ตอนนี้นางถูกขังอยู่ในเรือนจำทหาร ข้างในเต็มไปด้วยคนของเยี่ยเป่ยเฉิง ชิวจวี๋เป็นคนเดียวที่สามารถรายงานข่าวให้นางได้แต่นางถูกเขาเฆี่ยนจนตายแล้ว หรือว่า จุดจบของนางจะเหมือนชิวจวี๋?ไม่!นางไม่อยากตาย!ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นความสูงส่ง หรือศักดิ์ศรีอะไร นางไม่สนใจอีกต่อไปแล้วจ้าวชิงชิงสูดลมหายใจอย่างโศกเศร้าเสียใจ มองไปที่เยี่ยเป่ยเฉิงด้วยน้ำตาคลอเบ้า: "ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ได้ทำอะไรเลย! ชิวจวี๋เป็นคนทำทุกอย่าง!นางถูกท่านพี่เฆี่ยนตีจนตายแล้ว เหตุใดยังจะมาเอาเรื่องกับข้าอีก?"เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าท่าทางที่สงบนิ่ง มองจ้าวชิงชิงด้วยสายตาที่ลึกล้ำเย็นชา: "เจ้าคิดว่า ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้า สาวรับใช้คนหนึ่งจะกล้าทำอะไรตามใจชอบได้หรือ?"เขาบีบคอนางอย่างแรง แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า: "เจ้าคิดว่า ข้าเป็นคนโง่หรือ?"เขามองเห็นการเสแสร้งทั้งหมดของจ้าวชิงชิง รวมถึงกลเม็ดอันชาญฉลาดของนางด้วย!นัยน์ตาของคนไม่สามารถโกหกได้ ความทะเยอทะยานและคำโกหกของนางจึงไม่สามารถซ่อนเร้นเอาไว้ได้นางคิดว่า ตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างงั้นหรือ?เมื่อถูกมองแผนการออก จู่ๆจ้าวชิงชิงก็รู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย ในที่สุด
กงชิงเยวี่ยรู้นิสัยใจคอของเยี่ยเป่ยเฉิงเป็นอย่างดี จึงรีบเอานางไปไว้ข้างตน: "เยี่ยเอ๋อร์ ลูกจะทำอะไรโดยพละการไม่ได้นะ ชิงชิงเป็นแขก เจ้าจะปฏิบัติกับนางแบบนี้ได้อย่างไร!"จ้าวชิงชิงถือโอกาสหลบอยู่ด้านหลังกงชิงเยวี่ย มีกงชิงเยวี่ยช่วยพูดให้ นางคิดว่าเยี่ยเป่ยเฉิงคงจะไม่กล้าทำอะไรนาง“ท่านป้า ท่านพี่เป่ยเฉิงน่ากลัวมาก ชิงชิงอยากกลับบ้าน ชิงชิงไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว”นางน้ำตารวยริน ด้วยท่วงท่าที่น่ารักงดงาม ถ้าได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ชายจะต้องประทับใจอย่างแน่นอนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงถือไม้เลื้อยอูชิงเอาไว้ในมือ การแสดงความอ่อนแอบอบบางของจ้าวชิงชิงไร้ค่าในสายตาของเขา เช่นเดียวกับตอนที่นางให้ชิวจวี๋ลงโทษหลินซวงเอ๋อร์ ไม่ว่าตงเหมยจะร้องขอความเมตตาอย่างไร นางก็ทำเป็นเมินเฉยนางไม่เพียงแต่เมินเฉยเท่านั้น ยังห้ามไม่ให้ตงเหมยไปเรือนฝั่งตะวันออกเพื่อขอความช่วยเหลือจากเขาด้วย!หลินซวงเอ๋อร์เป็นไข้สูงจนหมดสติ บาดแผลที่อยู่บนฝ่ามือก็เริ่มอักเสบและเปื่อยเน่า จ้าวชิงชิงยังปล่อยให้ชิวจวี๋จงใจทำให้ตงเหมยลำบากใจ เพื่อไม่ให้ตงเหมยออกจากจวนไปตามหมอมารักษาหลินซวงเอ๋อร์!ทุกเรื่อง! มีเรื่องไหนบ้างที่นาง
คิดไม่ถึงว่า เยี่ยเป่ยเฉิงจะยิ้มอย่างเย็นชา: "ข้าพูดตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าจะสมรสกับนาง?"จ้าวชิงชิงสะดุ้งตกใจ จากนั้นก็เห็นไม้เลื้อยอูชิงที่เปื้อนเลือดฟาดมาหาตนเอง“เยี่ยเอ๋อร์!” กงชิงเยวี่ยคิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะลงโทษจ้าวชิงชิงต่อหน้านาง!"เพียะ!"ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงแส้อันแหลมคมดังก้องอยู่ในหูของทั้งสองคน จากนั้นก็มีรอยแส้ที่น่าสะพรึงกลัวอีกรอยบนร่างกายของจ้าวชิงชิงคราบเลือดสีแดงไหลออกมาจากในชุดกระโปรงของนางอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นจ้าวชิงชิงก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อนไปทั่วทั้งร่างกาย“ท้านป้า... ท่านรีบช่วยข้าเร็ว” นางอยากจะซ่อนตัวอยู่ข้างหลังกงชิงเยวี่ย หมายจะใช้กงชิงเยวี่ยเป็นโล่กำบังแต่เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ให้โอกาสนาง ปลายแส้เส้นนั้นดูเหมือนจะมีชีวิต พันรอบคอของนางเอาไว้ทันที ทันทีที่เยี่ยเป่ยเฉิงดึงข้อมือกลับ จ้าวชิงชิงก็ถูกเหวี่ยงเข้ากับกำแพงอย่างแรง“ชิงชิง!” กงชิงเยวี่ยรีบเข้าไปพยุงการกระทำนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว และรวดเร็วกว่าสายฟ้าฟาด ทำให้จ้าวชิงชิงไม่มีโอกาสได้ตอบสนองเลยหลังของนางชนกำแพง ทำให้จ้าวชิงชิงกระอักเลือดออกมาเต็มปากเขาคิดจะสังหารนางจริงๆในขณะนี้ ความคาดห
ตอนที่ออกมาจากในเรือนจำ ข้างนอกก็มืดแล้วเยี่ยเป่ยเฉิงไม่ได้กลับไปที่เรือนฝั่งตะวันออกทันทีมือของเขาเต็มไปด้วยเลือด เสื้อผ้าก็เปื้อนเลือดเล็กน้อย จึงทำให้มีกลิ่นไม่พึงประสงค์เขาล้างมืออย่างดี จากนั้นก็ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดแล้วเดินทางกลับไปที่จวนโหวระหว่างทางกลับจวน บนถนนก็ค่อยๆเปิดแผงขายของ ถนนอันกว้างขวางเรียงรายไปด้วยอาหารนานาชนิดเมื่อเขามาถึงหน้าร้านที่คุ้นเคย เยี่ยเป่ยเฉิงก็สั่งให้เสวียนอู่หยุดรถม้าเขาเปิดม่านรถเกี้ยวแล้วลงจากรถม้า จากนั้นก็เดินเข้าไปในร้านอย่างสงบนิ่งพอเถ้าแก่เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงก็เผยรอยยิ้มออกมา: "นายท่าน มาซื้อเค้กดอกหอมหมื่นลี้ให้กับภรรยาอีกแล้วหรือ?"เยี่ยเป่ยเฉิงพยักหน้าให้เถ้าแก่เล็กน้อยจากนั้นก็เถ้าแก่ก็ห่อเค้กดอกหอมหมื่นลี้ที่เพิ่งออกจากเตาใหม่ๆหนึ่งห่ออย่างชำนาญ แล้วกล่าวว่า: "ท่านครับ ทางร้านของเรามีสินค้าตัวใหม่ นั่นก็คือลูกอมถั่วสนที่กรอบนอกนุ่มใน ท่านอยากจะซื้อให้ภรรยาชิมสักห่อไหม?ผู้หญิงชอบกินของแบบนี้กัน"เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: "เอาห่อหนึ่งก็แล้วกัน"เมื่อกลับมาถึงจวนโหว ท้องฟ้าก็มืดแล้วแสงในลานจวนของเรือนฝั่งตะวันออกมืดสลัวมาก โ
หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "ท่านอ๋องช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ข้าซาบซึ้งใจอยู่แล้ว"ตงเหมยกล่าวว่า: "เจ้าคิดได้แล้ว? คิดจะอยู่ที่จวนโหวต่อแล้วใช่หรือไม่?"หลินซวงเอ๋อร์กลับส่ายหัว แล้วกล่าวว่า "ตงเหมย ตอนที่พี่ชายของข้าเซ็นสัญญาซื้อขายบุคคล อันที่จริงแค่เก็บเงินไถ่ถอนตนเองให้ได้มากพอ ข้าก็จะสามารถไถ่ถอนตนเองออกจากจวนได้แล้ว"ตงเหมยเข้าใจ: "ดังนั้น แล้วไม่อยากออกจากจวนโหวแล้วใช่หรือไม่?"หลินซวงเอ๋อร์พยักหน้า: "ตอนที่บนเรือ ข้าช่วยกันลูกดอกอาบยาพิษให้ท่านอ๋อง เกือบตาย ท่านอ๋องบอกว่าจะรับปากคำขอร้องอะไรก็ได้ของข้า วันนี้เขาได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ก็ถือว่าหายกัน"นางจะไม่พูดถึงคำร้องขออีกต่อไป เดิมทีนางก็ไม่มีคำร้องขออะไรอยู่แล้ว ถือเสียว่าเขาตอบแทนความมีน้ำใจที่นางช่วยกันอาวุธลับให้เขาก็แล้วกันยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่านางจะร้องขอ เยี่ยเป่ยเฉิงก็คงจะไม่เห็นด้วยเขาผิดสัญญากับนางหลายครั้งแล้วตงเหมยไม่สามารถโน้มน้าวใจนางได้ จึงถามนางว่า "ซวงเอ๋อร์ เจ้าไม่ชอบท่านอ๋องจริงๆหรือ?หรือว่า เจ้ากำลังโกรธงอนท่านอยู่?โกรธที่เขามาช่วยเจ้าเอาไว้ไม่ทัน โกรธที่เขาไม่ให้เจ้าเข้าเรือนฝั่งตะวันออก?"หัวใจของหลินซ
ตงเหมยยืนอยู่ที่ประตูด้วยความอึดอัดเล็กน้อยนางไม่รู้ว่าสิ่งที่เพิ่งจะพูดไปกับหลินซวงเอ๋อร์ เขาได้ยินมากน้อยแค่ไหน แต่เมื่อเห็นนัยน์ตาที่เย็นชาของเขาแล้ว ก็ทำให้รู้สึกใจสั่นอยู่พักหนึ่งนางลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยปากว่า: "ท่านอ๋อง สิ่งที่พูดเมื่อสักครู่นี้เป็นแค่การล้อเล่น ท่านอย่างเก็บไปใส่ใจเลย..."“เจ้าถอยไป!”เยี่ยเป่ยเฉิงพูดด้วยน้ำเสียงโกรธจัดตงเหมยมองหลินซวงเอ๋อร์ด้วยความกังวล ภายใต้แรงกดดันของเยี่ยเป่ยเฉิง ในที่สุดนางก็หันหลังกลับแล้วถอยไปทันทีที่ตงเหมยจากไป ในห้องก็มีแค่เยี่ยเป่ยเฉิงและหลินซวงเอ๋อร์สองคนในห้องแคบเล็ก หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกว่าอากาศเบาบางลง เพราะการปรากฏตัวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง เหตุใดท่านถึงมาที่นี่...” หลินซวงเอ๋อร์มองดูเขาด้วยความลำบากใจ และไม่สามารถเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในขณะนี้เขาเป็นคนที่อารมณ์แปรปรวนมาโดยตลอด ถ้าเขาอารมณ์ไม่ดี เขาอาจจะมาระบายอารมณ์ใส่ตนเองอีกครั้ง...สีหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิงเคร่งขรึมลง ยากที่จะบอกได้ว่าเขาดีใจหรือโกรธเกรี้ยว เขาจ้องมองมาที่ หลินซวงเอ๋อร์อยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เดินจ้ำอ้าวไปหานางเมื่อเห็นเยี่ยเ
หลินซวงเอ๋อร์มองเขาอย่างงุนงงโกรธงอน?เหตุใดเขาถึงพูดแบบเดียวกันกับตงเหมย?นางโบกมืออย่างต่อเนื่อง แล้วกล่าวว่า "ท่านเป็นเจ้านาย ข้าจะกล้าโกรธงอนท่านได้อย่างไร?"นางมีท่าทีที่ถ่อมตัวเป็นอย่างมาก และเป็นท่าทีที่สาวรับใช้ควรมีจริงๆแต่เยี่ยเป่ยเฉิงอดรนทนไม่ได้อย่างเห็นได้ชัดเขาไม่ชอบให้หลินซวงเอ๋อร์ประพฤติตัวอยู่ในกฎระเบียบต่อหน้าเขา เขาจำได้ว่า ตอนที่อยู่ต่อหน้าฉีหมิงนางไม่ได้ประพฤติตัวอยู่ในกฎระเบียบขนาดนี้ อย่างน้อยนางก็เรียกเขาว่าพี่ แถมยังยิ้มแย้มให้เขาแต่ต่อหน้าเขา นางมักจะระมัดระวังแบบนี้อยู่เสมอ เพราะกลัวว่าจะทำอะไรผิดไป!เขารู้สึกโกรธเล็กน้อย แต่ก็ทำใจไม่ได้ที่จะเกรี้ยวโกรธใส่นาง ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ระงับอารมณ์เอาไว้แล้วพูดว่า: "ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าเป็นเจ้านาย ก็ไม่ควรทำให้ข้าโกรธอยู่บ่อยๆ"หลินซวงเอ๋อร์เม้มริมฝีปาก ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีนางไม่คิดว่าตนเองจะเป็นคนฉลาดที่สามารถอ่านคำพูดและสีหน้าของคนอื่นได้ และไม่สามารถเดาความคิดของ เยี่ยเป่ยเฉิงได้เช่นกัน นางแค่รู้สึกว่าช่วงเวลาที่เขาอยู่ข้างกายนาง มักจะทำให้เขาเกรี้ยวโกรธอยู่เสมอช่างมันเถิดอย่างไรเ
หลินซวงเอ๋อร์คุกเข่าลงบนพื้น แล้วยื่นมือที่พันด้วยผ้ากอซไปที่ตรงหน้าเยี่ยเป่ยเฉิงไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด พอเยี่ยเป่ยเฉิงเห็นหลินซวงเอ๋อร์มีลักษณะท่าทางเช่นนี้ ก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดในใจหลินซวงเอ๋อร์ผู้หญิงคนนี้ รูปลักษณ์ภายนอกดูเหมือนกระต่ายขาวตัวน้อย แต่ถ้ากระต่ายขาวตัวน้อยเกรี้ยวโกรธขึ้นมา ทำให้คนรู้สึกรำคาญใจเป็นอย่างมาก“เจ้าหมดสติไปสามวัน กินอะไรก่อนเถิด” เยี่ยเป่ยเฉิงระงับความโกรธเอาไว้ แล้วพูดเปลี่ยนหัวข้ออีกครั้งหลินซวงเอ๋อร์เม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไร“อยากจะให้ข้าพูดเป็นครั้งที่สามหรือ?”จู่ๆบรรยากาศรอบตัวก็ควบแน่น ความรู้สึกกดดันที่คุ้นเคยก็ประทังเข้ามาหลินซวงเอ๋อร์สูดจมูกอันปวดแสบ และปฏิเสธที่จะลุกขึ้นนางไม่ยอมจำนน นางรู้ว่า ถ้าตนเองยอมจำนน เยี่ยเป่ยเฉิงคงจะไม่ยอมเอ่ยถึงเรื่องสัญญาซื้อขายบุคคลอีกแน่นางไม่เข้าใจว่า เหตุใดเยี่ยเป่ยเฉิงต้องทำให้นางลำบากใจ ทั้งๆที่นางไม่ได้ทำอะไรเลยเมื่อเห็นว่านางไม่ยอมลุกขึ้น ทันใดนั้นเยี่ยเป่ยเฉิงก็ยกมือขึ้น คว้าคอเสื้อของนางเอาไว้ แล้วยกนางขึ้นมาอย่างง่ายดายหลินซวงเอ๋อร์ยังไม่ทันได้ตอบสนอง ก็ถูกเขาตรึงนางไว้บนเตียงที่อ่อนนุ่ม
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก