“อะไรกัน เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าถอนพิษให้ข้าหมดแล้ว”“ท่านมีเรี่ยวแรงขนาดนี้ พิษคงถูกขับออกไปหมดสิ้นแล้ว” นางขึงตาใส่ทั้งที่แก้มเนียนแดงเรื่อ“เรายังมีเวลาถึงเช้า รั่วเอ๋อร์ ขับพิษอีกเถิดนะ” เขาอ้อนวอนแล้วขบเม้มติ่งหูนางเบาๆ“ข้าไม่ทำแล้ว! ท่านไปให้หญิงอื่นขับพิษให้เถอะ!”“ถ้าไม่ใช่เจ้า ข้าก็ไม่ทำเรื่องเช่นนี้กับหญิงใด” เขาเงยหน้าสบตานางพูดด้วยความจริงจัง “ชีวิตข้ากู้ตงหยาง ขอมีเพียงจ้าวจื่อรั่วเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”“ท่าน...”“ข้าสาบาน...”“ไม่ต้องสาบาน” นางรีบห้ามเขาไว้ “ข้าเชื่อใจท่าน”เขายิ้มดีใจแล้วจุมพิตหน้าผากภรรยาสาว “ทำไมเจ้าเชื่อใจข้า”“ซูเม่ยบอกว่า บุรุษไม่ได้ปลดปล่อยมานานครั้งแรกจะเสร็จเร็ว เมื่อครู่...ครั้งแรกของท่านก็เร็วนะ”“หือ? พูดเช่นนี้เห็นทีต้องพิสูจน์อีกรอบ เจ้าจะได้รู้ว่าข้าเสร็จเร็วหรือไม่”“พอแล้ว! ข้าเหนื่อย!”“ไม่เป็นไร ครั้งนี้ข้าจะปรนนิบัติเจ้าเอง”เสียงหวานครางกระเส่าดังขึ้นอีกครั้ง ในห้องที่มีเพียงแสงเทียนสลัวจวบจนเทียนเล่มน้อยหลอมละลายไปพร้อมคนทั้งสอง การเคลื่อนไหวในห้องจึงหยุดลง แต่เส้นทางของหัวใจสองดวงราวกับเพิ่งเริ่มต้นขึ้น ทว่าครั้งนี้เ
วันเวลาผันผ่าน หลิงหยุนอายุครบหนึ่งขวบปี กู้ตงหยางก็พาลูกชายและจ้าวจื่อรั่วเดินทางเข้าเมืองหลวงตามคำบัญชาของฮ่องเต้ ทั้งสามและผู้ติดตามเดินทางอย่างไม่รีบเร่งคล้ายท่องเที่ยวไปในพร้อมกัน กว่าจะมาถึงเมืองหลวงจึงใช้เวลาหนึ่งเดือน “ท่านพี่มีเรื่องในใจหรือเจ้าคะ” จ้าวจื่อรั่วถามหลังจากลูกชายหลับไปแล้ว “ข้าห่วงเพียงเจ้ากับลูกเท่านั้น” เขายื่นมือไปลูบแก้มนวลของภรรยาสาว “ท่านพี่คิดว่าฮ่องเต้ต้องการสิ่งใด” กู้ตงหยางถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนยิ้มออกมา“อย่างมากก็แค่ขอกำลังทหารคืน ข้าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่เจ้าเล่าหากข้าไม่ได้เป็นแม่ทัพแล้ว เจ้าจะทำเช่นไร” “ข้าจะทำอะไรได้นอกจากเป็นภรรยาท่าน” นางหัวเราะเสียงใสไม่ได้หวาดกลัวสิ่งที่เขากังวล “ดีเสียอีก ท่านพี่เลี้ยงหลิงหยุนส่วนข้าจะเป็นหมอหญิงหาเงินเลี้ยงครอบครัวเอง” “ได้ เช่นนั้นชีวิตข้าต้องฝากในมือน้องหญิงแล้ว” ทั้งสองหัวเราะให้กัน ไม่หวั่นใจกับสิ่งที่กำลังเผชิญ จ้าวจื่อรั่วคว้าของสามีมาเกาะกุมไว้ ทั้งครอบครัวเดินทางเข้าเมืองหลวงพักที่คฤหาสน์หลังงามที่กู้ตงหยางซื้อไว้
หลิงหยุนในวัยสามขวบ แม้สวมเสื้อผ้าฝ้ายแต่การตัดเย็บแสนประณีต ดวงตากลมโตกะพริบตาอย่างงุนงงก่อนยื่นมือไปข้างหน้าแล้วส่งเสียงร้อง “แม่...ท่านแม่” ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าอ่อนหวานกระตุกยิ้มด้วยสีหน้าพิกล ท่ามกลางเสียงกลั้นหัวเราะของคนรอบข้าง “หยุนเอ๋อร์ แม่อยู่ทางนี้” จ้าวจื่อรั่วหัวเราะเบาๆ แล้วตบมือส่งเสียงเรียกลูกชายตัวน้อย เด็กน้อยเอียงคอมองไปทางเสียงที่คุ้นเคยก่อนวิ่งถลาไปทางมารดา ยังไม่ทันที่จะโผเข้ากอด มือใหญ่ก็คว้าคอเสื้อไว้ได้ทันแล้วหิ้วจนหลิงหยุนตัวลอยขึ้นจากพื้น “หยุนเอ๋อร์จะพุ่งใส่ท่านแม่แบบนั้นไม่ได้” กู้ตงหยางดุลูกชายเบาๆ แต่ดูเหมือนเด็กน้อยไม่เข้าใจนัก กลับหัวเราะชอบใจที่ตัวเองถูกหิ้วจนเท้าลอยเหนือพื้นดินเช่นนี้ ช่างเป็นเด็กที่หัวเราะง่ายเสียจริง หากไม่เพราะใบหน้าน้อยๆ นี้มีเค้าโครงละม้ายคล้ายใบหน้าของผู้เป็นพ่อ ผู้อื่นคงไม่เชื่อว่าเด็กน้อยที่แสนร่าเริงเป็นบุตรชายของแม่ทัพปีศาจ ที่ใบหน้ามักเย็นชาอยู่เสมอ“ในท้องของท่านแม่เจ้า มีน้องของเจ้าอยู่นะ ต้องระวังให้มากๆ”“น้อง...” เด็กน้อยพูดเลียนแบบบิดา เด็กในวัยนี้พูดได้เพียงคำ
จ้าวเฟยฉีมองน้องเล็กส่ายหน้าไปมาแล้ว เขาเดินตรงไปหาพี่สาว ถอนหายใจบางเบาคราวหนึ่งก่อนเอ่ยออกมา“ตอนที่ข้ายังเด็กและก่อนที่ท่านแม่จะจากไป ท่านแม่พูดเสมอว่าให้ข้าเข้มแข็งคอยดูแลพี่ใหญ่ให้ดี แม้ในวันหน้าพี่ใหญ่ออกเรือนแล้วหากมีเรื่องใดก็ให้ช่วยเหลือ อย่าให้พี่ใหญ่ต้องโดดเดี่ยว”จ้าวจื่อรั่วนิ่งงันไป นางไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน“ท่านแม่พูดเช่นนั้นรึ”จ้าวเฟยหลิงยันกายขึ้นยืนได้ก็พูดขึ้น“ใช่ขอรับ ถึงตอนนั้นข้าจะยังเด็กมากๆ แต่ก็จำได้ว่าท่านแม่พูดเช่นนั้น ท่านแม่เป็นห่วงพี่ใหญ่ กลัวว่าหลังแต่งงานแล้วเข้าบ้านผู้อื่นจะถูกรังแก แต่เห็นท่านแม่ทัพ เอ๊ย! พี่เขยรักใคร่พี่ใหญ่เช่นนี้ พวกเราก็สบายใจและไม่ผิดต่อคำสั่งเสียของท่านแม่แล้ว”หญิงสาวได้ยินดังนั้นก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา ที่ผ่านมานางเพียงจดจำคำสั่งสอนและคำสั่งเสียสุดท้ายให้ดูแลน้องชายทั้งสองให้ดี จ้าวเฟยฉีเก่งบุ๋นนิสัยสงบเยือกเย็นในขณะที่จ้าวเฟยหลิงเก่งบู๊ใจร้อนพร้อมปะทะ แต่นางไม่เคยรู้เลยว่าที่ผ่านมามารดาก็สั่งเสียให้น้องชายทั้งสองดูแลนาง คงเกรงว่านางจะมีชะตากรรมเช่นมารดาที่ถูกข่มเหงในบ้านผู้อื่น“อย่าร้องไห้” กู้ตงหยางเอ่ยเสียงทุ
ใครจะคาดคิดชีวิตที่สงบสุขมานานผลันเกิดเรื่องพลิกผันพายุฝนกระหน่ำลงอย่างหนัก แสงแปลบปลาบทำให้กลางคืนสว่างวาบขึ้นมาและทำให้ชายหนุ่มมองเห็นใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาเงยหน้าขึ้นมองเขาพอดี ดวงตาเย็นชาจ้องมองอย่างไร้ความรู้สึก ทว่ายังกวาดตามองไปเห็นที่ข้อเท้าของนางถูกบ่วงดักสัตว์ป่ารัดเท้าไว้แน่นหนา แม้ตัวนางจะเปื้อนเปรอะไปด้วยโคลนแต่น้ำฝนที่กระหนำลงมาก็เผยใบหน้าขาวซีดและริมฝีปากที่สั่นระริก “ท่านผู้บัญชาการ” นายทหารคนหนึ่งเอ่ยขึ้นแข่งกับเสียงฝนที่ยังกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตา “จับผู้หลบหนีได้แล้วขอรับ” ซย่าเจียวซิ่ง เพียงพยักหน้ารับการรายงานแล้วตัดสินใจลงจากหลังม้า เดินตรงไปยังพุ่มไม้ด้านข้างที่มีร่างหญิงสาวคนนั้นซ่อนตัวอยู่ จ้าวจื่อรั่วเห็นชายผู้นั้นชักมีดสั้นออกมาก็ขดตัวห่อไหล่ด้วยความกลัว หรือว่านี่จะเป็นจุดจบชีวิตของนางแล้ว ไม่ได้นางต้องมีชีวิตกลับไปพบหน้าลูกและน้องชายรวมทั้งสามีของนาง นางหาทางหลบหนีพยายามไปให้ถึงค่ายทหาร ไม่น่าเลยนางไม่น่าประมาทถึงเพียงนี้อาจเพราะอยู่อย่างสงบสุขเกินไปทำไม่ระวังภัย ด้วยความต้องการแบ่งเบาภาระกู้ตงหยาง ทางชายแดนมีชาวบ้านอพยพเ
กู้ตงหยางยืนตระหง่านท่ามกลางเหล่าทหารและบ่าวไพร่ในจวน ยกเว้นเสี่ยวฉู่ที่ตั้งครรภ์อ่อนๆ โดยมีอ้ายเสิ่นประคองภรรยาอยู่ไม่ห่าง แม้ทั้งสองอยากคุกเข่าแต่แม่ทัพกู้ยกมือห้ามไว้ก่อนแม่ทัพหนุ่มแหงนหน้ามองฟ้า เหตุใดโชคชะตาเล่นตลกถึงเพียงนี้ เขาทำเมียหายอีกครั้งและนางกำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง ทั้งที่เคยสัญญากันไว้แล้ว หากนางตั้งครรภ์อีกครั้ง คราวนี้เขาจะอยู่เคียงข้างนางไม่ปล่อยให้นางตกระกำลำบากอีก แต่...มันก็เกิดขึ้นอีก “ลุกขึ้น” กู้ตงหยางสั่งแต่ยังไม่มีผู้ใดกล้าลุกขึ้นยืน เขาขบฟันจนเป็นสันนูนก่อนตวาดออกมา “พวกเจ้าว่างนักหรือไง ไม่คิดจะตามหาฮูหยินของข้าเรอะ!” ได้ยินดังนั้นทุกขึ้นจึงลุกขึ้นยืนพร้อมเพรียงกัน แววตาทุกคนมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยฮูหยินผู้มีจิตใจประเสริฐกลับมา “พวกเจ้าไปเตรียมตัวไว้ให้พร้อม รอข้าวางแผนแล้วจะเร่งออกเดินทาง” กู้ตงหยางสั่ง “เรื่องนี้ต้องให้เงียบที่สุด รู้เพียงแค่ว่าฮูหยินเก็บตัวอยู่ในจวนไม่พบผู้ใด” “รับทราบ!” แม่ทัพหนุ่มปรายตามองสาวใช้คนสนิทของจ้าวจื่อรั่วแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ “เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิด ให้อ้ายเสิ่น
แสงที่กระทบเปลือกตาทำให้หญิงสาวรู้สึกตัว ดวงตางดงามค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วเมื่อตั้งสติตื่นเต็มตาจึงรู้ว่าตัวเองหลับในเรือนหลังหนึ่ง นางยันกายขึ้นนั่งด้วยความอ่อนเพลีย อยู่บนรถม้ามาสองวันสองคืน หยุดพักแค่ให้เธอปลดทุกข์และเปลี่ยนม้า จ้าวจื่อรั่วไม่รู้ว่าตัวเองมาที่ใด แม้จะหลับๆตื่นๆมาตลอดทางจนกระทั่งรถม้าหยุดนิ่งและชายผู้นั้นยื่นหน้าเข้ามาในรถม้า หญิงสาวจำได้ว่าตัวเองกระถดกายถอยหนี ชายผู้นั้นกระชากข้อเท้านางไว้ หญิงสาวกลัวว่าจะกระทบเทือนถึงลูกในท้องจึงไม่กล้าขัดขืน เขาใช้เสื้อคลุมห่อตัวนางก่อนอุ้มลงมาแล้วก้าวเดินอย่างมั่นคงเข้ามาในเรือนหลังนี้ ด้วยความอ่อนเพลีย นางหลับไปบนเตียงอ่อนนุ่มที่ไม่ได้สัมผัสมานาน และความอบอุ่นจากเตาไฟในห้องทำให้หลับสบายจนตื่นสายเช่นนี้ “แม่นาง...ท่านตื่นแล้วรึ” หญิงสาวหันไปตามเสียงที่ได้ยิน ผู้ที่เข้ามาเป็นเด็กสาววัยสิบห้าใบหน้ากลมแลดูน่ารักน่าเอ็นดู เสียดายที่แววตาคู่นั้นดูหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา “อืม” นางตอบรับเบาๆ “นี่คงเที่ยงแล้วกระมัง” เด็กสาวพยักหน้ารับแล้วหมุนตัวเดินออกไป ไม่กี่อึดใจก็
นางเป็นฮูหยินที่ถูกต้อง แต่เขากลับเฉยชาใส่ มีเพียงบนเตียงเท่านั้นที่เขาเร่าร้อนจนนางแทบมอดไหม้แนะนำตัวละคร จ้าวจื่อรั่ว : อายุสิบหกปี ลูกอนุของเสนาบดีสกุลจ้าวถูกสับเปลี่ยนตัวมาเป็นเจ้าสาวมาแต่งงานกับแม่ทัพที่ชายแดนกู้ตงหยาง : อายุยี่สิบสี่ปี ฉายาแม่ทัพปีศาจจ้าวเฟยฉี จ้าวเฟยหลิง : น้องชายร่วมมารดาของจ้าวจื่อรั่วเฉียวฉู่ : บุตรสาวของเฉียวโจว เจ้าเมืองต้าเหลียงสับเปลี่ยนเจ้าสาว จ้าวจื่อรั่วนั่งอยู่ในห้องหอเพียงลำพัง เจ้าบ่าวไม่ได้มาเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว หลังเสร็จสิ้นพิธีต่างๆ เขาก็หายไป แรกทีเดียวนางเข้าใจว่าเขาคงไปดื่มสุรากับเหล่าทหารของเขา ทว่านางนั่งรอจนฟ้าใกล้สางแล้วจึงมั่นใจว่าเขาไม่กลับเข้ามาอย่างแน่นอน ช่างเถิด จะว่าเขาก็ไม่ได้ ฮ่องเต้มีราชโองการให้หญิงสาวสกุลจ้าวแต่งงานกับแม่ทัพแดนใต้นามกู้ตงหยาง เดิมทีคนที่ต้องแต่งงานควรเป็นบุตรสาวจากภรรยาเอก แต่ชื่อเสียงของแม่ทัพแดนใต้ที่แสนเหี้ยมโหดและต้องเดินทางมาใช้ชีวิตชายแดนอันแสนห่างไกล ฮูหยินใหญ่ไม่สามารถตัดใจยกลูกสาวแสนรักให้ออกเรือนได้ บิดาผู้เป็นเสนาบดีก็เห็นดีเห็นชอบกับความคิดของฮูหยิน
แสงที่กระทบเปลือกตาทำให้หญิงสาวรู้สึกตัว ดวงตางดงามค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วเมื่อตั้งสติตื่นเต็มตาจึงรู้ว่าตัวเองหลับในเรือนหลังหนึ่ง นางยันกายขึ้นนั่งด้วยความอ่อนเพลีย อยู่บนรถม้ามาสองวันสองคืน หยุดพักแค่ให้เธอปลดทุกข์และเปลี่ยนม้า จ้าวจื่อรั่วไม่รู้ว่าตัวเองมาที่ใด แม้จะหลับๆตื่นๆมาตลอดทางจนกระทั่งรถม้าหยุดนิ่งและชายผู้นั้นยื่นหน้าเข้ามาในรถม้า หญิงสาวจำได้ว่าตัวเองกระถดกายถอยหนี ชายผู้นั้นกระชากข้อเท้านางไว้ หญิงสาวกลัวว่าจะกระทบเทือนถึงลูกในท้องจึงไม่กล้าขัดขืน เขาใช้เสื้อคลุมห่อตัวนางก่อนอุ้มลงมาแล้วก้าวเดินอย่างมั่นคงเข้ามาในเรือนหลังนี้ ด้วยความอ่อนเพลีย นางหลับไปบนเตียงอ่อนนุ่มที่ไม่ได้สัมผัสมานาน และความอบอุ่นจากเตาไฟในห้องทำให้หลับสบายจนตื่นสายเช่นนี้ “แม่นาง...ท่านตื่นแล้วรึ” หญิงสาวหันไปตามเสียงที่ได้ยิน ผู้ที่เข้ามาเป็นเด็กสาววัยสิบห้าใบหน้ากลมแลดูน่ารักน่าเอ็นดู เสียดายที่แววตาคู่นั้นดูหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา “อืม” นางตอบรับเบาๆ “นี่คงเที่ยงแล้วกระมัง” เด็กสาวพยักหน้ารับแล้วหมุนตัวเดินออกไป ไม่กี่อึดใจก็
กู้ตงหยางยืนตระหง่านท่ามกลางเหล่าทหารและบ่าวไพร่ในจวน ยกเว้นเสี่ยวฉู่ที่ตั้งครรภ์อ่อนๆ โดยมีอ้ายเสิ่นประคองภรรยาอยู่ไม่ห่าง แม้ทั้งสองอยากคุกเข่าแต่แม่ทัพกู้ยกมือห้ามไว้ก่อนแม่ทัพหนุ่มแหงนหน้ามองฟ้า เหตุใดโชคชะตาเล่นตลกถึงเพียงนี้ เขาทำเมียหายอีกครั้งและนางกำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง ทั้งที่เคยสัญญากันไว้แล้ว หากนางตั้งครรภ์อีกครั้ง คราวนี้เขาจะอยู่เคียงข้างนางไม่ปล่อยให้นางตกระกำลำบากอีก แต่...มันก็เกิดขึ้นอีก “ลุกขึ้น” กู้ตงหยางสั่งแต่ยังไม่มีผู้ใดกล้าลุกขึ้นยืน เขาขบฟันจนเป็นสันนูนก่อนตวาดออกมา “พวกเจ้าว่างนักหรือไง ไม่คิดจะตามหาฮูหยินของข้าเรอะ!” ได้ยินดังนั้นทุกขึ้นจึงลุกขึ้นยืนพร้อมเพรียงกัน แววตาทุกคนมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยฮูหยินผู้มีจิตใจประเสริฐกลับมา “พวกเจ้าไปเตรียมตัวไว้ให้พร้อม รอข้าวางแผนแล้วจะเร่งออกเดินทาง” กู้ตงหยางสั่ง “เรื่องนี้ต้องให้เงียบที่สุด รู้เพียงแค่ว่าฮูหยินเก็บตัวอยู่ในจวนไม่พบผู้ใด” “รับทราบ!” แม่ทัพหนุ่มปรายตามองสาวใช้คนสนิทของจ้าวจื่อรั่วแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ “เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิด ให้อ้ายเสิ่น
ใครจะคาดคิดชีวิตที่สงบสุขมานานผลันเกิดเรื่องพลิกผันพายุฝนกระหน่ำลงอย่างหนัก แสงแปลบปลาบทำให้กลางคืนสว่างวาบขึ้นมาและทำให้ชายหนุ่มมองเห็นใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาเงยหน้าขึ้นมองเขาพอดี ดวงตาเย็นชาจ้องมองอย่างไร้ความรู้สึก ทว่ายังกวาดตามองไปเห็นที่ข้อเท้าของนางถูกบ่วงดักสัตว์ป่ารัดเท้าไว้แน่นหนา แม้ตัวนางจะเปื้อนเปรอะไปด้วยโคลนแต่น้ำฝนที่กระหนำลงมาก็เผยใบหน้าขาวซีดและริมฝีปากที่สั่นระริก “ท่านผู้บัญชาการ” นายทหารคนหนึ่งเอ่ยขึ้นแข่งกับเสียงฝนที่ยังกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตา “จับผู้หลบหนีได้แล้วขอรับ” ซย่าเจียวซิ่ง เพียงพยักหน้ารับการรายงานแล้วตัดสินใจลงจากหลังม้า เดินตรงไปยังพุ่มไม้ด้านข้างที่มีร่างหญิงสาวคนนั้นซ่อนตัวอยู่ จ้าวจื่อรั่วเห็นชายผู้นั้นชักมีดสั้นออกมาก็ขดตัวห่อไหล่ด้วยความกลัว หรือว่านี่จะเป็นจุดจบชีวิตของนางแล้ว ไม่ได้นางต้องมีชีวิตกลับไปพบหน้าลูกและน้องชายรวมทั้งสามีของนาง นางหาทางหลบหนีพยายามไปให้ถึงค่ายทหาร ไม่น่าเลยนางไม่น่าประมาทถึงเพียงนี้อาจเพราะอยู่อย่างสงบสุขเกินไปทำไม่ระวังภัย ด้วยความต้องการแบ่งเบาภาระกู้ตงหยาง ทางชายแดนมีชาวบ้านอพยพเ
จ้าวเฟยฉีมองน้องเล็กส่ายหน้าไปมาแล้ว เขาเดินตรงไปหาพี่สาว ถอนหายใจบางเบาคราวหนึ่งก่อนเอ่ยออกมา“ตอนที่ข้ายังเด็กและก่อนที่ท่านแม่จะจากไป ท่านแม่พูดเสมอว่าให้ข้าเข้มแข็งคอยดูแลพี่ใหญ่ให้ดี แม้ในวันหน้าพี่ใหญ่ออกเรือนแล้วหากมีเรื่องใดก็ให้ช่วยเหลือ อย่าให้พี่ใหญ่ต้องโดดเดี่ยว”จ้าวจื่อรั่วนิ่งงันไป นางไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน“ท่านแม่พูดเช่นนั้นรึ”จ้าวเฟยหลิงยันกายขึ้นยืนได้ก็พูดขึ้น“ใช่ขอรับ ถึงตอนนั้นข้าจะยังเด็กมากๆ แต่ก็จำได้ว่าท่านแม่พูดเช่นนั้น ท่านแม่เป็นห่วงพี่ใหญ่ กลัวว่าหลังแต่งงานแล้วเข้าบ้านผู้อื่นจะถูกรังแก แต่เห็นท่านแม่ทัพ เอ๊ย! พี่เขยรักใคร่พี่ใหญ่เช่นนี้ พวกเราก็สบายใจและไม่ผิดต่อคำสั่งเสียของท่านแม่แล้ว”หญิงสาวได้ยินดังนั้นก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา ที่ผ่านมานางเพียงจดจำคำสั่งสอนและคำสั่งเสียสุดท้ายให้ดูแลน้องชายทั้งสองให้ดี จ้าวเฟยฉีเก่งบุ๋นนิสัยสงบเยือกเย็นในขณะที่จ้าวเฟยหลิงเก่งบู๊ใจร้อนพร้อมปะทะ แต่นางไม่เคยรู้เลยว่าที่ผ่านมามารดาก็สั่งเสียให้น้องชายทั้งสองดูแลนาง คงเกรงว่านางจะมีชะตากรรมเช่นมารดาที่ถูกข่มเหงในบ้านผู้อื่น“อย่าร้องไห้” กู้ตงหยางเอ่ยเสียงทุ
หลิงหยุนในวัยสามขวบ แม้สวมเสื้อผ้าฝ้ายแต่การตัดเย็บแสนประณีต ดวงตากลมโตกะพริบตาอย่างงุนงงก่อนยื่นมือไปข้างหน้าแล้วส่งเสียงร้อง “แม่...ท่านแม่” ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าอ่อนหวานกระตุกยิ้มด้วยสีหน้าพิกล ท่ามกลางเสียงกลั้นหัวเราะของคนรอบข้าง “หยุนเอ๋อร์ แม่อยู่ทางนี้” จ้าวจื่อรั่วหัวเราะเบาๆ แล้วตบมือส่งเสียงเรียกลูกชายตัวน้อย เด็กน้อยเอียงคอมองไปทางเสียงที่คุ้นเคยก่อนวิ่งถลาไปทางมารดา ยังไม่ทันที่จะโผเข้ากอด มือใหญ่ก็คว้าคอเสื้อไว้ได้ทันแล้วหิ้วจนหลิงหยุนตัวลอยขึ้นจากพื้น “หยุนเอ๋อร์จะพุ่งใส่ท่านแม่แบบนั้นไม่ได้” กู้ตงหยางดุลูกชายเบาๆ แต่ดูเหมือนเด็กน้อยไม่เข้าใจนัก กลับหัวเราะชอบใจที่ตัวเองถูกหิ้วจนเท้าลอยเหนือพื้นดินเช่นนี้ ช่างเป็นเด็กที่หัวเราะง่ายเสียจริง หากไม่เพราะใบหน้าน้อยๆ นี้มีเค้าโครงละม้ายคล้ายใบหน้าของผู้เป็นพ่อ ผู้อื่นคงไม่เชื่อว่าเด็กน้อยที่แสนร่าเริงเป็นบุตรชายของแม่ทัพปีศาจ ที่ใบหน้ามักเย็นชาอยู่เสมอ“ในท้องของท่านแม่เจ้า มีน้องของเจ้าอยู่นะ ต้องระวังให้มากๆ”“น้อง...” เด็กน้อยพูดเลียนแบบบิดา เด็กในวัยนี้พูดได้เพียงคำ
วันเวลาผันผ่าน หลิงหยุนอายุครบหนึ่งขวบปี กู้ตงหยางก็พาลูกชายและจ้าวจื่อรั่วเดินทางเข้าเมืองหลวงตามคำบัญชาของฮ่องเต้ ทั้งสามและผู้ติดตามเดินทางอย่างไม่รีบเร่งคล้ายท่องเที่ยวไปในพร้อมกัน กว่าจะมาถึงเมืองหลวงจึงใช้เวลาหนึ่งเดือน “ท่านพี่มีเรื่องในใจหรือเจ้าคะ” จ้าวจื่อรั่วถามหลังจากลูกชายหลับไปแล้ว “ข้าห่วงเพียงเจ้ากับลูกเท่านั้น” เขายื่นมือไปลูบแก้มนวลของภรรยาสาว “ท่านพี่คิดว่าฮ่องเต้ต้องการสิ่งใด” กู้ตงหยางถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนยิ้มออกมา“อย่างมากก็แค่ขอกำลังทหารคืน ข้าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่เจ้าเล่าหากข้าไม่ได้เป็นแม่ทัพแล้ว เจ้าจะทำเช่นไร” “ข้าจะทำอะไรได้นอกจากเป็นภรรยาท่าน” นางหัวเราะเสียงใสไม่ได้หวาดกลัวสิ่งที่เขากังวล “ดีเสียอีก ท่านพี่เลี้ยงหลิงหยุนส่วนข้าจะเป็นหมอหญิงหาเงินเลี้ยงครอบครัวเอง” “ได้ เช่นนั้นชีวิตข้าต้องฝากในมือน้องหญิงแล้ว” ทั้งสองหัวเราะให้กัน ไม่หวั่นใจกับสิ่งที่กำลังเผชิญ จ้าวจื่อรั่วคว้าของสามีมาเกาะกุมไว้ ทั้งครอบครัวเดินทางเข้าเมืองหลวงพักที่คฤหาสน์หลังงามที่กู้ตงหยางซื้อไว้
“อะไรกัน เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าถอนพิษให้ข้าหมดแล้ว”“ท่านมีเรี่ยวแรงขนาดนี้ พิษคงถูกขับออกไปหมดสิ้นแล้ว” นางขึงตาใส่ทั้งที่แก้มเนียนแดงเรื่อ“เรายังมีเวลาถึงเช้า รั่วเอ๋อร์ ขับพิษอีกเถิดนะ” เขาอ้อนวอนแล้วขบเม้มติ่งหูนางเบาๆ“ข้าไม่ทำแล้ว! ท่านไปให้หญิงอื่นขับพิษให้เถอะ!”“ถ้าไม่ใช่เจ้า ข้าก็ไม่ทำเรื่องเช่นนี้กับหญิงใด” เขาเงยหน้าสบตานางพูดด้วยความจริงจัง “ชีวิตข้ากู้ตงหยาง ขอมีเพียงจ้าวจื่อรั่วเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”“ท่าน...”“ข้าสาบาน...”“ไม่ต้องสาบาน” นางรีบห้ามเขาไว้ “ข้าเชื่อใจท่าน”เขายิ้มดีใจแล้วจุมพิตหน้าผากภรรยาสาว “ทำไมเจ้าเชื่อใจข้า”“ซูเม่ยบอกว่า บุรุษไม่ได้ปลดปล่อยมานานครั้งแรกจะเสร็จเร็ว เมื่อครู่...ครั้งแรกของท่านก็เร็วนะ”“หือ? พูดเช่นนี้เห็นทีต้องพิสูจน์อีกรอบ เจ้าจะได้รู้ว่าข้าเสร็จเร็วหรือไม่”“พอแล้ว! ข้าเหนื่อย!”“ไม่เป็นไร ครั้งนี้ข้าจะปรนนิบัติเจ้าเอง”เสียงหวานครางกระเส่าดังขึ้นอีกครั้ง ในห้องที่มีเพียงแสงเทียนสลัวจวบจนเทียนเล่มน้อยหลอมละลายไปพร้อมคนทั้งสอง การเคลื่อนไหวในห้องจึงหยุดลง แต่เส้นทางของหัวใจสองดวงราวกับเพิ่งเริ่มต้นขึ้น ทว่าครั้งนี้เ
อาจเพราะร่างกายที่ผ่านการฝังเข็มมายาวนานหกชั่วยามทำให้ร่างกายยังไร้เรี่ยวแรง กู้ตงหยางได้แต่มองภรรยาสาวบรรจงจุมพิตไปทั่วร่าง ลิ้นเปียกชื้นสัมผัสรอยแผลเป็นอย่างไม่รังเกียจหรือหวาดกลัว ท่อนล่างมีเพียงผ้าผืนยาวคลุมปกปิดไว้ เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่นางทำเกี่ยวกับการถอนพิษอย่างไร แต่หวังใจให้นางสัมผัสเขามากกว่านั้นมือเรียวเล็กกอบกุมแก่นกายที่อยู่ใต้ผ้า มันแข็งขันท้าทายแต่ยังไม่พร้อมสู้แม้ขยับรูดไปมาก็ยังไม่ตั้งชัน จ้าวจื่อรั่วเม้มริมฝีปากกลั้นความกระดากอายแล้วเลื่อนผ้าผืนนั้นออก สิ่งนั้นจึงผงาดขึ้น แต่นางจำได้ว่ามันเคยแข็งแกร่งมากกว่านี้ หญิงสาวตัดสินใจโน้มใบหน้าลงแล้วอ้าปากครอบครองแก่นกายของสามี“อา....” กู้ตงหยางครางกระเส่า ไม่คิดว่าภรรยาตัวน้อยจะกล้าทำในสิ่งที่บุรุษปรารถนาเช่นนี้ เขาผงกศีรษะขึ้นมองนางค่อยๆดูดกลืนลำเอ็นไปจนหมดก่อนขยับศีรษะดูดดึงสร้างความเสียวซ่านจนเขาแทบคลั่งเสียงครวญครางที่ไม่อาจกลั้นได้ของเขายิ่งทำให้หญิงสาวลำพองใจ ซูเม่ยให้นางศึกษาตำรากามสูตร ยามเปิดดูก็เขินอายจนหน้าร้อนผ่าว แต่เมื่อลงมือทำจริงกับบุรุษที่เป็นสามีนาง ความเขินอายจึงลดลง มือเรียวลูบไล้ก้อนเนื้อกลมๆ พลา
“ท่านแม่... ข้าขอบคุณท่าน ที่ผ่านมาหากไม่มีท่านพ่อกับท่านแม่ข้ากับลูกคงไม่มีวันนี้” “คนเป็นพ่อแม่ก็ต้องดูแลลูกอยู่แล้ว” นางพูดด้วยรอยยิ้ม นอกจากมารดาที่ให้กำเนิดแล้ว จ้าวจื่อรั่วไม่เคยได้รับความรักจากใครเช่นนี้มาก่อน ขอบตาจึงร้อนผ่าวขึ้นมา นับว่าสวรรค์ยังเมตตาส่งนางมาพบคนทั้งสองทั้งช่วยชีวิตนางกับลูกและยังรักใคร่เอ็นดูนางอย่างแท้จริง ฉินหวังเหล่ยก้าวเข้ามาในห้อง เขามองจ้าวจื่อรั่วส่งลูกให้ซูเม่ยอุ้มแล้วจึงพูดขึ้น“ท่านอาจารย์ให้เจ้าเข้าไปในห้องได้แล้ว” “ข้าทราบแล้ว” หญิงสาวยิ้มน้อยๆ “ขอบคุณพี่หวังเหล่ยที่ช่วยเหลือเจ้าค่ะ” “เจ้าคงไม่เปลี่ยนใจแล้วสินะ” ฉินหวังเหล่ยถอนหายใจ “หนึ่งปีผ่านมาในใจเจ้าก็ยังมีเขาอยู่เสมอมา” “ข้า...” “ช่างเถอะ” เขาโบกมือไปมาแล้วหัวเราะเสียงปร่า “เจ้าเป็นศิษย์น้องของข้า ชายผู้นั้นก็คงเรียกได้ว่าเป็นน้องเขย ข้านี่ช่างโชคดีเสียจริงที่มีน้องเขยเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งแดนใต้” ได้ยินฉินหวังเหล่ยพูดจาหยอกล้อเช่นนี้ นางก็พลอยสบายใจขึ้นมาบ้าง หญิงสาวยิ้มน้อยๆ แล้วเ