พระชายาคังจวิ้นอ๋องก็ประหม่าเช่นกัน อย่างไรก็ตามอีกเดี๋ยวคนที่จะถูกผ่าท้องคือลูกสาวของตนเองไม่เพียงพวกนางสองแม่ลูก คนอื่นก็ประหม่าไม่มากก็น้อยเช่นกันมีเพียงคนเดียวที่ไม่ประหม่าก็คงเป็นอวิ๋นฝูหลิงแล้วชาติที่แล้วนางเคยทำการผ่าตัดเช่นนี้ครั้งนับไม่ถ้วน ชินนานแล้วฮูหยินน้อยฉู่เห็นท่าทางของอวิ๋นฝูหลิงดูสงบมาก ราวกับมีความมั่นใจในการผ่าตัดของวันนี้มากความประหม่าของนางจึงจะบรรเทาลงบ้างฮูหยินน้อยฉู่ถูกส่งเข้าไปในห้องคลอด ส่วนพระชายาคังจวิ้นอ๋องถูกอวิ๋นฝูหลิงห้ามไว้ที่นอกห้องคลอดอย่างไรก็ตามอีกเดี๋ยวจะเป็นภาพที่นองเลือด นางกลัวพระชายาคังจวิ้นอ๋องที่เป็นแม่คนนี้รับไม่ไหว จะส่งผลกระทบต่อการผ่าตัดสกุลฉู่ทำตามคำขอของอวิ๋นฝูหลิง เลือกห้องที่สะอาด กว้าง และแสงดีมากมาทำเป็นห้องคลอดภายในห้องคลอดมีแค่เตียงนอนหนึ่งเตียง โต๊ะหนึ่งตัว และเก้าอี้อีกสองสามตัวและรมควันชางจู๋ทั้งห้องตามที่อวิ๋นฝูหลิงบอกหนึ่งรอบก่อนฮูหยินน้อยฉู่เข้าห้องคลอด ก็ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรียบง่ายและสะอาดแล้วหลังจากเข้าห้องคลอด นางถอดเสื้อชั้นนอก สวมเพียงเสื้อชั้นในนอนลงบนเตียงไม้ด้านบนของเตียงไม้ มีผ้าม่านแขว
พลันอวิ๋นฝูหลิงเหลือบไปมอง หมอหญิงติงจึงจะรู้ตัวว่าไม่ควรส่งเสียง รีบยกมือปิดปากทันทีอวิ๋นฝูหลิงกลับเริ่มไม่ปลื้มแล้วแค่นี้ก็เอะอะส่งเสียงดัง ขวัญอ่อนเกินไปแล้วนางหันไปมองเหยากวงแวบหนึ่งเหยากวงเดินเข้าไปหิ้วหมอหญิงติง โยนนางออกจากห้องคลอดโดยตรงเมื่อหมอหญิงติงออกจากห้องคลอด ก็ถูกสายตาหลายคู่จ้องมองหมอหลวงรีบเดินเข้าไปสอบถามทันที “เจ้าออกมาได้อย่างไร สถานการณ์ข้างในเป็นอย่างไรบ้าง?”เพราะเหยากวงโยนคนออกมาก็กลับเข้าไปแล้ว การเคลื่อนไหวของนางเร็วมาก ทำให้อยากถามนางก็ถามไม่ทันภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สายตาของทุกคนจ้องไปที่หมอหญิงติงหมอหญิงติงรู้ว่าตัวเองทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม ถูกอวิ๋นฝูหลิงรังเกียจแล้วหมอหลวงจงมาถามเวลานี้ นางยิ่งอับอายแล้วใบหน้าของนางแดงก่ำ พูดจาอ้ำอึ้ง “การผ่าตัดเริ่มแล้ว ข้า…ข้าไม่กล้าลงมีด ก็เลยออกมาแล้ว”หมอหลวงจงมองนางอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง เริ่มขมวดคิ้วในเมื่อเป็นการผ่าท้องทำคลอด ย่อมขาดการลงมีดไม่ได้เรื่องนี้นางรู้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือในเมื่อกลัวลงมีด เหตุใดยังต้องตอบตกลงตามโอวหยางหมิงมา?ความสามารถในการเลือกคนของโอวหยางหมิง ต้องพัฒนาแล้วจริงๆแ
อวิ๋นฝูหลิงตรวจดู จมูกของเด็กไม่มีน้ำคร่ำอุดตัน แล้วก็มองหว่างขาของเด็กแวบหนึ่งเป็นเด็กผู้ชายเด็กออกจากน้ำคร่ำของมารดา ราวกับรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ก็ร้องไห้อุแว้ๆ เสียงดังทันทีแต่ว่าเสียงกลับเบากว่าเด็กทารกทั่วไปแม้ไม่ได้เสียงดังมาก แต่ทุกคนที่รออยู่นอกห้องคลอดยังได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กทารกชั่วขณะฉู่หมิงตะลึงเล็กน้อย เงยหน้ามองไปทางฮูหยินฉู่ กล่าวอย่างเหม่อลอย “ท่านแม่ ท่านได้ยินเสียงอะไรหรือไม่?”ฮูหยินฉู่ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กเช่นกันแต่นี่ก็เร็วเกินไปแล้วตั้งแต่พวกเขาเข้าไปจนถึงตอนนี้ ยังไม่ถึงครึ่งชั่วยามเลยนี่ก็คลอดแล้ว?พระชายาคังจวิ้นอ๋องกล่าวอย่างตื่นเต้น “เป็นเสียงร้องไห้ของเด็ก!”“คลอดแล้ว คลอดแล้ว!”“แต่ไม่รู้ว่าเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง?”เมื่อได้ยินเสียงรอบข้าง ฉู่หมิงมั่นใจแล้วว่าเมื่อครู่ตัวเองไม่ได้หูฝาดลูกของเขาเกิดแล้ว!ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุข ตื่นเต้นจนจะวิ่งเข้าห้องคลอดโชคดีที่ฮูหยินฉู่ดึงเขาไว้ทันเวลา“เจ้ารีบร้อนอะไร รอเฉยๆ ก่อน!”รอในห้องคลอดจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว หมอตำแยต้องอุ้มเด็กออกมาให้พวกเขาดูแน่น
ฮูหยินฉู่กับพระชายาคังจวิ้นอ๋องอุ้มเด็กคนละคน ยิ้มตาหยีจนเห็นฟันฝาแฝดชายหญิง!คราวนี้มีลูกชายลูกสาวครบแล้วฮูหยินฉู่นึกถึงพุทธองค์ในใจ สกุลฉู่มีผู้สืบทอดแล้วกลับไปนางก็เขียนจดหมาย บอกข่าวดีนี้ให้กับสามีที่อยู่ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือรู้ถ้าหากสามีรู้ว่าเขามีหลานชายและหลานสาวในคราวเดียว ไม่รู้ว่าจะดีใจแค่ไหน!พระชายาคังจวิ้นอ๋องอุ้มเด็กไว้ อิ่มเอมใจมากเช่นกันทั้งชีวิตของผู้หญิง สิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องมีลูกของตัวเองลูกสาวให้กำเนิดชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ชีวิตที่เหลือไม่มีอะไรต้องกังวลแล้วนึกถึงลูกสาว พระชายาคังจวิ้นอ๋องอดไม่ได้ที่จะชูคอมองเข้าไปในห้องคลอดลูกเกิดแล้ว เหตุใดในห้องคลอดยังไม่มีการเคลื่อนไหว?คังจวิ้นอ๋องยืนอยู่ที่ด้านข้างพระชายาคังจวิ้นอ๋อง ประเดี๋ยวดูหลานชาย ประเดี๋ยวดูหลานสาว มองอย่างไรก็รักอย่างนั้นเพราะเด็กทั้งสองคลอดก่อนกำหนด ไม่เพียงน้ำหนักตัวเบากว่าเด็กทารกที่คลอดปกติ เสียงร้องไห้ก็อ่อนมากดังนั้นฮูหยินฉู่จึงเชิญหมอหลวงจงช่วยตรวจดูเด็กทั้งสองคนหลังจากหมอหลวงจงตรวจเสร็จ เด็กสองคนนี้นอกจากคลอดกำหนด ร่างกายอ่อนแอ ก็ไม่มีปัญหาอย่างอื่นอีกวันข้างหน้าดูแลอ
“คนเข้าไปในห้องคลอดเยอะเกินไปไม่ได้ พวกท่านลองปรึกษากันก่อน ทางที่ดีช่วงนี้กำหนดคนที่เข้าออกได้สองสามคน คนอื่นพยายามอย่าเข้าใกล้ห้องคลอด”“ก่อนที่จะเข้าไปทุกครั้ง คนที่ถูกกำหนดต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า รักษาความสะอาด เพื่อป้องกันไม่ให้นำเชื้อโรคเข้าไปติดบาดแผล”“ไม่เช่นนั้นถ้าหากบาดแผลติดเชื้อ จะอักเสบจนเสียชีวิตได้”แม้ฉู่หมิงและคนอื่นไม่รู้ว่าเชื้อโรคและติดเชื้อที่อวิ๋นฝูหลิงพูดคืออะไร แต่ก็พอจะเข้าใจความหมายคร่าวๆ แล้วฮูหยินฉู่ตอบทันที “พวกเราเข้าใจแล้ว”อวิ๋นฝูหลิงกล่าวอีก “รอหลังจากนางฟื้น พวกท่านอย่าเพิ่งให้นางกินอะไร”“คืนนี้ข้าจะอยู่ดูแลนางเอง”อวิ๋นฝูหลิงยินดีอยู่ต่อ ถือเป็นเรื่องดีสำหรับสกุลฉู่ฮูหยินฉู่กล่าวขอบคุณด้วยสีหน้าตื้นตันเมื่อเห็นสีหน้าที่เหนื่อยล้าของอวิ๋นฝูหลิง นางกล่าวทันที “วันนี้ลำบากพระชายาแล้ว เรือนเล็กอวี้หลานที่อยู่ข้างๆ มีเข้าของที่จำเป็นครบทุกอย่าง หากพระชายาไม่รังเกียจ สามารถไปพักที่เรือนเล็กอวี้หลานก่อนได้”ฮูหยินฉู่สั่งให้หัวหน้าสาวใช้ที่อยู่ข้างกาย ส่งอวิ๋นฝูหลิงไปเรือนเล็กอวี้หลาน อวิ๋นฝูหลิงผ่าตัดนานเช่นนี้ ก็เริ่มเหนื่อยแล้วจริงๆนาง
อวิ๋นฝูหลิงลุกขึ้นล้างหน้า ก็ไปที่ห้องคลอดแล้วฮูหยินน้อยฉู่ฟื้นแล้ว กำลังสนทนากับพระชายาคังจวิ้นอ๋องและยังหันไปมองฝาแฝดชายหญิงที่วางอยู่ข้างกายนางเป็นระยะ บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่พึงพอใจเมื่อเห็นอวิ๋นฝูหลิงมา คนในห้องหันไปมองนางพร้อมกันอวิ๋นฝูหลิงเดินเข้าไปถามไถ่ฮูหยินน้อยฉู่สองสามคำ เมื่อเห็นนางมีสติดี ก็ยื่นมือไปกดท้องของนาง ขับน้ำคาวปลาออกไปให้เร็วที่สุดแม้ก่อนอวิ๋นฝูหลิงกดได้บอกฮูหยินน้อยฉู่แล้ว จะได้ให้นางเตรียมใจไว้ก่อนแต่ฮูหยินน้อยฉู่ก็ยังรู้สึกเจ็บมากอวิ๋นฝูหลิงกดไปสองสามที เมื่อเห็นฮูหยินน้อยเจ็บมาก เริ่มจะทนไม่ไหว จึงหยุดแล้วฮูหยินน้อยฉู่รู้สึกดีขึ้นจึงกล่าวถาม “พระชายาอี้อ๋อง ข้าสามารถกินได้ตอนไหน?”นางเริ่มอดอาหารตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ตอนนี้ทั้งเจ็บทั้งหิ้วอวิ๋นฝูหลิงกล่าว “เมื่อไรที่เจ้าขับลมแล้ว ก็สามารถกินได้เมื่อนั้น”“ขับลม?” ฮูหยินน้อยฉู่งงงายอวิ๋นฝูหลิงอธิบายตรงๆ ทันที “ก็คือผายลมนั่นแหละ”ฮูหยินน้อยฉู่หน้าแดงทันทีคนอื่นที่อยู่ภายในห้องก็อึดอัดเล็กน้อยอวิ๋นฝูหลิงกลับดูเฉยๆหลังจากนางตรวจดูอาการของฮูหยินน้อยฉู่และให้คำแนะนำทางการแพทย์ ก็ไ
ทว่าโอวหยางหมิงกับนายท่านผู้เฒ่าหางสบตากันแวบหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง อาจารย์ของพวกเขามีฝีมือการแพทย์ที่ไร้เทียมทาน ไม่มีใครสามารถเทียบได้ตอนที่อาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ ก็มีความคิดที่แปลกประหลาดมากมายพวกเขายังเคยเห็นบันทึกเล่มหนึ่งของอาจารย์ ข้างบนนั้นก็ได้เขียนฝีมือการแพทย์ที่เพ้อฝันอย่างการเปลี่ยนเลือด การผ่าเย็บท้องต่างๆเพียงแต่อาจารย์เคยลองพยายามอยู่นาน แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จเลยต่อมาอาจารย์ก็ผิดหวังหมดกำลังใจ ดื่มเหล้าเมามาย หัวเราะเยาะตัวเองเพ้อฝันหลังจากตื่น อาจารย์ก็ไม่เคยทำการทดลองพวกนั้นอีกเลย บันทึกเล่มนั้นก็ไม่รู้ว่าถูกเขาเอาไปโยนทิ้งที่ไหนแล้วฝีมือการแพทย์ที่แม้แต่อาจารย์ก็ทำไม่สำเร็จ อวิ๋นฝูหลิงไปเรียนรู้กับผู้วิเศษท่านหนึ่งได้อย่างไร?ผู้วิเศษ?หรือเป็นผู้วิเศษของเกาะเย่าหวัง?อาจารย์ก็มาจากเกาะเย่าหวัง ฝีมือการแพทย์ของเขาก็เรียนมาจากเกาะเย่าหวังเพียงแต่เกาะเย่าหวังในสายตาคนทั่วไป ก็เหมือนกับเป็นแค่ตำนานมีเพียงผู้ที่ถูกลิขิต จึงจะสามารถเข้าสู่เกาะเย่าหวังไม่ว่าเจ้าป่วยเป็นโรคอะไร ขอแค่ไปถึงเกาะเย่าหวัง ก็สามารถได้รับการรักษาแต่ไม่
หลังมื้ออาหารเย็น อวิ๋นฝูหลิงก็เดินเล่นอยู่ในสวนรอบหนึ่ง และถือโอกาสไปดูฮูหยินน้อยฉู่ที่ห้องคลอดหลังจากยาชาหมดฤทธิ์ ฮูหยินน้อยฉู่ก็เริ่มรู้สึกปวดบาดแผลบนท้องขึ้นมาแรกเริ่มราวกับมีบางสิ่งคั่นอยู่ชั้นหนึ่ง ความเจ็บปวดไม่ได้รุนแรงมากถึงเพียงนั้นหลังจากนั้นก็ค่อย ๆ เจ็บมากขึ้นทุกที ก่อนฮูหยินน้อยฉู่จะเจ็บปวดจนทนไม่ไหวฉู่หมิงเห็นเช่นนั้น ก็กำลังจะให้คนไปเชิญอวิ๋นฝูหลิง ใครจะรู้ว่าทันใดนั้นเองอวิ๋นฝูหลิงจะมาพอดี“พระชายาอี้อ๋อง” ฉู่หมิงประสานมือโค้งคำนับ กล่าวด้วยสีหน้าวิตก “ท่านรีบมาดูนางเถิด นางเริ่มร้องว่าเจ็บเมื่อช่วงเย็น ตอนนี้ความเจ็บปวดก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ”อวิ๋นฝูหลิงก้าวไปด้านหน้าเพื่อตรวจสอบครู่หนึ่ง“เป็นเพราะยาชาหมาเฟ่ยซ่านค่อย ๆ หมดฤทธิ์ ดังนั้นนางจึงรู้สึกเจ็บบาดแผลบนท้องมากขึ้นเรื่อยๆ”“นี่เป็นอาการปกติ โดยทั่วไปหลังผ่านไปเจ็ดวัน ความเจ็บปวดเช่นนี้ก็จะทุเลาลง หลังจากผ่านไปประมาณสิบวันก็จะแทบไม่เจ็บปวดแล้ว”ฮูหยินน้อยฉู่ได้ยินว่าต้องเจ็บปวดไปอีกนับสิบวัน ก็รู้สึกไม่ดีไปทั้งร่างเพราะตอนนี้นางไม่เพียงแต่เจ็บปวดอย่างยิ่งยวด ทว่ายังหิวมากด้วยตั้งแต่เมื่อวานตอนเย
เทียนเฉวียนได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันทีว่าท่านอ๋องคิดจะนั่งรอลาภลอยในเมื่อเวินเจาผู้นั้นเป็นนายน้อยเผ่าเยว่ สถานะในเผ่าเยว่ก็ย่อมไม่ธรรมดาหลังจากคนแคว้นเยว่เหล่านั้นรู้ข่าวว่าเวินเจาถูกจับตัวมา จะต้องคิดหาวิธีมาช่วยเขาออกไปเป็นแน่เทียนเฉวียนไปทำตามคำสั่งของเซียวจิ่งอี้ทันทีทว่าหลังจากรอมาสามวัน ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวจากทางด้านเวินเจาแม้แต่น้อยเซียวจิ่งอี้ตระหนักได้ว่าตัวเองเจอคู่ต่อสู้เข้าแล้วราชครูแคว้นเยว่หลบหนีเก่งมาก ทำให้ยามนี้เขารู้สึกจนปัญญาอยู่บ้างหากพูดตามหลักการแล้ว คนแคว้นเยว่เหล่านั้นต้องการฟื้นฟูแคว้น ตัวตนของเวินเจาซึ่งมีสายเลือดราชวงศ์ จึงทำให้พวกเขามีเหตุผลอันชอบธรรมมิเช่นนั้นอาศัยเพียงราชครูผู้นั้น คนแคว้นเยว่ที่เหลือจะเชื่อฟังคำสั่งเขาได้อย่างไร?ทว่าหลังจากผ่านไปนาน คนแคว้นเยว่เหล่านั้นกลับไม่มีท่าทีว่าจะมาช่วยเวินเจาแม้แต่น้อยนี่หมายความว่ามองแผนของเขาออกใช่หรือไม่? หรือคิดว่ายามนี้ไม่ใช่จังหวะที่ดีในการช่วยเหลือ จึงกำลังวางแผนและเฝ้าดูอยู่?หรือคนแคว้นเยว่ยอมแพ้เรื่องนายน้อยเวินเจาผู้นี้แล้ว?เซียวจิ่งอี้คิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนแ
ทหารชั้นผู้น้อยคนนั้นได้กลิ่นเลือดจาง ๆ สายหนึ่งกลิ่นเลือดจางมาก จนแทบไม่ได้กลิ่นแต่เขาเกิดมาพร้อมจมูกที่อ่อนไหวต่อกลิ่น แค่เพียงกลิ่นจาง ๆ ก็สามารถได้กลิ่นเช่นกันทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินหลายก้าว ไล่ตามสือจ่างซึ่งเป็นผู้นำไปยามนี้สือจ่างเดินออกมาจากเรือนแล้ว ทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินไปตรงหน้าสือจ่าง และกระซิบไม่กี่ประโยคก้นบึ้งในดวงตาของสือจ่างฉายแววประหลาดใจ และหันกลับไปมองลานบ้านด้านหลังในลานบ้าน ชายวัยกลางคนกับหญิงสาวผู้งดงามเห็นว่าในที่สุดทหารก็ตรวจค้นเสร็จแล้ว จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกใครจะรู้ว่ายังไม่ทันถอนหายใจเสร็จ ประตูเรือนกลับถูกคนพังเปิดเข้ามาอย่างกะทันหันกลุ่มทหารที่เข้ามาตรวจค้นก่อนหน้านี้บุกเข้ามาอีกครั้งชายวัยกลางคนเห็นเช่นนั้นก็ใจเต้นแรง แต่บนใบหน้ากลับยังสงบ และก้าวออกมาด้วยรอยยิ้มคาดไม่ถึงว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก สือจ่างผู้นั้นซึ่งเป็นหัวหน้าก็ผลักเขาไปด้านข้าง ก่อนออกคำสั่งเสียงเคร่งขรึมว่า “ค้นหาทั้งในและนอกเรือนใหม่อีกครั้ง ค้นให้ละเอียด!”ทหารทุกคนตอบรับ และแยกย้ายไปค้นหาอีกครั้งทันทีทหารชั้นผู้น้อยซึ่งประสาทรับกลิ่นไวยืนอยู่ที่เดิม จมูกขยับฟ
“ขอรับ” เทียนซูรับคำสั่งก่อนจะถอยออกไปผ่านไปไม่นาน เทียนซูก็กลับมา“ท่านอ๋อง ผู้ดูแลหอจินอวี้กับพนักงานยืนยันศพกันหมดแล้วขอรับ แน่ใจแล้วว่าเป็นคนที่อยู่ข้างตัวราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้น”เซียวจิ่งอี้ใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า “คนผู้นี้ถูกจับได้ที่ใด?”“ถูกจับที่ตรอกหูลู่ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองขอรับ” เทียนซูตอบกลับเซียวจิ่งอี้กล่าวทันที “ไปเอาแผนที่จินโจวมา”ผ่านไปไม่นาน แผนที่จินโจวก็ถูกแขวนขึ้นเซียวจิ่งอี้เดินไปข้างหน้าแผนที่ หาตำแหน่งตรอกหูลู่บนแผนที่เขายื่นมือออกไปแตะบนแผนที่ หลังจากนั้นก็วงขอบเขตโดยประมาณและกล่าวว่า“ถ่ายทอดคำสั่ง ให้คนไปค้นหาทุกซอกทุกมุมของตรอกหูลู่”คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ย่อมไม่ปรากฏตัวที่ตรอกหูลู่โดยไม่มีสาเหตุบางทีสถานที่ซ่อนตัวของพวกเขา อาจจะอยู่ใกล้ตรอกหูลู่นอกจากนี้คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ยังกัดลิ้นปลิดชีพตัวเอง ไม่ให้ความหวังตัวเองว่าจะมีชีวิตรอดเลย เห็นได้ชัดว่าทำเพื่อปกป้องใครบางคนดูท่าคนรอบกายราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้นจะจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่งการเดินทางมาจินโจวครั้งนี้ของเขา ไม่แน่คนข้างกายที่พามาอาจจะล้วนเป็นคนสนิททั้งสิ้นหากคนสนิทเห
จิตรกรฝีมือดีเช่นนี้ เหตุใดจึงถูกเซียวจิ่งอี้เชิญไปได้ง่าย ๆยิ่งไปกว่านั้นจิตรกรฝีมือดีเหล่านั้นก็ยังไม่เคยเห็นพวกท่านจอมปราชญ์เหวินมาก่อน เหตุใดจึงสามารถวาดภาพเหมือนจากความว่างเปล่าให้เหมือนพวกเขาโดยสมบูรณ์ได้?นอกจากนี้ท่านจอมปราชญ์เหวินอยู่ที่จินโจวมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินว่าในจินโจวมีจิตรกรชื่อดังอันใดเลยตั้งแต่เขาหลบหนีจากหอจินอวี้มาจนถึงตอนนี้ ก็ยังผ่านไปไม่พ้นครึ่งวันเสียด้วยซ้ำภายในระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมีคนที่สามารถวาดภาพพวกเขาออกมาได้มากมายเช่นนี้?ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินไม่อยากจะเชื่อแต่เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาพูดจาหนักแน่น เขาก็ไม่กล้าคิดไปเองมากเกินไปไม่รู้เพราะเหตุใด เขามักรู้สึกว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเซียวจิ่งอี้ จะมีความแปลกประหลาดมากเสมอบางทีอาจมีคนมากความสามารถอยู่ข้างกายเซียวจิ่งอี้จริง ๆ ซึ่งสามารถวาดภาพเหมือนออกมาได้เหมือนจริงโดยสมบูรณ์ โดยที่อาศัยเพียงคำอธิบายไม่กี่ประโยคยามนี้คนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา ต่างเป็นคนที่เคยปรากฏตัวที่หอจินอวี้หากข้างกายเซียวจิ่งอี้มีจิตรกรฝีมือดีอยู่จริง ๆ เกรงว่าคนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา คงล้วนถูกวาด
ท่านจอมปราชญ์เหวินได้แต่แสร้งทำเป็นผ่านทางมา และรีบพาคนจากไปยามที่ออกมาจากหอจินอวี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็ถอดหน้ากากออกการสวมหน้ากากเดินบนท้องถนน จะยิ่งดึงดูดความสนใจหลังจากถอดหน้ากาก รูปลักษณ์ของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก ในฝูงชนจึงแทบไม่มีใครสังเกตเห็นเมื่อคิดว่าแผนการของตนล้มเหลว จนถูกเซียวจิ่งอี้ไล่ล่าราวกับสุนัขไร้บ้านตัวหนึ่ง อีกทั้งนายน้อยเผ่าเยว่เป็นหรือตายก็ไม่อาจรู้ได้ ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินจึงหดหู่เป็นอย่างยิ่งเป็นความผิดของเซียวจิ่งอี้!ท่านจอมปราชญ์เหวินรู้สึกราวกับว่าเซียวจิ่งอี้เกิดมาเพื่อเป็นหายนะของเขาเขาวางแผนจัดการเซียวจิ่งอี้หลายครั้ง แต่ก็ถูกอีกฝ่ายหลบเลี่ยงได้ทุกครั้งเมื่อเขาคิดจะฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวายให้แคว้นต้าฉี ก็จะถูกเซียวจิ่งอี้ทำลายแผนการเสมอยามนี้เมื่อนึกถึงเซียวจิ่งอี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็โกรธจนกัดกรามในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นี้ เขายังไม่มีกำลังที่จะโต้กลับได้รอก่อนเถอะรอให้เขากลับไปที่เมืองหลวง ก็จะสามารถอาศัยอำนาจขององค์ชายสาม จัดการเซียวจิ่งอี้ให้สิ้นซาก!ท่านจอมปราชญ์เหวินกัดฟัน ขณะที่สีหน้ามืดครึ้มผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดท่านจอมป
อวิ๋นฝูหลิงยังจำเรื่องที่เซียวจิ่งอี้ขอให้นางวาดภาพเหมือนได้หลังจากพบเซียวจิ่งอี้ ทั้งสองคนก็ไปยังคุกที่ขังผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ไว้เมื่อพูดถึงแขกผู้มีเกียรติบนชั้นสามของหอจินอวี้ ผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ก็ต่างจดจำได้เป็นอย่างดีชั้นสามของหอจินอวี้ ไม่ใช่ว่าใครต่างก็มีสิทธิ์ขึ้นไปได้นี่เป็นอุบายที่หอจินอวี้โยนออกมา เป็นวิธีดึงดูดลูกค้าเพื่อสร้างกำไรแบบหนึ่งผู้ที่สามารถขึ้นไปชั้นสามของหอจินอวี้ได้ หมายความว่าเป็นคนที่มีสถานะและทักษะการพนันสูงแต่กลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน กลับเป็นเวินเจาพาขึ้นไปด้วยตัวเองนับตั้งแต่เวินจือเหิงนอนป่วยติดเตียง อำนาจทั้งหมดของสกุลเวินก็ตกไปอยู่ในมือของเวินเจาเวินเจาพาคนไปพักอยู่ที่ชั้นสามของหอจินอวี้ ทั้งยังบอกให้ปรนนิบัติกลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน เหล่าคนของหอจินอวี้ย่อมไม่กล้าไม่เชื่อฟังไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลของหอจินอวี้ หรือพนักงาน ยามนี้เมื่อถูกขังอยู่ในคุก ทุกคนก็หวาดกลัวอยู่ตลอดเมื่อเห็นการสืบสวนก่อนหน้านี้ของเซียวจิ่งอี้ คนเหล่านี้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง และออกไปจากคุกโดยเร็ว ทุกคนต่างก็แย่งชิงกันเป็นคนแรกเพราะกล
“พี่สาม ทางด้านเมืองหลวงมีข่าวคราวบ้างหรือไม่?”“พวกท่านปู่โอวหยางคิดค้นเทียบยาใหม่ที่ใช้รักษาผู้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองได้แล้วหรือไม่?”หลังจากค้นพบขี้ผึ้งทอง อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงพวกรองเจ้าสำนักโอวหยางกับหมอหลวงจงมาร่วมศึกษาด้วยกัน ทั้งยังเขียนจดหมายส่งให้นายท่านผู้เฒ่าหาง รวมถึงส่งข้อมูลที่เกี่ยวกับชีพจรและการรักษาให้เขาด้วยแม้เมืองหลวงกับจินโจวจะเป็นสถานที่ที่ได้รับผลกระทบจากขี้ผึ้งทองมากที่สุด แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าที่อื่นจะไม่ได้รับผลกระทบถึงอย่างไรการค้าของแคว้นต้าฉีก็เจริญรุ่งเรืองมาก จากใต้ขึ้นเหนือมีพ่อค้ามากมาย บางทีอาจจะมีคนที่เดินทางระหว่างเมืองหลวงกับจินโจว ซื้อขี้ผึ้งทองติดไปด้วยสองสามกล่องก็เป็นได้อวิ๋นฝูหลิงคิดว่านางออกจากเมืองหลวงมาหลายวันถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าทางด้านเมืองหลวงจะมีความคืบหน้าใหม่อันใดบ้างตั้งแต่อวิ๋นฝูหลิงกลับมาถึงจินโจว ก็ยุ่งอยู่กับการรักษาผู้ป่วยมาโดยตลอด หางซานสุ่ยจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับนางตอนนี้เมื่อเห็นว่าอวิ๋นฝูหลิงเป็นฝ่ายถามขึ้นมา หางซานสุ่ยก็นับว่ามีโอกาสแล้วเขาหยิบจดหมายสองสามฉบับออกมาจากในโต๊ะ“จดหมายพวกนี้ถูกส่ง
แม้ว่าราชครูแคว้นเยว่จะหนีไปแล้ว แต่เขาอยู่ที่หอจินอวี้ตั้งหลายวัน จึงมักจะมีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายจนเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงแม้เขาจะใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าอยู่เสมอ จึงไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนรอบตัวเขาทุกคนจะสวมหน้ากากกระมัง?เริ่มต้นไล่ไปจากผู้ใต้บังคับบัญชา บางทีอาจจะค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ก็เป็นได้เซียวจิ่งอี้ตัดสินใจไต่สวนผู้ดูและกับพนักงานเหล่านั้นของหอจินอวี้ยังมีทักษะการวาดภาพเหมือนอันยอดเยี่ยมของอวิ๋นฝูหลิง จะต้องจับพวกปลาซิวปลาสร้อยพวกนั้นได้เป็นแน่แม้ว่ากลุ่มของราชครูแคว้นเยว่จะฉวยโอกาสวางเพลิงเพื่อหนีออกไปจากหอจินอวี้ แต่ประตูเมืองจินโจวก็ปิดอยู่ ยามนี้พวกเขาคงยังซ่อนตัวอยู่ในเมืองนอกจากนี้ มีบางสิ่งที่ต้องจัดการด้วยเช่นกันเซียวจิ่งอี้ยืนอยู่หน้าประตูสำนักผิงอัน หันกลับมามองอวิ๋นฝูหลิงที่กำลังยุ่งคราหนึ่งเพียงชั่วครู่เดียว เขาก็พลิกร่างขึ้นหลังม้า มุ่งตรงไปยังที่ว่าการเมืองจินโจวครึ่งชั่วยามต่อมา มีประกาศใบหนึ่งถูกนำมาติดไว้ที่ประตูที่ว่าการทั้งยังมีคนตีฆ้องจากที่ว่าการ อ่านเนื้อหาในประกาศไปทั่วเมืองประกาศนี้กล่าวถึงอันตรายของขี้ผึ้งทอง
“ข้าอยากจับคนร้ายที่กระทำความผิด ให้ได้แบบคาหนังคาเขา”“แต่ไม่คิดเลยว่าคนผู้นั้นจะโหดเหี้ยมถึงขั้นเสียสติ ตั้งใจวางเพลิงในหอจินอวี้ เพื่อหลบหนีการไล่ล่า”“เป็นเพราะข้าไม่รอบคอบ ทำให้ผู้บริสุทธิ์ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตราย”“วันนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเพราะเหตุเพลิงไหม้ที่หอจินอวี้ ค่ารักษาและค่ายาข้าจะจ่ายให้เอง”“นอกจากนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จะได้รับห้าตำลึง ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักจะได้รับสิบตำลึง”“ได้ยินว่ามีสองคนที่ถูกไฟไหม้จนบาดเจ็บสาหัส สองคนนี้จะได้รับยี่สิบตำลึง”“เงินเหล่านี้ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า ที่อยากจะรักษาร่างกายเหล่าผู้บาดเจ็บ”“ข้าจะให้คนนำเงินมามอบให้ในภายหลัง!”ผู้บาดเจ็บทุกคนได้ยินเช่นนั้น ความไม่พอใจที่สุมอยู่ในอกก็หายไปกว่าครึ่งทันทีตอนนี้เมื่อย้อนคิดดูแล้ว เมื่อคืนยามที่หอจินอวี้ถูกปิดล้อม ผู้นำคนนั้นก็บอกว่าทำเพื่อสืบคดีบางอย่างจริง ๆคิดดูอีกครายามนั้นที่เกิดเพลิงไหม้ ทหารเหล่านั้นก็มิได้บังคับขังพวกเขาไว้ในหอจินอวี้ ทว่ากลับรีบเข้ามาในหอเพื่อดับไฟช่วยคนหากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เกรงว่าพวกเขาคงไม่ใช่แค่ได้รับบาดเจ็บ แต่กว่าครึ่งคงตายตกไปในเหตุเพ