักหมอหลวง บิดาซุนเห็นแบบนี้ก็ดีใจในความสำเร็จถึงอย่างไรการได้เข้าไปชุบทองสักชั้นในวังหลวงก็เป็นเรื่องที่ดี ในอนาคตก็ย่อมมีส่วนช่วยในการหาคู่ครองของหมอหญิงซุนด้วยหมอหญิงซุนมีความรู้เรื่องการแพทย์อยู่บ้าง ทั้งยังมีพื้นเพมาจากครอบครัวหมอ จึงได้รับเลือกให้เข้ามาในสำนักหมอหลวงได้อย่างราบรื่น และกลายเป็นหมอหญิงค
“ข้าย่อมอยากไป!”“ใครจะคิดว่าช่วงเย็นจะมีคนมาหาข้า ต้องการให้ข้าทำบางอย่างระหว่างการผ่าตัดวันนี้ หน้าที่คือต้องทำให้การผ่าตัดนี้ล้มเหลว เพื่อทำลายชื่อเสียงหมอเทวดาของแม่นางอวิ๋น”“หากใช้โอกาสนี้ยุแยงให้จวนแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินกับแม่นางอวิ๋นเป็นศัตรูกันได้ ก็ยิ่งเป็นการดี!”เซียวจิ่งอี้ฟังมาถึงตรงนี้ ก็เอ่ยถามว่า “คนผู้นั้นที่มาหาเจ้าคือใคร?”หมอหญิงซุนส่ายศีรษะ “ข้าไม่รู้จักคนผู้นั้น”“เขาสวมชุดขันที จากน้ำเสียงและท่าทาง น่าจะเป็นขันทีในวัง”อวิ๋นฝูหลิงคิดว่าคนผู้นั้นที่มาหาหมอหญิงซุนคือกุญแจสำคัญขอเพียงหาคนผู้นั้นเจอ ก็จะรู้ได้ว่าผู้ที่วางแผนร้ายอยู่เบื้องหลังพวกเขาคือใครอวิ๋นฝูหลิงออกคำสั่งกับเหยากวง “เจ้าไปเอาถ่านไม้มาจากห้องครัวสักหน่อย ตัดให้เป็นแท่งถ่านหนาเท่านิ้วก้อย”เหยากวงพยักหน้า และให้คนไปนำของมาทันทีฮูหยินฉู่ออกคำสั่งไว้ก่อนแล้วว่า ไม่ว่าพวกอวิ๋นฝูหลิงต้องการสิ่งใด ก็ต้องได้รับความพึงพอใจก่อนแท่งถ่านจะถูกนำมา อวิ๋นฝูหลิงก็ถามต่อว่า “คนผู้นั้นต้องการให้เจ้าลงมือระหว่างการผ่าตัด แล้วเหตุใดเจ้าต้องรอให้การผ่าตัดเสร็จสิ้นก่อนแล้วจึงค่อยลงมือเล่า?”หมอหญิงซุนหลุบ
แม้หมอหญิงซุนจะโหดเหี้ยม แต่กลับน่าสงสารเช่นกันในยามนี้เอง เหยากวงก็ถือแท่งถ่านกลับมาพอดีอวิ๋นฝูหลิงรับแท่งถ่านแท่งหนึ่งมา ใช้ผ้าห่อ หลังจากนั้นก็เผยส่วนที่ถูกตัดจนเป็นปลายแหลมเล็กออกมานางพูดกับหมอหญิงซุนว่า “เจ้าจำขันทีผู้นั้นที่มาหาเจ้าได้หรือไม่ ว่ามีลักษณะเช่นไร?”หมอหญิงซุนหยักหน้า “จำได้เจ้าค่ะ”“เช่นนั้นเจ้าอธิบายมาให้ละเอียด เขามีหน้าตาอย่างไร? ดวงตาเล็กหรือใหญ่? มีลักษณะพิเศษอันใดหรือไม่...”ตามคำอธิบายของหมอหญิงซุน อวิ๋นฝูหลิงถือดินสอถ่านวาดลงบนกระดาษนางไม่ได้วาดรูปมานานมากแล้ว โชคดีที่ทักษะการวาดรูปในชีวิตก่อนยังคงอยู่เซียวจิ่งอี้มองอวิ๋นฝูหลิงที่ขีดเขียนลงบนกระดาษ ผ่านไปไม่นาน ภาพของคนผู้หนึ่งก็ปรากฏบนกระดาษภาพเหมือนนั้นดูสมจริงมาก วิธีที่อวิ๋นฝูหลิงใช้วาดภาพก็ต่างจากในยุคนี้มากเขาไม่เคยเห็นวิธีวาดภาพเช่นนี้มาก่อนเซียวจิ่งอี้อดไม่ได้ที่จะเผยความแปลกใจจากในก้นบึ้งของดวงตาขึ้นมาพระชายาผู้นี้ของเขา ยังซ่อนความสามารถติดตัวที่เขาไม่รู้ไว้อีกกี่มากน้อยกันแน่?หลังจากหมอหญิงซุนเห็นภาพเหมือนที่อวิ๋นฝูหลิงวาด ก็พยักหน้าซ้ำ ๆ “เป็นเขา! เป็นเขาเจ้าค่ะ!”คิดไม่ถึ
เทียนเฉวียนได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันทีว่าท่านอ๋องคิดจะนั่งรอลาภลอยในเมื่อเวินเจาผู้นั้นเป็นนายน้อยเผ่าเยว่ สถานะในเผ่าเยว่ก็ย่อมไม่ธรรมดาหลังจากคนแคว้นเยว่เหล่านั้นรู้ข่าวว่าเวินเจาถูกจับตัวมา จะต้องคิดหาวิธีมาช่วยเขาออกไปเป็นแน่เทียนเฉวียนไปทำตามคำสั่งของเซียวจิ่งอี้ทันทีทว่าหลังจากรอมาสามวัน ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวจากทางด้านเวินเจาแม้แต่น้อยเซียวจิ่งอี้ตระหนักได้ว่าตัวเองเจอคู่ต่อสู้เข้าแล้วราชครูแคว้นเยว่หลบหนีเก่งมาก ทำให้ยามนี้เขารู้สึกจนปัญญาอยู่บ้างหากพูดตามหลักการแล้ว คนแคว้นเยว่เหล่านั้นต้องการฟื้นฟูแคว้น ตัวตนของเวินเจาซึ่งมีสายเลือดราชวงศ์ จึงทำให้พวกเขามีเหตุผลอันชอบธรรมมิเช่นนั้นอาศัยเพียงราชครูผู้นั้น คนแคว้นเยว่ที่เหลือจะเชื่อฟังคำสั่งเขาได้อย่างไร?ทว่าหลังจากผ่านไปนาน คนแคว้นเยว่เหล่านั้นกลับไม่มีท่าทีว่าจะมาช่วยเวินเจาแม้แต่น้อยนี่หมายความว่ามองแผนของเขาออกใช่หรือไม่? หรือคิดว่ายามนี้ไม่ใช่จังหวะที่ดีในการช่วยเหลือ จึงกำลังวางแผนและเฝ้าดูอยู่?หรือคนแคว้นเยว่ยอมแพ้เรื่องนายน้อยเวินเจาผู้นี้แล้ว?เซียวจิ่งอี้คิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนแ
ทหารชั้นผู้น้อยคนนั้นได้กลิ่นเลือดจาง ๆ สายหนึ่งกลิ่นเลือดจางมาก จนแทบไม่ได้กลิ่นแต่เขาเกิดมาพร้อมจมูกที่อ่อนไหวต่อกลิ่น แค่เพียงกลิ่นจาง ๆ ก็สามารถได้กลิ่นเช่นกันทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินหลายก้าว ไล่ตามสือจ่างซึ่งเป็นผู้นำไปยามนี้สือจ่างเดินออกมาจากเรือนแล้ว ทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินไปตรงหน้าสือจ่าง และกระซิบไม่กี่ประโยคก้นบึ้งในดวงตาของสือจ่างฉายแววประหลาดใจ และหันกลับไปมองลานบ้านด้านหลังในลานบ้าน ชายวัยกลางคนกับหญิงสาวผู้งดงามเห็นว่าในที่สุดทหารก็ตรวจค้นเสร็จแล้ว จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกใครจะรู้ว่ายังไม่ทันถอนหายใจเสร็จ ประตูเรือนกลับถูกคนพังเปิดเข้ามาอย่างกะทันหันกลุ่มทหารที่เข้ามาตรวจค้นก่อนหน้านี้บุกเข้ามาอีกครั้งชายวัยกลางคนเห็นเช่นนั้นก็ใจเต้นแรง แต่บนใบหน้ากลับยังสงบ และก้าวออกมาด้วยรอยยิ้มคาดไม่ถึงว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก สือจ่างผู้นั้นซึ่งเป็นหัวหน้าก็ผลักเขาไปด้านข้าง ก่อนออกคำสั่งเสียงเคร่งขรึมว่า “ค้นหาทั้งในและนอกเรือนใหม่อีกครั้ง ค้นให้ละเอียด!”ทหารทุกคนตอบรับ และแยกย้ายไปค้นหาอีกครั้งทันทีทหารชั้นผู้น้อยซึ่งประสาทรับกลิ่นไวยืนอยู่ที่เดิม จมูกขยับฟ
“ขอรับ” เทียนซูรับคำสั่งก่อนจะถอยออกไปผ่านไปไม่นาน เทียนซูก็กลับมา“ท่านอ๋อง ผู้ดูแลหอจินอวี้กับพนักงานยืนยันศพกันหมดแล้วขอรับ แน่ใจแล้วว่าเป็นคนที่อยู่ข้างตัวราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้น”เซียวจิ่งอี้ใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า “คนผู้นี้ถูกจับได้ที่ใด?”“ถูกจับที่ตรอกหูลู่ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองขอรับ” เทียนซูตอบกลับเซียวจิ่งอี้กล่าวทันที “ไปเอาแผนที่จินโจวมา”ผ่านไปไม่นาน แผนที่จินโจวก็ถูกแขวนขึ้นเซียวจิ่งอี้เดินไปข้างหน้าแผนที่ หาตำแหน่งตรอกหูลู่บนแผนที่เขายื่นมือออกไปแตะบนแผนที่ หลังจากนั้นก็วงขอบเขตโดยประมาณและกล่าวว่า“ถ่ายทอดคำสั่ง ให้คนไปค้นหาทุกซอกทุกมุมของตรอกหูลู่”คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ย่อมไม่ปรากฏตัวที่ตรอกหูลู่โดยไม่มีสาเหตุบางทีสถานที่ซ่อนตัวของพวกเขา อาจจะอยู่ใกล้ตรอกหูลู่นอกจากนี้คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ยังกัดลิ้นปลิดชีพตัวเอง ไม่ให้ความหวังตัวเองว่าจะมีชีวิตรอดเลย เห็นได้ชัดว่าทำเพื่อปกป้องใครบางคนดูท่าคนรอบกายราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้นจะจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่งการเดินทางมาจินโจวครั้งนี้ของเขา ไม่แน่คนข้างกายที่พามาอาจจะล้วนเป็นคนสนิททั้งสิ้นหากคนสนิทเห
จิตรกรฝีมือดีเช่นนี้ เหตุใดจึงถูกเซียวจิ่งอี้เชิญไปได้ง่าย ๆยิ่งไปกว่านั้นจิตรกรฝีมือดีเหล่านั้นก็ยังไม่เคยเห็นพวกท่านจอมปราชญ์เหวินมาก่อน เหตุใดจึงสามารถวาดภาพเหมือนจากความว่างเปล่าให้เหมือนพวกเขาโดยสมบูรณ์ได้?นอกจากนี้ท่านจอมปราชญ์เหวินอยู่ที่จินโจวมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินว่าในจินโจวมีจิตรกรชื่อดังอันใดเลยตั้งแต่เขาหลบหนีจากหอจินอวี้มาจนถึงตอนนี้ ก็ยังผ่านไปไม่พ้นครึ่งวันเสียด้วยซ้ำภายในระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมีคนที่สามารถวาดภาพพวกเขาออกมาได้มากมายเช่นนี้?ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินไม่อยากจะเชื่อแต่เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาพูดจาหนักแน่น เขาก็ไม่กล้าคิดไปเองมากเกินไปไม่รู้เพราะเหตุใด เขามักรู้สึกว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเซียวจิ่งอี้ จะมีความแปลกประหลาดมากเสมอบางทีอาจมีคนมากความสามารถอยู่ข้างกายเซียวจิ่งอี้จริง ๆ ซึ่งสามารถวาดภาพเหมือนออกมาได้เหมือนจริงโดยสมบูรณ์ โดยที่อาศัยเพียงคำอธิบายไม่กี่ประโยคยามนี้คนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา ต่างเป็นคนที่เคยปรากฏตัวที่หอจินอวี้หากข้างกายเซียวจิ่งอี้มีจิตรกรฝีมือดีอยู่จริง ๆ เกรงว่าคนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา คงล้วนถูกวาด
ท่านจอมปราชญ์เหวินได้แต่แสร้งทำเป็นผ่านทางมา และรีบพาคนจากไปยามที่ออกมาจากหอจินอวี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็ถอดหน้ากากออกการสวมหน้ากากเดินบนท้องถนน จะยิ่งดึงดูดความสนใจหลังจากถอดหน้ากาก รูปลักษณ์ของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก ในฝูงชนจึงแทบไม่มีใครสังเกตเห็นเมื่อคิดว่าแผนการของตนล้มเหลว จนถูกเซียวจิ่งอี้ไล่ล่าราวกับสุนัขไร้บ้านตัวหนึ่ง อีกทั้งนายน้อยเผ่าเยว่เป็นหรือตายก็ไม่อาจรู้ได้ ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินจึงหดหู่เป็นอย่างยิ่งเป็นความผิดของเซียวจิ่งอี้!ท่านจอมปราชญ์เหวินรู้สึกราวกับว่าเซียวจิ่งอี้เกิดมาเพื่อเป็นหายนะของเขาเขาวางแผนจัดการเซียวจิ่งอี้หลายครั้ง แต่ก็ถูกอีกฝ่ายหลบเลี่ยงได้ทุกครั้งเมื่อเขาคิดจะฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวายให้แคว้นต้าฉี ก็จะถูกเซียวจิ่งอี้ทำลายแผนการเสมอยามนี้เมื่อนึกถึงเซียวจิ่งอี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็โกรธจนกัดกรามในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นี้ เขายังไม่มีกำลังที่จะโต้กลับได้รอก่อนเถอะรอให้เขากลับไปที่เมืองหลวง ก็จะสามารถอาศัยอำนาจขององค์ชายสาม จัดการเซียวจิ่งอี้ให้สิ้นซาก!ท่านจอมปราชญ์เหวินกัดฟัน ขณะที่สีหน้ามืดครึ้มผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดท่านจอมป
อวิ๋นฝูหลิงยังจำเรื่องที่เซียวจิ่งอี้ขอให้นางวาดภาพเหมือนได้หลังจากพบเซียวจิ่งอี้ ทั้งสองคนก็ไปยังคุกที่ขังผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ไว้เมื่อพูดถึงแขกผู้มีเกียรติบนชั้นสามของหอจินอวี้ ผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ก็ต่างจดจำได้เป็นอย่างดีชั้นสามของหอจินอวี้ ไม่ใช่ว่าใครต่างก็มีสิทธิ์ขึ้นไปได้นี่เป็นอุบายที่หอจินอวี้โยนออกมา เป็นวิธีดึงดูดลูกค้าเพื่อสร้างกำไรแบบหนึ่งผู้ที่สามารถขึ้นไปชั้นสามของหอจินอวี้ได้ หมายความว่าเป็นคนที่มีสถานะและทักษะการพนันสูงแต่กลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน กลับเป็นเวินเจาพาขึ้นไปด้วยตัวเองนับตั้งแต่เวินจือเหิงนอนป่วยติดเตียง อำนาจทั้งหมดของสกุลเวินก็ตกไปอยู่ในมือของเวินเจาเวินเจาพาคนไปพักอยู่ที่ชั้นสามของหอจินอวี้ ทั้งยังบอกให้ปรนนิบัติกลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน เหล่าคนของหอจินอวี้ย่อมไม่กล้าไม่เชื่อฟังไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลของหอจินอวี้ หรือพนักงาน ยามนี้เมื่อถูกขังอยู่ในคุก ทุกคนก็หวาดกลัวอยู่ตลอดเมื่อเห็นการสืบสวนก่อนหน้านี้ของเซียวจิ่งอี้ คนเหล่านี้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง และออกไปจากคุกโดยเร็ว ทุกคนต่างก็แย่งชิงกันเป็นคนแรกเพราะกล
“พี่สาม ทางด้านเมืองหลวงมีข่าวคราวบ้างหรือไม่?”“พวกท่านปู่โอวหยางคิดค้นเทียบยาใหม่ที่ใช้รักษาผู้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองได้แล้วหรือไม่?”หลังจากค้นพบขี้ผึ้งทอง อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงพวกรองเจ้าสำนักโอวหยางกับหมอหลวงจงมาร่วมศึกษาด้วยกัน ทั้งยังเขียนจดหมายส่งให้นายท่านผู้เฒ่าหาง รวมถึงส่งข้อมูลที่เกี่ยวกับชีพจรและการรักษาให้เขาด้วยแม้เมืองหลวงกับจินโจวจะเป็นสถานที่ที่ได้รับผลกระทบจากขี้ผึ้งทองมากที่สุด แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าที่อื่นจะไม่ได้รับผลกระทบถึงอย่างไรการค้าของแคว้นต้าฉีก็เจริญรุ่งเรืองมาก จากใต้ขึ้นเหนือมีพ่อค้ามากมาย บางทีอาจจะมีคนที่เดินทางระหว่างเมืองหลวงกับจินโจว ซื้อขี้ผึ้งทองติดไปด้วยสองสามกล่องก็เป็นได้อวิ๋นฝูหลิงคิดว่านางออกจากเมืองหลวงมาหลายวันถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าทางด้านเมืองหลวงจะมีความคืบหน้าใหม่อันใดบ้างตั้งแต่อวิ๋นฝูหลิงกลับมาถึงจินโจว ก็ยุ่งอยู่กับการรักษาผู้ป่วยมาโดยตลอด หางซานสุ่ยจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับนางตอนนี้เมื่อเห็นว่าอวิ๋นฝูหลิงเป็นฝ่ายถามขึ้นมา หางซานสุ่ยก็นับว่ามีโอกาสแล้วเขาหยิบจดหมายสองสามฉบับออกมาจากในโต๊ะ“จดหมายพวกนี้ถูกส่ง
แม้ว่าราชครูแคว้นเยว่จะหนีไปแล้ว แต่เขาอยู่ที่หอจินอวี้ตั้งหลายวัน จึงมักจะมีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายจนเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงแม้เขาจะใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าอยู่เสมอ จึงไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนรอบตัวเขาทุกคนจะสวมหน้ากากกระมัง?เริ่มต้นไล่ไปจากผู้ใต้บังคับบัญชา บางทีอาจจะค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ก็เป็นได้เซียวจิ่งอี้ตัดสินใจไต่สวนผู้ดูและกับพนักงานเหล่านั้นของหอจินอวี้ยังมีทักษะการวาดภาพเหมือนอันยอดเยี่ยมของอวิ๋นฝูหลิง จะต้องจับพวกปลาซิวปลาสร้อยพวกนั้นได้เป็นแน่แม้ว่ากลุ่มของราชครูแคว้นเยว่จะฉวยโอกาสวางเพลิงเพื่อหนีออกไปจากหอจินอวี้ แต่ประตูเมืองจินโจวก็ปิดอยู่ ยามนี้พวกเขาคงยังซ่อนตัวอยู่ในเมืองนอกจากนี้ มีบางสิ่งที่ต้องจัดการด้วยเช่นกันเซียวจิ่งอี้ยืนอยู่หน้าประตูสำนักผิงอัน หันกลับมามองอวิ๋นฝูหลิงที่กำลังยุ่งคราหนึ่งเพียงชั่วครู่เดียว เขาก็พลิกร่างขึ้นหลังม้า มุ่งตรงไปยังที่ว่าการเมืองจินโจวครึ่งชั่วยามต่อมา มีประกาศใบหนึ่งถูกนำมาติดไว้ที่ประตูที่ว่าการทั้งยังมีคนตีฆ้องจากที่ว่าการ อ่านเนื้อหาในประกาศไปทั่วเมืองประกาศนี้กล่าวถึงอันตรายของขี้ผึ้งทอง
“ข้าอยากจับคนร้ายที่กระทำความผิด ให้ได้แบบคาหนังคาเขา”“แต่ไม่คิดเลยว่าคนผู้นั้นจะโหดเหี้ยมถึงขั้นเสียสติ ตั้งใจวางเพลิงในหอจินอวี้ เพื่อหลบหนีการไล่ล่า”“เป็นเพราะข้าไม่รอบคอบ ทำให้ผู้บริสุทธิ์ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตราย”“วันนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเพราะเหตุเพลิงไหม้ที่หอจินอวี้ ค่ารักษาและค่ายาข้าจะจ่ายให้เอง”“นอกจากนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จะได้รับห้าตำลึง ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักจะได้รับสิบตำลึง”“ได้ยินว่ามีสองคนที่ถูกไฟไหม้จนบาดเจ็บสาหัส สองคนนี้จะได้รับยี่สิบตำลึง”“เงินเหล่านี้ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า ที่อยากจะรักษาร่างกายเหล่าผู้บาดเจ็บ”“ข้าจะให้คนนำเงินมามอบให้ในภายหลัง!”ผู้บาดเจ็บทุกคนได้ยินเช่นนั้น ความไม่พอใจที่สุมอยู่ในอกก็หายไปกว่าครึ่งทันทีตอนนี้เมื่อย้อนคิดดูแล้ว เมื่อคืนยามที่หอจินอวี้ถูกปิดล้อม ผู้นำคนนั้นก็บอกว่าทำเพื่อสืบคดีบางอย่างจริง ๆคิดดูอีกครายามนั้นที่เกิดเพลิงไหม้ ทหารเหล่านั้นก็มิได้บังคับขังพวกเขาไว้ในหอจินอวี้ ทว่ากลับรีบเข้ามาในหอเพื่อดับไฟช่วยคนหากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เกรงว่าพวกเขาคงไม่ใช่แค่ได้รับบาดเจ็บ แต่กว่าครึ่งคงตายตกไปในเหตุเพ