เมื่อเผชิญหน้ากับเสียงคำรามของอวิ๋นกานซง สีหน้าของอวิ๋นฝูหลิงกลับไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อยนางคิดเรื่องนี้มานานแล้วนางย่อมรู้ว่าแม้จะมีคำให้การของอวิ๋นซานหู แต่ก็เป็นเพียงคำให้การฝ่ายเดียว หลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกอวิ๋นกานซงถูกตัดสินโทษได้ทว่าจุดประสงค์ของนางมิใช่เรื่องนี้การถูกขังคุก การเนรเทศ และการตัดศีรษะล้วนยังไม่เพียงพอ หากมีจุดจบเช่นนี้ย่อมง่ายดายเกินไปสำหรับพวกเขานางต้องการทำให้อวิ๋นกานซงสูญเสียทั้งฐานะและชื่อเสียง!นางต้องการทำให้เซี่ยงซื่อเป็นทุกข์ และมีชีวิตที่เหลืออย่างน่าเวทนา!นางอยากให้แผนของอวิ๋นหลิงจือสูญเปล่า และไม่สมหวังในสิ่งที่ต้องการ!หลังจากประสบกับความทุกข์ระทมทุกรูปแบบ ก็ตายไปอย่างน่าเวทนาแม้ว่าคำให้การของอวิ๋นซานหูจะไม่สามารถทำให้พวกอวิ๋นกานซงถูกตัดสินโทษโดยตรงได้ แต่กลับสามารถฉีกหน้ากากจอมปลอมของครอบครัวพวกเขาออก และทำลายชื่อเสียงของพวกเขาที่สั่งสมมาหลายปีได้ถึงอย่างไรอวิ๋นซานหูก็เป็นลูกสาวแท้ ๆ ของอวิ๋นกานซง คำพูดจากปากของนาง จะเป็นคำโกหกได้อย่างไร?แม้คนทั้งโลกจะสงสัย แต่ก็มีเพียงความสงสัยหนึ่งส่วน และความเชื่ออีกเก้าส่วนเกรงว่าครอบค
ฉวยโอกาสนี้เปิดเผยตัวตนที่เป็นลูกนอกสมรสของเขา และเรียกเขาว่าคนเนรคุณ ซึ่งนับตั้งแต่นี้ไปชื่อเสียงของเขาย่อมถูกทำลาย ทั้งยังถูกคนด่าทออีกด้วยเป็นเขาที่ประเมินอวิ๋นฝูหลิงต่ำเกินไป!ทรัพย์สินสกุลอวิ๋นมีอยู่ไม่น้อย แค่เงินสินเดิมที่แม่ของอวิ๋นฝูหลิงนำติดตัวมาก็ค่อนข้างมากแล้ว จึงไม่อาจนับได้หมดในเวลาเพียงชั่วครู่ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากทรัพย์สมบัติเหล่านี้ ยังมีสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า นั่นคือสำนักช่วยชีพในเมื่อนางมาเพื่อสะสางบัญชี เช่นนั้นทางด้านสำนักช่วยชีพ ก็ย่อมถูกจัดการด้วยเช่นกันอวิ๋นฝูหลิงลุกขึ้นมากล่าวว่า “ทางด้านนี้เกรงว่าคงต้องใช้เวลาจัดการสักระยะ ทุกคนตามข้ามาเถอะ ยังมีอีกเรื่องที่ต้องตัดการ”กล่าวจบ ก็พูดกับเซียวจิ่งอี้ด้วยว่า “ทิ้งองครักษ์บางส่วนของท่านไว้ที่นี่ คอยเฝ้าคนในจวนจี้ชุนโหวไว้ให้ดี คนในจวนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าออก ทุกคนต้องอยู่ที่เดิม จนกว่าจะตรวจสอบทรัพย์สินเสร็จ”“วางใจเถอะ วันนี้ข้าพาคนมามากพอ ที่จะจัดการล้อมที่นี่ไว้อย่างแน่นหนาได้”เซียวจิ่งอี้พยักหน้า ทั้งยังมองไปทางพวกอวิ๋นกานซง และถามว่า “เช่นนั้นควรทำอย่างไรกับพวกเขา?”อวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองอวิ๋นกานซง
อวิ๋นฝูหลิงประสานมือไปทางชาวบ้านที่เข้ามาล้อมวงดู พลางยิ้มแล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว ฮ่องเต้ไท่จูเป็นผู้พระราชทานแผ่นป้ายนี้ให้แก่สกุลอวิ๋น”“ย่อมมีเพียงคนสกุลอวิ๋นเท่านั้นที่ใช้ได้!”“ข้าน้อยอวิ๋นฝูหลิง เป็นธิดาเพียงคนเดียวของจี้ชุนโหวผู้ถึงแก่กรรมไปแล้ว เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่เหลือแต่เพียงผู้เดียวของสกุลอวิ๋น”“แน่นอนว่าข้าไม่อาจทนมองแผ่นป้ายที่ฮ่องเต้ไท่จูพระราชทานมาให้สกุลอวิ๋นของข้าถูกคนนอกยึดเอาไปได้”ยังไม่ทันที่คำพูดของอวิ๋นฝูหลิงจะจบ คนที่รายล้อมอยู่ก็พากันส่งเสียงวิจารณ์ขึ้นมาจนเสียงดังหึ่งหั่งอวิ๋นฝูหลิงโบกมือให้ลูกพี่อู๋และคนอื่น ๆ แล้วออกคำสั่งอีกครั้ง “ปลดป้าย!”อวิ๋นกานซงรีบร้อนกระวีกระวาดตามมาเมื่อมาถึงก็ได้ยินอวิ๋นฝูหลิงสั่งให้คนปลดป้ายออกแล้ว“หยุดนะ!” เขาตะโกนลั่น รีบพุ่งตัวเข้าไป มองอวิ๋นฝูหลิงด้วยสายตาเดือดดาล“อวิ๋นฝูหลิง เจ้าถึงกับกล้าปลดป้ายออกเชียวหรือ นี่เป็นป้ายที่ฮ่องเต้ไท่จู่พระราชทานให้เชียวนะ!”อวิ๋นฝูหลิงเลิกคิ้ว “ไยข้าจึงจะไม่กล้า?”“ท่านเองก็พูดอยู่ว่าฮ่องเต้ไท่จูเป็นผู้พระราชทานป้ายนี้ลงมาให้ ฮ่องเต้ไท่จูพระราชทานให้สกุลอวิ๋นต่างหาก!”“เช่นน
“ทุกท่าน ที่นี่ของข้าต่างหากที่รับประกันเลยว่าเป็นสำนักช่วยชีพแท้จริง”“มิได้มีเพียงป้ายคำขวัญที่ฮ่องเต้ไท่จูพระราชทานให้เท่านั้น กระทั่งชื่อสำนักช่วยชีพนี้ก็เป็นองค์ฮ่องเต้ไท่จูที่พระราชทานนามให้ในปีนั้นเช่นกัน”“วันนี้สำนักช่วยชีพเปิดทำการใหม่แล้ว เพียงแต่ผู้ป่วยไข้ที่เข้ามาดูอาการที่สำนักในสามวันแรกมิจำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายการตรวจไข้ ทั้งค่ายังลดลงกึ่งหนึ่ง!”“ที่ร้านของเรามียาลูกกลอนทุกอย่างที่เพิ่งออกใหม่ เหมาะยิ่งสำหรับซื้อกลับไปสำรองใช้ในบ้าน”สิ้นคำของอวิ๋นฝูหลิง ด้านข้างทั้งสองของบานประตูก็ปล่อยประทัดยาวเหยียดลงมา ชั่วพริบตานั้น เสียงประทัดดังเปรี้ยงปร้าง เสริมบรรยากาศแห่งความปีติให้แก่กิจการเปิดใหม่ครั้นได้ยินว่าค่ายาลดลงกึ่งหนึ่ง ทั้งยังมียาลูกกลอนอีก ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยก็ใจเต้นโครมครามในทันที พากันกรูเข้าไปด้านในสำนักช่วยชีพอวิ๋นฝูหลิงเตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อวันนี้ ดังนั้นแม้ในสำนักช่วยชีพจะยุ่งทว่าก็มิได้วุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นนายท่าน หรือเสี่ยวเอ้อร์ และท่านหมอในสำนัก ล้วนทำงานในหน้าที่ไปตามลำดับขั้นอวิ๋นฝูหลิงเห็นแล้วจึงแอบถอนหายใจออกมาเบา ๆจากนั้นจึงส่งสายตาให้
อวิ๋นฝูหลิงวางจอกชาในมือลง แล้วกล่าวอย่างเฉื่อย ๆ ว่า “ท่านปู่ทั้งสอง พวกท่านน่าจะรู้ดีว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับสำนักช่วยชีพนั้นคือสิ่งใด?”โอวหยางหมิงและนายท่านผู้เฒ่าหางมองหน้ากัน เผยสีหน้าไม่เข้าใจนักอวิ๋นฝูหลิงยิ้มแย้มไม่พูดจา ยกมือขึ้นชี้ไปทางกรอบประตูโอวหยางหมิงและนายท่านผู้เฒ่าหางตรัสรู้ได้ในทันทีทันใด ทั้งคู่แทบจะตบโต๊ะลั่นในเวลาพร้อม ๆ กัน ทั้งยังเอ่ยถามออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า “ป้ายพระราชทานแผ่นนั้น!”สำนักช่วยชีพมีฐานะเฉกเช่นทุกวันนี้ได้ ฝีมือการแพทย์ของสกุลอวิ๋นนั้นยังนับว่าเป็นรอง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือป้ายพระราชทานจากองค์ฮ่องเต้ไท่จูแผ่นนั้นมิเช่นนั้นท่ามกลางสำนักแพทย์มากมายในราชวงศ์ต้าถัง ทั้งในนั้นยังไม่ขาดแคลนตระกูลแพทย์ที่สืบอายุมานานนับร้อยปี แล้วเพราะเหตุใดในแวดวงการแพทย์จึงมีเพียงสำนักช่วยชีพแห่งเดียวเท่านั้นที่ตั้งตระหง่านเป็นอันดับหนึ่งเสมอมา เหตุผลทั้งมวลคือป้ายพระราชทานจากฮ่องเต้ไท่จูแผ่นนั้น มีฐานความมั่นใจของสกุลอวิ๋นและสำนักช่วยชีพอวิ๋นฝูหลิงจึงใช้กลยุทธ์ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม โดยอาศัยฐานะของคนสกุลอวิ๋นปลดป้ายออกไปอย่างเปิดเผย ตัดหนทางมิให้อวิ๋นกา
ความสามารถของสตรีนั้น บางครั้งยังเหนือกว่าบุรุษด้วยซ้ำไป ฮ่องเต้จิ่งผิงยกมือขึ้น ตรัสกับเกากงกงว่า “กลับไปหารือกับทางสำนักหมอหลวง ค้นหาความผิดสักอย่าง แล้วขับอวิ๋นกานซงออกจากสำนักหมอหลวงเสีย”คนที่ความประพฤติไม่ดี ไร้คุณธรรมเช่นนี้ มิสมควรอยู่ในสำนักหมอหลวงเกากงกงเข้าใจได้ทันทีว่าอวิ๋นกานซงประสบเข้ากับความเหนื่อยหน่ายของฮ่องเต้จิ่งผิงเสียแล้วเขาหลุบตารับคำ แล้วเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “ฝ่าบาท แต่ไหนแต่ไรอวิ๋นกานซงล้วนได้รับความโปรดปรานจากองค์ไทเฮาเป็นอย่างยิ่ง ปกติแล้วหากต้องจับชีพจรหรือเรื่องอื่น ๆ ล้วนเรียกตัวเขาเข้าไปพ่ะย่ะค่ะ”“หากประเดี๋ยวทางองค์ไทเฮาทราบเรื่องเข้า แล้วเกิดไต่ถาม...”ปีนั้นอวิ๋นกานซงใช้ยากลูกกลอนหนึ่งเม็ด รักษาอาการประชวรของไทเฮาจนหายดีจึงเข้าพระเนตรของไทเฮามานับแต่นั้น หลายปีมานี้พระวรกายของไทเฮาล้วนได้รับการดูแลจากเขาและหมอหลวงแซ่สวี่อีกผู้หนึ่งมาตลอดฮ่องเต้จิ่งผิงได้ยินเช่นนั้น จึงถลึงพระเนตรใส่เกากงกงทันที แล้วตรัสอย่างไม่สบพระทัยว่า “เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ยังต้องให้เราสอนเจ้าอีกหรือว่าต้องทำเช่นไร?”เกากงกงรีบค้อมกายน้อมรับผิดทันที “เป็นกระหม่อมที่เลอะเล
จากที่เรื่องการกลับมาของทายาทจวนจี้ชุนโหว ฉีกหน้าอวิ๋นกานซงผู้เป็นบุตรนอกสมรส แล้วชิงกิจการของสกุลอวิ๋นกลับมาเหล่านี้โจษจันไปทั่วทั้งเมือง บรรดาตระกูลสูงศักดิ์และขุนนางยศสูงทั้งหลายในเมืองหลวงเองก็ได้แต่อึดอัดอยู่ในใจอวิ๋นกานซงนั้นเป็นดั่งนกเขาครองรังนกสาลิกา วางแผนสังหารทายาทสาวจวนจี้ชุนโหว แล้วครอบครองทรัพย์สมบัติของสกุลอวิ๋น นับว่าไม่ใช่คนดีอะไรจริง ๆแต่หลังจากสูญสิ้นทายาทผู้เป็นสายเลือดของสกุลอวิ๋น จวนจี้ชุนโหวก็หลงเหลือเพียงแต่ชื่อ ตำแหน่งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะถูกริบคืนเมื่อไรแม้ว่าทายาทสาวจวนจี้ชุนโหวจะเป็นสายเลือดเพียงคนเดียวของสกุลอวิ๋น ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพียงเด็กสาวกำพร้าผู้หนึ่งเท่านั้นเมื่อก่อนตอนที่อยู่ในเมืองหลวงก็มิได้มีชื่อเสียงอันใด ที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นตอนนั้นที่ร่วมคืนวสันต์กับอี้อ๋อง แต่กลับถูกคนไปเจอเข้าเมื่อทำเรื่องคาวโลกีย์เช่นนี้ลงไป แน่นอนว่าย่อมไม่มีชื่อเสียงที่ดีอะไรในเมืองหลวงทว่าวันนี้กลับกล้าที่จะฉีกหน้าอวิ๋นกานซง ทั้งยังมีความสามารถทวงทรัพย์สินของสกุลอวิ๋นกลับคืนมาได้ จะไม่ให้ผู้อื่นตื่นตกใจได้เช่นไรถัดจากความตกใจ ก็ยังมีความสงสัยอยู่หลา
จวนอี้อ๋องอยู่ไม่ไกลจากวังหลวงนัก ผ่านไปไม่นานก็เดินทางมาถึงแล้วยามนี้มีคนยืนอยู่หน้าประตูวังไม่น้อย ทุกคนล้วนต่อแถวรอเข้าวังทั้งสิ้นนอกจากส่วนน้อยที่มีพระราชโองการพิเศษ สามารถขี่ม้าหรือนั่งรถลากเข้าวังได้แล้ว คนอื่น ๆ ที่ต้องเข้าวังล้วนต้องตรวจสอบฐานะที่ประตูวังเสียก่อนเมื่อตรวจสอบแล้วไม่มีความผิดปกติ จึงจะปล่อยให้ผ่านเข้าไปได้เมื่อก้าวข้าประตูวังมาแล้ว ยังต้องอาศัยสองเท้าเดินไปตามทางเดินยาวเหยียด หากร่างกายอ่อนแอสักหน่อยก็แทบจะทนไม่ไหวกันเลยทีเดียวเพราะฉะนั้น การที่สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังได้นั้น แม้จะเป็นเกียรติยิ่ง ทว่าก็เหนื่อยยากเช่นกันเซียวจิ่งอี้ยังไม่มีสิทธิพิเศษที่นั่งรถเข้าไปในวังได้ ดังนั้นเมื่อมาถึงประตูวัง สามคนหนึ่งครอบครัวจึงต้องลงจากรถม้าการเคลื่อนไหวนี้ แน่นอนว่าดึงดูดสายตาให้คนอื่นพากันหันมามองอยู่แล้วครั้นเห็นว่าเป็นเซียวจิ่งอี้ ผู้คนรอบด้านจึงพากันคารวะเต็มพิธีส่วนอวิ๋นฝูหลิงและเซียวจิงมั่วที่อยู่ข้างกายเซียวจิ่งอี้นั้น แม้ทุกคนจะรู้สึกไม่คุ้นหน้าคุ้นตานัก ทว่าพอเห็นอวิ๋นฝูหลิงสวมใส่ชุดพิธีการประจำองค์พระชายา ทั้งยังนึกถึงข่าวคราวล่าสุดที่แพร่
เทียนเฉวียนได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันทีว่าท่านอ๋องคิดจะนั่งรอลาภลอยในเมื่อเวินเจาผู้นั้นเป็นนายน้อยเผ่าเยว่ สถานะในเผ่าเยว่ก็ย่อมไม่ธรรมดาหลังจากคนแคว้นเยว่เหล่านั้นรู้ข่าวว่าเวินเจาถูกจับตัวมา จะต้องคิดหาวิธีมาช่วยเขาออกไปเป็นแน่เทียนเฉวียนไปทำตามคำสั่งของเซียวจิ่งอี้ทันทีทว่าหลังจากรอมาสามวัน ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวจากทางด้านเวินเจาแม้แต่น้อยเซียวจิ่งอี้ตระหนักได้ว่าตัวเองเจอคู่ต่อสู้เข้าแล้วราชครูแคว้นเยว่หลบหนีเก่งมาก ทำให้ยามนี้เขารู้สึกจนปัญญาอยู่บ้างหากพูดตามหลักการแล้ว คนแคว้นเยว่เหล่านั้นต้องการฟื้นฟูแคว้น ตัวตนของเวินเจาซึ่งมีสายเลือดราชวงศ์ จึงทำให้พวกเขามีเหตุผลอันชอบธรรมมิเช่นนั้นอาศัยเพียงราชครูผู้นั้น คนแคว้นเยว่ที่เหลือจะเชื่อฟังคำสั่งเขาได้อย่างไร?ทว่าหลังจากผ่านไปนาน คนแคว้นเยว่เหล่านั้นกลับไม่มีท่าทีว่าจะมาช่วยเวินเจาแม้แต่น้อยนี่หมายความว่ามองแผนของเขาออกใช่หรือไม่? หรือคิดว่ายามนี้ไม่ใช่จังหวะที่ดีในการช่วยเหลือ จึงกำลังวางแผนและเฝ้าดูอยู่?หรือคนแคว้นเยว่ยอมแพ้เรื่องนายน้อยเวินเจาผู้นี้แล้ว?เซียวจิ่งอี้คิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนแ
ทหารชั้นผู้น้อยคนนั้นได้กลิ่นเลือดจาง ๆ สายหนึ่งกลิ่นเลือดจางมาก จนแทบไม่ได้กลิ่นแต่เขาเกิดมาพร้อมจมูกที่อ่อนไหวต่อกลิ่น แค่เพียงกลิ่นจาง ๆ ก็สามารถได้กลิ่นเช่นกันทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินหลายก้าว ไล่ตามสือจ่างซึ่งเป็นผู้นำไปยามนี้สือจ่างเดินออกมาจากเรือนแล้ว ทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินไปตรงหน้าสือจ่าง และกระซิบไม่กี่ประโยคก้นบึ้งในดวงตาของสือจ่างฉายแววประหลาดใจ และหันกลับไปมองลานบ้านด้านหลังในลานบ้าน ชายวัยกลางคนกับหญิงสาวผู้งดงามเห็นว่าในที่สุดทหารก็ตรวจค้นเสร็จแล้ว จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกใครจะรู้ว่ายังไม่ทันถอนหายใจเสร็จ ประตูเรือนกลับถูกคนพังเปิดเข้ามาอย่างกะทันหันกลุ่มทหารที่เข้ามาตรวจค้นก่อนหน้านี้บุกเข้ามาอีกครั้งชายวัยกลางคนเห็นเช่นนั้นก็ใจเต้นแรง แต่บนใบหน้ากลับยังสงบ และก้าวออกมาด้วยรอยยิ้มคาดไม่ถึงว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก สือจ่างผู้นั้นซึ่งเป็นหัวหน้าก็ผลักเขาไปด้านข้าง ก่อนออกคำสั่งเสียงเคร่งขรึมว่า “ค้นหาทั้งในและนอกเรือนใหม่อีกครั้ง ค้นให้ละเอียด!”ทหารทุกคนตอบรับ และแยกย้ายไปค้นหาอีกครั้งทันทีทหารชั้นผู้น้อยซึ่งประสาทรับกลิ่นไวยืนอยู่ที่เดิม จมูกขยับฟ
“ขอรับ” เทียนซูรับคำสั่งก่อนจะถอยออกไปผ่านไปไม่นาน เทียนซูก็กลับมา“ท่านอ๋อง ผู้ดูแลหอจินอวี้กับพนักงานยืนยันศพกันหมดแล้วขอรับ แน่ใจแล้วว่าเป็นคนที่อยู่ข้างตัวราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้น”เซียวจิ่งอี้ใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า “คนผู้นี้ถูกจับได้ที่ใด?”“ถูกจับที่ตรอกหูลู่ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองขอรับ” เทียนซูตอบกลับเซียวจิ่งอี้กล่าวทันที “ไปเอาแผนที่จินโจวมา”ผ่านไปไม่นาน แผนที่จินโจวก็ถูกแขวนขึ้นเซียวจิ่งอี้เดินไปข้างหน้าแผนที่ หาตำแหน่งตรอกหูลู่บนแผนที่เขายื่นมือออกไปแตะบนแผนที่ หลังจากนั้นก็วงขอบเขตโดยประมาณและกล่าวว่า“ถ่ายทอดคำสั่ง ให้คนไปค้นหาทุกซอกทุกมุมของตรอกหูลู่”คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ย่อมไม่ปรากฏตัวที่ตรอกหูลู่โดยไม่มีสาเหตุบางทีสถานที่ซ่อนตัวของพวกเขา อาจจะอยู่ใกล้ตรอกหูลู่นอกจากนี้คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ยังกัดลิ้นปลิดชีพตัวเอง ไม่ให้ความหวังตัวเองว่าจะมีชีวิตรอดเลย เห็นได้ชัดว่าทำเพื่อปกป้องใครบางคนดูท่าคนรอบกายราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้นจะจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่งการเดินทางมาจินโจวครั้งนี้ของเขา ไม่แน่คนข้างกายที่พามาอาจจะล้วนเป็นคนสนิททั้งสิ้นหากคนสนิทเห
จิตรกรฝีมือดีเช่นนี้ เหตุใดจึงถูกเซียวจิ่งอี้เชิญไปได้ง่าย ๆยิ่งไปกว่านั้นจิตรกรฝีมือดีเหล่านั้นก็ยังไม่เคยเห็นพวกท่านจอมปราชญ์เหวินมาก่อน เหตุใดจึงสามารถวาดภาพเหมือนจากความว่างเปล่าให้เหมือนพวกเขาโดยสมบูรณ์ได้?นอกจากนี้ท่านจอมปราชญ์เหวินอยู่ที่จินโจวมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินว่าในจินโจวมีจิตรกรชื่อดังอันใดเลยตั้งแต่เขาหลบหนีจากหอจินอวี้มาจนถึงตอนนี้ ก็ยังผ่านไปไม่พ้นครึ่งวันเสียด้วยซ้ำภายในระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมีคนที่สามารถวาดภาพพวกเขาออกมาได้มากมายเช่นนี้?ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินไม่อยากจะเชื่อแต่เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาพูดจาหนักแน่น เขาก็ไม่กล้าคิดไปเองมากเกินไปไม่รู้เพราะเหตุใด เขามักรู้สึกว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเซียวจิ่งอี้ จะมีความแปลกประหลาดมากเสมอบางทีอาจมีคนมากความสามารถอยู่ข้างกายเซียวจิ่งอี้จริง ๆ ซึ่งสามารถวาดภาพเหมือนออกมาได้เหมือนจริงโดยสมบูรณ์ โดยที่อาศัยเพียงคำอธิบายไม่กี่ประโยคยามนี้คนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา ต่างเป็นคนที่เคยปรากฏตัวที่หอจินอวี้หากข้างกายเซียวจิ่งอี้มีจิตรกรฝีมือดีอยู่จริง ๆ เกรงว่าคนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา คงล้วนถูกวาด
ท่านจอมปราชญ์เหวินได้แต่แสร้งทำเป็นผ่านทางมา และรีบพาคนจากไปยามที่ออกมาจากหอจินอวี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็ถอดหน้ากากออกการสวมหน้ากากเดินบนท้องถนน จะยิ่งดึงดูดความสนใจหลังจากถอดหน้ากาก รูปลักษณ์ของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก ในฝูงชนจึงแทบไม่มีใครสังเกตเห็นเมื่อคิดว่าแผนการของตนล้มเหลว จนถูกเซียวจิ่งอี้ไล่ล่าราวกับสุนัขไร้บ้านตัวหนึ่ง อีกทั้งนายน้อยเผ่าเยว่เป็นหรือตายก็ไม่อาจรู้ได้ ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินจึงหดหู่เป็นอย่างยิ่งเป็นความผิดของเซียวจิ่งอี้!ท่านจอมปราชญ์เหวินรู้สึกราวกับว่าเซียวจิ่งอี้เกิดมาเพื่อเป็นหายนะของเขาเขาวางแผนจัดการเซียวจิ่งอี้หลายครั้ง แต่ก็ถูกอีกฝ่ายหลบเลี่ยงได้ทุกครั้งเมื่อเขาคิดจะฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวายให้แคว้นต้าฉี ก็จะถูกเซียวจิ่งอี้ทำลายแผนการเสมอยามนี้เมื่อนึกถึงเซียวจิ่งอี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็โกรธจนกัดกรามในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นี้ เขายังไม่มีกำลังที่จะโต้กลับได้รอก่อนเถอะรอให้เขากลับไปที่เมืองหลวง ก็จะสามารถอาศัยอำนาจขององค์ชายสาม จัดการเซียวจิ่งอี้ให้สิ้นซาก!ท่านจอมปราชญ์เหวินกัดฟัน ขณะที่สีหน้ามืดครึ้มผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดท่านจอมป
อวิ๋นฝูหลิงยังจำเรื่องที่เซียวจิ่งอี้ขอให้นางวาดภาพเหมือนได้หลังจากพบเซียวจิ่งอี้ ทั้งสองคนก็ไปยังคุกที่ขังผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ไว้เมื่อพูดถึงแขกผู้มีเกียรติบนชั้นสามของหอจินอวี้ ผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ก็ต่างจดจำได้เป็นอย่างดีชั้นสามของหอจินอวี้ ไม่ใช่ว่าใครต่างก็มีสิทธิ์ขึ้นไปได้นี่เป็นอุบายที่หอจินอวี้โยนออกมา เป็นวิธีดึงดูดลูกค้าเพื่อสร้างกำไรแบบหนึ่งผู้ที่สามารถขึ้นไปชั้นสามของหอจินอวี้ได้ หมายความว่าเป็นคนที่มีสถานะและทักษะการพนันสูงแต่กลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน กลับเป็นเวินเจาพาขึ้นไปด้วยตัวเองนับตั้งแต่เวินจือเหิงนอนป่วยติดเตียง อำนาจทั้งหมดของสกุลเวินก็ตกไปอยู่ในมือของเวินเจาเวินเจาพาคนไปพักอยู่ที่ชั้นสามของหอจินอวี้ ทั้งยังบอกให้ปรนนิบัติกลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน เหล่าคนของหอจินอวี้ย่อมไม่กล้าไม่เชื่อฟังไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลของหอจินอวี้ หรือพนักงาน ยามนี้เมื่อถูกขังอยู่ในคุก ทุกคนก็หวาดกลัวอยู่ตลอดเมื่อเห็นการสืบสวนก่อนหน้านี้ของเซียวจิ่งอี้ คนเหล่านี้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง และออกไปจากคุกโดยเร็ว ทุกคนต่างก็แย่งชิงกันเป็นคนแรกเพราะกล
“พี่สาม ทางด้านเมืองหลวงมีข่าวคราวบ้างหรือไม่?”“พวกท่านปู่โอวหยางคิดค้นเทียบยาใหม่ที่ใช้รักษาผู้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองได้แล้วหรือไม่?”หลังจากค้นพบขี้ผึ้งทอง อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงพวกรองเจ้าสำนักโอวหยางกับหมอหลวงจงมาร่วมศึกษาด้วยกัน ทั้งยังเขียนจดหมายส่งให้นายท่านผู้เฒ่าหาง รวมถึงส่งข้อมูลที่เกี่ยวกับชีพจรและการรักษาให้เขาด้วยแม้เมืองหลวงกับจินโจวจะเป็นสถานที่ที่ได้รับผลกระทบจากขี้ผึ้งทองมากที่สุด แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าที่อื่นจะไม่ได้รับผลกระทบถึงอย่างไรการค้าของแคว้นต้าฉีก็เจริญรุ่งเรืองมาก จากใต้ขึ้นเหนือมีพ่อค้ามากมาย บางทีอาจจะมีคนที่เดินทางระหว่างเมืองหลวงกับจินโจว ซื้อขี้ผึ้งทองติดไปด้วยสองสามกล่องก็เป็นได้อวิ๋นฝูหลิงคิดว่านางออกจากเมืองหลวงมาหลายวันถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าทางด้านเมืองหลวงจะมีความคืบหน้าใหม่อันใดบ้างตั้งแต่อวิ๋นฝูหลิงกลับมาถึงจินโจว ก็ยุ่งอยู่กับการรักษาผู้ป่วยมาโดยตลอด หางซานสุ่ยจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับนางตอนนี้เมื่อเห็นว่าอวิ๋นฝูหลิงเป็นฝ่ายถามขึ้นมา หางซานสุ่ยก็นับว่ามีโอกาสแล้วเขาหยิบจดหมายสองสามฉบับออกมาจากในโต๊ะ“จดหมายพวกนี้ถูกส่ง
แม้ว่าราชครูแคว้นเยว่จะหนีไปแล้ว แต่เขาอยู่ที่หอจินอวี้ตั้งหลายวัน จึงมักจะมีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายจนเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงแม้เขาจะใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าอยู่เสมอ จึงไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนรอบตัวเขาทุกคนจะสวมหน้ากากกระมัง?เริ่มต้นไล่ไปจากผู้ใต้บังคับบัญชา บางทีอาจจะค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ก็เป็นได้เซียวจิ่งอี้ตัดสินใจไต่สวนผู้ดูและกับพนักงานเหล่านั้นของหอจินอวี้ยังมีทักษะการวาดภาพเหมือนอันยอดเยี่ยมของอวิ๋นฝูหลิง จะต้องจับพวกปลาซิวปลาสร้อยพวกนั้นได้เป็นแน่แม้ว่ากลุ่มของราชครูแคว้นเยว่จะฉวยโอกาสวางเพลิงเพื่อหนีออกไปจากหอจินอวี้ แต่ประตูเมืองจินโจวก็ปิดอยู่ ยามนี้พวกเขาคงยังซ่อนตัวอยู่ในเมืองนอกจากนี้ มีบางสิ่งที่ต้องจัดการด้วยเช่นกันเซียวจิ่งอี้ยืนอยู่หน้าประตูสำนักผิงอัน หันกลับมามองอวิ๋นฝูหลิงที่กำลังยุ่งคราหนึ่งเพียงชั่วครู่เดียว เขาก็พลิกร่างขึ้นหลังม้า มุ่งตรงไปยังที่ว่าการเมืองจินโจวครึ่งชั่วยามต่อมา มีประกาศใบหนึ่งถูกนำมาติดไว้ที่ประตูที่ว่าการทั้งยังมีคนตีฆ้องจากที่ว่าการ อ่านเนื้อหาในประกาศไปทั่วเมืองประกาศนี้กล่าวถึงอันตรายของขี้ผึ้งทอง
“ข้าอยากจับคนร้ายที่กระทำความผิด ให้ได้แบบคาหนังคาเขา”“แต่ไม่คิดเลยว่าคนผู้นั้นจะโหดเหี้ยมถึงขั้นเสียสติ ตั้งใจวางเพลิงในหอจินอวี้ เพื่อหลบหนีการไล่ล่า”“เป็นเพราะข้าไม่รอบคอบ ทำให้ผู้บริสุทธิ์ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตราย”“วันนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเพราะเหตุเพลิงไหม้ที่หอจินอวี้ ค่ารักษาและค่ายาข้าจะจ่ายให้เอง”“นอกจากนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จะได้รับห้าตำลึง ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักจะได้รับสิบตำลึง”“ได้ยินว่ามีสองคนที่ถูกไฟไหม้จนบาดเจ็บสาหัส สองคนนี้จะได้รับยี่สิบตำลึง”“เงินเหล่านี้ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า ที่อยากจะรักษาร่างกายเหล่าผู้บาดเจ็บ”“ข้าจะให้คนนำเงินมามอบให้ในภายหลัง!”ผู้บาดเจ็บทุกคนได้ยินเช่นนั้น ความไม่พอใจที่สุมอยู่ในอกก็หายไปกว่าครึ่งทันทีตอนนี้เมื่อย้อนคิดดูแล้ว เมื่อคืนยามที่หอจินอวี้ถูกปิดล้อม ผู้นำคนนั้นก็บอกว่าทำเพื่อสืบคดีบางอย่างจริง ๆคิดดูอีกครายามนั้นที่เกิดเพลิงไหม้ ทหารเหล่านั้นก็มิได้บังคับขังพวกเขาไว้ในหอจินอวี้ ทว่ากลับรีบเข้ามาในหอเพื่อดับไฟช่วยคนหากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เกรงว่าพวกเขาคงไม่ใช่แค่ได้รับบาดเจ็บ แต่กว่าครึ่งคงตายตกไปในเหตุเพ