คำพูดที่จะพูดต่อไป เขายังพูดไม่จบ ก็มองนางด้วยสายตาที่ลุกเป็นไฟหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อถูกเขาจ้องมอง นางเบี่ยงเบนความสนใจด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อย: "ขอบคุณท่านอ๋องดูแลข้า ถึงเวลาที่ข้าจะต้องกลับไปแล้ว..."ขณะที่พูด นางก็ดิ้นรนที่จะลุกขึ้นมาจากบนร่างของเขาแต่เขากลับไม่ยอมปล่อยนางนางทรมานเขามาทั้งคืน คิดจะจากไปอย่างง่ายดายแบบนี้?จะเป็นไปได้อย่างไร!กลิ่นหอมอ่อนๆบนร่างกายของหญิงสาว ทำให้เยี่ยเป่ยเฉิงพลิกตัวแล้วกดนางเอาไว้ใต้ตัวเขา“ข้าดูแลเจ้ามาตลอดทั้งคืนแล้ว เจ้าไม่คิดจะตอบแทนข้าเลยหรือ?”เมื่อเห็นเยี่ยเป่ยเฉิงเข้ามาใกล้ หลินซวงเอ๋อร์ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาอยากจะทำอะไร นางหน้าแดงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวด้วยหวั่นไหวว่า: "ท่านอ๋อง... นี่มันรุ่งเช้าแล้วนะคะ"กลางวันแสกๆเช่นนี้ หลินซวงเอ๋อร์ไม่เชื่อว่าเขาจะกล้า..."อูม~"เยี่ยเป่ยเฉิงไม่เปิดโอกาสให้โอกาสนางพูดอะไรอีก เขาเอาตัวทับร่างของนางเอาไว้ แล้วจูบไปที่ริมฝีปากของนางอย่างดุเดือดหลินซวงเอ๋อร์วางมือทั้งสองข้างไว้บนหน้าอกของเยี่ยเป่ยเฉิง มือขยำเสื้อผ้าของเขาอยู่ ทั้งรู้สึกตื่นตระหนกทั้งรู้สึกร้อนใจ แม้แต่การหายใ
รุ่งสางตอนที่หลินซวงเอ๋อร์ออกมาจากเรือนอวิ๋นซวน แก้มของนางแดงราวกับว่าเป็นหยดเลือดเมื่อเปิดประตู ตงเหมยก็รออยู่ในห้องตั้งแต่เช้าตรู่แล้วเมื่อเห็นว่าในที่สุดนางก็กลับมา ตงเหมยก็รีบเข้าไปทักทายก่อนที่ตงเหมยจะเอ่ยปากถาม ก็เห็นหลินซวงเอ๋อร์นั่งอยู่บนเตียงด้วยท่าทางที่อาลัยอาวรณ์ สีหน้าของนางแดงยิ่งกว่าลูกพลับเสียอีก“ซวงเอ๋อร์...เจ้ากับท่านอ๋อง …”นางพูดจากระอึกกระอัก แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า“เจ้ากับท่านอ๋องมีอะไรกันแล้วหรือ?”หลินซวงเอ๋อร์ค่อยลืมตาขึ้น นัยน์ตาที่สุกใสของเต็มไปด้วยความชุ่มชื้น ราวกับว่านางเพิ่งจะร้องไห้มา“เมื่อคืนเจ้ามีไข้ ไม่ได้กลับมาทั้งคืน เจ้าได้ขึ้นไปบนเตียงของท่านอ๋องหรือไม่?” ตงเหมยก้าวไปข้างหน้าสองก้าว แล้วจ้องไปที่หลินซวงเอ๋อร์อย่างไม่ละสายตาตั้งแต่ตงเหมยถูกเยี่ยเป่ยเฉิงไล่ออกมาเมื่อวาน นางก็ไม่เห็นหลินซวงเอ๋อร์ออกมาเลยชายหนุ่มหญิงสาวอยู่ด้วยกันในห้องตามลำพัง ตงเหมยก็นึกถึงท่าทางที่วิตกกังวลของเยี่ยเป่ยเฉิงที่มองไปที่หลินซวงเอ๋อร์ ก็คาดเดาอะไรบางอย่างได้อย่างคลุมเครือเมื่อได้ยินคำว่า"ท่านอ๋อง"สองคำนี้ นัยน์ตาของหลินซวงเอ๋อร์ก็ขยับ จู่ๆนางก็
สิ่งเหล่านี้ แม่ของนางเคยสอนนางเอาไว้ จะต้องรู้สถานะของตนเอง อย่าไปคาดหวังอะไรที่ไม่ใช่สิ่งของของตนตงเหมยถอนหายใจแล้วพูดว่า: "ข้ามองออกว่า ท่านอ๋องดีกับเจ้าเป็นพิเศษจริงๆ แม้แต่ชิวจวี๋ก็ไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ เมื่อคืนเจ้ามีไข้สูง ท่านอ๋องก็ดูแลเจ้าทั้งคืน"เมื่อได้ยินสิ่งที่ตงเหมยพูด หลินซวงเอ๋อร์ก็หวั่นไหวอยู่ในใจครู่หนึ่งบางครั้ง นางก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเมตตาที่เยี่ยเป่ยเฉิงมีต่อนาง แต่ความเมตตาของเขาทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริงนางไม่กล้าแม้แต่จะมีความคิดโลภ เพราะกลัวว่าถ้านางโลภแล้ว จะติดอยู่ในภวังค์ จนไม่สามารถถอนตัวออกมาได้หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "ท่านอ๋องเป็นบุคคลที่มีสถานะสูงส่ง แม้ว่าเขาจะดีต่อข้า ข้าก็ควรจะรู้สึกสำนึกในบุญคุณ แทนที่จะไปคาดหวังอะไรที่มันเกินตัว"อาธิเช่น ให้เขามาชื่นชอบตนเอง แล้วรับตนเองเป็นอนุภรรยาสิ่งเหล่านี้เป็นการคาดหวังเกินตัวที่ไม่ควรมีตงเหมยกลับไม่เข้าใจ: "ท่านอ๋องไม่ดีอย่างไร?เทียบกับหนุ่มจ้วงหยวนคนนั้นไม่ได้ตรงไหน?ซวงเอ๋อร์ เจ้าอย่าออกจากจวนไปเลย อยู่กับท่านอ๋องเถิด ท่านอ๋องจะคอยปกป้องเจ้า และมอบสถานะใหม่ให้แก่เจ้า ซึ่งเป็นสถา
เสวียนอู่กำลังรออยู่นอกประตู เยี่ยเป่ยเฉิงก็ผลักเปิดประตูแล้วเดินออกมาแม้ว่าเขาจะไม่ได้นอนทั้งคืน แต่ดูใบหน้าของเขาไม่ได้เหนื่อยล้าเลย ในทางตรงกันข้ามกลับดูสดชื่นดูเหมือนว่า วันนี้ท่านอ๋องจะอารมณ์ดีมากเสวียนอู่เดินตามหลัง แล้วถามว่า “วันนี้ท่านอ๋องจะไปที่ไหนหรือ?”เยี่ยเป่ยเฉิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า"ไปที่เรือนด้านหน้า"เสวียนอู่ถามว่า: "จะไปแสดงคารวะนายหญิงหรือขอรับ?"เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า:"ต้องแวะไปคารวะอยู่แล้ว ข้ายังมีเรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ที่จะต้องทำในวันนี้!"เสวียนอู่กล่าวว่า: "ท่านอ๋อง ข้ามีเรื่องหนึ่งที่จะบอกกับท่าน..."เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า "มีเรื่องอะไรก็เอาไว้คุยกันทีหลัง"วันนี้ เขาอยากจะจัดการเรื่องสำคัญที่อยู่ในใจก่อน! เขารอไม่ไหวแม้แต่ช่วงเวลาเดียว!ทั้งสองเดินตามกันไปจนถึงเรือนด้านหน้า เท้าหน้ายังไม่ทันได้ก้าวเข้าไปในลานจวน ก็เห็นจ้าวชิงชิงกระพือปีกมาราวกับว่าเป็นผีเสื้อ"พี่เป่ยเฉิง"จ้าวชิงชิงแต่งกายด้วยชุดสีแดงเข้ม กระโดดโลดเต้นจนไปถึงที่ตรงหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง ดึงแขนเสื้อของเขาเอาไว้แล้วเริ่มออดอ้อนว่า: "พี่เป่ยเฉิง ชิงชิงไม่ได้เจอท่านมานา
แต่เมื่อเห็นจ้าวชิงชิงร้องไห้ เขากลับรู้สึกรำคาญ! ช่างน่ารำคาญมากจริงๆ!จ้าวชิงชิงยังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เยี่ยเป่ยเฉิงได้เดินจากไปแล้ว โดยที่ไม่ชายตามองนางเลย“พี่เป่ยเฉิง พี่นอชิงชิงด้วย…” จ้าวชิงชิงรู้สึกเสียใจ แต่นางยังคงติดตามเขาไปต้อยๆในเวลานั้น ห้องโถงด้านหน้าได้เตรียมอาหารเช้าไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อกงชิงเยวี่ยเห็นเยี่ยเป่ยเฉิงมาสาย และมีสีหน้าที่ไม่เบิกบานใจ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยจ้าวชิงชิงติดตามเยี่ยเป่ยเฉิงมาถึงตรงหน้ากงชิงเยวี่ย ท่าทางของนางดูเหมือนว่ากำลังจะร้องไห้ คงจะพูดคุยกับเยี่ยเป่ยเฉิงได้ไม่ราบรื่นนักกงชิงเยวี่ยเหลือบมองเยี่ยเป่ยเฉิงอย่างไม่พอใจก่อน จากนั้นก็ให้จ้าวชิงชิงนั่งข้างตน และกล่าวปลอบใจว่า: "ชิงชิง อย่าโกรธไปเลยนะ นั่งลงกินข้าวก่อน เจ้าดูอาหารบนโต๊ะนี้สิ ล้วนทำตามความชอบของเจ้าทั้งนั้น รีบชิมดูเร็ว ว่าอาหารถูกปากหรือไม่"จ้าวชิงชิงเป็นบุตรีของท่านอ๋องอานหนิง และไทเฮาคนปัจจุบันเป็นเสด็จป้าของนาง ตอนนี้เป็นท่านหญิงที่องค์จักรพรรดิแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง!ในแง่ของสถานะ นางมีสถานะที่เท่าเทียมกันกับเยี่ยเป่ยเฉิงตอนนี้ นางก็เพิ่งจะเข้าสู่วัยแต่งงาน รูปร่
สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ตอนที่หลินซวงเอ๋อร์ออกจากจวน บนท้องฟ้าก็มีฝนตกปรอยๆ โชคดีที่ตอนออกขากจวนนางพกร่มกระดาษน้ำมันติดตัวไปด้วยทันทีที่เขาออกจากจวน นางก็พบกับฉีหมิงที่ปากทางเขายืนอยู่ข้างกำแพงลานจวน และสวมเพียงเสื้อคลุมสีขาวพระจันทร์ตัวหนึ่งฝนตกไม่หนัก แต่ยังทำให้เสื้อผ้าของเขายังเปียกโชกนางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย คิดไม่คิดว่าเขาจะยืนรออยู่ตรงนั้นตลอดเวลา แม้ว่าฝนจะตกก็ไม่รู้จักหลบฝนเมื่อเห็นฉีหมิง หลินซวงเอ๋อร์ก็รู้สึกลังเลใจ ตะลึงอยู่กับที่ครู่หนึ่ง และไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีนางสัญญากับเหยาซื่อแล้วว่า ตั้งแต่นี้ไปนางจะไม่ข้องแวะกับเขาอีกขณะที่นางกำลังจะหันหลังกลับแล้วจากไป หลินซวงเอ๋อร์ก็หยุดเดินอีกครั้ง สุดท้ายก็วิ่งไปข้างหน้า และยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าฉีหมิงทันทีที่เห็นหลินซวงเอ๋อร์ ใบหน้าที่สงบนิ่งของฉีหมิงก็เผยรอยยิ้มที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นเวลานานออกมา สายตาของเขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ตั้งแต่วินาทีแรกที่หลินซวงเอ๋อร์ปรากฏตัว เขาก็อยู่ใกล้นางตลอดเวลา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจปกปิดความเบิกบานใจเอาไว้ได้ว่า: "ซวงเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็ออกมาพบพี่แล้ว..."เขาได้ไว้ว
ดังนั้น เขาจึงโกหกนาง หลอกล่อนาง ผูกมัดนางในนามของพี่ชาย เพื่อป้องกันไม่ให้นาง ติดต่อกับผู้ชายคนไหน แถมยังเกลี้ยกล่อมให้นางตอบรับคำขอแต่งงานของตนอีกด้วยแต่ว่า...ในที่สุดสาวน้อยผู้ไร้เดียงสาก็เติบโตขึ้นมาแล้ว และเข้าใจความรู้สึกของตนเองในที่สุด...เมื่อเห็นว่าเขาจับมือของตนเอง ความรู้สึกแปลกๆก็ผุดขึ้นมาในใจหลินซวงเอ๋อร์ นางไม่มีความหวั่นไหว ไม่มีความยินดี แถมยังรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจอีกด้วยนางขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ดึงมือออกมาจากในฝ่ามือของเขา แล้วพูดว่า "พี่ฉี พี่จะจับมือข้าแบบนี้ไม่ได้อีกแล้วนะ"ฉีหมิงมองไปที่มือที่ว่างเปล่า รู้สึกว่างเปล่าในใจ และพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า: "ทำไมหรือ? เมื่อก่อนข้าก็จับมือเจ้าแบบนี้ไม่ใช่หรือ?"เมื่อก่อนเขาเลยจูงมือนาง เคยกอดแม้กระทั่งนาง เหตุใดตอนนี้ถึงทำไม่ได้แล้ว?หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "เมื่อก่อนก็คือเมื่อก่อน ตอนนี้ก็คือตอนนี้ ตอนนี้ซวงเอ๋อร์โตแล้ว"พอเติบโตแล้ว ก็เข้าใจเหตุผลบางอย่าง และรู้ว่าชายหญิงมีความแตกต่างกัน อีกอย่าง เขาไม่ใช่พี่ชายแท้ๆของตนเองสักหน่อย ดังนั้นจะมาอยากจะจับก็จับ อยากจะกอดก็กอดตามใจชอบไม่ได้...หลินซวงเอ๋อร์เอามือไปไ
หลังจากนั้นไม่นาน หลินซวงเอ๋อร์ก็ตั้งสติได้ และตระหนักได้ว่าฉีหมิงกอดนางแน่นจนเกินไป“พี่ฉี พี่อย่าทำแบบนี้ พี่ปล่อยข้านะ” หลินซวงเอ๋อร์พยายามดิ้นรน เพื่อให้หลุดออกจากอ้อมแขนของเขาแต่ฉีหมิงกลับกระชับมือของเขาแน่นขึ้นเรื่อยๆ แทบจะบดขยี้หลินซวงเอ๋อร์ให้แหลกฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคู่เปียกโชกไปทั้งตัว ทำให้หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมาก“พี่ฉี พี่เป็นอะไรกันแน่?”หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกว่าวันนี้ฉีหมิงผิดปกติไปเล็กน้อย ไม่เหมือนพี่ฉีที่นางรู้จักมาก่อนเลยพี่ฉีในอดีตเป็นคนอ่อนโยนสง่างาม และไม่เคยบังคับอะไรนาง ตอนที่พูดคุยกับนาง ก็มักจะยิ้มแย้มอยู่เสมอแต่ตอนนี้ฉีหมิงเปลี่ยนไป เขามักจะไม่ตั้งใจฟังตนเองพูด และมักจะบังคับให้นางทำเรื่องบางอย่างที่ไม่ชอบพี่ฉีที่เป็นแบบนี้ นางไม่ชอบเลย ทำให้นางอยากจะอยู่ห่างจากเขาตามสัญชาตญาณ“พี่ฉี ปล่อยข้านะ ข้าจะกลับไปแล้ว เดี๋ยวท่านอ๋องจะไม่เบิกบานใจ”ตนเองออกมาเป็นเวลานานแล้ว บางทีเยี่ยเป่ยเฉิงอาจจะกำลังตามหานางอยู่ ถ้านางไม่ปรากฏตัวต่อหน้าเขาให้ทันเวลา บางทีเขาอาจจะเกรี้ยวโกรธขึ้นมาอีกครั้งก็ได้เพราะอย่างไรเสีย เขาเป็นคนใจแคบมาก แถมย
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก