ว่านหนิงเหมยได้แต่พยักหน้ารับ นางไม่เข้าใจกลยุทธ์การศึกนัก สมองนางตอนนี้มึนงง วิธีการคิดและตัดสินใจของเขาเปรียบเทียบกับหมากกระดานรูปแบบใด องค์ชายเฟยเทียนเห็นความห่วงใยของนางจึงรั้งร่างเล็กเข้ามาไว้ในวงแขน ก้มลงจูบหน้าผากเนียนเบาๆ “ก่อนนี้ข้าทำอะไรมุทะลุ มุ่งเอาแต่ชัยชนะเป็นที่ตั้ง แต่เมื่อมีเจ้า ข้าปรารถนามีชีวิตอยู่ เพื่อได้เห็นรอยยิ้มของเจ้า กอดเจ้าไว้ในวงแขนเช่นนี้” ว่านหนิงเหมยหลับตาลง สูดกลิ่นอายของเขา หัวใจได้ตราตรึงเขาไว้ให้นานที่สุด พลันนางคิดถึงภาพที่ได้พบชายผู้นี้ครั้งแรก นางเห็นเพียงแผ่นหลังของเขา ราวกับถูกดึงดูดให้เข้าไปหา คราวนั้นนางอายุเพียงสิบสอง เรียกว่ารักแรกพบก็เป็นได้ หลังจากนั้นคอยติดตามข่าวคราวของเขามาตลอด นางฝันเพ้อว่าจะได้เคียงข้างชายผู้เสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น แบกรับภาระหนักอึ้งที่ไม่มีใครมองเห็น แต่ไม่เคยหวังว่าจะมีวันที่ได้อยู่ในวงแขนของเขาเช่นนี้ “สัญญากับข้า” “หือ?” นางตื่นจากภวังค์ ได้ยินไม่ชัดจึงเอ่ยถามออกไปอีกคำ “สัญญากับข้า” เขาย้ำน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง “เรื่องอันใด”
“ชากกีเล่าให้หม่อมฉันฟังว่า หลังจากที่พระชายาหนีไป ก็จับกุมรุยหลงขังคุกใต้ดินเพื่อสอบปากคำว่านางเป็นคนของผู้ใดกันแน่ แต่ขังคุกอยู่เดือนกว่า ไม่ว่าจะทรมานนางเพียงใด รุยหลงมิยอมปริปาก จนกระทั่งท่านอ๋องเสด็จไปทำทีว่าเห็นใจนาง ปล่อยให้นางออกมา ให้เจิ้งไฉติดตามจนรู้ว่านางเป็นสายสืบจริง แต่นางดื่มเหล้าพิษตายเสียก่อน เจิ้งไฉติดตามคนผู้นั้นไม่ทัน จึงไม่รู้ว่าผู้ที่นางส่งข่าวให้เป็นใครกันแน่เพคะ” “ไยเป็นเช่นนี้ได้” ว่านหนิงเหมยรำพึงกับตนเอง “ปกติผู้หญิงในฮาเร็มของท่านอ๋องได้รับการตรวจสอบประวัติอย่างดีนี่” แม้เวทนาชะตากรรมของรุยหลง แต่อย่างไรนางก็เป็นห่วงความปลอดภัยของชายที่นางรักมากกว่า “คนเป็นสายสืบ ย่อมต้องทำทุกวิถีทางเพื่อแฝงตัวมาสืบข่าว” ปี้เอ๋อร์เอ่ยขึ้น เหมือนนางที่คิดโง่ๆ ยอมเป็นเชลยเพื่อตามหาสามี แม้ใครต่อใครบอกว่าเขาตายไปแล้ว แต่นางก็ยังหวัง ...หวังว่าจะได้กล่าวคำขออภัยกับเขา “เจิ้งไฉมีวรยุทธ์สูงไม่เบา หากติดตามไม่ทันแสดงว่าคนผู้นั้นฝีมือย่อมไม่ธรรมดาเป็นแน่” ว่านหนิงเหมยเป็นกังวลจนเผลอกัดริมฝีปากตนเอง “พระชายาอย่
เมื่อห่างกันนางจึงรู้สึกใจหาย เอาแต่ครุ่นคิดถึงเขา หากเป็นเมื่อก่อนที่ครั้งนางยังเป็นหญิงสาวผู้แอบหลงรักอยู่ฝ่ายเดียว นางยังไม่รู้สึกว้าวุ่นกังวลใจเช่นนี้ ระหว่างที่เขาไม่อยู่ เห็นทีว่านางควรจะหาอะไรทำ จะได้ไม่ฟุ้งซ่านจนเกินไป คิดได้แบบนี้แล้วนางก็ระบายลมหายใจเบาๆ คิดจะไปหาซิ่นเจี่ยงเผื่อมีอะไรให้นางทำได้บ้าง หญิงสาวทาบมือกับต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้า ดวงตาแม้ยังมีรอยแดงแต่แววตากระจ่างใส แล้วเอ่ยขึ้น “แม้เวลานี้ข้ามิอาจได้ยินเสียงพวกท่าน แต่ข้ารู้ว่าพวกท่านได้ยินข้า ฝากดูแลสามีของข้าด้วย เขาคือดวงใจของข้า ข้าขอวิงวอน” หญิงสาวได้ยินเสียงสั่นไหวของกิ่งไม้ สายลมพัดผ่านยอดไม้ขยับไหว ริมฝีปากบางยกยิ้ม นางเชื่อว่าสิ่งที่นางเอ่ยไปพวกเขารับรู้แล้ว เพียงชั่วพริบตา หญิงสาวรู้สึกเจ็บแปลบที่หูทั้งสองข้างจนต้องยกมือขึ้นปิดเสียงหวีดในหู เจ็บเสียจนแทบทรงตัวไม่อยู่ เอนกายไปพิงต้นไม้เพื่อทรงตัวไว้ “พระชายา” ว่านหนิงเหมยรู้สึกตัว ได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง นางตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง เสียงหวีดในหูหายไปแล้ว นางรีบหันไปตามเสียง
ปี้เอ๋อร์ได้ยินก็หันไปมองหญิงสาวอย่างตื่นตกใจ ไม่เคยได้ยินว่าใครอยากดูแลใส่ใจความเป็นอยู่ของเหล่าเชลยนัก เชลยก็คือเชลย ใช้แรงงานจนตายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ นางเองแม้โง่งมหลงผิดแต่ก็ยังอยู่ด้วยความหวัง ใช้ความทุกข์ทรมานเป็นการลงโทษตัวเองที่ไม่เชื่อใจสามี ซิ่นเจี่ยงนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง รองแม่ทัพซานนำทหารไปช่วยเรื่องซ่อมแซมกำแพงเมืองแล้ว แต่การไปดูแลพวกเชลยศึกก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร เวลานี้ดึงจิตใจคนไว้เป็นพวกตนเองน่าจะดีที่สุด เขาจึงพยักหน้ารับเป็นเชิงเห็นด้วย“ก็ดีเหมือนกัน เช่นนั้นกระหม่อมจะไปกับพระชายาด้วย” “ไม่เป็นไร” นางรีบโบกมือไปมา เห็นสายตาจับผิดของกุนซือแล้วนางก็หัวเราะออกมา “ข้าหมายความว่าตอนนี้งานของท่านเยอะมากแล้ว ไม่ต้องไปกับข้าก็ได้ ข้าไปกับปี้เอ๋อร์แล้วก็มาร์คัส อีกอย่างตอนที่ข้าอยู่ที่นั่นไม่มีใครรู้ฐานะของข้า ข้าไม่ต้องการให้พวกเขารู้เช่นกัน แต่ข้าก็อยากทำอะไรให้พวกเขาบ้าง” ฝีมืออย่างหมาป่าหนุ่มผู้นั้นปกป้องคุ้มครองพระชายาได้อยู่แล้ว ซิ่นเจี่ยงพยักหน้ากับความคิดตัวเอง เอ่ยปากอนุญาตให้พระชายาทำตามประสงค์ได้ “เรื
หญิงสาวลอบถอนหายใจ อุตส่าห์ทำตัวให้ยุ่งจะได้ไม่เอาแต่คิดถึงชายผู้นั้น กลายเป็นว่าไม่ว่านางทำสิ่งใด นางก็ยังคิดถึงเขาตลอดเวลาเพราะกำลังเหม่อลอยจึงไม่ทันระวังตัว หางตารับรู้เพียงการเคลื่อนไหวของจ้าวต้าเคลื่อนมาเบื้องหน้า หญิงสาวจึงตื่นจากภวังค์และเงยหน้าขึ้น ชายรูปร่างใหญ่โตยืนจ้องหน้านางอยู่ หนวดเครายาวรุงรัง มีเพียงดวงตาคมปลาบที่จ้องมองนางอย่างไม่เกรงมารยาท ทำให้นางอยากก้าวถอยหนี ทว่าด้วยตำแหน่งพระชายา แม้ตื่นตระหนกนางยังเชิดปลายคางขึ้นและจ้องมองกลับอย่างไม่แสดงความหวาดกลัวออกไป“ขออภัยที่ทำให้ตกใจ น้องชายข้าเจ็บป่วยตัวร้อนเป็นไข้หลายวันยังไม่ดีขึ้น ได้ยินว่ามีหมอมาตรวจรักษาไม่คิดเงิน จึงได้รีบร้อนมาดูให้เห็นกับตา”“เป็นเช่นนั้นจริง” จ้าวต้ารีบเอ่ยปากตอบไปทันที น้ำเสียงจริงจังเฉียบขาดซ้ำยังท่าทางห้าวหาญพร้อมปกป้อง ว่านหนิงเหมยมองอย่างประหลาดใจ เด็กคนนี้โตเร็วถึงเพียงนี้เชียวรึ? เมื่อครู่เขาก้าวออกมาปกป้องนางอย่างรวดเร็วจนนางไม่ทันรู้ตัว“เช่นนั้นข้าจะรีบไปพาน้องชายมาให้ท่านหมอรักษา” ชายผู้นั้นเอ่ย น้ำเสียงกระด้างไม่มีความกริ่งเกรงเลยสักนิด ผิดกับผู้อื่นที่ไม่กล้าเงยหน้าสบตากับว่าน
“แล้ว ‘พวกมัน’ คือใครกัน” ว่านหนิงเหมยพยายามทำใจให้สงบเอ่ยถามออกไป แม้นางไม่รู้เรื่องภายใน แต่ในเวลานี้นางยอมทุ่มเททุกสิ่งที่มีเพื่อปกป้องคนที่นางรัก คำถามของนางทำเอาภายในห้องถูกความเงียบเข้าปกคลุม ทุกคนต้องมองหน้ากันราวกับมีคำพูด แต่เป็นการคาดเดามากกว่าคำตอบที่ชัดเจน “ข้าน้อยคิดว่า...คนผู้นั้นคือลาซู” “ลาซู?” ซานม่านหวาหันขวับไปทางปี้เอ๋อร์ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเอ่ยชื่อใครออกมา” ปี้เอ๋อร์พยักหน้ารับ สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้นชิงชัง “ข้าไม่อาจลืมใบหน้าของคนที่ทำให้ข้าต้องพลัดพรากจากคนรักได้” “เจ้าเป็นคนเผ่าดาอาง?” ชากกีอดถามแทรกขึ้นมาไม่ได้ เห็นนางมานานแต่ไม่เคยสอบถามความเป็นมาอย่างไร “ถูกต้อง” ปี้เอ๋อร์พยักหน้ารับ “ทัพมองโกลกวาดต้อนคนในชนเผ่าของข้ามาเป็นทหารเพื่อทำการสู้รบกับพวกท่าน” ชากกีพยักหน้ารับยืนยันกับคำพูดของปี้เอ๋อร์ “ระหว่างที่สามีให้ข้าหลบซ่อนตัวนั้น ข้าเห็นใบหน้าของชายผู้นั้น ทหารทุกคนเคารพเขา ให้ความยำเกรงและเรียกเขาว่าลาซู ข้าเห็นกับตาตัวเอง เขาโหดเหี้ยมอำมหิต ฆ่าคนที่ไม่มีทา
“ทหารของข้าพร้อมเสมอ” ซานม่านหวาจ้องมองว่านหนิงเหมยด้วยความพอใจ ในเวลาเช่นนี้ นางยังดูสงบและใจเย็น ดีกว่าร้องตีโพยตีพายอย่างผู้หญิงหลายคนที่นางเคยเจอ หรือบางคนแอบวางแผนหนีเอาตัวรอดแล้วด้วยซ้ำ “ข้าต้องรบกวนรองแม่ทัพซานแล้ว” ว่านหนิงเหมยค้อมเอวลงก้มศีรษะให้นาง “ตกลงตามนี้ เช่นนี้รีบตระเตรียมทุกอย่างให้พร้อม พระชายาต้องการสิ่งใดเพิ่มโปรดแจ้งกระหม่อมได้ทันที” ซิ่นเจี่ยงรีบแจกแจงหน้าที่ให้แต่ละคนรับมอบหมายไป ยกเว้นชากกีให้อยู่ในตำหนัก เพราะอย่างไรช่วงนี้จื่อเหยี่ยนเจ็บท้องเตือนแล้ว ไม่มีใครต้องการให้สามีภรรยาคู่นี้อยู่ห่างกัน ชากกียื่นมือไปจับไหล่ของจ้าวต้า เด็กชายเงยหน้าขึ้นมอง “ได้ยินว่าเจ้าออกหน้าปกป้องพระชายา” ชากกีบีบไหล่เด็กชาย “เจ้าทำได้ดีมาก สมกับที่ข้าอบรมสั่งสอน” เด็กชายทำตาปริบๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนยิ้มเขิน เขาเพิ่งได้รับคำชมเชยจากชากกีเป็นครั้งแรก “อย่าประมาท เวลานี้เจ้าต้องเข้มแข็งและแข็งแกร่งเพื่อปกป้องพระชายา” “ข้าทราบแล้ว” จ้าวต้าผงกศีรษะแรงๆ หมุนตัวออกไปทำหน้าที่ของตนเ
นางเป็นเจ้าสาวที่ไร้สินเดิม เมล็ดพันธุ์เหล่านี้เป็นท่านอ๋องที่ออกเงินซื้อให้ เป็นหนึ่งในรายการที่นางเขียนให้ซิ่นเจี่ยงจัดการ นำจากเมืองหลวงมาที่ตุนหวง นอกจากกำไลหยกที่ท่านแม่ให้ไว้แล้ว นางไม่มีอะไรที่เรียกว่าของมีค่าได้เลย หญิงสาวกระตุกยิ้มที่มุมปาก ก้าวขึ้นสู่ปะรำพิธี เมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ปี้เอ๋อร์ก็ส่งผีผาให้นาง หญิงสาวมองดูซิ่นเจี่ยงก้าวมาเบื้องหน้า เขาก้มศีรษะให้นางเล็กน้อยก่อนหันไปป่าวประกาศเกี่ยวกับพิธีวันนี้ ว่านหนิงเหมยไม่ได้สนใจถ้อยคำที่ปั้นแต่งขึ้น ซานม่านหวาและเหล่าทหารที่ถูกคัดเลือกมาแล้วนั้น แต่งกายเต็มยศสง่างาม ไม่มีใครปริปากกล่าวถามถึงท่านอ๋อง เพราะสายตาทุกคู่จับจ้องมาที่นางบนปะรำพิธี จ้องมองที่นี่ สนใจเพียงข้าก็พอแล้ว ว่านหนิงเหมยได้แต่บอกให้ตัวเองสงบใจ ยิ่งดึงดูดผู้คนได้มากเท่าไหร่ จะไม่มีใครสงสัยเรื่องท่านอ๋องหรือแม้แต่กองทหารเบื้องหน้านี้ด้วย ซิ่นเจี่ยงกล่าวจบแล้วหันมาทางว่านหนิงเหมย นางสงบใจอยู่ครู่หนึ่งไม่ต้องรอให้ใครส่งสัญญาณ นางวางนิ้วบนเส้นสายสร้างเสียงเพลงแว่วหวานไพเราะจับใจ ทำเอาคนฟังยืนฟังอย่างตื่นตะลึง แม
ลมหายใจของเขามีไว้เพื่อนาง ลมหายใจของนางมีไว้เพื่อ เรื่องย่อ เรื่องราวระหว่างเทพมังกรดิน ฮวงหลง และหญิงสาวเดินดินนามซิ่นฮวา เมื่อโชคชะตาเล่นตลกให้หญิงสาวมองเห็น ‘เทพมังกรดิน’ เขาจำ(ใจ)ต้องปรากฏกายทุกครั้งที่นางเรียกขานนามของเขา ทำให้เทพเซียนชั้นฟ้ากลายเป็นพี่เลี้ยงของเด็กหญิงตัวน้อย จวบจนนางเติบโตเป็นหญิงสาวงามสะพรั่ง กฎสวรรค์ทำให้เขาต้องหักห้ามใจ แต่เพราะนางและเขามีชะตาที่ต้องชดใช้กรรมร่วมกัน และมีเพียง ‘ลมหายใจมังกร’ เท่านั้น ที่จะต่อลมหายใจของนางได้ เส้นทางที่เขาเลือกมิใช่สิ่งที่นางปรารถนา เพียงหนึ่งชาติภพเพื่อให้ใจได้ ‘รัก’ แม้ช่วงเวลานั้นจะแสนสั้น.... นางก็ยินดี จาก ‘ท่อนแขนมังกร’ สู่ ‘ลมหายใจมังกร’ (ท่อนแขนมังกรรุ่นลูก) ‘ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าจะอยู่ข้างกายท่าน จะไม่มีวันทอดทิ้งท่านอย่างเด็ดขาด’ “แม้ว่าข้าจะกลายเป็นคนอัปลักษณ์ เจ้าก็ยังอยู่เคียงข้างข้าหรือ?” ‘แน่นอน’ นางยืนยันด้วยแววตาใสซื่อ ‘ข้ามิได้รักท่านที่หน้าตา แต่เพราะจิตใจของท่านต่างหากที่ข้าหลงรัก’ “เจ้ารักข้า?” คำสารภาพรักของนางนั้น เขาได้ยินมานับร้อยนับพันครั้งแล้วกระมัง แต่ครั้งนี้ แม้นางไม่ไ
“เช่นนั้นเจ้าไม่ลองมีลูกสาวให้เป็นเพื่อนซิ่นฮวาอีกคนเล่า เด็กๆในตำหนักมีแต่เด็กผู้ชาย ถ้ามีลูกผู้หญิงเพิ่มขึ้นอีกคนก็คงดีไม่น้อย ตอนนี้ซิ่นสือก็สามขวบแล้ว ถ้าเจ้าจะมีลูกอีกสักคนก็...”บุรุษหนุ่มผู้กรำศึกมานับไม่ถ้วนถึงกับสะอึกไปเมื่อเห็นสายตาดุๆ ของภรรยาตัวน้อย“ข้ามิใช่แม่หมูนะ” เหตุใดมาเคี่ยวเข็ญให้นางตั้งท้องขนาดนี้นะ“โธ่! เพราะเห็นเจ้าเป็นภรรยาหนึ่งเดียวของข้าถึงได้ชวนเจ้ามีลูกอีกสักคนหรือสองคนก็ได้” เขาโอบไหล่นางพานางกลับเข้าห้องพัก ปล่อยให้จ้าวต้าอยู่กับลูกชายสองคนของเขา คงเป็นวิธีเบี่ยงเบนความสนใจจากว่านหนิงเหมยให้จ้าวต้าไปรับตัวซิ่นฮวาจากสวนกระจ่างใจจ้าวต้าโคลงศีรษะไปมาแล้วมองเด็กน้อยทั้งสอง แม้ฐานะของเขาต้อยต่ำนัก แต่เขาเสมือนพี่ใหญ่ที่ต้องดูแลเด็กๆ เหล่านี้ เขาถอนหายใจก่อนยิ้มอ่อนโยน จูงมือซิ่นหลิงและอุ้มซิ่นสือไปส่งป้าฮุยเหอก่อนแล้วค่อยไปรับเด็กหญิงแสนซุกซนผู้นั้นเด็กหญิงตัวต้นเรื่องนั่งหน้าบึ้งตึงในศาลาหกเหลี่ยมของสวนกระจ่างใจ ท่านแม่ให้นางนั่งสำนึกผิดอยู่ผู้เดียว แต่กระนั้น นางก็รู้และมั่นใจว่าองครักษ์ของท่านพ่อคอยจับตาดูนางอยู่“เรื่องนิดเดียวเอง ไยท่านแม่ต้องโกรธถึงเ
ชายหนุ่มวัยสิบหกพาเรือนร่างกำยำเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้าคมเข้ม แม้อายุเพียงแค่สิบหกปีแต่เพราะฝึกฝนวรยุทธ์อย่างเข้มงวด ทำให้เขาดูสูงใหญ่กว่าชายหนุ่มวัยเดียวกัน แทบไม่เหลือเค้าโครงเด็กชายผอมกะหร่องที่ค่อยติดตามพระชายาเลยแม้แต่น้อย เพียงร่างสูงเดินเข้าไปในห้องโถง พลันประสาทรับรู้ถึงการพุ่งเข้าใส่ ทว่าเขากลับไม่ปัดป้องหรือหลบหลีก ยอมให้ร่างเล็กโถมเข้าใส่สุดแรงจนเสียหลักหงายหลังล้มลงให้เด็กชายตัวน้อยวัยห้าขวบนั่งทับ “พี่จ้าวต้ากลับมาแล้ว!” มือน้อยของเด็กชายขยุ้มคอเสื้ออีกฝ่าย สีหน้าตื่นเต้นดีใจทั้งที่ไม่เจอกันแค่สามเดือน “คุณชายซิ่นหลิง” ชายหนุ่มหัวเราะขบขันกับท่าทางดีอกดีใจของอีกฝ่าย เพราะรู้ว่าผู้ที่พุ่งเข้ามาเป็นใครจึงยอมให้นั่งทับบนร่างตัวเองเช่นนี้ เขาจับไหล่เด็กชายตัวน้อย ยกตัวขึ้นเพื่อให้ตัวเองลุกขึ้นยืนได้ “พี่จ้าวต้ามาแล้ว ไปช่วยซิ่นฮวาเร็วๆ เข้า” มือน้อยกระตุกมือใหญ่แล้วชี้ไปทางด้านหลังของตำหนักดุจตะวัน “หือ? คุณหนูเป็นอะไรไปขอรับ” เขาถามพลางมองไปตามทิศทางที่นิ้วป้อมๆ ชี้ไป ถ้าคุณหนูตัวน้อยอยู่ที่สวนก
พูดได้แค่นั้นก็อยากจะอาเจียนหรือหาของเปรี้ยวมากิน คราวนี้ฮองไทเฮาอดหัวเราะไม่ได้ ในขณะที่หลานรักอย่างเขากลับรู้สึกอับอายยิ่งนัก เพราะหลบสายตาของผู้เป็นย่าจึงปะทะกับสายตาล้อเลียนขององครักษ์ฝาแฝดทั้งสอง ทำได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไม่พอใจ ก็ใครใช้ให้เขารักนางมากขนาดนี้กันเล่า เฮ้อ!“เอาเถิดๆ อย่างไรข้าจะเป็นยายแก่หนังเหนียวรอเจ้าพาเหลนและสะใภ้กลับมาเยี่ยมอยู่ที่นี่”องค์ชายเฟยเทียนโค้งตัวอำลาฮองไทเฮา คราวนี้เขาไม่รั้งอยู่นาน ใช้วิชาตัวเบาราวล่องหนหายออกไปจากวังหลวงพร้อมองครักษ์ทั้งสองอย่างรวดเร็ว เพื่อกลับไปดูแลคนที่ทำให้เขาต้องออกอาการแพ้ท้องแทนอยู่อย่างนี้ตุนหวงรถม้ามาหยุดหน้าตำหนักดุจตะวัน หญิงวัยกลางคนโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างรถอย่างไม่มั่นใจนัก จนกระทั่งเห็นเด็กชายที่เคยเลี้ยงดูรีบวิ่งเข้ามาหา นางจึงยิ้มกว้างออกมา“จ้าวต้า”“ป้าฮุยเหอมาแล้ว” จ้าวตารีบไปประคองให้นางลงจากรถม้า ก่อนท่านอ๋องเดินทางไปเมืองหลวงได้สอบถามเขาถึงคนสนิทหญิงรับใช้ที่บ้านเดิม ท่านอ๋องต้องการให้พระชายามีคนคุ้นเคยอยู่ใกล้ๆ คอยช่วยเหลือยามตั้งครรภ์แรก เขาจึงนึกถึงป้าฮุยเหอที่ดูแลเขาและพระชายามาตั้งแต่เกิด แต่เ
ดวงเนตรเบิกกว้างอย่างตกใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินโอรสที่ทรงหมางเมินกล่าวออกมาเช่นนี้ จ้องมองบุรุษเบื้องหน้าที่ใบหน้าละม้ายคล้ายกันนัก สิ่งที่ลูกชายพูดออกมานั้นล้วนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ ทุกครั้งที่มองใบหน้านี้จึงเหมือนมองตนเองในวันวัยเดียวกัน ยามที่เป็นเพียงองค์รัชทายาทก็ราวกับเป็นเพียงหุ่นเชิดให้ใครต่อใครบงการ พยายามอย่างยิ่งให้เป็นที่ยอมรับ ได้รับความรักจากบิดาหรือก็คืออดีตฮ่องเต้องค์ก่อน แม้รู้ว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นไม่ถูกต้อง แต่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในใจ ไม่คิดเลยว่าบุรุษเบื้องหน้าผู้ถอดแบบเขาออกมาแทบทุกกระเบียดนิ้ว จะมองออกจนทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ “สิ่งที่กระหม่อมทำก็เพื่อแผ่นดินมังกรแห่งนี้ ศึกภายในกระหม่อมไม่ขอยุ่งเกี่ยว กระหม่อมมิสนใจว่าผู้ใดต้องการกำจัดกระหม่อม แต่ชีวิตของกระหม่อมขอเพียงได้ปกป้องราษฎรและรักษาแผ่นดินที่แลกมาด้วยหยาดโลหิตและชีวิตทหาร หากกำจัดกระหม่อมไปแล้ว เห็นทีว่าจะไม่เป็นผลดีต่อแผ่นดินนี้”“เจ้ากำลังข่มขู่ข้ากระนั้นรึ” “มิได้ กระหม่อมแค่ต้องการย้ำให้พระบิดาเข้าใจ อย่าได้สิ้นเปลืองสมองมาระแวงกระหม่อม”เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง
เทพมังกรดินดูผลงานของตน เฝ้ามองเหล่ามารปีศาจกลับคืนสู่นรกแล้ว จึงกลายร่างเป็นบุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวง เดินเข้าไปหาคนทั้งสอง หญิงสาวพลิกตัวใช้ร่างของตนบังร่างของชายที่นางรักไว้ แม้นางรูปร่างเล็ก แต่กางแขนออกเพื่อปกป้องเขา“หนิงเหมย” เขาปรามนาง อยากจะหัวเราะที่เวลานี้มีหญิงสาวตัวเล็กกางแขนปกป้องเขาเต็มที่ ในชีวิตของเขา จะมีใครสักกี่คนที่ยอมอยู่เคียงข้างเช่นนี้ เพียงหนึ่งชีวิตอันแสนสั้น ได้รู้จักรัก หัวใจได้รับความรักก็นับว่ามีค่าและมีเกียรติให้ตายได้อย่างสงบแล้วเป็นนางเท่านั้นที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะรัก ได้สัมผัสความรัก เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว พอแล้วจริงๆ เทพมังกรดินจ้องมองชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสองแล้วก็ลอบถอนหายใจ นี่แหละหนา จึงเป็นได้เพียงมนุษย์ไม่อาจละทิ้งอาวรณ์ได้ เขายื่นมือไปใช้เพียงปลายนิ้วแตะน้ำตาของหญิงสาว ว่านหนิงเหมยเบิกตาโต เห็นน้ำตาของตนกลั่นกลายเป็นก้อนกลมเล็กดุจลูกแก้ววาววับลอยเหนือฝ่ามือของเทพมังกรดิน แล้วยื่นไปที่เบื้องหน้าขององค์ชายเฟยเทียน “นี่คือ...” ว่านหนิงเหมยพึมพำ “กลืนมันลงไป” เทพมังกรดินสั่งน้ำเสียงเฉียบขาด องค์ช
“เจ้าเรียกปีศาจได้ ไยข้าจะทำบ้างมิได้” เพื่อชัยชนะ ย่อมทำได้ทุกอย่างไม่ว่าชัยชนะนั้นจะได้มาอย่างไรก็ตาม“เจ้าแลกสิ่งใดกับการเรียกปีศาจออกมา!”แม้เขามีปีศาจมังกรเพลิงอยู่ในท่อนแขนซ้าย แต่เรียกใช้เพียงการศึกครั้งเดียว เมื่อสิบปีก่อนที่เรียกกองทัพทหารปีศาจขึ้นมา กลายเป็นฝันร้ายไปชั่วชีวิต นับแต่นั้น เขาเพียงใช้แค่เกราะปีศาจมังกรเพลิงคุ้มกันกายค่าตอบแทนของทหารปีศาจเหล่านี้คือหายนะไม่สิ้นสุด ความตายที่ไม่อาจประเมินได้อยู่เบื้องหน้า ปีศาจเหล่านี้ล้วนต้องดื่มเลือดฉีกเนื้อกินวิญญาณมนุษย์ ครานั้นปีศาจที่เขาเรียกออกมากัดกินทหารฝ่ายตรงข้าม เศษซากที่เหลือกลายเป็นศพ กองเป็นภูเขาซากศพชวนให้อาเจียนและขนหัวลุก“ข้ามิโง่เช่นเจ้าที่แลกวิญญาณตนเองหรอกนะ” ลาซูแหงนหน้าหัวเราะ ดวงตากลายเป็นสีแดงราวกับย้อมด้วยโลหิต “แต่ข้าแลกด้วยชีวิตผู้คนในตุนหวง เมื่อข้านำกองทัพเข้ายึดครองแผ่นดินของเจ้า ผู้คนของเจ้าก็จะกลายเป็นอาหารอันโอชะให้พวกมันอย่างไรเล่า เมื่อเวลานั้นมาถึง ดินแดนของเจ้าจะมีเพียงผู้คนของข้าเท่านั้นที่เหยียบยืนบนแผ่นดินเปื้อนเลือดแห่งนี้”แม้ไม่ได้ยินเสียงสนทนาของคนทั้งสอง แต่บัดนี้หญิงสาวเข้าใจแล้วว่
นางหวังให้ตัวเองส่งเสียงเตือนให้ดังกว่านี้ แต่เสียงที่เปล่งออกไปเป็นเพียงเสียงแหบแห้งและสั่นเครือ นางรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือเพียงน้อยนิด อาภรณ์สีดำขลิบแดงที่นางสวมทำให้ผิวกายของนางแสบร้อน ดวงตาเบิกกว้าง นางเห็นกลุ่มคนบุกเข้าไปกำลังปะทะกับทหารมองโกล “ท่าน...อ๋อง...” เสียงของนางแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงของสายลม น้ำตาที่ทนกลั้นกลิ้งร่วงหล่นจากดวงตาเปื้อนแก้ม ขอให้นางได้เพียงส่งเสียง ได้เพียงเตือนเขาก็ยังดี “โอ๊ย!” ว่านหนิงเหมยร้องเสียงหลง หูทั้งสองข้างราวกับมีเสียงปริแตกลั่นดังเปรี๊ยะ! มือที่ถูกมัดทำให้ไม่อาจยกขึ้นมาแตะหูของตนได้ นางเจ็บจนนิ่วหน้า รู้สึกเหมือนมีน้ำไหลออกมาจากหูทั้งสองข้างนางหลับตาพยายามสะกดกลั้นความเจ็บที่ตนได้รับ เสียงหวีดแหลมที่ทำให้หูทั้งสองข้างเจ็บปวด ทำให้นางไม่อาจได้ยินเสียงอื่นใดอีก ในชั่วลมหายใจต่อมา หญิงสาวรู้สึกว่าเชือกที่มัดนางอยู่ถูกตัดขาดอย่างรวดเร็วพร้อมร่างของนางที่ร่วงหล่น เพียงเสี้ยวเวลาอันแสนสั้นและเปราะบาง ยามนั้นนางกลับนึกถึงเมื่อครั้งที่นางตกต้นหลิวอายุเกือบร้อยปีในสวนสี่ฤดูของฮองไทเฮา หัวใจของนางหล่นวูบ
“เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่” มือเรียวกำแน่น เผลอจิกเล็บกับฝ่ามือของตนเอง เมื่อเห็นอีกฝ่ายตั้งใจฟัง ลาซูจึงเอ่ยขึ้น “สังหารท่านอ๋องอย่างไรเล่า คงมีแต่ท่านเท่านั้นที่จะสังหารผู้ที่ครอบครองพลังปีศาจมังกรเพลิง” ลาซูพูดราวกับเป็นเรื่องธรรมดา “อ้อ! แต่อย่าได้เป็นกังวลไป หากพระชายากลายเป็นม่าย กระหม่อมยินดีรับท่านมาอยู่เคียงข้างอย่างไม่รังเกียจ” ยังไม่ทันสิ้นประโยคดี ฝ่ามือเล็กของหญิงสาวกระทบซีกแก้มของลาซูสุดแรงที่นางมี เพราะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงหญิงไร้วรยุทธ์จึงไม่หลบหลีกยินดีให้นางตบหน้าเขาเต็มแรง ว่านหนิงเหมยลดมือที่ยกค้างอยู่ลง แสร้งทำเป็นประคองสองมือไว้บนตัก ทว่ามือข้างขวานั้นชาและสั่นระริก หญิงสาวกัดริมฝีปากตนเองไม่ให้แสดงความตื่นตระหนกออกมา ดวงตาเป็นประกายฉายแววเคืองโกรธและจ้องมองอย่างไม่เกรงกลัว “หากมือของข้าต้องเปื้อนเลือด ต้องเป็นเลือดของคนชั่วเช่นเจ้าเท่านั้น! ข้ายินดีตายแต่ไม่ยอมทำร้ายท่านอ๋องเด็ดขาด!” “ดี!” ลาซูหัวเราะเหมือนคนเสียสติ ยื่นมือไปจับข้อมือข้างที่ตบหน้าเขากระชากนางให้ลุกขึ้นพร้อมกับต