" แม้ว่าข้าจะเคยบาดหมางกับใต้เท้าฉีเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องโหดร้ายเช่นนี้ ข้าได้สังหารผู้คุมขังสองคนนั้นแล้ว ถือว่าเป็นการขอโทษใต้เท้าฉี อีกอย่าง ยาสมานแผลชั้นเยี่ยมสองสามขวดนี้ รบกวนพระชายาเยี่ยเอาไปที่ศาลต้าหลี่ เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของใต้เท้าฉีด้วย…"หลินซวงเอ๋อร์เอามือไปไว้ข้าหลัง มองเขาด้วยใบหน้าที่ระมัดระวังทั่วป๋าจิ่นยิ้มแล้วยกล่าวว่า: "ล้วนเป็นยาสมานแผลชั้นเยี่ยม มีประสิทธิภาพในการรักษาบาดแผลนอกกายมากที่สุด ศาลต้าหลี่เย็นชื้นมาก ถ้าไม่รักษาใต้เท้าฉีให้ดีๆ วันนี้อาจจะทนไม่ไหวก็ได้"หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "ไม่รบกวนองค์ชายใหญ่ดีกว่าเพคะ ยาอันนี้ ข้าไม่สามารถรับเอาไว้ได้จริงๆ"ทั่วป๋าจิ่นพูดว่า: "เพราะเหตุใด?"หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "สวามีของข้าเคยบอกว่า สิ่งของของคนนั้น จะรับเอาไว้ไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่"ทันใดนั้นทั่วป๋าจิ่นก็ค่อยๆกำนิ้วเอาไว้แน่น แทบจะควบคุมอารมณ์ตนเองไม่อยู่หลินซวงเอ๋อร์กล่าวเน้นย้ำว่า: "สวามียังบอกอีกว่า คนที่ทำดีกับเรา มักจะหวังผลตอบแทน ดังนั้นชานี้ ข้าจะดื่มมั่วซั่วไม่ได้เด็ดขาด"“สวามีของเจ้าสอนเจ้าพูดจาได้คมคายดีนี่…” ทั่วป๋
เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นคนที่มีไหวพริบมาก ทันทีที่ลูกศรพุ่งออกมา เขาก็สังเกตเห็นแล้ว เขาตอบสนองอย่างรวดเร็ว หันกลับมาแล้วดึงดาบออกมาจากเอวเพื่อสกัดกั้นทันทีแต่ทว่า ก่อนที่เขาจะหันกลับมา หลินซวงเอ๋อร์ตอบสนองเร็วกว่า เข้าไปขวางอยู่ข้างหน้าเขาเหมือนครั้งที่แล้ว และพยายามใช้ร่างกายสกัดกั้นลูกธนูที่กำลังพุ่งเข้ามาในช่วงเวลาคับขันนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ได้นึกถึงอย่างอื่นเลย เขาเหยียดแขนออกไป โอบหลินซวงเอ๋อร์เอาไว้แล้วหมุนตัวไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว ลูกธนูดอกนั้นจึงเฉียดไหล่เขาไปพอดีหลังจากถูกโจมตีอย่างรุนแรงแล้ว เยี่ยเป่ยเฉิงมองไปตามทิศทางที่ลูกศรยิงมาก็มองเห็นร่างร่างหนึ่งอย่างรวดเร็วเยี่ยเป่ยเฉิงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ดาบอันแหลมคมที่อยู่ในมือก็พุ่งออกไป จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องโอดโอย ร่างนั้นก็ถูกดาบอันแหลมคมแทงทะลุ ทั้งคนทั้งดาบถูกตอกเข้ากับภูเขาจำลองทันทีสีหน้าของหลินซวงเอ๋อร์ซีดเผือด หัวใจของนางเต้นแรงมาก จากนั้นก็ได้ยินเสียงแทบจะโกรธสุดขีดของเยี่ยเป่ยเฉิง“ หลินซวงเอ๋อร์! ใครใช้ให้เจ้ามาขวางหน้าข้า?”น้ำเสียงที่ต่ำทุ้มของเขาน่ากลัวมาก ปะปนกับความโกรธที่เหมือนฟ้าร้อง ดวงตาที่เมินเฉยเย็น
แต่ทว่า เขาคิดไม่ถึงว่า ทั่วป๋าจิ่นจะกระตือรือร้นที่จะฆ่าเขาขนาดนี้!เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวเยาะเย้ยว่า "ฝ่าบาทมาได้เหมาะเจาะมาก ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่ได้เป็นอะไร"ทั่วป๋าจิ่นกล่าวว่า: " ท่านลุงไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว มือสังหารคนนี้น่าจะหนอนบ่อนไส้ของแว่นแคว้นศัตรู พรางตัวอยู่ในวังมาหลายเดือนแล้ว ในที่สุดก็ปรากฏตัวขึ้นในวันนี้..."ในขณะที่พูด องครักษ์ก็นำตัวผู้ลอบสังหารมาที่ตรงหน้าพวกเขาดาบที่เยี่ยเป่ยเฉิงเพิ่งจะขว้างไปไม่ได้โจมตีส่วนสำคัญของเขา แต่เฉียดหัวใจของเขาไปหนึ่งนิ้วดังนั้น เมื่อองครักษ์จับตัวผู้ลอบสังหารมาที่ตรงหน้าพวกเขา เขายังพอมีลมหายใจอยู่ทั่วป๋าจิ่นกล่าวว่า: " ท่านลุงไม่ต้องกังวล มือสังหารคนนี้เหิมเกริมมาก ข้าจะพาเขาไปที่กรมราชทัณฑ์เพื่อเค้นคำสารภาพ ทำให้เขาเปิดเผยคนที่อยู่เบื้องหลังออกมา พอถึงตอนนั้น ข้าจะต้องให้คำอธิบายแก่ท่านลุงได้อย่างแน่นอน! "หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "เหตุใดถึงไม่ถามตอนนี้ล่ะ? เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก ถ้าเขาตายในมือของท่านจะทำอย่างไร? ถ้าอย่างนั้นก็จะคงจะไม่มีพยานหลักฐานแล้วน่ะสิ?"สุดท้าย หลินซวงเอ๋อร์ก็กล่าวเสริมอีกว่า: "ถ้าจะถาม ก็ให้ถามตอ
ซี่โครงของเหลิ่งเยวี่ยหักจนหมด นอนอยู่บนพื้นไม่สามารถขยับได้ทั่วป๋าจิ่นกำหมัดแน่น จนมีเสียงดังกรอบแกรบทั่วป๋าจิ่นคิดไม่ถึงว่า เยี่ยเป่ยเฉิงจะกล้าทำร้ายนางกำนัลส่วนตัวของเขาจนพิการไปต่อหน้าต่อตา! ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเกินไปแล้ว!เขายังไม่ทันได้ซักไซ้เอาความ เยี่ยเป่ยเฉิงก็เริ่มพูดก่อน ด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: " ปกติแล้วฝ่าบาทอบรมสี่งสอนทาสรับใช้เช่นนี้หรือ? โอหังอวดดี ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง! หากมีครั้งต่อไป ข้าจะไม่หักแค่เพียงซี่โครงของนางแน่! "ทั่วป๋าจิ่นอยากจะสับเยี่ยเป่ยเฉิงออกเป็นชิ้นๆใจจะขาด! แต่ไม่กล้าขัดแย้งหมางใจกับเขาซึ่งๆหน้า จึงทำได้แค่กระตุกมุมปากอย่างแข็งทื่อ กัดฟันแล้วกล่าวว่า: " ท่านลุงสั่งสอนถูกต้องแล้ว ข้ากลับไปแล้วจะอบรมสั่งสอนให้ดี ท่านลุงจะได้ไม่ต้องลำบาก! "เยี่ยเป่ยเฉิงหันหลังกลับ และกำลังจะพาหลินซวงเอ๋อร์จากไป คิดไม่ถึงว่า เสียงของทั่วป๋าจิ่นจะดังมาจากด้านหลังอีกครั้ง: " ข้าว่าบาดแผลตรงไหล่ของท่านลุงหนักเอาการอยู่นะ หวังว่าท่านลุงจะรักษาเนื้อรักษาตัวของตนเองเป็นอย่างดี... "เยี่ยเป่ยเฉิงหยุดเดิน จากนั้นก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่มาจากบาดแผลบนไหล่หลินซวงเอ
ทั่วป๋าจิ่นหัวเราะ: "คนนับร้อยฆ่าตัวตายหมดเลยหรือ? เจ้าคิดว่าคนอื่นจะไร้สมองเหมือนเจ้าหรือ?"องครักษ์ลับคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับเสียงดัง "พลั่ก" และมีสีหน้าซีดเผือดทั่วป๋าจิ่นพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า: "เห็นได้ชัดว่านายอำเภอคนนั้นพยายามปกปิด เพราะกลัวว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมา ดังนั้นจึงเผาสังหาร ราษฎรที่ติดเชื้อทั้งหมด... "องครักษ์ลับ: "ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!"……บรรยากาศในรถม้าอึมครึมมาก ทั้งสองคนต่างก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรพอปิดม่านรถม้า ก็บดบังแสงจากภายนอก ทำให้ภายในรถม้ามืดเล็กน้อยหลินซวงเอ๋อร์กำลังนั่งอยู่ในรถม้า เหลือบมองเยี่ยเป่ยเฉิงที่อยู่ข้างๆเป็นครั้งคราวเยี่ยเป่ยเฉิงกำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่าง จากมุมของหลินซวงเอ๋อร์ จะมองเห็นแค่ใบหน้าด้านข้างที่เคร่งขรึมของเขาเท่้านั้นดูเหมือนเขาจะยังโกรธอยู่ จึงหลับตาลงเล็กน้อยและไม่ยอมมองนาง ริมฝีปากอันเรียวบางเม้มจนเป็นเส้น คิ้วที่โฉบเฉี่ยวขมวดกันเล็กน้อย เค้าโครงหน้าที่คมเข้ม บุคลิกที่โดดเดี่ยวเย็นชาทำให้คนรู้สึกยำเกรง ในขณะที่ทำให้ผู้คนหวาดเกรงโดยไม่มีเหตุผลก็สามารถทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้เช่นกันในที่สุดหลินซวงเอ๋อร
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกว่าเวลานั้นผ่านไปอย่างยากลำบากในที่สุด ประตูที่อยู่ด้านหลังก็เปิดออก แพทย์เดินออกมาด้วยสีหน้าที่หนักใจ“ท่านหมอ ลูกชายของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” บนใบหน้าของกงชิงเยวี่ยมีคราบน้ำตาที่ยังไม่แห้ง ถ้าไม่ใช่เพราะท่านป้าจ้าวช่วยพยุงนางไว้ตลอดเวลา แม้แต่จะยืนให้มั่นคงก็ทำไม่ได้แพทย์ส่ายหัวถอนหายใจแล้วกล่าวว่า: " ท่านอ๋องโดนพิษประหลาด บาดแผลที่ไหล่กลายเป็นสีดำ พิษนี้รุนแรงมาก ดูเหมือนจะเป็นพิษที่พบเห็นได้เฉพาะหนานเจียงเท่านั้น ถ้าหายาแก้พิษ ไม่ได้ ภายในสามวัน พิษก็จะเข้าสู่ไขกระดูก แม้ว่าแพทย์หัวถัวจะยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่อาจช่วยเขาได้… "จำไม่ได้ว่าเป็นแพทย์คนที่เท่าไหร่แล้วที่พูดแบบนี้สีหน้าของกงชิงเยวี่ยซีดเผือด ร่างกายโซเซกลับไปสองสามก้าวท่านป้าจ้าวรีบพยุงนางเอาไว้อย่างรวดเร็ว และปลอบโยนทั้งน้ำตาว่า: " นายหญิง ต้องดูแลตนเองให้ดีๆ บางทีอาจจะมีวิธีอื่นก็ได้... "กงชิงเยวี่ยกล่าวอย่างโศรกเศร้าว่า: "เชิญแพทย์มานับไม่ถ้วนแล้ว แต่พวกเขาก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน... แพทย์เสิ่นไม่ได้อยู่ในวัง ลูกชายของข้าอยู่ได้แค่เพียงสามวันเท่านั้น เขาจะรอได้อย่างไร?"
หลินซวงเอ๋อร์กล่าวพร้อมสะอื้นไห้ว่า "แต่ข้าได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลก ล้วนส่งเสริมและยับยั้งกัน ไม่ว่าจะเป็นพิษชนิดใด ล้วนมียาที่สามารถแก้พิษได้... "แพทย์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็นึกถึงอะไรบางอย่าง จึงพูดกับหลินซวงเอ๋อร์ว่า: " สิ่งที่แม่นางพูด ทำให้ข้านึกอะไรออก ว่ากันว่า บนโลกใบนี้มีงูประเภทหนึ่ง เรียกว่างูทองดำหางแดง ถ้าสามารถจับงูตัวนี้ได้ ให้เอาดีงูออกมาลอกหนังงูออกแล้ว แล้วนำมาต้มกับเลือดงู สามารถแก้สารพัดพิษ และรักษาโรคได้ทุกชนิด "หลินซวงเอ๋อร์ค่อยๆหายใจถี่ขึ้น: "ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็มีวิธีแก้พิษให้สวามีของข้าแล้วน่ะสิ?"“เพียงแต่ว่า…” แพทย์ขมวดคิ้วเล็กน้อย หัวใจของหลินซวงเอ๋อร์ก็เต้นแรงทันที“เพียงแต่ว่าอะไร?” หลินซวงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะถามแพทย์กล่าวต่อว่า " งูนั้นดุร้ายสุดขีด และมีพิษร้ายแรงมาก ถ้าไม่ทันได้ระวังตัวแล้วถูกมันกัด จะต้องตายอย่างแน่นอน... ยิ่งไปกว่านั้น นิสัยของงูชนิดนั้นยากที่จะคาดเดาได้ และจับยากมาก แม้แต่ร้านขายยาทั่วทั้งเมืองฉางอาน ตลอดครึ่งชีวิตของข้า ไม่เคยเห็นงูชนิดนี้มาก่อนเลย... "“ข้าได้ยินมาว่า งูตัวนี้มีสีทอง สีทองอันแวววาวนั้น
งูทองดำหางแดงหาได้ยากมากในเมือง และจะต้องไปหาในภูเขาลึกที่อยู่นอกเมืองหลินซวงเอ๋อร์ขี่ม้า มุ่งไปทางเหนือของเมือง นางจำได้ว่ามีภูเขาป่าทางตอนเหนือของเมืองอยู่ลูกหนึ่ง ป่าเต็มไปด้วยหนาม เปียกชื้นเดินลำบาก มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ย่างกรายเข้าไปแต่พวกเขาไม่รู้ว่า งูทองดำหางแดง ชอบสิ่งแวดล้อมที่เปียกชื้นที่สุด และชอบหลบอยู่ใต้หนามการเดินทางในครั้งนี้ หลินซวงเอ๋อร์ได้เตรียมตัวมาอย่างดี นางรวบผมอันยาวสลวยขึ้น แล้วเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าธรรมดา ซึ่งเป็นเสื้อผ้าที่นางเคยใส่ตอนทำงานเบ็ดเตล็ดทั่วไป แม้ว่าเนื้อผ้าจะหยาบ และไม่พอดีตัวเล็กน้อย แต่สามารถทำให้ตนเองเดินเข้าป่าหนามได้สะดวกมาก นางพกยาไปอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นยาทา ยากิน เอาไปทั้งหมดดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า หลินซวงเอ๋อร์สวมหมวกไม้ไผ่บนศีรษะ ไม่เพียงแต่ปกปิดแสงแดดเท่านั้นยังปกปิดใบหน้าอีกด้วย ดูไปแล้วช่ำชองเล็กน้อยลูกม้าวิ่งเร็วมาก หลินซวงเอ๋อร์จับสายบังเหียนไว้แน่น ไม่กล้าที่ผ่อนคลายเลยแม้แต่เพียงครู่เดียวนางจำเป็นต้องไปหางูทองดำหางแดง ก่อนพระอาทิตย์ตกดินให้ได้ มิฉะนั้น ทันทีที่พระอาทิตย์ตกดิน ตามนิสัยของงูทองดำหางแดงแล้ว พวกมัน
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก