ค่อนข้างจะเหมือนเจ๋อเซียนที่ไม่ฝักใฝ่ทางโลกีย์แต่ว่า เขาไม่ใช่เจ๋อเซียนอะไรสักหน่อย บางหลังหลินซวงเอ๋อร์ก็รู้สึกว่า เยี่ยเป่ยเฉิงที่ดูเหมือนจะไม่ฝักใฝ่ทางโลกีย์ และพฤติตัวดี อันที่จริงแล้วเขาเป็นคนที่แย่มาก...หลินซวงเอ๋อร์นั่งอยู่ในรถม้า โดยใช้มือเล็กๆดึงแขนเสื้อเอาไว้อย่างประหม่าได้ยินคนพูดว่า จักรพรรดิน่าเกรงขามมาก นางจึงรู้สึกกลัวเล็กน้อย“ไม่ต้องกังวล พอเข้าไปในวังแล้วก็ให้อยู่ข้างกายข้า อย่าเถลไถล” เยี่ยเป่ยเฉิงเอามือเล็กๆที่นางใช้จับแขนเสื้อมาวางไว้บนฝ่ามือของเขาแล้วกล่าวว่า: "มีข้าอยู่ทั้งคน ไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้าหรอก"ฝ่ามือของเยี่ยเป่ยเฉิงมีขนาดใหญ่มาก จนความร้อนที่แผดเผาดูเหมือนจะละลายผู้คนได้หลินซวงเอ๋อร์รีบดึงมือของนางออกมาจากฝ่ามือของเขา ก้มหน้าลงแล้วกล่าวว่า "ข้าจะพูดให้น้อยลง และพยายามไม่ทำให้ท่านอ๋องอับอาย"เยี่ยเป่ยเฉิงเม้มริมฝีปาก เขาไม่ชอบให้หลินซวงเอ๋อร์ปฏิเสธเขา ในทางกลับกัน เขาหวังว่า หลินซวงเอ๋อร์จะพึ่งพาเขาให้มากขึ้นกว่านี้แต่ว่า วันนี้เขาก็สังเกตเห็นการแต่งหน้าของนางได้อย่างรวดเร็วบนริมฝีปากสีชมพูทาชาดสีแดงบางๆ ทำให้ริมฝีปากดูชุ่มชื้นมากขึ้น ราวก
เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ได้ปฏิเสธเขารังแกนางจริงๆ แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองถึงชอบรังแกนางแต่ว่า นี่ไม่ใช่ปัญหาของเขา ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่วันนี้นางแต่งหน้าเข้มเกินไป โทษที่ชาดทาปากของนางยั่วยวนจนเกินไป โทษต้องโทษที่กลิ่นบนตัวของนางหอมหวานจนเกินไป ไม่เกี่ยวกับเขาเลยแม้แต่น้อยเมื่อกี้เดิมทีเขาแค่อยากแกล้งนาง ใครให้นางตอบสนองเขา ทันทีที่นางตอบสนอง เขาก็อดใจไม่ไหว เลยอยากจะได้มากกว่านี้...เมื่อเห็นนางซุกตัวอยู่ที่มุมรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงจึงต้องเตือนนางว่า: "ถึงประตูวังแล้ว เจ้าอยากลงไปแบบนี้ไหม?"หลินซวงเอ๋อร์ก้มหน้ามอง ถึงพบว่าเสื้อคลุมด้านนอก เสื้อที่อยู่ตรงกลาง เสื้อชั้นในทั้งหมดถูกปลดออกแล้ว...ใบหน้าของหลินซวงเอ๋อร์แดงราวลูกตำลึงสุก และรีบจัดระเบียบเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิงของตนเองผลสุดท้ายยิ่งนางลนลานยิ่งทำอะไรไม่ถูก กระดุมตรงปกเสื้อก็ติดผิดเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยนาง แต่หลินซวงเอ๋อร์ขมวดคิ้ว และหันหลังกลับไปเพื่อป้องกันไม่ให้เขาแตะต้องตัวเยี่ยเป่ยเฉิงหยุดชะงักชั่วคราว แล้วยิ้มเล็กน้อยไม่กลัวเขาเร็วขนาดนี้เลยหรือ? กล้าโกรธเขาแล้ว?เขาเอื้อมมือออกไป โอบก
เยี่ยเป่ยเฉิงผูกเชือกเสื้อเส้นสุดท้ายให้นางแล้วกล่าวว่า: "เสร็จแล้ว ลงจากรถเถิด"ทั้งสองลงจากรถม้าพร้อมกันประตูพระราชวังมีความโอ่อ่าสง่างาม มีองครักษ์ยืนถือดาบทั้งสองด้าน พระราชวังที่ยิ่งใหญ่ช่างทรงพลังและน่าเกรงขามเป็นอย่างมากหลินซวงเอ๋อร์ติดตามเยี่ยเป่ยเฉิงอย่างใกล้ชิด และรู้สึกกระวนกระวายใจนางรู้สึกว่า พระราชวังที่ยิ่งใหญ่และเย็นชาแห่งนี้ ราวกับว่าเป็นกรงขังเย็นที่กลืนกินคนได้ จึงทำให้นางรู้สึกไม่อึดอัดไปทั้งตัวฝ่ามือขนาดใหญ่คู่หนึ่งโอบมือเล็กๆที่วิตกกังวลของนางอีกครั้ง นางเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยเป่ยเฉิง แต่กลับเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างที่สงบนิ่งของเขา มุมที่แหลมคม แฝงไปด้วยพลังอันน่าเกรงขามอคราวนี้ นางไม่เลือกที่จะดึงดัน แต่ปล่อยให้เขาจับมือนางเอาไว้ได้ตามใจชอบ ความอบอุ่นที่อยู่ในฝ่ามือขนาดใหญ่ของเขาทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจเป็นอย่างยิ่งงานเลี้ยงของพระราชวงศ์แตกต่างจากคนทั่วไป ไม่ต้องพูดถึงงานเลี้ยงวันพระราชสมภพของจักรพรรดิ ผู้คนที่อยู่ในงานเลี้ยงต่างก็เป็นบุคคลสำคัญ และมีผู้คนนั่งอยู่เต็มห้องจัดเลี้ยงตอนท้ายจักรพรรดิก็พาพระราชินีและนางสนมทั้งหลายเข้ามาในงานเลี้ยง ทุกคนต่างก็
หลินซวงเอ๋อร์พลางกินพลางชมการร้องเล่นเต้นรำไปด้วย บรรยากาศในงานเลี้ยงสนุกสนานปรองดองกันเป็นอย่างมากเธอนางคิดไม่ถึงเลยว่า สถานะอย่างนางจะสามารถเข้าวังได้ และสามารถนั่งร่วมงานเลี้ยงในวังกับเหล่าขุนนางได้และเหตุผลที่นางได้มีโอกาสนี้ทั้งหมดเป็นเพราะผู้ชายที่อยู่เคียงข้างเธอที่พานางมาที่นี่ ให้นางกินอาหารที่มีรสเลิศเช่นนี้หลินซวงเอ๋อร์มองไปที่เยี่ยเป่ยเฉิง คนที่พานางมาที่วัง คนที่ปอกเปลือกปูให้นางด้วยตนเองโดยที่ไม่รู้ตัวเยี่ยเป่ยเฉิงก็กำลังมองนางเช่นเดียวกัน นัยน์ตาของเขาสะท้อนแสงอันเจิดจ้าในห้องจัดเลี้ยง ตอนที่หลินซวงเอ๋อร์มองไปที่เขา แสงในนัยน์ตาของเขาก็สว่างขึ้นทันที และส่องแสงประกายสดใสเขาสูงส่งมาตั้งแต่กำเนิด ใบหน้าอันหล่อเหลาทำให้ทั้งห้องจัดเลี้ยงดูงดงามมากยิ่งขึ้น งดงามราวกับว่าไม่มีอยู่จริงทุกครั้งที่นางถูกเขาจ้องมอง หลินซวงเอ๋อร์ก็จะรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย และหัวใจของนางก็เต้นเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว“พี่เป่ยเฉิง” น้ำเสียงอันหวานหยาดเยิ้มทำลายบรรยากาศที่แปลกประหลาดนี้ทันทีที่หลินซวงเอ๋อร์หันกลับมา ก็เห็นหญิงสาวที่แต่งตัวงดงามปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาทั้งสองคน“พี่เป่ยเฉิง
พระราชวังได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม และมีแสงไฟส่องสว่างทุกที่ในยามราตรี ทำให้ทั่วทุกอาณาบริเวณสว่างราวกับว่าเป็นตอนกลางวันพระจันทร์เหมือนตะขอ สุกใสเหมือนน้ำข้างทะเลสาบ จู่ๆก็มีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งยองๆลงเมื่อเห็นว่าไม่มีใคร หลินซวงเอ๋อร์ก็พับแขนเสื้อของตนเองขึ้น เมื่อมองเห็นผื่นแดงที่จู่ๆก็เกิดขึ้นมาก็ขมวดคิ้วเมื่อสักครู่นี้นางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ รู้สึกว่าแขนผิดปกติไปเล็กน้อย จึงเปิดแขนเสื้อขึ้นดูอย่างเงียบๆ และไม่รู้ว่ามีผื่นแดงปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้สึกทั้งเจ็บทั้งคันนางเคยคิดที่จะบอกเยี่ยเป่ยเฉิง แต่เมื่อเห็นได้ว่าเขาและหญิงสาวผู้นั้นคุยกันอย่างกระตือรือร้น นางจึงไม่กล้ารบกวน จึงเดินมาที่สวนดอกไม้ที่อยู่ข้างหลังอย่างเงียบๆ คิดว่าใช้น้ำล้างนิดหน่อย ก็คงจะบรรเทาอาการไม่สบายของนางได้แสงจันทร์งดงามมาก ทำให้เกิดระลอกคลื่นสีเงินปรากฏขึ้นบนทะเลสาบไป๋อวี้ถังที่หมดอาลัยตายเข้ามาเดินเล่นในสวนดอกไม้ที่อยู่ด้านหลังตั้งแต่งานเลี้ยงเพิ่งจะเริ่มที่ตรงนี้มีผู้คนน้อยมาก เพราะทุกคนล้วนรวมตัวกันอยู่ในห้องโถง จึงไม่มีใครรบกวนเขาในช่วงเวลานี้ เขาไม่สนใจอะไรเลย ในสมองของเ
แต่ไม่นาน นางก็รู้สึกว่าตนเองไม่ควรตัดสินคนอื่นจากรูปลักษณ์ภายนอกตัวอย่างเช่น เยี่ยเป่ยเฉิงคนนี้เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นผู้ชายที่หล่อที่สุดที่นางเคยเห็นมา แต่เขาใจร้ายมาก และปฏิบัติต่อนางอย่างเลวร้าย!หลินซวงเอ๋อร์ไม่อยากพัวพันกับเขา จึงกล่าวว่า "ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจของท่าน แต่ข้าต้องกลับไปแล้ว"ไป๋อวี้ถังจ้องมองนาง แล้วกล่าวว่า: "แม่นางอยากกลับไปไหน? ข้าจะไปส่ง"หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "ไม่จำเป็น ข้าจำทางกลับได้"ทันทีที่หันกลับไป หลินซวงเอ๋อร์ก็ตกตะลึง สถานที่แห่งนี้เชื่อมต่อกันทุกทิศทาง ทุกเส้นทางดูเหมือนกันไปหมด นางจึงจำทิศทางที่จะไปห้องจัดเลี้ยงไม่ได้แล้วแย่แล้ว ตงเหมยเคยเตือนนางตั้งแต่เนิ่นๆแล้วว่า พระราชวังใหญ่มาก ถ้าไม่ระวังอาจจะหลงทางได้เขาดูเหมือนจะอ่านความคิดของนางออก ไป๋อวี้ถังกล่าวอย่างอบอุ่นว่า: "พระราชวังใหญ่มาก ถนนที่นี่ก็ซับซ้อน หากใช้ถนนผิดสายจะต้องอ้อมไกลมาก ถ้าแม่นางไม่อยากเสียเวลา ให้ข้าไปส่งแม่นางเถิด"เมื่อเห็นว่านางยังไม่ไว้วางใจตนเอง ไป๋อวี้ถังจึงกล่าวว่า: "ข้าชื่อไป๋อวี้ถัง รับราชการอยู่ในวังแห่งนี้ หากแม่นางไม่เชื่อ อีกสักพักสามารถถามชื่อของข้ากับใครก
ทันทีที่นางได้ยินเสียงของเยี่ยเป่ยเฉิง หลินซวงเอ๋อร์ก็หันกลับมาอย่างตื่นเต้น ก็เห็นสีหน้าท่าทางที่เย็นชาของเขา จับจ้องมาที่ตนเองรูปลักษณ์ที่ดุร้ายทำให้รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของนางชะงักไปทันที ยืนอยู่กับที่โดยไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรดูเหมือนว่าเขาจะเกรี้ยวโกรธมากเหตุใดเขาถึงโกรธ? เมื่อกี้ยังดีๆอยู่ไม่ใช่หรือ?หรือว่าคุยกับหญิงสาวคนนั้นไม่สนุก?นางยังไม่ทันเข้าใจ ก็รู้สึกเจ็บที่ข้อมือ เยี่ยเป่ยเฉิงก้าวไปข้างหน้า และดึงนางกลับไปหลินซวงเอ๋อร์สะดุด และเกือบจะถูกดึงจนล้มเมื่อนางยืนได้อย่างมั่นคง เยี่ยเป่ยเฉิงจึงถามด้วยความเกรี้ยวโกรธว่า: "ข้าถามเจ้าว่า เจ้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่?"หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกหวาดกลัวความเกรี้ยวโกรธที่ไม่มีเหตุผลของเขาจนทำอะไรไม่ถูก จึงกล่าวอย่างกระอึกกระอักว่า: "ข้า ข้าก็แค่..."“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ว่าห้ามออกไปจากสายตาของข้า?” เยี่ยเป่ยเฉิงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้เลยนางรู้ไหมว่า เมื่อสักครู่ตอนที่เขาไม่เห็นนาง เขากังวลมากแค่ไหน?พระราชวังมีความซับซ้อน โจมตีทั้งต่อหน้าและลับหลัง จนยากที่จะป้องกัน!หานางไม่เจอ ทำให้เขาแทบจะควบคุมตนเองไม่ได
เมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ถูกเยี่ยเป่ยเฉิงพาตัวไป เขาไม่มีจุดยืนอะไร จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะรั้งนางเอาไว้ได้ ตอนนี้เขาไม่อาจสงบสติอารมณ์ของตนเองได้จริงๆ และรู้สึกเปล่าเปลี่ยวใจ ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างถูกใครบางคนเอาไปในรถม้า หลินซวงเอ๋อร์ตัวสั่นอยู่ตรงมุมรถ รู้สึกกระวนกระวายใจเป็นอย่างมากนางรู้ว่าตอนนี้เยี่ยเป่ยเฉิงอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นจึงไม่กล้าเอ่ยปากพูด จึงนั่งปิดปากเงียบอยู่ข้างๆ และพยายามลดการมีอยู่ของนางให้มากที่สุดเยี่ยเป่ยเฉิงทั้งโกรธทั้งหงุดหงิด ลมหายใจของเขาราวกับว่าเป็นพายุที่พัดผ่านทะเล คลื่นลูกใหญ่ซัดสาดไปมา จากนั้นเขาก็กัดฟันพูดว่า: "เมื่อสักครู่นี้ เหตุใดเจ้าถึงกินสิ่งที่เขาให้เจ้า?"หลินซวงเอ๋อร์หดคอ แล้วกล่าวเบาๆว่า: "นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาให้ข้า แต่เป็นเบย์เบอร์รี่ที่อยู่บนต้นไม้"“แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขาเด็ดมันลงมาให้เจ้า!” เมื่อเห็นว่านางยังจะโต้เถียง เยี่ยเป่ยเฉิงก็ขมวดคิ้วทันทีเมื่อตระหนักว่าเยี่ยเป่ยเฉิงโกรธมากขึ้น หลินซวงเอ๋อร์ก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย: "ข้าน้อยไม่รู้ว่าเบย์เบอร์รี่ที่วังกินไม่ได้"เยี่ยเป่ยเฉิงกัดฟัน ที่เขาโกรธไม่ใช่เพราะปัญหานี้!“ข้าถามว่า เหตุใ
วันที่เจียงหว่านกำลังจะถูกเนรเทศ ในที่สุดเจียงเช่อก็มาหาถึงหน้าประตูเขาคุกเข่าเบื้องหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง เว้าวอนขอเยี่ยเป่ยเฉิงปล่อยเจียงหว่านไปขณะที่เดินทางมา เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วเจียงหว่านลอบวางยาพระชายาเยี่ย ใช้ประชาชนที่ติดโรคทดลองยา เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ ผลาญชีวิตคนดุจผักดุจปลา นับเป็นอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด......แต่ไม่ว่าอย่างไร เจียงหว่านก็เป็นน้องสาวเขา เป็นคุณหนูหนึ่งเดียวของตระกูลเจียง เจียงเช่อมิอาจนั่งนิ่งดูดาย ปล่อยให้นางไปตายได้“ขอร้องท่านอ๋องไว้ชีวิตนางเถิด เป็นเพราะข้าตามใจนางจนเสียคน หากท่านอ๋องจะลงโทษ โปรดลงที่เจียงเช่อเถิดพะยะค่ะ”เมื่อเห็นเจียงเช่อ สายตาสิ้นหวังของเจียงหว่านพลันมีประกายความหวังขึ้น“พี่......ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปแดนเถื่อน ข้าอยากกลับบ้าน ท่านพี่ช่วยข้าด้วย......”เจียงเช่อขมวดคิ้วเขม็งจ้องเจียงหว่าน สายตาแฝงเร้นด้วยแววเกยีดชังเข้าไส้เขารู้ว่าเจียงหว่านต้องโทษตาย ยามนี้แค่เนรเทศ ถือว่าเมตตามากแล้ว แต่เขาเองก็รู้ว่า สถานที่อย่างแดนเถื่อนนั้น มิใช่สถานที่ที่สตรีตัวคนเดียวจะไปได้ การเนรเทศนางไปที่นั่น เท่ากับส่งนางไปขุมนร
“เลือดของนาง...”เจียงหว่านสีหน้าตกตะลึงตอนนั้น ตอนที่ฮุ่ยอี๋มอบยาถอนพิษใส่ในมือนาง นางเคยเอาทิ้งไว้หลายขวด เดิมทีคิดศึกษาส่วนผสมในนั้น ทว่าด้านในกลับมีส่วนผสมยาเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือเลือดมนุษย์...แรกเริ่ม นางคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล! กระทั่งยามนี้นางถึงได้เชื่อความจริง ส่วนประกอบของยานั้น มีเพียงเลือดมนุษย์จริงๆ! ทั้งยังเป็นเลือดของหลินซวงเอ๋อร์! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ในที่สุดนางก็เข้าใจ!มิน่า...ตอนนั้น นางใช้ยาปริมาณมาก แต่กลับไม่อาจทำให้หลินซวงเอ๋อร์ถึงตาย! ไม่คิดว่าเลือดของนางจะขจัดพิษในร่างนางโดยมองไม่เห็น...ฮุ่ยอี๋เอ่ย “เจ้ายังมีหน้าพูดว่าไม่ได้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาอีก! เจียงหว่าน เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้าวางยาซวงเอ๋อร์อย่างไร? เสด็จอาให้อภัยเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้าไม่มีวันเกรงใจเจ้า!”คำพูดนี้สองแง่สองง่าม เห็นชัดว่ากำเย้ยหยันเยี่ยเป่ยเฉิงที่ดึงหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าบ้าน!เยี่ยเป่ยเฉิงตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไร้ซึ่งแรงโต้กลับยามนี้ เขามิอาจชำระคืนได้ ซวงเอ๋อร์ของเขาไม่มีวันกลับมาอีกต่อไป!สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือทำให้เจียงหว่านชดใช้อย่างสาสมที่สุด ส่วนตัวเขา ชีวิตที่
เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาที่มองเจียงหว่านเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเขาอยากฆ่านางตั้งนานแล้ว ที่ปล่อยนางรอดมาจนถึงตอนนี้ ก็แค่อยากให้นางได้รับความทรมานจนตายบัดนี้เห็นนางตกยากเช่นนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับรู้สึกว่าบทลงโทษแค่นี้ยังมิพอเจียงหว่านถูกทรมานจนเหมือนตายดีกว่าอยู่มานานแล้ว นางรู้ เยี่ยเป่ยเฉิงไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ หลังจากคิดดูแล้ว หากตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ ก็คงจะดีกว่าตอนนี้ ที่ดูดซับยาเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ถูกฝันร้ายหลอกหลอนทุกคืนสุดท้ายก็ไม่สามารถหนีจากพิษและเสียชีวิตลงได้!อย่างไรก็ตาย มิสู้ให้เยี่ยเป่ยเฉิงจบชีวิตนางด้วยมือเขาเอง!เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ้มเยาะ จงใจกล่าวยั่วยุเขา “เยี่ยเป่ยเฉิง เจ้ามีฝีมือแค่นี้หรือ? แน่จริงก็ฆ่าข้าไปเลยสิ!”“ฆ่าข้าให้มันจบๆ ไปเสีย!”เยี่ยเป่ยเฉิงปรายตามองนาง พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนั้น เจ้าก็ทรมานซวงเอ๋อร์เช่นนี้!”เจียงหว่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วอย่างไร!”“ลูกในท้องนางข้าก็เป็นคนทำร้ายเอง! ร่างกายอ่อนแอแบบนั้นของนางต่อไปจะตั้งครรภ์ไม่ได้อีกแล้ว!”“ที่นางฝันร้ายทุกคืน ก็เป็นข้าที่ทำเอง
หลายสิบปีมานี้ นางทำเรื่องชั่วมานับไม่ถ้วน ทุกเรื่อง นางจิตใจสงบ ไม่เคยรู้สึกผิดเลยมีเพียงเจียงหลิง…มีเพียงการตายของเจียงหลิง ทำให้นางยากจะข่มตานอนได้…ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในฐานะคุณหนูรอง เจียงหว่านไม่เป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่มาตลอด พี่ชายก็ยิ่งไม่สนใจนาง ทว่าเจียงหลิงกลับได้รับความรักมากมาย…นางอิจฉาเจียงหลิง และแทบอยากทำให้อีกฝ่ายหายไปจากโลกใบนี้แต่เจียงหลิงกลับรักเอ็นดูนางมาตั้งแต่ต้นจนจบ ปกป้องนาง มอบของที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ให้แก่นาง…เจียงหลิงเป็นพี่สาวที่ดีต่อนางที่สุดบนโลกใบนี้…ทว่าที่นางต้องการหาใช่แค่พี่สาวอย่างเดียว นางต้องการความรักของทุกคน นางต้องการให้พ่อแม่ พี่ชายรกนางแค่คนเดียว นางอยากครอบครองของที่ดีที่สุดไว้กับตัวเอง ไม่ใช่รอให้คนอื่นมอบให้!ดังนั้น ในคืนวันหิมะตก นางผลักเจียงหลิงตกน้ำ มองนางจมตายทั้งเป็นอยู่ใต้น้ำ หลังจากนั้นนางก็ติดวันเกิดเวลาเกิดของเจียงหลิงบนตุ๊กตาคุณไสย แทงเธอทุกวัน สวดภาวนาทุกคืน นางต้องการให้เจียงหลิงไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิด ไม่หวนกลับมาตลอดกาล!เพราะมีเพียงแค่ทำแบบนี้ นางถึงจะไม่มีโอกาสแก้แค้นตัวเอง!แต่ทำไม…ทำไมตอนนี้นางถึงยังหาตัวเอง
ยาซึมเข้าสู่ร่างกายติดกันหลายวันทำให้เจียงหว่านค่อยๆ เป็นบ้าในห้องที่ปิดสนิท เจียงหว่านหดตัวอยู่บนพื้นเหมือนดินโคลนตัวนางเหม็นมาก ชุดกระโปรงสีรากบัวเปลี่ยนเป็นสกปรกและเก่าองครักษ์ทำให้เส้นเอ็นมือของนางขาด ตรงบาดแผลถูกทาขี้ผึ้งปิดแผลชั้นแล้วชั้นเล่าแม้ขี้ผึ้งปิดแผลจะเป็นยาสำหรับปกปิด ทว่ากลับมีผลดีต่อการหยุดเลือดบาดแผลแข็งตัวจนกลายเป็นสะเก็ดไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ แม้จะดีขึ้นก็ยังเหลือรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เอาไว้ธูปในห้องไม่เคยลดลงเลยทั้งวัน ประกอบกับกระกระตุ้นของต้นคลีเวีย ความคิดต่ำช้าที่อยู่ในตัวนางแทบจะถูกกระตุ้นออกมาทั้งหมดสองตานางแดงก่ำ ดูฉุนเฉียวไม่น้อย กรีดร้องโวยวายอยู่ในห้อง ประหนึ่งคนบ้าคนหนึ่งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องไม่สนใจนางสักนิด ได้แต่ทรมานนางไม่ให้นางตายทุกวันความเคียดแค้นฉายออกมาจากในตาเจียงหว่าน เวลานี้ นางได้ปล่อยว่างความหลงใหลต่อเยี่ยเป่ยเฉิงแล้ว ไม่ว่าจะรักมากขนาดไหนก็แปรเปลี่ยนเป็นความชิงชังเข้ากระดูก“เยี่ยเป่ยเฉิง! ปล่อยข้ากลับไป! ปล่อยข้ากลับไปสิ!”“แน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ!ฆ่าข้าให้มันจบๆ ! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาขังข้าไว้เช่นนี
“ได้ยินว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเจ้าเสียไปนานแล้ว แล้วเจ้ากับพี่ชายอยู่มาได้อย่างไร?”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงขายตัวไปเป็นบ่าวไพร่? หลายปีมานี้ เจ้าคงผ่านความลำบากมิใช่น้อย เคยถูกใครรังแกหรือไม่?”หลินซวงเอ๋อร์พลันเกิดความขมขื่นในจิตใจเดิมที หากไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ นางยังพออดทนได้บ้าง แต่เมื่ออวี๋หว่านหนิงถามขึ้นมา นางก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้นางเม้มปากพลางจ้องมองนิ้วมือตนเอง น้ำตาเริ่มเอ่อล้น พร้อมหยดแหมะลงหลังมือทีละหยดนางอยู่สบายหรือไม่?นางเคยถามตนเองอยู่เช่นกันหลายปีมานี้ นางผ่านเรื่องราวมากมาย สูญเสียบิดามารดา สูญเสียพี่ชายไป กลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตรโดยแท้แต่หากคิดดีๆ ชีวิตนางก็เคยอยู่สุขสบายมาช่วงหนึ่งนั่นคือตอนอยู่กับเยี่ยเป่ยเฉิง นางมีความสุขจริงๆในตอนนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นกำลังใจให้นาง ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ หาของดีมาให้กิน สอนนางเรียนหนังสือ พาไปเดินเล่นท่องทะเลสาบ ให้ความรักต่อนางอย่างชนิดไร้ผู้เทียบเทียม...ในเวลานั้น นางมีความสุขเหลือล้น เป็นความสุขมากที่สุดในชีวิต แม้แต่ฝันก็ยังเป็นฝันหวาน...แต่ต่อมา ทุกอย่างกลับแปรเปลี่ยน ก่อนหน้านี้เคยสุ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินซวงเอ๋อร์แทบชะงักงันไปที่บั้นเอวนางมีปานแดงรูปเสี้ยวจันทร์จริงๆ ท่านแม่บอกว่า มันมีติดตัวมาตั้งแต่นางเกิด เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่บั้นเอว จึงมีน้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้“ท่าน...คือแม่ของข้าจริงหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์หัวใจเต้นแรง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นอวี๋หว่านหนิงยื่นมือมาจับมือของนางไว้ พลางกล่าวเสียวเศร้า “ซวงเอ๋อร์ ข้าคือแม่เจ้าจริงๆ หลายปีนี้ทำให้เจ้าลำบากนัก...”แม่นมซุนอยู่ด้านข้างพลางกล่าวเสริม “องค์หญิง นางคือเสด็จแม่ของท่านจริงๆ หลายปีมานี้ ฮองเฮาไม่เคยเลิกราในการตามหาท่าน เพียงแต่ภาคกลางกว้างขวางนัก พวกท่านเองก็ข่าวคราวเงียบหาย หลายปีนี้ พวกท่านลำบากก็จริง ฮองเฮาก็ไม่ได้สุขสบายใจ...”หลินซวงเอ๋อร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ พลันหันไปมองอวี๋หว่านหนิงแล้วกล่าว “ที่จริง ข้าไม่เคยตำหนิท่านเลย เพียงแต่บางครั้งก็เคยคิด ว่าท่านแม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือไม่”“ตอนยังเป็นเด็ก ข้าเคยคาดหวังให้นางมาหาบ้าง แต่พอโตขึ้นก็ไม่เห็นนางมาเสียที ข้าจึงภาวนาให้นางอยู่ดีมีสุขแทน แม้จะไม่ได้พบหน้า แต่ขอให้นางยังมีชีวิตอยู่ เป็นความคิดถึงในใจก็เพียงพอแล้ว...”
อวี๋หว่านหนิงรับเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา พลันเกิดความตื้นตันจนไม่รู้ตอบอย่างไรดีทันใดนั้น แม่นมซุนเดินขึ้นมาพร้อมกล่าว “องค์หญิง ที่นี่คือวังหลวงแห่งเป่ยหรง ฮองเฮาทรงตามหาท่านมานาน ทุ่มแทแรงกายแรงใจไม่น้อยกว่าจะหาพบ...”“องค์หญิง?” หลินซวงเอ๋อร์นึกว่าตนหูฝาดไป “ท่านเรียกข้าอยู่หรือ?”นางกล่าวตอบ “พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า ข้าไม่ใช่องค์หญิง ข้าคือหลินซวงเอ๋อร์ต่างหาก”นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง เติบโตมาจากชนบทแร้นแค้น เป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้นองค์หญิงอะไรกัน ยังมีวังเป่ยหรงอีก แล้วใครคือฮองเฮา?พวกนางคงจำคนผิดเป็นแน่แม่นมซุนกล่าวตอบ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ ไม่มีผิดแน่นอน ท่านก็คือองค์หญิงของเรา องค์หญิงที่พลัดพรากจากฮองเฮาไป...”หลินซวงเอ๋อร์คล้ายกับยังมึนงงอยู่ ความคิดนางเกิดความสับสน ปวดหัวเป็นอย่างมากแม่นมซุนอธิบายต่อ “สมัยที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ราชสำนักเป่ยหรงเกิดความวุ่นวาย ตอนนั้นฮองเฮายังมีฐานะเป็นเพียงพระชายาแห่งรัชทายาท นางเสี่ยงอันตรายให้กำเนิดแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง เพื่อปกป้องชีวิตของพวกท่านไว้ จึงให้คนสนิทส่งพวกท่านออก
หลินซวงเอ๋อร์เปลือกตากระตุกเล็กน้อย นางก็อยากตื่น แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจตื่นขึ้นมาหน้าอกคล้ายถูกกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เหงื่อเย็นในตัวไหลพราก ลำคอคล้ายถูกงูพิษตัวหนึ่งรัดไว้ ยิ่งรัดก็ยิ่งแน่น จนนางใกล้จะหายใจไม่ออกข้างโสตนั้น ได้ยินเสียงคุ้นหูประเดี๋ยวไกลประเดี๋ยวใกล้ ถัดจากนั้น คล้ายมีมืออ่อนโยนลูบไล้ใบหน้านางเบาๆ“เด็กดี หมดเรื่องแล้ว เจ้าปลอดภัยดีแล้ว รีบตื่นมาเถิด ตื่นมาเร็วเข้า...”หลังจากได้ยินเสียงนั้นชัดเจนมากขึ้น ลำคอที่ถูกรัดแน่นก็ค่อยๆ คลายออก นางลืมตาช้าๆ ภาพเบื้องหน้าจากพร่ามัวจนกลายเป็นชัดเจน สิ่งแรกที่เข้าสู่ม่านตาก็คือม่านคลุมเตียงสีม่วงที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป คล้ายเป็นภาพฝัน เสมือนเป็นแหยักษ์ที่ถูกเหวี่ยงลงมา เพื่อคลุมตัวนางให้อยู่ตรงกลางเตียงนี้เป็นเตียงที่สวยงาม จนแม้แต่เสาเตียงก็เป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน หัวเตียงนอกจากจะแกะสลักลายดอกไม้แล้วยังฝังด้วยหยกเจียระไนงดงามและพลอยล้ำค่าอีกชั่วขณะนั้น นางรู้สึกมึนงงยิ่งนี่มันเป็นที่ไหนกัน?“ซวงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ?” จนกระทั่งข้างหูได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง นางจำได้ว่าตอนอยู่ในความฝัน ได้ยินเสียงนี้จนคุ