บทที่ 21 พบพักตร์เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ที่ซื้อไว้ ชายหนุ่มเจ้าของลูกสุนัขสีขาว ก็กลับมามีหน้าตาอย่างที่ควรจะเป็น ผมสีหมึกแปรเปลี่ยนเป็นสีเงินส่องสว่าง ดวงตาสีนิลกลับคืนสภาพเป็นสีฟ้าอีกครั้ง จากชายหนุ่มหน้าตาธรรมดา เวลานี้กลับมารูปงามอย่างร้ายกาจเหตุที่ต้องแปลงกาย เป็นเพราะรูปโฉมอันโดดเด่นราวปีศาจจิ้งจอก ยามไปไหนมาไหนจึงมีสตรีพากันโยนผ้าเช็ดหน้าให้ชายหนุ่มจนอี้หรงรำคาญ และที่หนักข้อสุด คือการที่พวกนางวิ่งโร่มาหาฮั่วเฮ่อฉีถึงโรงเตี๊ยม ต่างติดสินบนหลงจู๊หรือเสี่ยวเอ้อร์ เพื่อให้ยอมบอกตำแหน่งห้องพักของชายหนุ่ม! มนตรามายาจิ้งจอก ที่ปกติมีไว้สะกดสตรีให้ลุ่มหลงหรือเพื่อให้ยอมทำตามคำสั่ง จึงถูกนำมาใช้ในลักษณะตรงกันข้าม นั่นคือ ใช้สะกดให้พวกนางไสหัวไปไกลๆ!! นึกถึงเรื่องนี้คราใดฮั่วเฮ่อฉีเป็นต้องกุมขมับ…อี้หรงกลับคืนสภาพเดิมเช่นเดียวกัน จากนั้นเดินไปทิ้งตัวบนเบาะผ้าไหมข้างตั่งตัวใหญ่“อี้หรง ที่เจ้าบอกว่าแมวสีเข้มในอ้อมแขนเด็กหนุ่มเมื่อตอนกลางวัน คือสัตว์อสูรระดับจักรพรรดิอย่างนั้นหรือ”“ถูกต้องแล้วฝ่าบาท” ฮั่วเฮ่อฉีมีท่าทีสนใจ ผู้ที่สามารถทำให้สัตว์อสูรระดับจักรพรรดิ ยอมทำพันธะสัญญาด้วยย่อมไ
บทที่ 21/2 พบพักตร์“ดี! นางจะได้รู้สึกเสียมั่งว่าความขมขื่น จากการถูกสามีหมางเมิน และถูกอนุหยามเกียรติมันเป็นอย่างไร!”เช้าวันรุ่งขึ้น รวี่เยว่นั่งรถม้าจากหอโอสถเยว่เสียง ตรงไปยังโรงน้ำชาชื่อดังที่บรรดาคุณหนูคุณชายในเมืองหลวงชอบไปกัน ทว่าวันนี้หญิงสาวไม่ได้ปลอมตัวเป็นบุรุษ แต่สวมชุดผ้าไหมสีดำงดงาม สวมผ้าคาดปิดครึ่งหน้าดูลึกลับ กลิ่นอายรอบตัวสง่างามสูงส่ง ในอ้อมแขนอุ้มแมวสีเข้มมีปีก ด้านหลังมีสาวใช้หน้านิ่งอุ้มแมวส้มเดินตามร่างบางก้าวเข้าไปด้านในโรงน้ำชา เอ่ยปากขอโต๊ะด้านนอกที่อยู่ใกล้ต้นหลิวใหญ่ริมแม่น้ำ ซึ่งมีบรรยากาศร่มรื่นเย็นสบาย เสียงน้ำไหลฟังแล้วช่วยให้จิตใจผ่อนคลายเสี่ยวเอ้อร์มีท่าทีกระอักกระอ่วน ครั้นกำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ ชายหนุ่มคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาเสียก่อน“ที่นั่งตรงนั้นข้าจองไว้แล้ว แต่หากแม่นางไม่รังเกียจ เช่นนั้นขอเชิญร่วมโต๊ะดื่มชากับข้าเถอะ”หวงฝู่ฮ่าวอวี่ เอ่ยเชื้อเชิญหญิงสาวด้วยท่าทางและน้ำเสียงสุภาพ เขาสะดุดตานางตั้งแต่เห็นนางก้าวลงจากรถม้า และเมื่อได้ยินว่านางอยากได้โต๊ะที่เขาจองไว้ จึงสบโอกาสเอ่ยปากเชื้อเชิญเพื่อผูกมิตรทันทีรวี่เยว่เอียงหน้าเล็กน้อยดูน่ารัก ดวง
บทที่ 22 /1 พี่ชาย“รวี่เยว่น้อย เจ้าจำข้าได้แล้วหรือยัง” สุ้มเสียงทุ้มต่ำติดแหบพร่าเล็กน้อยฟังแล้วเขย่าหัวใจ เอ่ยถามหญิงสาวที่ยืนเงียบงัน กะพริบตาปริบๆ อากัปกิริยาน่ารักน่าเอ็นดู พาให้หัวใจของเขารู้สึกคันยุบยิบอย่างแปลกประหลาด“องค์ไท่จื่อฮั่วเฮ่อฉีจริงๆ หรือเพคะ?” ในที่สุดรวี่เยว่ก็ยอมปริปาก เสียงไพเราะอ่อนหวานเอื้อนเอ่ยถามชายหนุ่ม แผ่วเบาราวเสียงกระซิบ ทว่าฮั่วเฮ่อฉีกลับได้ยินอย่างชัดเจน“ใช่ข้าเอง” จนถึงตอนนี้ฮั่วเฮ่อฉีก็ยังไม่หุบยิ้ม มือใหญ่กำลังจะเอื้อมไปหาหญิงสาว แต่กลับถูกเสียงของชายหนุ่มสูงศักดิ์อีกคนดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน“อะ แฮ่ม!” เขายังนั่งอยู่ตรงนี้นะ ไม่ใช่ท่อนไม้หรือสิงโตหิน ช่วยให้ความสนใจกันหน่อย! มือของฮั่วเฮ่อฉีชะงักค้าง หันไปหาชายหนุ่มที่มากับรวี่เยว่น้อยของเขาอย่างไม่พอใจนัก“ไม่ทราบว่าคุณชายท่านนี้ มากับรวี่เยว่น้อยของข้าหรือ” หากมาด้วยกันก็แล้วไป หากไม่ เขาจะได้พารวี่เยว่น้อยไปอื่น มีเรื่องราวมากมายที่เขาต้องเสวนากับนาง“…” รวี่เยว่ ข้าไปเป็นรวี่เยว่น้อยของท่านตั้งแต่ตอนไหนไม่ทราบ! หวงฝู่ฮ่าวอวี่คิ้วกระตุก บุรุษรูปงามราวปีศาจจิ้งจอกตรงหน้า ท่าทางยโสโอหังจน
บทที่ 22/2 พี่ชายเจ้าเปี๊ยกที่ว่าเดินกระดิกหางพริ้มตา ท่าทางน่ารักจนองครักษ์ที่มากันด้วยทำหน้าเคลิ้ม“งู้ยยย ท่านอี้หรงช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก”ขวับ! แฮร่!!! อี้หรงหันมาแยกเขี้ยวตวัดสายตาปรามใส่ทั้งคู่ปราดหนึ่ง ก่อนกระโดดขึ้นไปนั่งตัวกลมฟูนุ่มอยู่ข้างๆ เสี่ยวเฮยมาว จากนั้นจึงสื่อสารผ่านจิตเล่าเรื่องราวของผู้ที่เป็นหัวข้อสนทนาให้ฟัง ราวครึ่งชั่วยามต่อมารวี่เยว่จึงขอตัวกลับ หวงฝู่ฮ่าวอวี่เลยอาสาไปส่ง แต่มีหรือที่อีกคนจะยอม…“ข้าขอขอบคุณองค์ชายใหญ่แทนรวี่เยว่น้อยของข้าด้วย เรื่องนี้ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าพานางกลับไปส่งเอง เชิญท่านนั่งดื่มชาต่อให้สำราญใจเถิด ค่าน้ำชาในวันนี้ข้าขอเป็นฝ่ายเลี้ยงท่านเอง ถือเป็นคำขอบคุณจากข้า”“…” รวี่เยว่ อย่าบอกนะว่าองค์ไท่จื่อยังไม่เลิกล้มความคิด เรื่องที่จะพานางกลับไปปล่อยให้วิ่งเล่นที่ตำหนักน่ะ ขนาดว่าผ่านมาห้าหกปีแล้ว ยังไม่ลืมอีกหรือ! รวี่เยว่ขี้เกียจทะเลาะกับคนดื้อ หลังยอบกายให้หวงฝู่ฮ่าวอวี่ นางก็หยิบผ้าคาดปิดหน้ามาสวมดังเดิม ช้อนตัวเสี่ยวเฮยมาวขึ้นมาอุ้ม หมุนตัวกลับออกมาจากโรงน้ำชาตรงไปขึ้นรถม้าของตน ฮั่วเฮ่อฉีรีบช้อนตัวอี้หรงมาหนีบไว้และเร่งตาม
บทที่ 23 เจ้า…ไปกินข้าวกับข้านะฮั่วเฮ่อฉีรู้สึกหวานล้ำในอก เสียงแว่วหวานแผ่วเบาของนาง ยามเอ่ยเรียกเขาว่า พี่ชาย ฟังแล้วคันหัวใจยุบยิบเหมือนถูกลูกแมวน้อยตะกุยเล่น“อะไรนะ ข้าไม่ได้ยิน พูดใหม่อีกทีซิ” ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้ม โน้มมาหาร่างบางที่สูงเพียงระดับคางของเขาอย่างหยอกเย้ารวี่เยว่ชะงักค้างประสานสายตากับดวงตาสีฟ้าทรงเสน่ห์ชั่วอึดใจ ก่อนหมุนตัวหันหลังสูดหายใจลึกพร้อมเอ่ยปฏิเสธ“ไม่พูดซ้ำแล้วเพคะ พูดครั้งเดียวพอ”ร่างสูงลอบถอนหายใจ มนตรามายาจิ้งจอกยังคงใช้ไม่ได้กับนาง เป็นเพราะอะไรกัน?! ในเมื่อสะกดนางด้วยมนตราไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็จะสะกดนางด้วยความสามารถทั้งหมดที่มีแทนก็แล้วกัน! รวี่เยว่น้อยต้องเป็นของเขา!จากนั้นจึงเดินตามนางไปยังด้านหลังของหอโอสถ รวี่เยว่พาคนหน้ามึนไปนั่ง ณ ศาลาในสวน เขาเอ่ยถามว่านางเป็นเจ้าของหอโอสถแห่งนี้ใช่หรือไม่รวี่เยว่ไม่ได้คิดปิดบัง เพียงแต่ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม เรื่องนักปรุงโอสถที่มอบยาให้นางนำออกมาประมูลก่อนที่รวี่เยว่จะขอตัวไปจัดการธุระของหอโอสถ ฮั่วเฮ่อฉีเอ่ยถามว่าเขาขอนั่งเล่นอยู่ที่นี่ต่อจะได้หรือไม่ สัญญาว่าจะไม่เดินเพ่นพ่านหรือรบกวนนาง หญิงสาวพยักหน้ารับ
บทที่ 23/2 เจ้า…ไปกินข้าวกับข้านะหุ่นภูตหน้านิ่งอุ้มจวี๋จื่อก้าวมายืนรออยู่ข้างๆ ทำอี้หรงสะดุ้งโหยงเพราะมัวคุยอยู่กับเสี่ยวเฮยมาว ด้วยเพราะหุ่นภูตไม่ใช่มนุษย์ จึงไม่มีกลิ่นอายให้สัมผัสได้ก่อนปรากฏตัว“นี่ แม่คุณ! ทีหลังเวลามาถึงน่ะ ช่วยให้สุ้มให้เสียงกันหน่อย ข้าตกใจหมด! จู่ๆ ก็โผล่มาอย่างกับผีสาง!” อี้หรงหันไปแหวใส่สาวใช้หน้านิ่งเงียบสนิทไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมาจากหุ่นภูต“…” อี้หรง “นี่ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่นะ” รวี่เยว่แอบขำในใจเลยช่วยแก้ตัวว่านางเป็นใบ้แทน เอาเข้าจริงสัตว์อสูรระดับจักรพรรดิก็ปากจัดไม่แพ้มนุษย์เหมือนกันจากนั้นอี้หรงก็แวบหายไปจากหน้าศาลา ปรากฏกายอยู่บนท้องฟ้า แวบหายไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ฮั่วเฮ่อฉีถือโอกาสตอนที่รวี่เยว่กำลังเพลิดเพลินกับขนนุ่มฟูของอี้หรง โน้มใบหน้าลงมากระซิบถามข้างใบหูขาว“เดินทางแบบนี้สะดวกกว่ารถม้าตั้งเยอะ รวี่เยว่น้อยชอบหรือไม่ หากชอบข้าจะพาเจ้าออกมาเที่ยวทุกวันเลย” เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าเขย่าหัวใจ ทำร่างบางหน้าร้อนวาบ หลังจากใช้พลังเคลื่อนที่อยู่สามครั้ง พวกเขาก็มายืนอยู่ที่ชั้นบนสุดของหอสูงริมแม่น้ำ ถูกสร้างขึ้นอย่างวิจิตรตระการตา สามารถมองเห็
บทที่ 24/1 หวังเหลียงหอโอสถเยว่เสียงเป็นอาคารกว้างห้าคูหาสูงห้าชั้น ตั้งอยู่ในเขตย่านการค้าฝั่งทิศเหนือของเมืองเทียนหวง เดิมเคยเป็นโรงเตี๊ยมและภัตตาคารอยู่ติดกัน ทว่าเจ้าของเดิมล้มป่วยมิอาจดูแลกิจการได้จึงประกาศขาย รวี่เยว่จึงมอบเงินให้ชุนอิ่งซื้ออาคารทั้งหมดมา และปรับปรุงให้เป็นหอโอสถคราแรกก็มีเจ้าถิ่นที่เปิดร้านขายโอสถอยู่ก่อนแล้วมารังควานอยู่บ้าง ทว่าเมื่อทราบระดับตบะของหม่าลั่ว ที่เวลานี้อยู่ถึงหยวนอิงขั้นต้นแล้ว ก็ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องอีก อีกทั้งหอโอสถเยว่เสียงไม่ได้ขายโอสถหรือสมุนไพรธรรมดาเหมือนร้านทั่วๆ ไป จึงไม่ได้แย่งลูกค้ากับหอโอสถเจ้าถิ่นหากไม่ได้เปิดประมูล ก็จะขายขนมหวานเพิ่มพลังเหมือนกับที่ขายในร้านเฟิ่งหนี่ว์ที่เมืองเฉินเปี้ยนการประมูลในวันนี้จัดขึ้นช่วงกลางยามเว่ย (13:00-14:59) บนชั้นสาม ซึ่งทุบรวมกับชั้นสี่เพื่อให้มีพื้นกว้างขึ้น มีผู้ร่วมเข้าประมูลทั้งหมดสามสิบราย ล้วนเป็นคนสำคัญและผู้มีฐานะในเมืองหลวงทั้งสิ้นโอสถที่ถูกนำออกมาประมูลในวันนี้มีสิบชนิด แบ่งเป็นโอสถระดับสูงเจ็ดชนิด และโอสถทิพย์สามชนิดเมื่อถึงเวลาผู้ทำหน้าที่ดำเนินการประมูลอย่างหม่าลั่วก็ก้าวมายืนบน
บทที่ 24/2 หวังเหลียง“เพียงแต่มีบางอย่างที่ข้าสนใจใคร่รู้…และบังเอิญว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องราวในราชวงศ์ บางทีท่านเสนาธิการอาจให้คำชี้แนะกับข้าได้” ความเงียบงันจนน่าอึดอัดเข้าครอบงำบรรยากาศภายในห้อง ผ่านไปราวจิบชาในที่สุดหวังเหลียงก็ยอมเอ่ยปาก“นายท่านหม่าต้องการคำชี้แนะใดจากข้าหรือ”หม่าลั่วกระตุกยิ้มเมื่อได้เห็นท่าทีตอบสนองของหวังเหลียง“ท่านเคยได้ยินพิษที่ชื่อ เพลิงอสูรสดับปราณ หรือไม่ พอดีว่าท่านอาจารย์ของข้า จู่ๆก็เกิดสนใจพิษตัวนี้ขึ้นมา แต่ยังหาผู้ที่ปรุงพิษตัวนี้ไม่ได้”หวังเหลียงขมวดคิ้วจนเป็นปม ข้องใจว่าไยหม่าลั่วถึงมาถามเรื่องพิษเอากับตน หากถามเรื่องเกี่ยวกับอาวุธยุทโธปกรณ์ เขาสามารถให้คำชี้แนะนำได้ทันที แต่ว่าเรื่องพิษ… ช่างน่าแปลกเสียจริง“ขอบอกตามตรง ตัวข้าไม่มีความรู้เรื่องการปรุงโอสถหรือเรื่องเกี่ยวกับพิษจริงๆ ต้องขออภัยด้วย”หม่าลั่วมีท่าทีผิดหวัง แต่กระนั้นกลับยื่นข้อเสนอที่แสนดึงดูดใจให้อีกฝ่าย“ช่างน่าเสียดายจริงๆ ที่ข้าถามเพราะคิดว่าท่านน่าจะพอมีเส้นสายกับหมอหลวง หรือนักปรุงโอสถของราชวงศ์อยู่บ้าง เพราะอาจารย์ของข้าได้ยินมาว่า พิษชนิดนี้เคยนิยมใช้ในวังหลัง…หากท่านส
บทที่ 51/2 คนร้ายตัวจริง ถึงแม้ตัวเลี่ยวโร่เป้ยจะโดดเด่นเปี่ยมด้วยพรสวรรค์อย่างไร แต่กลับไม่มีสิทธิ์นั่งบัลลังก์ของอาณาจักรหวงซา ด้วยว่ามีมารดาเป็นสตรีจากอาณาจักรอู๋ซาง รวมถึงเรื่องที่นางเป็นเพียงบุตรีจากอนุ เมื่อเป็นเช่นนั้น เลี่ยวเจิงเวยจึงหารือกับสือเซิน วางแผนช่วยเขาพิชิตอาณาจักรอู๋ซาง หากทำสำเร็จเลี่ยวเจิงเวยสัญญาเป็นมั่นเหมาะว่า จะแต่งตั้งเลี่ยวโร่เป้ยขึ้นเป็นผู้ปกครองอาณาจักรอู๋ซางคนต่อไป ภายใต้ร่มเงาของอาณาจักรหวงซา เรื่องนี้วั่งเฉาหาได้รับรู้ เขาเข้าใจว่า หากหวงฝู่ฮ่าวอวี่ได้นั่งบัลลังก์ต่อจากพระบิดา สำนักกระบี่สวรรค์จะสนับสนุนวั่งเตี้ยนเถียน ให้ได้รับตำแหน่งฮองเฮาอย่างเต็มที่…ทั้งที่ความจริงตนเป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งของสือเซิน …อาณาจักรหวงซาซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของมหาพิภพทงเทียนเหอ มีสายแร่หลายชนิดเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของอาณาจักร ทว่าพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย และเต็มไปด้วยภูเขาหินจึงขาดแคลนพื้นทำการเกษตร หลายร้อยปีมานี้มักเข้าโจมตีเมืองติดชายแดนของอาณาจักรอู๋ซางอยู่เนืองๆ จุดประสงค์เพื่อแย่งชิงดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ในเขตนั้นมาเป็นของตน เพิ่งจะมีการทำสัญญาสงบศึกไปเม
บทที่ 51/1 คนร้ายตัวจริง จวนอัครมหาเสนาบดี ภายในโถงรับรองของเรือนส่วนตัว วั่งเฉาเข่าทรุดกระอักเลือด รับแรงกดดันหนักหน่วงจากบุรุษในชุดผ้าไหมสีเงินที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ภายในใจอัดแน่นไปด้วยความหวาดหวั่นค่อนไปทางหวาดกลัว หวนรำลึกถึงเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อน ในวันที่บุรุษผู้นี้เดินทางมาหาเขา พร้อมยื่นข้อเสนออันแสนหอมหวานยั่วยวนเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน สิ่งที่เขาต้องลงมือทำคือการกำจัดเด็กหญิงซึ่งมีชะตาหงส์ตามคำทำนายของหอพยากรณ์ในปีนั้น เด็กผู้หญิงอายุห้าหนาว ที่เกิดกลางฤดูวสันต์หลายคนถูกกำจัด ไม่ก็ถูกทำให้ไร้ซึ่งพลังธาตุ หากแต่คาดไม่ถึงว่า หนึ่งในนั้นจะรอดพ้นการคุกคามทั้งหมดทั้งมวลมาได้! กระทั่งเติบใหญ่ขึ้นมาและกลายเป็นธิดาเทพแห่งตำหนักเทวาอนธการผู้สูงส่ง แม้แต่พยัคฆ์อนธการยังยอมรับนางเป็นคู่พันธะ! “อาจารย์ หากวั่งเฉาตายจะมีคนสงสัยได้นะขอรับ โปรดยั้งมือด้วยเถิด” เสียงทุ้มของชายหนุ่มรูปงามที่นั่งกอดกระบี่อยู่บนเก้าอี้ดังขึ้น แรงกดดันหายไปตามคำขอ วั่งเฉาหอบหายใจรีบโกยอากาศเข้าปอดหนักหน่วง นึกว่าตนจะแดดิ้นด้วยมือบุรุษตรงหน้าเสียแล้ว เพียงแค่แรงกดดันยังทำเขากระอักเลือดไปหลายคำจนแทบสิ้นสติ
บทที่ 50/2 ความหวาดหวั่นและยำเกรง บัดนี้ เด็กคนนั้นกลายเป็นธิดาเทพแห่งตำหนักเทวาอนธการอันยิ่งใหญ่ สูงส่งห่างไกลจนมิอาจเอื้อมถึง เขาเคยปรามาสนางว่าเป็นเพียงแค่ขยะไร้ประโยชน์ ทั้งที่ความจริงนางคืออัจฉริยะ จะมีสักกี่คนบนมหาพิภพทงเทียนเหอ ที่สามารถบรรลุระดับหยวนอิงตั้งแต่อายุสิบห้า!… เขาและมารดาทำลายวาสนาอันยิ่งใหญ่ที่สมควรเป็นของตนลงกับมือ! ช่างน่าแค้นใจนัก… แต่หากว่าเขาทวงสิทธิ์ความเป็นบิดาของนาง กลับคืนมาต่อหน้าธารกำนัลในเวลานี้ ไม่แน่ว่าครั้งนี้อาจได้ผล! ด้วยเพราะฮ่องเต้ทรง ให้ความสำคัญเรื่องความกตัญญู ต่อบุพการีและผู้มีพระคุณเป็นอย่างยิ่ง หวังเหลียงหยัดกายลุกขึ้นก้าวออกมาที่ขอบกั้นอัฒจันทร์ กำลังจะอ้าปากเปล่งเสียงเรียกชื่อบุตรี ทว่ากลับถูกพลังลึกลับอันแข็งแกร่ง กระแทกเข้าที่ลำคอจนจุกแน่นก่อนกระอักเลือดออกมา ครั้นเหลือบมองขึ้นไปด้านบน สายตาพลันประสบเข้ากับดวงตาสีเขียวมรกต ทรงอำนาจดุดันของพยัคฆ์อนธการ พร้อมถ้อยคำส่งผ่านพลังปราณดังกึกก้องในโสตประสาท “หากไม่อยากสลายเป็นจุณ ก็เลิกคิดตอแยกับรวี่เยว่ซะ เพราะข้าหาใช่ผู้มีจิตใจเมตตา จำใส่กระโหลกหนาๆ ของเจ้าเอาไว้ให้ดี!” ร่างอรช
บทที่ 50/1 ความหวาดหวั่นและยำเกรง สุ้มเสียงแว่วหวาน เอื้อนเอ่ยแสดงความเคารพฮ่องเต้ของแคว้นอู๋ซางอย่างนอบน้อม วรกายสูงสง่าของโอรสสวรรค์ หยัดขึ้นจากเก้าอี้ประธาน ก้าวมาหาหญิงสาวด้วยรอยยิ้มประดับมุมปากบางเบา “ธิดาเทพ ยินดีที่ได้พบ” เขากล่าวรับคำทักทายของนาง ก่อนเอ่ยวาจาต่อจากนั้น “คล้ายมาก ช่างคล้ายมากจริงๆ ต้าอ๋อง ท่านเองก็คิดเหมือนข้าใช่หรือไม่” ฮ่องเต้หวงฝู่ฮุ่ยหมิ่นหันไปถามลูกพี่ลูกน้องของตน ผู้เป็นอ๋องปกครองแดนทักษิณ ต้าอ๋องหรือ หวงฝู่เจิ้งหยาง บุตรชายของต้าอ๋องผู้เฒ่าผู้ล่วงลับ ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระปิตุลาของหวงฝู่ฮุ่ยหมิ่น “คล้ายอาลี่มากพะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมเห็นด้วยกับพระองค์” ต้าอ๋องลุกขึ้นจากที่นั่งก้าวมาสมทบกับฮ่องเต้ “ธิดาเทพ ข้าคงต้องขอละลาบละล้วงถามท่านซักคำถาม ไม่ทราบว่าพอจะบอกข้าได้ไหมว่า มารดาของท่านมีนามว่าอะไรหรือ” ต้าอ๋องเอ่ยถามสิ่งที่ต้องการทราบ ด้วยน้ำเสียงสุภาพและอ่อนโยน “เรียนต้าอ๋อง มารดาของหม่อมฉันมีนามว่า เยว่หนิงลี่เพคะ” คำตอบของนางสร้างความตื่นตะลึงอีกครั้งให้ใครหลายๆคนในสนามประลอง บุตรีรองแม่ทัพเยว่หนิงลี่! นั่นก็หมายความว่า หญิงสาวตรงหน้าคือเด
บทที่ 49/2 วันเปิดงาน ฮั่วเฮ่อฉีเองช่วงนี้ก็มัวแต่วุ่นวายอยู่กับพี่น้อง และศิษย์จากตำหนักเทพอนันต์ จนแทบไม่มีเวลาปลีกตัวมาพบรวี่เยว่ ชายหนุ่มถูกผู้อาวุโสขอให้ช่วยหลอมยา ให้บรรดาน้องๆ และศิษย์ตัวแทน จนตัวเขาแทบหมดเรี่ยวแรงทุกวี่วัน อี้หรงได้แต่มองคู่พันธะอย่างเห็นใจ ‘ใครใช้ให้ท่านอยากเป็นนักปรุงโอสถระดับเก้า ตั้งแต่อายุเท่านี้กันล่ะ ก้มหน้ารับชะตากรรมไปเถอะ ข้าเอาใจช่วย‘ สรุปว่าการเอาใจช่วยของอี้หรง ซึ่งหากฟังดีๆ จะคล้ายว่ากำลังสมน้ำหน้าเขา ทำให้มันโดนฮั่วเฮ่อฉีกัดหูไปหนึ่งทีจนน้ำตาร่วง… จากฤดคิมหันต์ย่างเข้าต้นฤดูสารท อากาศที่เคยร้อนอบอ้าวผันเปลี่ยนเป็นเย็นสดชื่นอีกครั้ง เวลาแห่งการประลองอันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรอู๋ซางได้เริ่มต้นขึ้น ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางเข้าเมืองเทียนหวงเพื่อร่วมแข่งขัน หรือร่วมเป็นสักขีพยานในศึกของนักพรตรุ่นเยาว์ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่อึดใจ สนามประลองหลักที่ใช้ทำพิธีเปิดนี้ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองหลวง สามารถจุผู้ชมได้มากถึงสองหมื่นคน ท้องฟ้าสีครามสดใสไร้เมฆบัง สายลมเย็นพัดเข้ามาเบาๆ ราวกับดนตรีที่เล่นโดยธรรมชาติ ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง
บทที่ 49/1 วันเปิดงานประลอง สิบห้าวันต่อมา ตัวแทนจากตำหนักเทวาอนธการได้เดินมาถึง โดยมีผู้อาวุโสหนึ่งและสอง นำศิษย์มากฝีมือซึ่งมีอายุไม่เกินสิบแปด จำนวนทั้งหมดหกคนที่จะเข้าร่วมการประลอง เดินทางมาด้วยตนเอง ส่วนองค์ไท่จื่ออย่างองค์ชายใหญ่ และองค์หญิงรองมิได้เข้าร่วมการประลองในครั้งนี้ เพียงแค่มาร่วมชมความสนุกเฉยๆ ฮ่องเต้ทราบข่าวจากชินอ๋องอวี้เหวินเทียนหยา จึงมอบตำหนักรับรองริมทะเลสาบให้เป็นที่พักสำหรับคนจากตำหนักเทวาอนธการ ส่วนคนจากตำหนักเทพอนันต์ มีตำหนักใกล้ภูเขาทางทิศเหนือเป็นที่พักประจำอยู่แล้ว อวี้เหวินเทียนหยาและรวี่เยว่ไปรอรับพวกเขาอยู่ที่นั่นตั้งแต่ช่วงสาย ครั้นพอได้เวลามวลอากาศบนท้องฟ้าเหนือตำหนักก็แยกออกเป็นช่องกว้างขนาดใหญ่ คณะเดินทางทั้งหมดจากตำหนักเทวาอนธการก็ทยอยกันออกมา ทันทีที่อวี้เหวินอิงเอ๋อร์เห็นหน้ารวี่เยว่ นางก็ขี่กระบี่พุ่งตรงมาหา ใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราจดจ้องธิดาเทพผู้เป็นสหายรักด้วยแววตาน้อยอกน้อยใจ “รวี่เยว่ คนใจร้าย ท่านทิ้งข้าไว้คนเดียวตั้งหลายเดือน ข้าเหงามากเลยรู้ไหม ฮึก ไม่มีใครเล่นสนุกกับข้าเลย ทุกคนเอาแต่เก็บตัวฝึกวิชา…ท่านสัญญาได้หรือไม่ว่าต่อไป
บทที่ 48/2 ความเปลี่ยนแปลง ในที่สุดก็ครบกำหนดจ่ายหนี้ที่ค้างไว้ ทั้งหวังเหลียงและฮูหยินผู้เฒ่าต่างอ้อนวอนหญิงสาว ขอให้นางเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก ยอมให้พวกเขาอาศัยอยู่ที่จวนหลังนี้ต่อไป เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็คือครอบครัวของนาง รวี่เยว่หัวเราะเย้ยหยัน ก่อนกล่าววาจาตอบโต้จนคนฟังหน้าชา “ฮ่าๆๆ ให้ข้าเห็นกับความเป็นพ่อลูกอย่างนั้นรึ! ช่างพูดออกมาได้ไม่อายปาก หากไม่ตกที่นั่งลำบากคงยังมองว่าข้าเป็นเพียงขยะไร้ประโยชน์อยู่สิท่า หึ! หน้าหนาไร้ยางอาย ข้าหาใช่บุตรหลานของพวกท่านนานแล้ว จำมิได้รึ?! เสมียนหวัง ท่านยังจำได้หรือไม่ หลังจากท่านส่งหนังสือตัดขาดไปให้ข้าเมื่อหกปีก่อน ท่านก็หยุดส่งเสียข้า ไม่สนใจว่าข้าจะมีที่ซุกหัวนอนหรือมีข้าวกิน โชคดีที่เจ้าของบ้านเช่าหลังนั้นเวทนาข้า แม่นมชุน และพี่ชุนอิ่ง ถึงได้ยอมให้พวกข้าอยู่โดยไม่เก็บเงินค่าเช่าเป็นเวลาสามเดือน! ไฉนตอนนั้นพวกท่านถึงไม่คิดว่าข้าเป็นคนในครอบครัวบ้างเล่า ทั้งๆ ที่เสวยสุขอยู่บนทรัพย์สินของมารดาข้าแท้ๆ! ข้าให้เวลาพวกท่านเก็บของหนึ่งวัน พรุ่งนี้เช้ายามเฉิน (07:00-08:59) พวกท่านทุกคนต้องย้ายออกไปจากที่นี่! หากไม่ยอมไปข้าจะไปแจ้งทาง
บทที่ 48/1 ความเปลี่ยนแปลง หวังเหลียงกระดกจอกสุราเข้าปากจนหมด ก่อนหันมามองมารดาด้วยสายตาว่างเปล่า “ท่านแม่จะถามข้าทำไมขอรับ ในเมื่อท่านบอกเองว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งสิ้น” “อาเหลียง นี่มันใช่เวลาที่เจ้าจะมาประชดประชันข้าไหม ลองตรองดูให้ดี บางทีเรื่องนี้อาจเชื่อมโยงกัน เริ่มจากการที่เจ้ามาถามข้าเรื่องพิษ ต่อมาลุงของเจ้าก็หายตัว จากนั้นพลังของเจ้าก็…เฮ้อออ “ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจยาวในท้ายประโยคและเริ่มกล่าวต่อ “เจ้าไม่คิดว่ามันน่าแปลกหรอกรึ แต่ที่ข้ามาถามเจ้า เป็นเพราะวันนี้ทั้งเสียนเอ๋อร์และเหยียนเอ๋อร์ จู่ๆ ก็ไข้ขึ้นสูงอย่างไม่มีสาเหตุ หมอกี่คนมาตรวจต่างบอกว่าเป็นไข้ไม่ได้ถูกพิษ อาการเหมือนกับเจ้าก่อนหน้านี้ไม่มีผิด” คำพูดของหญิงชรามีความเป็นไปได้อยู่หลายส่วน หากนำมาเชื่อมโยงกันให้ดีๆ ก็จะเห็นจุดที่น่าสงสัย ทว่าในเอกสารที่เขาเคยอ่านผ่านตา ระบุไว้ชัดเจนเรื่องพิษเพลิงอสูรสดับปราณ ว่าจะออกฤทธิ์ได้ดีกับเด็กเล็กเท่านั้น ทั้งไม่เคยปรากฏในบันทึกไว้ว่าพิษนี้มีผลกับผู้ใหญ่ แต่หากตัวเขาถูกพิษชนิดนี้จริง นั่นก็หมายความว่า ต้องมีนักปรุงโอสถระดับสูง ที่สามารถปรุงพิษเพลิงอสูร
บทที่ 47/2 สองตำหนักเปิดใจ ครั้งนี้ฮั่วเฮ่อฉีดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ หากองค์ราชาอวี้เหวินเทียนเหิงมีความสามารถพิเศษนี้จริง นั่นก็หมายความว่ารวี่เยว่คือองค์หญิงของตำหนักเทวาอนธการ และอวี้เหวินเทียนหยาก็คือพระปิตุลาของนาง! มิน่าเล่าเขาถึงกล่าวว่า สวรรค์เล่นตลกกับเขา! รอยยิ้มงดงามเจิดจ้าราวแสงตะวันยามเช้า ที่ส่งไปถึงดวงตาของฮั่วเฮ่อฉีผุดพรายเต็มดวงหน้า มือใหญ่ยกมากุมต้นแขนทั้งสองข้างของอวี้เหวินเทียนหยาพร้อมเขย่าเบาๆ “หลานเขยคงต้องขอฝากตัวกับท่านแล้ว พระปิตุลาของรวี่เยว่” เขาลอยหน้าลอยตาเอ่ยวาจาฝากฝังตัวเองกับอีกฝ่ายแบบเนียนๆ อวี้เหวินเทียนหยาคิ้วกระตุก ก้าวถอยหลังให้หลุดจากการเกาะกุมของฮั่วเฮ่อฉี ก่อนเอ่ยวาจาน้ำเสียงเนิบนาบระคนหมั่นไส้อย่างอดไม่อยู่ “หึ! อย่าเพิ่งหลงระเริงนัก ข้ายังไม่ได้บอกว่าท่านผ่านการทดสอบแล้วเสียหน่อย เรื่องนี้คงต้องดูกันอีกนาน และที่สำคัญเสด็จพี่ของข้าฝากมาบอกท่านว่า” “ธิดาของข้าจะเป็นเพียงภรรยาคนเดียวในชีวิตของสามีนาง หากบุรุษผู้นั้นทำไม่ได้ ก็ไสหัวไปไกลๆ เพราะข้าจะไม่มีวันยกนางให้เด็ดขาด!” อวี้เหวินเทียนหยาถ่ายทอดวาจาของ