“ไม่ใช่เช่นนั้น” ตงเจียวโจวลูบไหล่ภรรยาเพื่อปลอบโยน หากไม่นับเรื่องที่นางเรียกจ้าวจื่อรั่วว่า ‘ลูก’ ทุกคำ ท่าทางของนางเหมือนเป็นปกติดีทุกอย่าง รวมทั้งจดจำการรักษาได้อย่างดีเยี่ยมด้วย “แล้วอย่างไร!” “พิษเย็นขับด้วยการฝังเข็มและแช่น้ำสมุนไพรเพื่อปรับลมปราณให้โคจรเป็นปกติ แต่อาการของเจ้าหนุ่มนี้เป็นเรื้อรังมานานหลายปี ไม่ได้ขับพิษออกง่ายนักยังต้องใช้ปราณผู้อื่นขับพิษ” “ต้องใช้ปราณของผู้ใดกัน ผู้ฝึกยุทธ์รึ" ซูเม่ยถามพลางโคลงศีรษะไปมา “ไม่สิบุรุษต้องพิษเย็นใช้สตรีขับพิษเย็นให้...” แล้วสายตาทุกคู่ก็จ้องมองมาทางจ้าวจื่อรั่ว นางเพิ่งเรียนรู้การแพทย์และพิษได้ไม่ถึงหนึ่งปี แต่สิ่งที่ตงเจียวโจวและซูเม่ยพูดนั้นนางกลับเข้าใจดี มีเพียงผู้ถูกพิษที่ยังไม่เข้าใจความหมาย ได้แต่จ้องมองดวงตากลมสวยของภรรยาอย่างงุนงง. ‘ข้าไม่ต้องการให้เจ้าลำบากใจ’ เสียงกู้ตงหยางยังคงรบกวนจิตใจจ้าวจื่อรั่ว นางนั่งมองเขาอุ้มลูกเดินเล่นอยู่ที่ลานบ้าน หญิงสาวไม่เคยคิดฝันว่าจะได้เห็นกู้ตงหยางอุ้มทารกเช่นกัน เขาชูเด็กชายตัวขาวอวบ
“ไม่ใช่เช่นนั้น” สีหน้าเขาร้อนใจยิ่งนัก “นั้นมันก่อนที่ข้าจะรู้ว่ามีลูกต่างหาก แต่ที่ข้าให้อ้ายเสิ่นตามหาหมอเทวดาตงเพื่อขับพิษนั้นก็เพราะข้ายังตามหาเจ้าไม่พบ ข้าจะตายก็คงตายตาไม่หลับ จึงอยากลองเสี่ยงยื้อชีวิตเพื่อได้พบเจ้า”“ทำไมท่านยังคิดว่าข้ามีชีวิตอยู่ หากหาข้าไม่พบท่านจะทำอย่างไร ทำไมท่านไม่แต่งงานใหม่ไปเสีย”“แล้วเหตุใดเจ้ามีคำถามมากมายถึงเพียงนี้” กู้ตงหยางหัวเราะออกมา เขาไม่ได้หัวเราะเช่นนี้มานานเพียงใดกันนะ อาจเพราะได้อยู่กับเจ้าอ้วนน้อยที่หัวเราะบ่อยทำให้เขาพลอยหัวเราะตามไปด้วย“ดีจริงที่ลูกเลี้ยงง่ายเช่นนั้น” เขาหันไปคุยกับลูกชายวัยหกเดือน “ข้าเป็นพี่คนโตแต่ไม่ได้เลี้ยงน้องๆ ตั้งแต่เจ็ดขวบก็ตามพวกผู้ชายเข้าป่าล่าสัตว์เล็กๆ แปดเก้าขวบก็ทำงานในสวนในไร่ ข้าไม่เคยรู้เลยว่าเลี้ยงเด็กคนหนึ่งลำบากมากเพียงใด แต่เจ้าเลี้ยงหลิงหยุนได้ดีจริงๆ”“เช่นนั้นท่านก็อยู่ช่วยข้าเลี้ยงหลิงหยุนสิ”“ได้” เขายิ้ม “ข้าซักผ้าอ้อมเป็นแล้ว อุ้มลูกก็เป็น ต่อไปให้ข้าเป็นม้าให้เขาขี่ก็ได้”จ้าวจื่อรั่วหลุดหัวเราะพรืดออกมา นางนึกภาพไม่ออกจริงๆว่าเขาจะคลานสี่ขาให้ลูกชายขี่หลังได้อย่างไรกัน“ก่อนที่ท่านจ
“ท่านแม่... ข้าขอบคุณท่าน ที่ผ่านมาหากไม่มีท่านพ่อกับท่านแม่ข้ากับลูกคงไม่มีวันนี้” “คนเป็นพ่อแม่ก็ต้องดูแลลูกอยู่แล้ว” นางพูดด้วยรอยยิ้ม นอกจากมารดาที่ให้กำเนิดแล้ว จ้าวจื่อรั่วไม่เคยได้รับความรักจากใครเช่นนี้มาก่อน ขอบตาจึงร้อนผ่าวขึ้นมา นับว่าสวรรค์ยังเมตตาส่งนางมาพบคนทั้งสองทั้งช่วยชีวิตนางกับลูกและยังรักใคร่เอ็นดูนางอย่างแท้จริง ฉินหวังเหล่ยก้าวเข้ามาในห้อง เขามองจ้าวจื่อรั่วส่งลูกให้ซูเม่ยอุ้มแล้วจึงพูดขึ้น“ท่านอาจารย์ให้เจ้าเข้าไปในห้องได้แล้ว” “ข้าทราบแล้ว” หญิงสาวยิ้มน้อยๆ “ขอบคุณพี่หวังเหล่ยที่ช่วยเหลือเจ้าค่ะ” “เจ้าคงไม่เปลี่ยนใจแล้วสินะ” ฉินหวังเหล่ยถอนหายใจ “หนึ่งปีผ่านมาในใจเจ้าก็ยังมีเขาอยู่เสมอมา” “ข้า...” “ช่างเถอะ” เขาโบกมือไปมาแล้วหัวเราะเสียงปร่า “เจ้าเป็นศิษย์น้องของข้า ชายผู้นั้นก็คงเรียกได้ว่าเป็นน้องเขย ข้านี่ช่างโชคดีเสียจริงที่มีน้องเขยเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งแดนใต้” ได้ยินฉินหวังเหล่ยพูดจาหยอกล้อเช่นนี้ นางก็พลอยสบายใจขึ้นมาบ้าง หญิงสาวยิ้มน้อยๆ แล้วเ
อาจเพราะร่างกายที่ผ่านการฝังเข็มมายาวนานหกชั่วยามทำให้ร่างกายยังไร้เรี่ยวแรง กู้ตงหยางได้แต่มองภรรยาสาวบรรจงจุมพิตไปทั่วร่าง ลิ้นเปียกชื้นสัมผัสรอยแผลเป็นอย่างไม่รังเกียจหรือหวาดกลัว ท่อนล่างมีเพียงผ้าผืนยาวคลุมปกปิดไว้ เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่นางทำเกี่ยวกับการถอนพิษอย่างไร แต่หวังใจให้นางสัมผัสเขามากกว่านั้นมือเรียวเล็กกอบกุมแก่นกายที่อยู่ใต้ผ้า มันแข็งขันท้าทายแต่ยังไม่พร้อมสู้แม้ขยับรูดไปมาก็ยังไม่ตั้งชัน จ้าวจื่อรั่วเม้มริมฝีปากกลั้นความกระดากอายแล้วเลื่อนผ้าผืนนั้นออก สิ่งนั้นจึงผงาดขึ้น แต่นางจำได้ว่ามันเคยแข็งแกร่งมากกว่านี้ หญิงสาวตัดสินใจโน้มใบหน้าลงแล้วอ้าปากครอบครองแก่นกายของสามี“อา....” กู้ตงหยางครางกระเส่า ไม่คิดว่าภรรยาตัวน้อยจะกล้าทำในสิ่งที่บุรุษปรารถนาเช่นนี้ เขาผงกศีรษะขึ้นมองนางค่อยๆดูดกลืนลำเอ็นไปจนหมดก่อนขยับศีรษะดูดดึงสร้างความเสียวซ่านจนเขาแทบคลั่งเสียงครวญครางที่ไม่อาจกลั้นได้ของเขายิ่งทำให้หญิงสาวลำพองใจ ซูเม่ยให้นางศึกษาตำรากามสูตร ยามเปิดดูก็เขินอายจนหน้าร้อนผ่าว แต่เมื่อลงมือทำจริงกับบุรุษที่เป็นสามีนาง ความเขินอายจึงลดลง มือเรียวลูบไล้ก้อนเนื้อกลมๆ พลา
“อะไรกัน เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าถอนพิษให้ข้าหมดแล้ว”“ท่านมีเรี่ยวแรงขนาดนี้ พิษคงถูกขับออกไปหมดสิ้นแล้ว” นางขึงตาใส่ทั้งที่แก้มเนียนแดงเรื่อ“เรายังมีเวลาถึงเช้า รั่วเอ๋อร์ ขับพิษอีกเถิดนะ” เขาอ้อนวอนแล้วขบเม้มติ่งหูนางเบาๆ“ข้าไม่ทำแล้ว! ท่านไปให้หญิงอื่นขับพิษให้เถอะ!”“ถ้าไม่ใช่เจ้า ข้าก็ไม่ทำเรื่องเช่นนี้กับหญิงใด” เขาเงยหน้าสบตานางพูดด้วยความจริงจัง “ชีวิตข้ากู้ตงหยาง ขอมีเพียงจ้าวจื่อรั่วเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”“ท่าน...”“ข้าสาบาน...”“ไม่ต้องสาบาน” นางรีบห้ามเขาไว้ “ข้าเชื่อใจท่าน”เขายิ้มดีใจแล้วจุมพิตหน้าผากภรรยาสาว “ทำไมเจ้าเชื่อใจข้า”“ซูเม่ยบอกว่า บุรุษไม่ได้ปลดปล่อยมานานครั้งแรกจะเสร็จเร็ว เมื่อครู่...ครั้งแรกของท่านก็เร็วนะ”“หือ? พูดเช่นนี้เห็นทีต้องพิสูจน์อีกรอบ เจ้าจะได้รู้ว่าข้าเสร็จเร็วหรือไม่”“พอแล้ว! ข้าเหนื่อย!”“ไม่เป็นไร ครั้งนี้ข้าจะปรนนิบัติเจ้าเอง”เสียงหวานครางกระเส่าดังขึ้นอีกครั้ง ในห้องที่มีเพียงแสงเทียนสลัวจวบจนเทียนเล่มน้อยหลอมละลายไปพร้อมคนทั้งสอง การเคลื่อนไหวในห้องจึงหยุดลง แต่เส้นทางของหัวใจสองดวงราวกับเพิ่งเริ่มต้นขึ้น ทว่าครั้งนี้เ
วันเวลาผันผ่าน หลิงหยุนอายุครบหนึ่งขวบปี กู้ตงหยางก็พาลูกชายและจ้าวจื่อรั่วเดินทางเข้าเมืองหลวงตามคำบัญชาของฮ่องเต้ ทั้งสามและผู้ติดตามเดินทางอย่างไม่รีบเร่งคล้ายท่องเที่ยวไปในพร้อมกัน กว่าจะมาถึงเมืองหลวงจึงใช้เวลาหนึ่งเดือน “ท่านพี่มีเรื่องในใจหรือเจ้าคะ” จ้าวจื่อรั่วถามหลังจากลูกชายหลับไปแล้ว “ข้าห่วงเพียงเจ้ากับลูกเท่านั้น” เขายื่นมือไปลูบแก้มนวลของภรรยาสาว “ท่านพี่คิดว่าฮ่องเต้ต้องการสิ่งใด” กู้ตงหยางถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนยิ้มออกมา“อย่างมากก็แค่ขอกำลังทหารคืน ข้าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่เจ้าเล่าหากข้าไม่ได้เป็นแม่ทัพแล้ว เจ้าจะทำเช่นไร” “ข้าจะทำอะไรได้นอกจากเป็นภรรยาท่าน” นางหัวเราะเสียงใสไม่ได้หวาดกลัวสิ่งที่เขากังวล “ดีเสียอีก ท่านพี่เลี้ยงหลิงหยุนส่วนข้าจะเป็นหมอหญิงหาเงินเลี้ยงครอบครัวเอง” “ได้ เช่นนั้นชีวิตข้าต้องฝากในมือน้องหญิงแล้ว” ทั้งสองหัวเราะให้กัน ไม่หวั่นใจกับสิ่งที่กำลังเผชิญ จ้าวจื่อรั่วคว้าของสามีมาเกาะกุมไว้ ทั้งครอบครัวเดินทางเข้าเมืองหลวงพักที่คฤหาสน์หลังงามที่กู้ตงหยางซื้อไว้
หลิงหยุนในวัยสามขวบ แม้สวมเสื้อผ้าฝ้ายแต่การตัดเย็บแสนประณีต ดวงตากลมโตกะพริบตาอย่างงุนงงก่อนยื่นมือไปข้างหน้าแล้วส่งเสียงร้อง “แม่...ท่านแม่” ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าอ่อนหวานกระตุกยิ้มด้วยสีหน้าพิกล ท่ามกลางเสียงกลั้นหัวเราะของคนรอบข้าง “หยุนเอ๋อร์ แม่อยู่ทางนี้” จ้าวจื่อรั่วหัวเราะเบาๆ แล้วตบมือส่งเสียงเรียกลูกชายตัวน้อย เด็กน้อยเอียงคอมองไปทางเสียงที่คุ้นเคยก่อนวิ่งถลาไปทางมารดา ยังไม่ทันที่จะโผเข้ากอด มือใหญ่ก็คว้าคอเสื้อไว้ได้ทันแล้วหิ้วจนหลิงหยุนตัวลอยขึ้นจากพื้น “หยุนเอ๋อร์จะพุ่งใส่ท่านแม่แบบนั้นไม่ได้” กู้ตงหยางดุลูกชายเบาๆ แต่ดูเหมือนเด็กน้อยไม่เข้าใจนัก กลับหัวเราะชอบใจที่ตัวเองถูกหิ้วจนเท้าลอยเหนือพื้นดินเช่นนี้ ช่างเป็นเด็กที่หัวเราะง่ายเสียจริง หากไม่เพราะใบหน้าน้อยๆ นี้มีเค้าโครงละม้ายคล้ายใบหน้าของผู้เป็นพ่อ ผู้อื่นคงไม่เชื่อว่าเด็กน้อยที่แสนร่าเริงเป็นบุตรชายของแม่ทัพปีศาจ ที่ใบหน้ามักเย็นชาอยู่เสมอ“ในท้องของท่านแม่เจ้า มีน้องของเจ้าอยู่นะ ต้องระวังให้มากๆ”“น้อง...” เด็กน้อยพูดเลียนแบบบิดา เด็กในวัยนี้พูดได้เพียงคำ
จ้าวเฟยฉีมองน้องเล็กส่ายหน้าไปมาแล้ว เขาเดินตรงไปหาพี่สาว ถอนหายใจบางเบาคราวหนึ่งก่อนเอ่ยออกมา“ตอนที่ข้ายังเด็กและก่อนที่ท่านแม่จะจากไป ท่านแม่พูดเสมอว่าให้ข้าเข้มแข็งคอยดูแลพี่ใหญ่ให้ดี แม้ในวันหน้าพี่ใหญ่ออกเรือนแล้วหากมีเรื่องใดก็ให้ช่วยเหลือ อย่าให้พี่ใหญ่ต้องโดดเดี่ยว”จ้าวจื่อรั่วนิ่งงันไป นางไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน“ท่านแม่พูดเช่นนั้นรึ”จ้าวเฟยหลิงยันกายขึ้นยืนได้ก็พูดขึ้น“ใช่ขอรับ ถึงตอนนั้นข้าจะยังเด็กมากๆ แต่ก็จำได้ว่าท่านแม่พูดเช่นนั้น ท่านแม่เป็นห่วงพี่ใหญ่ กลัวว่าหลังแต่งงานแล้วเข้าบ้านผู้อื่นจะถูกรังแก แต่เห็นท่านแม่ทัพ เอ๊ย! พี่เขยรักใคร่พี่ใหญ่เช่นนี้ พวกเราก็สบายใจและไม่ผิดต่อคำสั่งเสียของท่านแม่แล้ว”หญิงสาวได้ยินดังนั้นก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา ที่ผ่านมานางเพียงจดจำคำสั่งสอนและคำสั่งเสียสุดท้ายให้ดูแลน้องชายทั้งสองให้ดี จ้าวเฟยฉีเก่งบุ๋นนิสัยสงบเยือกเย็นในขณะที่จ้าวเฟยหลิงเก่งบู๊ใจร้อนพร้อมปะทะ แต่นางไม่เคยรู้เลยว่าที่ผ่านมามารดาก็สั่งเสียให้น้องชายทั้งสองดูแลนาง คงเกรงว่านางจะมีชะตากรรมเช่นมารดาที่ถูกข่มเหงในบ้านผู้อื่น“อย่าร้องไห้” กู้ตงหยางเอ่ยเสียงท