อชิระเสยผมยุ่งๆ ที่หล่นมาปรกหน้าปรกตาแล้วก้าวลงจากเตียงทั้งๆ ที่ยังเปลือยเปล่าทว่าเท้ากลับเหยียบอะไรเข้า ชายหนุ่มเอื้อมมือลงไปหยิบก่อนจะพบว่ามันคือสร้อยข้อมือแบบถักที่มั่นใจว่าไม่ใช่ของเขาแน่นอน อชิระกำมันไว้ในมือข้างหนึ่งแล้วใช้มืออีกข้างที่ยังว่างคว้าผ้าขนหนูที่วางอยู่กับพื้นห้องขึ้นมาสวม จัดการผูกปมหลวมๆ ตรงเอวแล้วเดินหาผู้หญิงคนเมื่อคืนจุดแรกคือห้องน้ำ แต่สิ่งที่เห็นตอนนี้คือประตูห้องน้ำแง้มอยู่เล็กน้อยรวมถึงเสียงก็เงียบผิดปกติบ่งบอกว่าเธอไม่ได้อยู่ในนั้น อชิระหมุนตัวกลับเป้าหมายต่อไปของเขาคือห้องรับแขกทว่าเมื่อออกมาแล้วเขากลับไม่เห็นเธอ จึงเลยไปที่ห้องครัวตามด้วยห้องนอนอีกห้องก็ไม่เห็นแม้แต่เงาเช่นกัน “เสร็จงานแล้วก็ทิ้งกันไปดื้อๆ ไม่ลากันแบบนี้ได้ด้วยเหรอ” อชิระเอ่ยกับตัวเอง ยอมรับว่าชีวิตผู้ชายหนุ่มโสดแบบเขาเคยผ่านประสบการณ์ซื้อกินแบบนี้มาบ้าง แต่ทุกครั้งฝ่ายหญิงจะบอกลาอย่างอ้อยอิ่งและเปิดโอกาสให้เขาสานต่อหากต้องการ ทว่าครั้งนี้กลับต่างออก เพราะฤทธิ์ของบรั่นดีที่อาจผสมบางสิ่งบางอย่างไว้ทำให้สติของเขาเมื่อคืนมีไม่เต็มร้อยนัก ส่งผลให้เขาจำใบหน้าของเธอได้ไม่ชัดเท่าที่ควร รู้แค่
แม้จะบอกให้ตัวเองเข้มแข็ง แต่สัมปันนีก็กินอะไรไม่ได้นั่งเหม่อลอยติดต่อกันหลายวัน รวมถึงทุกๆ คืนเธอมักจะสะดุ้งตื่นจากการฝันร้าย ฝันถึงเหตุการณ์ในคืนนั้นซ้ำๆ วนไปวนมา พยายามแค่ไหนก็สลัดมันออกไปจากหัวไม่ได้ โดยเฉพาะเงาของผู้ชายคนนั้น ความทุกข์ค่อยๆ กัดกินหัวใจของเธอ แม้จะไม่มีน้ำตาแต่แววตาของเธอก็ยังคงเศร้าสร้อยไร้ความสดใส วรรณีเองก็ทุกข์ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกสาว เธอพยายามชวนคุยชวนไปทำบุญไปต่างจังหวัด แม้สัมปันนีจะไปด้วยทุกๆ ที่ทว่าก็ยังไร้ซึ่งชีวิตชีวา กระทั่งคืนหนึ่ง สัมปันนีก็ยอมเล่าเรื่องบางอย่างให้เธอฟัง ความรู้สึกขณะนั้นเหมือนหัวใจของคนเป็นแม่แบบเธอถูกกระชากออกจากอกแล้วใช้มีดแทงซ้ำๆ มันทั้งช็อค ทั้งจุกแน่นในอก ทั้งตกใจจนชาไปทั้งตัว เพราะไม่คิดไม่ฝันว่าสัมปันนีจะได้พบเจอกับเหตุการณ์เลวร้ายแบบนั้น ทั้งสองกอดกันร้องไห้และจับมือกันเพื่อจะก้าวผ่านช่วงเวลานี้ไปด้วยกัน “ผลสัมภาษณ์งานที่ใหม่ออกหรือยังลูก” วรรณีเอ่ยถามเพราะเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อนจะเกิดเรื่องสัมปันนีบอกว่าได้ลาออกจากบริษัทเดิมพร้อมสัมภาษณ์งานที่บริษัทใหม่แล้ว เหตุผลที่ลาออกจากที่เก่าเพราะถูกหัวหน้างานที่เป็นผู้ชายคุกค
“ลูกหนูไม่ได้อยากได้เงิน ลูกหนูอยากได้ร่างกายของลูกหนูคืน”“โอ๊ยลูกหนู อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่หน่อยเลย เสียตัวแบบนี้ดีจะตายไปเพราะได้เงินก้อนโตใช้ เงินที่ซื้อทุกอย่างได้ เงินที่ลูกหนูทำงานงกๆ หามาตลอดนั่นแหละ”“หยุดพูดแล้วออกไปจากบ้านลูกหนูเดี๋ยวนี้ ออกไปแล้วอย่ากลับมาให้ลูกหนูเห็นหน้าอีก ออกไป” ก่อนที่พิจิกาจะได้เอ่ยอะไรไปมากกว่านี้ สัมปันนีก็เข้าไปผลักเธอให้ออกไปจากบ้าน“แล้วเงินนี่ละ จะไม่เอาจริงๆ เหรอ เยอะนะ คิดดีๆ”“ใช่ ลูกหนูไม่เอา ถ้าพี่จะเอาก็เชิญ ลูกหนูทำบุญให้ ขอให้พี่ไปที่ชอบๆ หลังจากนี้อย่าได้เจอะได้เจอกันอีกเลย”“โอเค ขอบคุณมากสำหรับเงินแล้วก็คำอวยพรนะลูกหนู บายจ้ะ” พิจิกาไม่ได้สะทกสะท้านกับคำพูดของ สัมปันนีแม้แต่น้อย เธอจูบเงินในมือซึ่งจำนวนของมันไม่ใช่น้อยๆ ในเมื่อเธอตั้งใจเอามาให้สัมปันนีแต่อีกฝ่ายไม่ยอมรับเองก็ช่วยไม่ได้ นอนกับผู้ชายคืนเดียวทำเป็นตีโพยตีพาย เสียตัวแล้วยังได้เงินมันไม่ดีตรง
แต่ดูเหมือนฟ้าหลังฝนของเธอจะค่อยๆ สดใสขึ้น หลังผ่าตัดอาการของแม่ก็ถือว่าฟื้นตัวได้ดีแม้ต้องระวังเรื่องการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนด้านอื่นๆ โดยเฉพาะที่สมอง เพราะแบบนั้นหมอจึงยังไม่อนุญาตให้ออกไปพักฟื้นที่บ้านได้อย่างที่มารดาต้องการ“แม่หายดีแล้ว ทำไมหมอยังไม่ยอมให้ออกจากโรงพยาบาลอีกก็ไม่รู้”“หมอคงอยากให้แน่ใจว่าแม่หายดีแล้วจริงๆ ถึงอนุญาตนะคะ” สัมปันนีให้กำลังใจมารดาที่คงอยากกลับบ้าน แต่ดูยังไงตอนนี้แม่ของเธอก็ยังไม่พร้อมจะออกจากโรงพยาบาล“แต่แม่เบื่อโรงพยาบาลเต็มที”“เบื่อก็ต้องทนค่ะ“เป็นคนป่วยทำได้แค่นั่งๆ นอนๆ อยู่แบบนี้ เวลาแต่ละวันผ่านไปช้าเหลือเกิน” วรรณีที่ยังนอนอยู่บนเตียงคนไข้อดไม่ได้ที่จะบ่นกับสภาพของตัวเองตั้งแต่เกิดมานี่คืออุบัติเหตุที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตก็ว่าได้แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปเธอก็ยังคงจะข้ามถนนเพื่อไปซื้อของโปรดให้ลูกสาวเพียงคนเดียวเช่นกัน“หนูรู้ค่ะว่าแม่เบื่อแต่ก็ต้องอดทน ถ้าหมอให้
“สวัสดีค่ะคุณชมดาว” ทันทีที่สายตามองเห็นใครบางคนที่กำลังก้าวตรงมาหา กรรวีก็รีบลุกพร้อมเอ่ยทักทายชมดาวเลขาส่วนตัวของตุลย์ประธานบริหารบริษัท ที่จู่ๆ ก็เดินมาหาถึงที่หน้าโต๊ะทำงานโดยไม่บอกกันล่วงหน้าแบบนี้“สวัสดีค่ะคุณกรรวี” ชมดาวเอ่ยทักทายกลับไปเช่นกัน“คุณชมดาวมีธุระอะไรให้เอช่วยหรือเปล่าคะ”“คุณตุลย์อยากพบคุณอดุลย์นะคะ ชมเลยเดินมาเชิญ”“ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันแจ้งคุณอดุลย์ให้ แต่อันที่จริงคุณชมดาวแค่ยกหูโทรศัพท์กริ๊งเดียวก็ได้นะคะ ไม่เห็นต้องเดินมาเองแบบนี้เลย” กรรวีส่งยิ้มให้ชมดาว หลังจากลาพักร้อนยาววันนี้ตุลย์คงกลับมาทำงานแล้วเป็นแน่ถึงได้เรียกเธอกับอดุลย์ให้ไปพบแบบนี้“ไม่เป็นไรค่ะ อ้อ…ท่านประธานแจ้งว่าให้คุณกรรวีเข้าไปพบพร้อมคุณอดุลย์ด้วยนะคะ”“ดิฉันด้วยหรือคะ” พอได้ยินว่าตุลย์อยากพบเธอด้วยกรรวีก็ยิ้มกริ่มออกมา“ใช่ค่ะ”“ค่
“นั่นก็ไม่ได้นี่ก็ไม่ได้ แบบนี้เราไม่ต้องหางานใหม่รอหรอกหรือคะ” งานดีๆ เงินดีๆ สมัยนี้หาง่ายเสียเมื่อไหร่ ต่อให้เจอก็ไม่ได้มาครบทั้งสองอย่างแน่“ไม่ๆ เพราะทางรอดของเราคือต้องติดต่อแม่เล้าคนนั้นให้ได้” อดลุย์ยังคงหวังที่จะติดต่อแม่เล้าในคืนนั้นได้“แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ เราจะทำยังไงกันดี”“ถ้าไม่ได้ก็คงต้อง…”“ก็คงต้องอะไรคะ”“ยอมรับชะตากรรม” คำพูดของอดุลย์ทำให้กรรวีแทบจะดึงทึ้งศีรษะของตัวเอง ชะตากรรมแบบนี้เธอไม่อยากยอมรับเอาเสียเลย ก่อนจะสลัดความสิ้นหวังทิ้งแล้วตั้งหน้าตั้งตาติดต่อแม่เล้าในคืนนั้นซ้ำๆกรรวีถามไปที่เอเจนซี่เพื่อขอข้อมูลติดต่ออื่นๆ ทั้งที่อยู่ที่ทำงานหรือที่ไหนก็ตามที่จะติดต่อได้ ทว่ากลับมีอะไรที่ซับซ้อนมากกว่านั้น เมื่อถามไปถามมาถึงได้รู้ว่ามีการกินหัวคิวเกิดขึ้นภายในเอเจนซี่ เป็นการหักหน้าแย่งงานกันเองของอดีตเด็กที่ชื่อพิจิกาที่ผันตัวมาเป็นแม่เล้ารายใหม่ นอกจากเป็นแม่เล้าแล้ว
“ไอ้น้องคนนี้นี่ ขนาดพี่ป่วยมันยังไม่วายกวน”“ว่าไง รับปากผมมาก่อนสิ” เพราะไม่รู้จะพูดยังไงให้ตุลย์สู้กับโรคร้ายแล้วเอาชนะมันให้ได้อชิระจึงหยิบเอาวิธีนี้มาใช้ เพราะรู้ว่าตุลย์รักบริษัทแห่งนี้มากมากเท่าชีวิตเลยด้วยซ้ำ เขาไม่เชื่อว่าพี่ชายพึ่งตรวจพบมะเร็ง ดีไม่ดีตุลย์อาจรู้นานแล้วเพียงแค่ที่ผ่านมาเพิกเฉยจนปล่อยให้เชื้อลุกลาม“เออๆ รับปากก็รับปาก พอใจแล้วใช่ไหม”“ก็ถือว่าพอใจอยู่” อชิระยิ้มออกมา เขาจะพอใจมากกว่านี้หากพี่ชายหายเป็นปกติ ต่อให้ระยะหลังๆ จะไม่ได้อยู่ด้วยกันเพราะต่างคนต่างทำงานและใช้ชีวิต แต่ความเป็นพี่น้องก็ยังคงตัดกันไม่ขาด เขามีเหตุผลที่ก่อนหน้านี้ไม่ยอมกลับมาเมืองไทย เขาแค่ไม่อยากกลับมาแล้วถูกคนที่นี่ดูถูกว่ามาเพื่อสูบทุกอย่างไปจากพี่ชายแต่ในเมื่อมีความจำเป็นให้เขาต้องมานั่งในตำแหน่งนี้แม้จะชั่วคราว เขาก็จะทำให้กลุ่มคนที่เคยดูถูกเคยมองว่าเขาไม่เก่งไม่เหมาะกับที่นี่ก้มหัวยอมรับในตัวเขาให้จงได้ แค่คิดอชิระก็สนุกกับความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้าแล้วสิ
“ดีใจด้วยนะลูกหนู”“ค่ะ” สัมปันนียิ้มออกมาซึ่งนี่เป็นรอยยิ้มที่กว้างที่สุดตั้งแต่เกิดอุบัติกับแม่ก็ว่าได้ ในขณะที่บาดแผลที่เกิดขึ้นกับเธอก็ค่อยๆ สมานแม้จะยังไม่หายสนิท แม้บางคืนยังยังคงฝันร้ายแต่อีกไม่นานเธอจะก้าวผ่านทุกอย่าง สี่เดือนคือระยะเวลาทดลองงานที่สัมปันนีต้องผ่านมันไปให้ได้ และเพราะอยากทำงานที่นี่ต่อเธอจึงทุ่มเทแรงกายลงไปกับงานทุกๆ อย่างที่ได้รับผิดชอบ นอกจากงานกำลังเข้าที่เข้าทางแล้วอาการป่วยของแม่ก็ดีวันดีคืนเพราะแบบนั้นจึงได้รับอนุญาตให้กลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านสัมปันนีเตรียมความพร้อมให้แม่ในทุกๆ ด้านอย่างเต็มที่ ข้าวของเครื่องใช้ก็พยายามหามารอเพื่อให้แม่ใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกมากขึ้น ส่วนคนดูแลก็ไว้ใจได้จนทำให้สัมปันนีหายห่วงได้มากทีเดียว นั่นทำให้เธอทุ่มเทเวลาที่เหลือให้กับงานมากขึ้นโดยหวังว่าวันที่ผ่านทดลองงานแม่จะแข็งแรงจนสามารถไปเที่ยวทะเลกันได้“ลูกหนูๆ ว่างอยู่หรือเปล่า” เสียงของลลิตพี่ในแผนกดังขึ้นพร้อมกันนั้นก็วางแฟ้มสีดำลงบนโต๊ะทำงานของสัมปันนีอย่างรวดเร็ว“ว่างค่ะ”“ง
“คุณเป็นคนเก่ง” อชิระเอ่ยขึ้นในขณะที่เลขากำลังแสดงท่าทางบางอย่างออกมา“ค่ะ” น้ำเสียงอ่อนหวานของปลายฟ้าเอ่ยรับ สิ่งเดียวที่ทำให้เธอตัดสินใจรับงานนี้ไม่ใช่เงินเดือนเป็นแสนหรือสวัสดิการพิเศษอะไร แต่คือประธานหนุ่มที่ชื่ออชิระที่พยายามยั่วเขามาหลายเดือนกลับไม่เคยสำเร็จ“แล้วทำไมถึงด้อยค่าตัวเองด้วยการทำตัวไม่น่ารักแบบนี้”“เอ้” ปลายฟ้าอุทานออกมาอย่างตกใจ“ผมรู้ว่าคุณกำลังคิดจะทำอะไร ครั้งนี้ผมแค่เตือน แต่ถ้าคุณไม่หยุดเราคงทำงานร่วมกันไม่ได้” อชิระไม่ใช่คนใสซื่อถึงตามไม่ทันมารยาหญิงและวิธีรับมือ“ทำไมถึงปฏิเสธฉันคะหรือว่าท่านประธานจะเป็นเกย์อย่างที่คนอื่นพูดๆ กัน” ปลายฟ้าเอ่ยถามนั่นเพราะทุกครั้งที่มีโอกาสเธอจะเข้าหาอชิระเสมอแต่ประธานหนุ่มกลับไม่ได้แสดงท่าทีสนใจเธอเลยแม้แต่น้อย“เปล่าแต่ผมมีผู้หญิงที่อยากให้เกียรติทั้งต่อหน้าและลับหลัง”“เธอคนนั้นโชคดี
อชิระและสัมปันนีคบหากันได้หลายเดือน จู่ๆ ก็มีข่าวทลายซ่องโสเภณีที่ฮ่องกง โดยหนึ่งในเหยื่อที่ถูกหลอกให้ไปทำงานจนแทบไม่เห็นเดือนเห็นตะวันที่นั่นคือพิจิกา แม้จะเบลอหน้าเหยื่อไว้แต่สัมปันนีก็มองออกว่าเป็นใคร ในขณะที่ข่าววงในจากอชิระก็ช่วยยืนยันว่าคือคนเดียวกันอีกด้วย“เห็นข่าวแล้วใช่ไหม”“ค่ะ” สัมปันนีเอ่ยรับ อชิระดึงเธอเข้ามากอดเพราะอย่างน้อยเวลานี้พิจิกาก็กำลังรับกรรมที่ก่อไว้ แม้จะไม่ได้มาจากพวกเขาโดยตรงก็ตาม“เห็นว่าเธอติดโรคมาด้วย ตอนนี้กำลังรักษาตัวอยู่”“กรรมค่ะ คนเราทำกรรมอะไรไว้ก็ต้องรับแบบนั้น” เวลานี้สัมปันนีอโหสิกรรมให้พิจิกาแล้วหลังจากนี้ก็ขอให้ต่างคนต่างอยู่“ผมมีอะไรให้ลูกหนูดู” เอ่ยบอกเสร็จอชิระก็พา สัมปันนีไปที่โต๊ะทำงาน ซึ่งตอนนี้พวกเขาอยู่ที่เพนท์เฮ้าส์ของชายหนุ่ม“อะไรคะ”“แบบบ้านครับ” เสียงทุ้มเฉลยนั่นทำให้สัมปันนีแปลกใจเป็นอย่างมาก
ทั้งอชิระและสัมปันนีก็ต่างเป็นคนสำคัญของกันและกัน เพราะไม่อยากให้กระทบกับหน้าที่การงานโดยเฉพาะอิชระ สัมปันนีจึงตั้งกฎว่าห้ามเปิดเผยความสัมพันธ์นี้ให้คนอื่นรู้อย่างเด็ดขาดแม้จะไม่อยากรับปากแต่อชิระก็จำต้องทำตามกฎที่เธอกำหนดขึ้นแต่ถึงอย่างนั้นประธานหนุ่มก็มักจะหาโอกาสหรือจังหวะเหมาะๆ เพื่อให้ได้อยู่ตามลำพังกับสัมปันนีในที่ทำงานเสมอๆ ใช้ข้ออ้างเรื่องงานยุ่งเรื่องกาแฟหมดเพื่อให้เธอมาดูแลบ้าง แม้สัมปันนีจะรู้ทันแต่เธอกลับไม่ได้แย้งอะไร“กาแฟค่ะ” เสียงสดใสเอ่ยบอกพร้อมกับวางกาแฟหอมๆ ลงบนโต๊ะทำงานประธานหนุ่มที่เวลานี้เขาคือความรักของเธอเช่นกัน“ขอบคุณครับ อืม…ช่วงนี้งานยุ่งมาก ลูกหนูคิดว่าผมรับเลขาคนใหม่ดีไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถามนั่นเพราะตอนนี้ชมดาวได้ลาออกไปแล้วส่งผลให้ประธานหนุ่มไม่ได้มีเลขาส่วนตัว เหตุผลเพราะมั่นใจว่าตนทำงานคนเดียวได้ทว่าพึ่งมาตระหนักว่าเขาไม่ได้มีเวลามากพอที่จะจัดการทุกอย่างงานเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างเขาก็ต้องส่งให้เลขาช่วยจัดการแทน ไม่อย่างนั้นคิวงานเขาจะชนกันอย่างที่เป็นอยู่ แต่สมัยนี้การจะหาเลขาเก่
วันรุ่งขึ้นอชิระมาที่บ้านของสัมปันนีตั้งแต่เช้าตรู่ ชายหนุ่มอาสาขับรถไปส่งทั้งคู่ที่โรงพยาบาลท่ามกลางความสงสัยของสัมปันนี นั่นเพราะแม่ของเธอไม่ได้มีปฏิกิริยาตกใจหรือสงสัยที่จู่ๆ อชิระก็มารับแม้แต่น้อย แต่ก็ยังคงเก็บความสงสัยเหล่านั้นเอาไว้ระยะเวลารอคิวที่โรงพยาบาลรัฐใช้เวลาครึ่งค่อนวันแต่อชิระก็ไม่ได้บ่นหรือแสดงท่าทางหงุดหงิดอะไร แต่เพราะอยากให้วรรณีได้รับการดูแลที่ดีกว่านี้เขาจึงเสนอทางเลือกให้ ซึ่งทั้งคู่กลับปฏิเสธที่จะรับข้อเสนอนั้นอชิระจึงมัดมือชกจัดการเปลี่ยนโรงพยาบาลจากรัฐไปเอกชนทันที“ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้โอม” ขณะนั่งรอเรียกพบหมอวรรณีก็เอ่ยขึ้น“ผมเต็มใจครับ อีกอย่างลูกเขยดูแลแม่ยายจะเป็นไรไป” อชิระยิ้มออกมา ซึ่งประโยคนี้สัมปันนีไม่ได้ยินเพราะเธอเดินไปซื้อน้ำ แต่พอกลับมาก็คอยสังเกตคนทั้งคู่มาตลอดหลังจากเก็บความสงสัยมาตั้งแต่เช้าในที่สุดก็เอ่ยถามออกไป“แม่รู้จักท่านประธานมาก่อนหรือเปล่าคะ”“ตอบยังไงดีล่ะทีนี้” วรรณีหันมองมาที่อชิระราวก
“ฉันต้องกลับบ้านแล้ว” สัมปันนีพยายามคุมโทนเสียงอย่างมากเพื่อไม่ให้สั่นสะท้านไปกับสัมผัสของอชิระ แต่ดูเหมือนประธานหนุ่มจะไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ เพราะนอกจากลูบไล้เขาก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นขย้ำหน้าอกอวบอิ่มของเธอเบาๆ“ท่านประธาน…อา” เสียงครางกระเส่าดังมาจากคนในอ้อมกอด เธอเผลอส่งเสียงที่ทำให้อชิระตื่นตัวแบบนี้เขาจะปล่อยให้เธอกลับบ้านได้ยังไง“ลูกหนูกำลังทำให้ผมหลง”“หนูเปล่า” สัมปันนีขบเม้มริมฝีปากอิ่มแล้วเผลอเอ่ยแทนตัวเองด้วยชื่อนั่นกลับยิ่งทำให้อชิระยิ่งลูบไล้เธอมากขึ้น “สีหน้ายั่วๆ แบบนี้ เสียงกระเส่าแบบนี้ มันทำร้ายผมมากรู้ไหม เพราะฉะนั้นลูกหนูต้องรับผิดชอบ”“ท่านประธาน”“ทำไมถึงยังเรียกผมว่าท่านประธาน” เสียงทุ้มเอ่ยถาม“หนูอยากเรียก ในที่ทำงานหนูจะเรียกคุณว่าท่านประธาน”“แล้วนอกเวลางานจะเรียกว่าอะไร”“เอ่อ…” สัมปันนีอึกๆ อักๆ ทันที ใบหน้าหวานแดงก่ำ“ว่าไงจะเรียกว่าอ
“จะโกรธคุณ ฉันจะไปจากคุณ ฉันจะฆ่า…คุณ”“จะทำแบบนั้นกับผมจริงๆ นะเหรอลูกหนู” ขณะเอ่ยถามอิชระก็เร่งจังหวะนิ้วให้ถี่กระชั้นยิ่งขึ้น “ไม่ค่ะ ฉันไม่ทำ ได้โปรดอย่างทรมานฉันแบบนี้อีกเลย” สัมปันนีครางกระเส่าออกมา ดูเหมือนว่าเวลานี้เธอไม่อาจต่อรองอะไรกับอชิระได้ทั้งนั้น เธอต้องรังเกียจสัมผัสจากเขาไม่ใช่โหยหาอย่างที่เป็นอยู่ แต่ไม่ว่าจะบอกตัวเองยังไงร่างกายและหัวใจกลับไม่ทำตามคำตอบที่ได้ยินทำให้อชิระยิ้ม ชายหนุ่มเลื่อนกายขึ้นมาทาบทับบนร่างเปลือยของสัมปันนี เขาเองก็อดทนมามากพอแล้วเช่นกัน ทั้งคู่สบตากันก่อนที่อชิระจะมอบจูบให้เธออีกครั้งพร้อมกับค่อยๆ บดเบียดสะโพกสอบเข้าหาแล้วใช้หัวเข่าดันขาทั้งสองข้างของสัมปันนีให้แยกห่างออกจากกันจากนั้นก็ค่อยๆ แทรกตัวฝากฝังความเป็นชายที่เวลานี้ตื่นตัวอย่างเต็มที่ให้เธอ ความคับแน่นก่อเกิดเป็นความเจ็บที่ทำให้สัมปันนีสะดุ้ง แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกแต่เธอก็ยังใหม่อยู่มาก“เจ็บใช่ไหม”“ค่ะ” สัมปันนีเอ่ยรับอย่างไม่ปิดบัง อชิระจึงเพิ่มความนุ่มนวลให
อชิระยังคงมอบจูบให้สัมปันนีอย่างต่อเนื่อง ใช้ปากของตัวเองปิดปากของเธอพลอยทำให้จังหวะหายใจของสัมปันนีสะดุดตามไปด้วยนั่นเพราะเธอยังรับมือกับเรื่องนี้ได้ไม่ค่อยดีนัก จูบลงโทษอยากเขาช่างร้อนแรงจนเธอไม่อาจต่อต้านได้นั่นเพราะแม้จะพยายามหลบเลี่ยงมากแค่ไหนก็ยังคงถูกประธานหนุ่มล็อคตัวไว้ได้และทำให้เธอดำดิ่งไปกับรสสวาทจนหาทางออกไม่ได้ โดยเฉพาะปลายลิ้นร้อนชื้นแสนชำนาญของอชิระตวัดเกี่ยวรัดกับปลายลิ้นของ สัมปันนีอย่างช่ำชอง นั่นทำให้สัมปันนีเผลอส่งเสียงครางออกมาเบาๆ ยามที่ชายหนุ่มจูบอย่างดูดดื่มความรู้สึกต่อต้านค่อยๆ หายไปเหลือเพียงความโหยหาที่เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเพราะอะไรถึงได้รู้สึกแบบนั้นกับอชิระ เธอต้องผลักไสเขา เธอต้องรังเกียจเขาแต่แล้วทุกๆ อย่างกลับไม่เป็นแบบนั้น เสียงครางกระเส่าของ สัมปันนีทำให้อชิระถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง“นึกว่าจะไม่ได้ยินเสียงครางแบบนี้อีก”“คุณ” สัมปันนีกำลังจะด่าทอแต่ก็ถูกอีกฝ่ายปิดกั้นด้วยจูบที่ครั้งนี้ร้อนแรงและเต็มไปด้วยความต้องการ พร้อมกันนั้นอชิระก็จัดการถอดเสื้อของเธอออก แต่
“อย่านะ”“งั้นก็ตอบตามความจริงมา” ลมหายใจอุ่นๆ รดอยู่บริเวณใบหน้าของสัมปันนีนั่นยิ่งทำให้เธอประหม่า“ท่านประธานจะอยากรู้ไปทำไมว่าใช่ฉันหรือไม่ใช่”“ผมถามเรื่องสร้อยข้อมือไม่ได้ถามสักคำว่าคืนนั้นใช่คุณไหม”“คุณอชิระ” เพราะความลนทำให้สัมปันนีพลาดพลั้ง จะปฏิเสธก็คงไม่ทันเสียแล้วรวมไปถึงคำพูดของประธานหนุ่มก็ยิ่งตอกย้ำให้สัมปันนีมั่นใจว่าเขาคือผู้ชายในคืนนั้นไม่ผิดแน่“เรียกชื่อกันแบบนี้ โกรธแล้วใช่ไหม”“เปล่าค่ะ ท่านประธาน” น้ำเสียงของสัมปันนีห้วนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โลกใบนี้ทำไมมันถึงไม่เมตตาเธอเลยสักนิด“ปล่อยฉันได้หรือยังคะ”“ปล่อยแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”“จะทำอะไร” เพราะเขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้อีกครั้งสัมปันนีก็ถามขึ้นพร้อมกับออกแรงผลักไสชายหนุ่มให้ออกห่าง“ต้องให้บอกด้วยเหรอ ทั้งๆ ที่เราก็โตๆ กันแ
เพราะงานยังไม่เสร็จทำให้สัมปันนีจำต้องอยู่เป็นคนสุดท้ายของแผนก การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานๆ ทำให้สัมปันนีเกิดอาการตาล้าและเมื่อยแถวๆ หัวไหล่ลามไปจนถึงบ่าและหลัง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ต้องรีบทำเพราะถ้าไม่เสร็จก็ส่งงานให้คนอื่นทำต่อไม่ได้ ในขณะที่เธอกำลังขะมักเขม้นจดจ่อกับการเคลียร์งานอยู่นั้น จู่ๆ ไฟส่วนกลางที่ตั้งเวลาไว้ก็ดับลงพรึบ!สัมปันนีถึงกับสะดุ้งโหยงพร้อมกับขนเส้นเล็กๆ บนร่างกายก็พากันลุกซู่ด้วยความพร้อมเพรียง เธอนั่งตัวตรงแล้วจู่ๆ เรื่องผีในออฟฟิศที่พึ่งฟังจากรายการผีรายการหนึ่งก็ผุดเข้ามาโลดแล่นในหัวเป็นเรื่องเป็นราว จินตนาการฟุ้งไปหมดเพราะมองไปมุมไหนก็เจอแต่ความมืดและเงียบ เงียบจนได้ยินเสียงหายใจแสงที่มีตอนนี้มาจากคอมพิวเตอร์บนโต๊ะของเธอเท่านั้น สัมปันนีนั่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจหอบงานกลับไปทำต่อที่บ้านดีกว่าทนทำงานต่อในบรรยากาศแบบนี้ เธออาศัยแสงจากไฟฉายในโทรศัพท์นำทาง เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็รู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ คล้ายมีลมเย็นๆ ผ่านไปเมื่อครู่รวมถึงรู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองอยู่“เอาเป็นว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้จะทำบุญให้” สัมปันนี