ดึกดื่นเที่ยงคืนเสิ่นป๋อเหลียงถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงเคาะประตูอย่างรวดเร็วการรบกวนใจการนอนของผู้อื่น เป็นการกระทำที่น่ารังเกียจเป็นอย่างยิ่ง !เสิ่นป๋อเหลียงอดทนต่อความโกรธแล้วลุกขึ้นมาจากเตียง และต้องการที่จะสอนบทเรียนแก่คนไม่รู้จักชั่วดีที่อยู่ข้างนอกพอเขาเปิดประตูก็เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงยืนอยู่ข้างนอกประตูเสิ่นป๋อเหลียงตกตะลึงอยู่ครู่ใหญ่ๆ และคิดว่าเขาคงมีเรื่องอะไรที่สำคัญมากๆ ถึงได้มาหาเขาดึกดื่นขนาดนี้ จึงรีบกล่าวว่า: "ท่านอ๋อง... เกิดอะไรขึ้นกับท่านหรือ?"จากนั้นก็กวาดสายตาไปที่บนตัวของเขา และเห็นว่าไม่มีรอยเลือดอยู่บนตัวเขาเลย และดูไม่เหมือนว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บเสิ่นป๋อเหลียงอดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งขึ้นเรื่องสำคัญอะไร ถึงต้องมาหาเขากลางค่ำกลางคืน?“ข้าป่วย!”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักเสิ่นป๋อเหลียงออกไป ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม และเดินตรงเข้าไปในเรือนเสิ่นป๋อเหลียงตกตะลึง และรีบเดินตามเขาเข้าไปในเรือนทันทีหลังจากที่ทั้งสองเข้าไปในเรือนแล้ว เสิ่นป๋อเหลียงก็ปิดประตู ในเวลานั้นเยี่ยเป่ยเฉิงก็ได้หาเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วนั่งลงไป เพื่อให้เสิ่นป๋อเหลียงตรวจชีพจรให้เขาเมื
แต่ว่า เขาไม่เคยคิดว่ามันเป็นปัญหาของเขาเอง แย่างไรเสีย ตั้งแต่คืนนั้นที่เขาได้สัมผัสกับหลินซวงเอ๋อร์ เขาก็ฝันร้ายทุกคืน ตอนที่ไม่มีใคร เขาจะไปที่ห้องทำสะอาดเพื่อสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองอยู่หลายครั้ง แต่เวลาไม่เคยสั้นแบบนั้นแต่พอจะสัมผัสนางจริงๆ กลับทำไม่ได้!เมื่อเห็นเขาขมวดคิ้วและไม่พูดอะไรเลย เสิ่นป๋อเหลียงก็ถามเขไปตามตรงว่า: "ตอนที่กำลังจะร่วมหลับนอน เจอปัญหาอะไรหรือไม่?"เยี่ยเป่ยเฉิงพยักหน้าอย่างสงบนิ่งเสิ่นป๋อเหลียงพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งเขามาหาเขาตอนกลางค่ำกลางคืน เพราะเรื่องนี้จริงๆหรือ?เขาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญอะไร ที่แท้ก็เป็นเพราะเรื่องเล็กน้อยนี้แม้ว่าเสิ่นป๋อเหลียงจะเกรี้ยวโกรธอยู่ในใจ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเยี่ยเป่ยเฉิง เขาก็ต้องระงับความโกรธแล้วพูดอย่างสงบนิ่งว่า: "ท่านอ๋องไม่ต้องกังวล ตอนที่ข้าแต่งงานกับภรรยา ในคืนที่แต่งงานก็เจอเรื่องแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะธาตุไฟในร่างกายเยอะจนเกินไป และเร่งรัดที่จะร่วมหลับนอน ร่างกายจึงไม่พร้อม…"เมื่อเยี่ยเป่ยเฉิงได้ยินดังนี้ นัยน์ตาที่หม่นหมองของเขาก็สว่างขึ้นมาทันที: "ข้าไม่ได้ป่วยหรือ?"เสิ่นป๋อเหลียงอดไม่ได้ที่จะหัวเ
เยี่ยเป่ยเฉิงเดินไปที่ตรงหน้านาง และมองลงมาที่นางจากมุมสูง"เจ้ากำลังทำอะไร?"สายตาที่อยู่เหนือศีรษะเต็มไปด้วยความกดดันสุดขีด แต่หลังของหลินซวงเอ๋อร์ยังคงตรงตระหง่านนางเงยหน้าขึ้น แล้วสบตากับเขา โดยที่ไม่ได้หลบ และพูดอย่างหนักแน่นว่า "ท่านอ๋องยังรักษาคำพูดอยู่หรือไม่?"เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: "ข้ารักษาคำพูดแน่นอน!"รักษาคำพูด?หลินซวงเอ๋อร์ไม่เชื่อเขาแล้ว!นางกล่าวว่า: "ข้ามีคำขอเดียวเท่านั้น ท่านอ๋องได้โปรดให้ข้าออกไปจากจวนด้วย!"นัยน์ตาของเยี่ยเป่ยเฉิงเคร่งขรึมลงอีกครั้งดูเหมือนว่า บทเรียนที่ของเมื่อคืนนี้ยังไม่เพียงพอ นางถึงได้อยากออกจากจวนอีก!ออกจากจวนโหวไป นางจะทำอะไรได้?ผู้หญิงที่ไร้ญาติขาดมิตรอย่างนาง ออกจากจวนโหวไปจะไปพึ่งพาใครได้?หึ เขาเกือบจะลืมไปแล้วว่า ตอนนี้จ้วงหยวนคนใหม่ฉีหมิงเป็นคนรักในวัยเด็กของนาง! ทั้งสองผูกสมัครรักใครกัน และหมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็กๆ!เขารู้โดยธรรมชาติว่า หลังจากออกจากจวนโหวไปแล้ว นางจะต้องไปหาฉีหมิง!ใบหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิงเคร่งขรึมลง เขาจ้องนางอย่างเย็นชา และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: "ข้าเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า ให้รอจนกว่าข้าจะหาคน
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ หลินซวงเอ๋อร์ก็ตะเกียบลง และรอเยี่ยเป่ยเฉิงอย่างเงียบๆเยี่ยเป่ยเฉิงเคี้ยวอาหารอย่างช้าๆ จนแทบจะไม่ได้ยินเสียงเคี้ยวอาหารเลย ทั้งกระบวนการกินดูเรียบร้อยมากในที่สุดเยี่ยเป่ยเฉิงก็วางตะเกียบลง หลินซวงเอ๋อร์ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกตอนนี้สามารถพูดถึงมันตอนนี้ได้แล้วใช่หรือไม่?นางเดินอ้อมไปที่ตรงหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง และกล่าวว่า "ท่านอ๋องได้โปรดรักษาคำสัญญา ให้ข้าออกไปจากจวนด้วย"คิดไม่ถึงว่า เยี่ยเป่ยเฉิงจะไม่สนใจนางเลยเขายกถ้วยชาขึ้นมาอย่างสบายๆ และพูดอย่างใจเย็นสุดขีดว่า: "ถ้าอยากจะออกจากจวน ต้องมีใบสัญญาซื้อขายบุคคลก่อน"หลินซวงเอ๋อร์รู้ดีว่าจะต้องมีใบสัญญาซื้อขายบุคคล ถ้าไม่อย่างนั้นจะมาถามเขาทำไม?นางก้าวไปข้างหน้า เหยียดมือไปที่ตรงข้างหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง ราวกับว่าถ้าก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งนิ้ว ก็จะแหย่ตาเขาแล้ว“ท่านอ๋องได้โปรด เอาใบสัญญาซื้อขายบุคคลคืนให้ข้าด้วย”เยี่ยเป่ยเฉิงจิบชาไปหนึ่งอึก แล้วพูดอย่างสงบนิ่งว่า: "ที่ข้า มีแค่ใบสัญญาซื้อขายบุคคลของหลินซวง ไม่มีใบสัญญาซื้อขายบุคคลของหลินซวงเอ๋อร์ "แก้มที่สวยงามของหลินซวงเอ๋อร์ก็กลายเป็นสีแดงเพราะ
เยี่ยเป่ยเฉิงไม่อยากอยู่ในจวนโหวชั่วคราว ดังนั้นจึงออกจากจวนแล้วตรงไปที่ค่ายทหารเขาไม่รู้ว่าจะระบายความโกรธได้ที่ไหน แต่เขารู้ว่า เวลานี้เขาไม่ควรอยู่ในจวนโหวเขาคิดที่จะไปที่สนามฝึกซ้อมเพื่อชกกับรองแม่ทัพ ฝึกทหาร และยิงธนู!ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาจะเผชิญหน้ากับหลินซวงเอ๋อร์ไม่ได้อีก!คิดไม่ถึงว่า ทันทีที่เขาออกจากจวนโหว ก็พบกับฉีหมิงอยู่ที่นอกประตูใบหน้าที่หล่อเหลาของเยี่ยเป่ยเฉิงเคร่งขรึมลงตอนนี้มันจบล่ะ แม้แต่กะจิตกะใจที่จะไปค่ายทหารก็ไม่มี!ไม่รู้ว่าฉีหมิงรออยู่ข้างนอกประตูจวนนานแค่ไหนแล้ว เมื่อเขาเห็นเยี่ยเป่ยเฉิงออกมา นัยน์ตาของเขาก็สว่างขึ้น และรีบเข้าไปทักทายทันทีเยี่ยเป่ยเฉิงมีใบหน้าที่เคร่งขรึม มองเขาด้วยสีหน้าท่าทางที่ไร้ความรู้สึก และไม่อยากคุยกับเขาเลยฉีหมิงเดินไปที่ตรงหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง ทำความเคารพเยี่ยเป่ยเฉิงก่อน แล้วกล่าวว่า: "ในวันนั้นที่ข้าขอรางวัล ท่านอ๋องยังไม่ได้รับปากเลย"น้ำเสียงของเขาไม่ถ่อมตัวและไม่หยิ่งผยอง ไม่ช้าไม่เร็ว แต่ทุกคำพูดเต็มไปด้วยความเร่งรัดนี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยเป่ยเฉิงสัมผัสได้ถึงรสชาติของการถูกคนบีบบังคับเขาขมวดคิ้วลึกทันทีในง
เขาขี่ม้ามาถึงจวนไป๋พ่อบ้านดูแลจวนก็รีบออกมาต้อนรับเยี่ยเป่ยเฉิงโยนบังเหียนให้พ่อบ้าน แล้วเดินจ้ำอ้าวเข้าไปในจวน“ไป๋อวี้ถังอยู่ไหน? ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับเขา!”พ่อบ้านพูดกระอึกกระอัก พลางสั่งให้คนรับใช้จัดการม้าของเยี่ยเป่ยเฉิง พลางนำทางเยี่ยเป่ยเฉิงไปที่ลานด้านใน"ท่านอ๋องได้โปรดตามข้าน้อยมา นายท่านของข้าน้อยอยู่ลานด้านใน"พวกเขาทั้งสองเดินมาที่ลานด้านในทีละคน ยังไม่ทันได้เข้าไปในประตู ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้หญิงคนหนึ่งมาจากข้างในเยี่ยเป่ยเฉิงหยุดเดินเล็กน้อย และรู้สึกสงสัยมีเสียงผู้หญิงในลานจวนของไป๋อวี้ถัง?เขามองพ่อบ้าน แล้วกล่าวด้วยความสงสัยว่า “ข้าไม่ได้หูฝาดไปใช่หรือไม่? มีผู้หญิงอยู่ข้างใน?”พ่อบ้านรู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย และไม่รู้จะอธิบายอย่างไรอยู่ครู่หนึ่งเขายังรู้สึกว่าช่วงนี้นายท่านของเขาผิดปกติไปเล็กน้อยเขาที่ไม่เคยมีผู้หญิงอยู่ข้างกายเลย แต่ในช่วงเวลานี้กลับขลุกอยู่กับผู้หญิงทุกวัน“ท่านอ๋อง เข้าไปดูเองเถิด ข้าน้อยไม่รู้จะว่าพูดอย่างไร”เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ก้าวขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว และผลักเปิดประตูออกเมื่อเปิดประตูเข้าไป เขาเห
ไป๋อวี้ถังจะไปฟังคำพูดเสียดสีของเขาออกได้อย่างไร เขาดื่มเหล้าที่อยู่ในแก้วหมดจอก แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงความขมขื่นว่า: "สหายเยี่ยไม่ใช่ข้า จะไปเข้าใจความเจ็บปวดของข้าได้อย่างไร"ความรู้สึกที่อยากจะสัมผัสแต่สัมผัสไม่ได้ อยากจะรักก็รักไม่ได้ เยี่ยเป่ยเฉิงจะไปเข้าใจได้อย่างไร?ท้ายที่สุดแล้ว คนที่เยี่ยเป่ยเฉิงต้องการที่จะครอบครอง ก็เป็นคนที่เขาต้องการมากที่สุดเช่นกันเยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกว่าวันนี้ไป๋อวี้ถังผิดปกติไปจริงๆ หลังจากนึกถึงเรื่องนี้แล้ว เขาก็เริ่มคาดเดาในใจเขามองไปที่ไป๋อวี้ถัง แล้วกล่าวว่า "ทำไม?สหายไป๋ไม่ได้เจอหญิงสาวที่ตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบคนนั้นเลยหรือ?"รู้แล้วยังจะมาถามอีกไป๋อวี้ถังเหลือบมองเยี่ยเป่ยเฉิง ถอนหายใจเบาๆจนแทบจะสังเกตไม่เห็น "เป็นไปตามที่เจ้าต้องการ ตามที่คุณต้องการ ต้นเหล็กอายุพันปีไม่ง่ายเลยที่จะออกดอกบานสะพรั่งหนึ่งหน แต่พอบานก็ร่วงโรยทันที"เป็นไปตามที่คาดคิดเอาไว้ แต่ในฐานะที่เป็นสหายกันมาหลายปี เยี่ยเป่ยเฉิงก็ทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้เขาอยู่ตัวคนเดียวเขารู้จักไป๋อวี้ถังคนนี้เป็นอย่างดี เขาเป็นเหมือนลาที่ดื้อรั้น เมื่อเขาแน่วแน่ในเรื่องอะไรแล้วจะ
เมื่อเอ่ยถึงหลินซวงเอ๋อร์ เยี่ยเป่ยเฉิงก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจเขาเกือบลืมความตั้งใจเดิมที่จะมาหาไป๋อวี้ถังในวันนี้แล้ว เดิมทีอยากจะให้เขาดื่มกับตนเองเพื่อแก้เซ็งเมื่อเห็นว่าเขาอารมณ์ไม่ดี ไป๋อวี้ถังจึงถามว่า "วันนี้สหายเยี่ยมาหาข้า ไม่ใช่แค่มาเพื่อเยี่ยมเยียนข้าหรอกใช่ไหม?"ไป๋อวี้ถังไม่เชื่อว่าเขาจะปรารถนาดีขนาดนี้!เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: "ข้าอารมณ์ไม่ค่อยดี"ไป๋อวี้ถังกล่าวว่า: "เป็นเพราะหลินซวงเอ๋อร์?"นอกจากนางแล้ว ไป๋อวี้ถังก็นึกถึงใครไม่ออกอีก“ได้ยินมาว่าจ้วงหยวนคนใหม่ปฏิเสธรางวัลองค์จักรพรรดิต่อหน้าเหล่าขุนนางทั้งหลาย และอยากจะขอแค่สาวรับใช้คนหนึ่งกับเจ้า” ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักไปชั่วคราว มองดูเขา แล้วกล่าวว่า "คนที่ฉีหมิงต้องการ คือหลินซวงเอ๋อร์หรือ?"ทันทีที่พูดจบ เขาก็เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเยี่ยเป่ยเฉิงเคร่งขรึมลงเขาเดาถูกแล้วเยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกหยุดหงิดเล็กน้อย: " นางต้องการออกจากจวนโหว จากนั้นก็ฌไปหาฉีหมิง!"ไป๋อวี้ถังเงียบไปเขาได้ยินมานานแล้วว่า ฉีหมิงและหลินซวงเอ๋อร์ได้หมั้นกันตั้งนานแล้ว ทั้งสองผูกสมัครรักใคร่กัน คนหนึ่งอยากจะสู่ขอ อีกคนก็อยากจะแต่ง มันก
วันที่เจียงหว่านกำลังจะถูกเนรเทศ ในที่สุดเจียงเช่อก็มาหาถึงหน้าประตูเขาคุกเข่าเบื้องหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง เว้าวอนขอเยี่ยเป่ยเฉิงปล่อยเจียงหว่านไปขณะที่เดินทางมา เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วเจียงหว่านลอบวางยาพระชายาเยี่ย ใช้ประชาชนที่ติดโรคทดลองยา เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ ผลาญชีวิตคนดุจผักดุจปลา นับเป็นอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด......แต่ไม่ว่าอย่างไร เจียงหว่านก็เป็นน้องสาวเขา เป็นคุณหนูหนึ่งเดียวของตระกูลเจียง เจียงเช่อมิอาจนั่งนิ่งดูดาย ปล่อยให้นางไปตายได้“ขอร้องท่านอ๋องไว้ชีวิตนางเถิด เป็นเพราะข้าตามใจนางจนเสียคน หากท่านอ๋องจะลงโทษ โปรดลงที่เจียงเช่อเถิดพะยะค่ะ”เมื่อเห็นเจียงเช่อ สายตาสิ้นหวังของเจียงหว่านพลันมีประกายความหวังขึ้น“พี่......ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปแดนเถื่อน ข้าอยากกลับบ้าน ท่านพี่ช่วยข้าด้วย......”เจียงเช่อขมวดคิ้วเขม็งจ้องเจียงหว่าน สายตาแฝงเร้นด้วยแววเกยีดชังเข้าไส้เขารู้ว่าเจียงหว่านต้องโทษตาย ยามนี้แค่เนรเทศ ถือว่าเมตตามากแล้ว แต่เขาเองก็รู้ว่า สถานที่อย่างแดนเถื่อนนั้น มิใช่สถานที่ที่สตรีตัวคนเดียวจะไปได้ การเนรเทศนางไปที่นั่น เท่ากับส่งนางไปขุมนร
“เลือดของนาง...”เจียงหว่านสีหน้าตกตะลึงตอนนั้น ตอนที่ฮุ่ยอี๋มอบยาถอนพิษใส่ในมือนาง นางเคยเอาทิ้งไว้หลายขวด เดิมทีคิดศึกษาส่วนผสมในนั้น ทว่าด้านในกลับมีส่วนผสมยาเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือเลือดมนุษย์...แรกเริ่ม นางคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล! กระทั่งยามนี้นางถึงได้เชื่อความจริง ส่วนประกอบของยานั้น มีเพียงเลือดมนุษย์จริงๆ! ทั้งยังเป็นเลือดของหลินซวงเอ๋อร์! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ในที่สุดนางก็เข้าใจ!มิน่า...ตอนนั้น นางใช้ยาปริมาณมาก แต่กลับไม่อาจทำให้หลินซวงเอ๋อร์ถึงตาย! ไม่คิดว่าเลือดของนางจะขจัดพิษในร่างนางโดยมองไม่เห็น...ฮุ่ยอี๋เอ่ย “เจ้ายังมีหน้าพูดว่าไม่ได้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาอีก! เจียงหว่าน เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้าวางยาซวงเอ๋อร์อย่างไร? เสด็จอาให้อภัยเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้าไม่มีวันเกรงใจเจ้า!”คำพูดนี้สองแง่สองง่าม เห็นชัดว่ากำเย้ยหยันเยี่ยเป่ยเฉิงที่ดึงหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าบ้าน!เยี่ยเป่ยเฉิงตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไร้ซึ่งแรงโต้กลับยามนี้ เขามิอาจชำระคืนได้ ซวงเอ๋อร์ของเขาไม่มีวันกลับมาอีกต่อไป!สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือทำให้เจียงหว่านชดใช้อย่างสาสมที่สุด ส่วนตัวเขา ชีวิตที่
เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาที่มองเจียงหว่านเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเขาอยากฆ่านางตั้งนานแล้ว ที่ปล่อยนางรอดมาจนถึงตอนนี้ ก็แค่อยากให้นางได้รับความทรมานจนตายบัดนี้เห็นนางตกยากเช่นนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับรู้สึกว่าบทลงโทษแค่นี้ยังมิพอเจียงหว่านถูกทรมานจนเหมือนตายดีกว่าอยู่มานานแล้ว นางรู้ เยี่ยเป่ยเฉิงไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ หลังจากคิดดูแล้ว หากตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ ก็คงจะดีกว่าตอนนี้ ที่ดูดซับยาเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ถูกฝันร้ายหลอกหลอนทุกคืนสุดท้ายก็ไม่สามารถหนีจากพิษและเสียชีวิตลงได้!อย่างไรก็ตาย มิสู้ให้เยี่ยเป่ยเฉิงจบชีวิตนางด้วยมือเขาเอง!เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ้มเยาะ จงใจกล่าวยั่วยุเขา “เยี่ยเป่ยเฉิง เจ้ามีฝีมือแค่นี้หรือ? แน่จริงก็ฆ่าข้าไปเลยสิ!”“ฆ่าข้าให้มันจบๆ ไปเสีย!”เยี่ยเป่ยเฉิงปรายตามองนาง พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนั้น เจ้าก็ทรมานซวงเอ๋อร์เช่นนี้!”เจียงหว่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วอย่างไร!”“ลูกในท้องนางข้าก็เป็นคนทำร้ายเอง! ร่างกายอ่อนแอแบบนั้นของนางต่อไปจะตั้งครรภ์ไม่ได้อีกแล้ว!”“ที่นางฝันร้ายทุกคืน ก็เป็นข้าที่ทำเอง
หลายสิบปีมานี้ นางทำเรื่องชั่วมานับไม่ถ้วน ทุกเรื่อง นางจิตใจสงบ ไม่เคยรู้สึกผิดเลยมีเพียงเจียงหลิง…มีเพียงการตายของเจียงหลิง ทำให้นางยากจะข่มตานอนได้…ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในฐานะคุณหนูรอง เจียงหว่านไม่เป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่มาตลอด พี่ชายก็ยิ่งไม่สนใจนาง ทว่าเจียงหลิงกลับได้รับความรักมากมาย…นางอิจฉาเจียงหลิง และแทบอยากทำให้อีกฝ่ายหายไปจากโลกใบนี้แต่เจียงหลิงกลับรักเอ็นดูนางมาตั้งแต่ต้นจนจบ ปกป้องนาง มอบของที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ให้แก่นาง…เจียงหลิงเป็นพี่สาวที่ดีต่อนางที่สุดบนโลกใบนี้…ทว่าที่นางต้องการหาใช่แค่พี่สาวอย่างเดียว นางต้องการความรักของทุกคน นางต้องการให้พ่อแม่ พี่ชายรกนางแค่คนเดียว นางอยากครอบครองของที่ดีที่สุดไว้กับตัวเอง ไม่ใช่รอให้คนอื่นมอบให้!ดังนั้น ในคืนวันหิมะตก นางผลักเจียงหลิงตกน้ำ มองนางจมตายทั้งเป็นอยู่ใต้น้ำ หลังจากนั้นนางก็ติดวันเกิดเวลาเกิดของเจียงหลิงบนตุ๊กตาคุณไสย แทงเธอทุกวัน สวดภาวนาทุกคืน นางต้องการให้เจียงหลิงไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิด ไม่หวนกลับมาตลอดกาล!เพราะมีเพียงแค่ทำแบบนี้ นางถึงจะไม่มีโอกาสแก้แค้นตัวเอง!แต่ทำไม…ทำไมตอนนี้นางถึงยังหาตัวเอง
ยาซึมเข้าสู่ร่างกายติดกันหลายวันทำให้เจียงหว่านค่อยๆ เป็นบ้าในห้องที่ปิดสนิท เจียงหว่านหดตัวอยู่บนพื้นเหมือนดินโคลนตัวนางเหม็นมาก ชุดกระโปรงสีรากบัวเปลี่ยนเป็นสกปรกและเก่าองครักษ์ทำให้เส้นเอ็นมือของนางขาด ตรงบาดแผลถูกทาขี้ผึ้งปิดแผลชั้นแล้วชั้นเล่าแม้ขี้ผึ้งปิดแผลจะเป็นยาสำหรับปกปิด ทว่ากลับมีผลดีต่อการหยุดเลือดบาดแผลแข็งตัวจนกลายเป็นสะเก็ดไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ แม้จะดีขึ้นก็ยังเหลือรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เอาไว้ธูปในห้องไม่เคยลดลงเลยทั้งวัน ประกอบกับกระกระตุ้นของต้นคลีเวีย ความคิดต่ำช้าที่อยู่ในตัวนางแทบจะถูกกระตุ้นออกมาทั้งหมดสองตานางแดงก่ำ ดูฉุนเฉียวไม่น้อย กรีดร้องโวยวายอยู่ในห้อง ประหนึ่งคนบ้าคนหนึ่งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องไม่สนใจนางสักนิด ได้แต่ทรมานนางไม่ให้นางตายทุกวันความเคียดแค้นฉายออกมาจากในตาเจียงหว่าน เวลานี้ นางได้ปล่อยว่างความหลงใหลต่อเยี่ยเป่ยเฉิงแล้ว ไม่ว่าจะรักมากขนาดไหนก็แปรเปลี่ยนเป็นความชิงชังเข้ากระดูก“เยี่ยเป่ยเฉิง! ปล่อยข้ากลับไป! ปล่อยข้ากลับไปสิ!”“แน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ!ฆ่าข้าให้มันจบๆ ! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาขังข้าไว้เช่นนี
“ได้ยินว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเจ้าเสียไปนานแล้ว แล้วเจ้ากับพี่ชายอยู่มาได้อย่างไร?”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงขายตัวไปเป็นบ่าวไพร่? หลายปีมานี้ เจ้าคงผ่านความลำบากมิใช่น้อย เคยถูกใครรังแกหรือไม่?”หลินซวงเอ๋อร์พลันเกิดความขมขื่นในจิตใจเดิมที หากไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ นางยังพออดทนได้บ้าง แต่เมื่ออวี๋หว่านหนิงถามขึ้นมา นางก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้นางเม้มปากพลางจ้องมองนิ้วมือตนเอง น้ำตาเริ่มเอ่อล้น พร้อมหยดแหมะลงหลังมือทีละหยดนางอยู่สบายหรือไม่?นางเคยถามตนเองอยู่เช่นกันหลายปีมานี้ นางผ่านเรื่องราวมากมาย สูญเสียบิดามารดา สูญเสียพี่ชายไป กลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตรโดยแท้แต่หากคิดดีๆ ชีวิตนางก็เคยอยู่สุขสบายมาช่วงหนึ่งนั่นคือตอนอยู่กับเยี่ยเป่ยเฉิง นางมีความสุขจริงๆในตอนนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นกำลังใจให้นาง ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ หาของดีมาให้กิน สอนนางเรียนหนังสือ พาไปเดินเล่นท่องทะเลสาบ ให้ความรักต่อนางอย่างชนิดไร้ผู้เทียบเทียม...ในเวลานั้น นางมีความสุขเหลือล้น เป็นความสุขมากที่สุดในชีวิต แม้แต่ฝันก็ยังเป็นฝันหวาน...แต่ต่อมา ทุกอย่างกลับแปรเปลี่ยน ก่อนหน้านี้เคยสุ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินซวงเอ๋อร์แทบชะงักงันไปที่บั้นเอวนางมีปานแดงรูปเสี้ยวจันทร์จริงๆ ท่านแม่บอกว่า มันมีติดตัวมาตั้งแต่นางเกิด เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่บั้นเอว จึงมีน้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้“ท่าน...คือแม่ของข้าจริงหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์หัวใจเต้นแรง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นอวี๋หว่านหนิงยื่นมือมาจับมือของนางไว้ พลางกล่าวเสียวเศร้า “ซวงเอ๋อร์ ข้าคือแม่เจ้าจริงๆ หลายปีนี้ทำให้เจ้าลำบากนัก...”แม่นมซุนอยู่ด้านข้างพลางกล่าวเสริม “องค์หญิง นางคือเสด็จแม่ของท่านจริงๆ หลายปีมานี้ ฮองเฮาไม่เคยเลิกราในการตามหาท่าน เพียงแต่ภาคกลางกว้างขวางนัก พวกท่านเองก็ข่าวคราวเงียบหาย หลายปีนี้ พวกท่านลำบากก็จริง ฮองเฮาก็ไม่ได้สุขสบายใจ...”หลินซวงเอ๋อร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ พลันหันไปมองอวี๋หว่านหนิงแล้วกล่าว “ที่จริง ข้าไม่เคยตำหนิท่านเลย เพียงแต่บางครั้งก็เคยคิด ว่าท่านแม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือไม่”“ตอนยังเป็นเด็ก ข้าเคยคาดหวังให้นางมาหาบ้าง แต่พอโตขึ้นก็ไม่เห็นนางมาเสียที ข้าจึงภาวนาให้นางอยู่ดีมีสุขแทน แม้จะไม่ได้พบหน้า แต่ขอให้นางยังมีชีวิตอยู่ เป็นความคิดถึงในใจก็เพียงพอแล้ว...”
อวี๋หว่านหนิงรับเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา พลันเกิดความตื้นตันจนไม่รู้ตอบอย่างไรดีทันใดนั้น แม่นมซุนเดินขึ้นมาพร้อมกล่าว “องค์หญิง ที่นี่คือวังหลวงแห่งเป่ยหรง ฮองเฮาทรงตามหาท่านมานาน ทุ่มแทแรงกายแรงใจไม่น้อยกว่าจะหาพบ...”“องค์หญิง?” หลินซวงเอ๋อร์นึกว่าตนหูฝาดไป “ท่านเรียกข้าอยู่หรือ?”นางกล่าวตอบ “พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า ข้าไม่ใช่องค์หญิง ข้าคือหลินซวงเอ๋อร์ต่างหาก”นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง เติบโตมาจากชนบทแร้นแค้น เป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้นองค์หญิงอะไรกัน ยังมีวังเป่ยหรงอีก แล้วใครคือฮองเฮา?พวกนางคงจำคนผิดเป็นแน่แม่นมซุนกล่าวตอบ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ ไม่มีผิดแน่นอน ท่านก็คือองค์หญิงของเรา องค์หญิงที่พลัดพรากจากฮองเฮาไป...”หลินซวงเอ๋อร์คล้ายกับยังมึนงงอยู่ ความคิดนางเกิดความสับสน ปวดหัวเป็นอย่างมากแม่นมซุนอธิบายต่อ “สมัยที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ราชสำนักเป่ยหรงเกิดความวุ่นวาย ตอนนั้นฮองเฮายังมีฐานะเป็นเพียงพระชายาแห่งรัชทายาท นางเสี่ยงอันตรายให้กำเนิดแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง เพื่อปกป้องชีวิตของพวกท่านไว้ จึงให้คนสนิทส่งพวกท่านออก
หลินซวงเอ๋อร์เปลือกตากระตุกเล็กน้อย นางก็อยากตื่น แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจตื่นขึ้นมาหน้าอกคล้ายถูกกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เหงื่อเย็นในตัวไหลพราก ลำคอคล้ายถูกงูพิษตัวหนึ่งรัดไว้ ยิ่งรัดก็ยิ่งแน่น จนนางใกล้จะหายใจไม่ออกข้างโสตนั้น ได้ยินเสียงคุ้นหูประเดี๋ยวไกลประเดี๋ยวใกล้ ถัดจากนั้น คล้ายมีมืออ่อนโยนลูบไล้ใบหน้านางเบาๆ“เด็กดี หมดเรื่องแล้ว เจ้าปลอดภัยดีแล้ว รีบตื่นมาเถิด ตื่นมาเร็วเข้า...”หลังจากได้ยินเสียงนั้นชัดเจนมากขึ้น ลำคอที่ถูกรัดแน่นก็ค่อยๆ คลายออก นางลืมตาช้าๆ ภาพเบื้องหน้าจากพร่ามัวจนกลายเป็นชัดเจน สิ่งแรกที่เข้าสู่ม่านตาก็คือม่านคลุมเตียงสีม่วงที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป คล้ายเป็นภาพฝัน เสมือนเป็นแหยักษ์ที่ถูกเหวี่ยงลงมา เพื่อคลุมตัวนางให้อยู่ตรงกลางเตียงนี้เป็นเตียงที่สวยงาม จนแม้แต่เสาเตียงก็เป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน หัวเตียงนอกจากจะแกะสลักลายดอกไม้แล้วยังฝังด้วยหยกเจียระไนงดงามและพลอยล้ำค่าอีกชั่วขณะนั้น นางรู้สึกมึนงงยิ่งนี่มันเป็นที่ไหนกัน?“ซวงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ?” จนกระทั่งข้างหูได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง นางจำได้ว่าตอนอยู่ในความฝัน ได้ยินเสียงนี้จนคุ