“อะไรกัน เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าถอนพิษให้ข้าหมดแล้ว”“ท่านมีเรี่ยวแรงขนาดนี้ พิษคงถูกขับออกไปหมดสิ้นแล้ว” นางขึงตาใส่ทั้งที่แก้มเนียนแดงเรื่อ“เรายังมีเวลาถึงเช้า รั่วเอ๋อร์ ขับพิษอีกเถิดนะ” เขาอ้อนวอนแล้วขบเม้มติ่งหูนางเบาๆ“ข้าไม่ทำแล้ว! ท่านไปให้หญิงอื่นขับพิษให้เถอะ!”“ถ้าไม่ใช่เจ้า ข้าก็ไม่ทำเรื่องเช่นนี้กับหญิงใด” เขาเงยหน้าสบตานางพูดด้วยความจริงจัง “ชีวิตข้ากู้ตงหยาง ขอมีเพียงจ้าวจื่อรั่วเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”“ท่าน...”“ข้าสาบาน...”“ไม่ต้องสาบาน” นางรีบห้ามเขาไว้ “ข้าเชื่อใจท่าน”เขายิ้มดีใจแล้วจุมพิตหน้าผากภรรยาสาว “ทำไมเจ้าเชื่อใจข้า”“ซูเม่ยบอกว่า บุรุษไม่ได้ปลดปล่อยมานานครั้งแรกจะเสร็จเร็ว เมื่อครู่...ครั้งแรกของท่านก็เร็วนะ”“หือ? พูดเช่นนี้เห็นทีต้องพิสูจน์อีกรอบ เจ้าจะได้รู้ว่าข้าเสร็จเร็วหรือไม่”“พอแล้ว! ข้าเหนื่อย!”“ไม่เป็นไร ครั้งนี้ข้าจะปรนนิบัติเจ้าเอง”เสียงหวานครางกระเส่าดังขึ้นอีกครั้ง ในห้องที่มีเพียงแสงเทียนสลัวจวบจนเทียนเล่มน้อยหลอมละลายไปพร้อมคนทั้งสอง การเคลื่อนไหวในห้องจึงหยุดลง แต่เส้นทางของหัวใจสองดวงราวกับเพิ่งเริ่มต้นขึ้น ทว่าครั้งนี้เ
วันเวลาผันผ่าน หลิงหยุนอายุครบหนึ่งขวบปี กู้ตงหยางก็พาลูกชายและจ้าวจื่อรั่วเดินทางเข้าเมืองหลวงตามคำบัญชาของฮ่องเต้ ทั้งสามและผู้ติดตามเดินทางอย่างไม่รีบเร่งคล้ายท่องเที่ยวไปในพร้อมกัน กว่าจะมาถึงเมืองหลวงจึงใช้เวลาหนึ่งเดือน “ท่านพี่มีเรื่องในใจหรือเจ้าคะ” จ้าวจื่อรั่วถามหลังจากลูกชายหลับไปแล้ว “ข้าห่วงเพียงเจ้ากับลูกเท่านั้น” เขายื่นมือไปลูบแก้มนวลของภรรยาสาว “ท่านพี่คิดว่าฮ่องเต้ต้องการสิ่งใด” กู้ตงหยางถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนยิ้มออกมา“อย่างมากก็แค่ขอกำลังทหารคืน ข้าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่เจ้าเล่าหากข้าไม่ได้เป็นแม่ทัพแล้ว เจ้าจะทำเช่นไร” “ข้าจะทำอะไรได้นอกจากเป็นภรรยาท่าน” นางหัวเราะเสียงใสไม่ได้หวาดกลัวสิ่งที่เขากังวล “ดีเสียอีก ท่านพี่เลี้ยงหลิงหยุนส่วนข้าจะเป็นหมอหญิงหาเงินเลี้ยงครอบครัวเอง” “ได้ เช่นนั้นชีวิตข้าต้องฝากในมือน้องหญิงแล้ว” ทั้งสองหัวเราะให้กัน ไม่หวั่นใจกับสิ่งที่กำลังเผชิญ จ้าวจื่อรั่วคว้าของสามีมาเกาะกุมไว้ ทั้งครอบครัวเดินทางเข้าเมืองหลวงพักที่คฤหาสน์หลังงามที่กู้ตงหยางซื้อไว้
หลิงหยุนในวัยสามขวบ แม้สวมเสื้อผ้าฝ้ายแต่การตัดเย็บแสนประณีต ดวงตากลมโตกะพริบตาอย่างงุนงงก่อนยื่นมือไปข้างหน้าแล้วส่งเสียงร้อง “แม่...ท่านแม่” ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าอ่อนหวานกระตุกยิ้มด้วยสีหน้าพิกล ท่ามกลางเสียงกลั้นหัวเราะของคนรอบข้าง “หยุนเอ๋อร์ แม่อยู่ทางนี้” จ้าวจื่อรั่วหัวเราะเบาๆ แล้วตบมือส่งเสียงเรียกลูกชายตัวน้อย เด็กน้อยเอียงคอมองไปทางเสียงที่คุ้นเคยก่อนวิ่งถลาไปทางมารดา ยังไม่ทันที่จะโผเข้ากอด มือใหญ่ก็คว้าคอเสื้อไว้ได้ทันแล้วหิ้วจนหลิงหยุนตัวลอยขึ้นจากพื้น “หยุนเอ๋อร์จะพุ่งใส่ท่านแม่แบบนั้นไม่ได้” กู้ตงหยางดุลูกชายเบาๆ แต่ดูเหมือนเด็กน้อยไม่เข้าใจนัก กลับหัวเราะชอบใจที่ตัวเองถูกหิ้วจนเท้าลอยเหนือพื้นดินเช่นนี้ ช่างเป็นเด็กที่หัวเราะง่ายเสียจริง หากไม่เพราะใบหน้าน้อยๆ นี้มีเค้าโครงละม้ายคล้ายใบหน้าของผู้เป็นพ่อ ผู้อื่นคงไม่เชื่อว่าเด็กน้อยที่แสนร่าเริงเป็นบุตรชายของแม่ทัพปีศาจ ที่ใบหน้ามักเย็นชาอยู่เสมอ“ในท้องของท่านแม่เจ้า มีน้องของเจ้าอยู่นะ ต้องระวังให้มากๆ”“น้อง...” เด็กน้อยพูดเลียนแบบบิดา เด็กในวัยนี้พูดได้เพียงคำ
จ้าวเฟยฉีมองน้องเล็กส่ายหน้าไปมาแล้ว เขาเดินตรงไปหาพี่สาว ถอนหายใจบางเบาคราวหนึ่งก่อนเอ่ยออกมา“ตอนที่ข้ายังเด็กและก่อนที่ท่านแม่จะจากไป ท่านแม่พูดเสมอว่าให้ข้าเข้มแข็งคอยดูแลพี่ใหญ่ให้ดี แม้ในวันหน้าพี่ใหญ่ออกเรือนแล้วหากมีเรื่องใดก็ให้ช่วยเหลือ อย่าให้พี่ใหญ่ต้องโดดเดี่ยว”จ้าวจื่อรั่วนิ่งงันไป นางไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน“ท่านแม่พูดเช่นนั้นรึ”จ้าวเฟยหลิงยันกายขึ้นยืนได้ก็พูดขึ้น“ใช่ขอรับ ถึงตอนนั้นข้าจะยังเด็กมากๆ แต่ก็จำได้ว่าท่านแม่พูดเช่นนั้น ท่านแม่เป็นห่วงพี่ใหญ่ กลัวว่าหลังแต่งงานแล้วเข้าบ้านผู้อื่นจะถูกรังแก แต่เห็นท่านแม่ทัพ เอ๊ย! พี่เขยรักใคร่พี่ใหญ่เช่นนี้ พวกเราก็สบายใจและไม่ผิดต่อคำสั่งเสียของท่านแม่แล้ว”หญิงสาวได้ยินดังนั้นก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา ที่ผ่านมานางเพียงจดจำคำสั่งสอนและคำสั่งเสียสุดท้ายให้ดูแลน้องชายทั้งสองให้ดี จ้าวเฟยฉีเก่งบุ๋นนิสัยสงบเยือกเย็นในขณะที่จ้าวเฟยหลิงเก่งบู๊ใจร้อนพร้อมปะทะ แต่นางไม่เคยรู้เลยว่าที่ผ่านมามารดาก็สั่งเสียให้น้องชายทั้งสองดูแลนาง คงเกรงว่านางจะมีชะตากรรมเช่นมารดาที่ถูกข่มเหงในบ้านผู้อื่น“อย่าร้องไห้” กู้ตงหยางเอ่ยเสียงท
นางเป็นฮูหยินที่ถูกต้อง แต่เขากลับเฉยชาใส่ มีเพียงบนเตียงเท่านั้นที่เขาเร่าร้อนจนนางแทบมอดไหม้แนะนำตัวละคร จ้าวจื่อรั่ว : อายุสิบหกปี ลูกอนุของเสนาบดีสกุลจ้าวถูกสับเปลี่ยนตัวมาเป็นเจ้าสาวมาแต่งงานกับแม่ทัพที่ชายแดนกู้ตงหยาง : อายุยี่สิบสี่ปี ฉายาแม่ทัพปีศาจจ้าวเฟยฉี จ้าวเฟยหลิง : น้องชายร่วมมารดาของจ้าวจื่อรั่วเฉียวฉู่ : บุตรสาวของเฉียวโจว เจ้าเมืองต้าเหลียงสับเปลี่ยนเจ้าสาว จ้าวจื่อรั่วนั่งอยู่ในห้องหอเพียงลำพัง เจ้าบ่าวไม่ได้มาเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว หลังเสร็จสิ้นพิธีต่างๆ เขาก็หายไป แรกทีเดียวนางเข้าใจว่าเขาคงไปดื่มสุรากับเหล่าทหารของเขา ทว่านางนั่งรอจนฟ้าใกล้สางแล้วจึงมั่นใจว่าเขาไม่กลับเข้ามาอย่างแน่นอน ช่างเถิด จะว่าเขาก็ไม่ได้ ฮ่องเต้มีราชโองการให้หญิงสาวสกุลจ้าวแต่งงานกับแม่ทัพแดนใต้นามกู้ตงหยาง เดิมทีคนที่ต้องแต่งงานควรเป็นบุตรสาวจากภรรยาเอก แต่ชื่อเสียงของแม่ทัพแดนใต้ที่แสนเหี้ยมโหดและต้องเดินทางมาใช้ชีวิตชายแดนอันแสนห่างไกล ฮูหยินใหญ่ไม่สามารถตัดใจยกลูกสาวแสนรักให้ออกเรือนได้ บิดาผู้เป็นเสนาบดีก็เห็นดีเห็นชอบกับความคิดของฮูหยิน
ทหารทั้งสองยังทำหน้างุนงงหนักกว่าเดิม ยิ่งทำให้แม่ทัพใหญ่โมโหเพิ่มขึ้นไปอีก เขาลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้เดินดุ่มๆ ไปยังเรือนทางปีกซ้ายของจวน จำได้ว่าตอนนางมาถึง เขาให้พ่อบ้านจัดที่พักให้ พ่อบ้านก็จัดเรือนปีกซ้ายทั้งที่เรือนของเขาอยู่ปีกขวา คนพวกนี้ก็อย่างไรกัน ช่างรนหาที่ตายโดยแท้ มีใครกันแยกห้องสามีภรรยาอยู่คนฟากของจวนเช่นนี้ แม่ทัพใหญ่เดินไปที่เรือนของนาง ทว่ายังไม่ทันพ้นประตูวงพระจันทร์ก็เห็นเจ้าตัวขนสีขาววิ่งมาชนขาจนมันเสียหลักเซไปทางอื่น เขาก้มมองเจ้า ‘แพะน้อย’ อายุน่าจะประมาณแค่สองเดือน ดูจากสายตาเอาเรื่องมันแล้วก็ทำให้เขาขมวดคิ้วไม่รู้ตัว “เปาเป่า กลับมานี่” เสียงหวานใสร้องเรียกปนหัวเราะทำให้ยามอาทิตย์อัสดงมีชีวิตชีวา เขาเงยหน้าขึ้นมองพลันสบตากับเจ้าของร่างเล็กที่เดินเร็วๆ มาทางเขา แววตากลมโตกระจ่างเบิกกว้างขึ้นดูคล้ายตกใจก่อนจะปรับอารมณ์วูบหนึ่งหลุบตาลง “ท่านแม่ทัพ” จ้าวจื่อรั่วคารวะอย่างมีมารยาท “ท่านมาถึงเรือนของข้า มีเรื่องใดรึเจ้าคะ” “จวนข้า ข้าจะไปที่ใดต้องรายงานเจ้ารึ” จ้าวจื่อรั่วเงยหน
“ทางโรงครัวส่งสำรับอาหารมาครบทุกมื้อ แต่ข้าอยู่ว่างๆ จึงทำอะไรเล่น ท่านแม่ทัพลองชิมดูนะเจ้าคะ”นางเกรงว่าเขาจะตำหนิผู้อื่น ปกตินางอยู่ที่จวนสกุลจ้าวก็เข้าครัวทำอาหาร ทั้งของตัวเองและน้องๆ รวมทั้งของผู้อื่น ยามมารดายังมีชีวิตอยู่ เพราะมีบุตรชายจึงไม่ค่อยมีใครกล้ารังแก แต่เมื่อมารดาตายและน้องยังเล็ก น้องชายคนรองอายุสิบสองขวบ คนเล็กเพียงหกขวบ นางจึงต้องเข้มแข็งดูแลน้องๆ ด้วยตนเองกู้ตงหยางชิมน้ำแกงหัวปลา หลังกลืนน้ำแกงลงท้องแล้วรู้สึกสบายตัว นอกจากอาหารอุ่นร้อนพอดีแล้วยังให้รสชาติกลมกล่อมอีกด้วยจ้าวจื่อรั่วเห็นเขากินไปหลายคำจึงใจชื้น กล้าเอ่ยถามเขา “ท่านแม่ทัพจะรับข้าวไหมเจ้าคะ ยังมีปลาผัดเปรี้ยวหวานกับ ผัดผักเจ้าค่ะ”เขาพยักหน้าแทนคำตอบรับเพียงแค่นั้นหญิงสาวก็หมุนตัวเดินออกไป เขาแปลกใจที่นางไม่เรียกคนรับใช้ ก็นึกได้ว่า เสี่ยวฉู่อุ้มแพะไปเก็บ แต่นางก็ใช้เวลาไม่นาน อาหารก็วางบนโต๊ะ แม้เป็นอาหารง่ายๆ แต่เลิศรสไม่น้อย เขาเองยังไม่กินมื้อเย็นจึงเผลอกินเข้าไปจนเกลี้ยงทุกอย่างจึงนึกได้ว่า... อาหารบนโต๊ะเป็นของนาง ครั้นจะถามก็ปากหนักเกินไป จึงได้แต่ทำหน้านิ่งและรับน้ำชาจากนางมาดื่ม“ไม่รู้ว่า
“ข้าไม่อยากไปเห็นหน้าแม่นางชุดแดงผู้นั้น” เสี่ยวฉู่เบ้ปาก“รีบไป แล้วคอยอยู่ดูจนแน่ใจว่าแม่นางเฉียวฉู่หลับสนิทแล้วค่อยกลับออกมา” พ่อบ้านกำชับ “พวกเจ้าก็คอยดูอย่าให้ใครไปใกล้เรือนของท่านแม่ทัพ”คราแรกทุกคนทำหน้างุนงง แต่เพียงครู่เดียวก็เข้าใจความหมาย ทุกคนรีบแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเองโดยไม่อิดออด พ่อบ้านได้แต่ยิ้มกริ่มแล้วเดินไปตระเตรียม ‘ยา’ ให้ท่านแม่ทัพจ้าวจื่อรั่วมีเพียงใจที่ต้องการช่วยเหลือท่านแม่ทัพ พ่อบ้านแนะนำอย่างไร นางก็ท่องจำในใจได้ครบทุกขั้นตอน เมื่อถึงเวลาเย็นย่ำ แม่ทัพกลับจากค่ายทหารเข้ามาที่เรือนของตน นางจึงถือถาดยาเข้าไปหากู้ตงหยางประหลาดใจที่เห็นหญิงสาวเข้ามาในเรือนของเขา เขาจ้องนางเขม็งแต่หญิงสาวยังฝืนยิ้มน้อยๆ แล้วเดินเข้ามาใกล้“ใครให้เจ้าเข้ามา”จะเอ่ยตอบว่าเป็นพ่อบ้านก็เกรงว่าแม่ทัพใหญ่คงเรียกพ่อบ้านมาลงโทษ นางจึงตอบไปว่า“เป็นข้าเองเจ้าค่ะ” นางยังคงยิ้มน้อยๆ แล้ววางถาดลงบนโต๊ะ “ผู้อื่นมีงานล้นมือ ข้าจึงอาสามาปรนนิบัติท่านแม่ทัพ”“ปรนนิบัติข้า?” เขาทำเสียงดูแคลน เอาเถอะ นางอยากทำก็ให้ทำไป หากเห็นรอยแผลบนกายเขาก็คงขยาดหวาดกลัวไม่กล้ามาอีกจ้าวจื่อรั่วมองร่างสูงท