ปันกัดริมฝีปากล่างจนห่อเลือด สายตามองคนตรงหน้าด้วยความขยาดชิงชัง...ประชดประชันเก่ง วางอำนาจกับคนของตัวเองจนเคยตัวแต่ถึงสะดวกสบายแค่ไหน ก็ไม่อยากเอาชีวิตมาเสี่ยงกับคนเช่นนี้ ขอเลือกความปลอดภัยของตัวเองดีกว่า! ปันตัดสินใจเด็ดขาดเดินก้าวออกจากห้องพักหรู แล้วตั้งใจจะไม่กลับมาที่นี่อีก“หากนายเดินออกไปจากห้องนี้ก้าวเดียวนะ...”“จะตัดขาผมเหรอ”เดร์พูดไม่ทันจบก็โดนตอกกลับมา จนกลายเป็นคนเหมือนน้ำท้วมปากไปอีกคนจะเถียงก็ไม่ทัน เมื่อปันก้าวเดินออกจากห้องไม่หันหลัง แม้เขาจะตะโกนเรียกโวยวายเหมือนคนเสียสติแต่ก็ไม่เป็นผล...อยากลองดีกับฉันใช่ไหม! เดร์กัดฟันอย่างมาดหมายหอพัก.... หลังจากกลับมาวันนั้น ปันก็ปิดเครื่องมือสื่อสาร และเปิดใช้ยามที่จำเป็นจริงๆ ส่วนแผลบนหน้าผากหายดีทุกอย่าง แต่ก่อนหน้านั้นก็พยายามเอาเส้นผมปิดบังรอยแผลเป็นไว้ เพราะไม่อยากตอบคำถามเพื่อน ซึ่งปันรู้สึกปลอดภัยหายใจคล่องขึ้น และอยู่ห่างโซเชียล...“พี่แสน มาทำอะไรอยู่แถวนี้ครับ”“ปัน...” แสนเอ่ยเรียกรุ่นน้องตรงหน้าไม่เต็มเสียงหนักความมีพิรุธ ทำให้ปันมองรุ่นพี่ที่เดินอยู่ระหว่างทางหอหนึ่งหอสองอย่างจับสังเกต แสนยิ้มแล้วหลบสายต
แสนแสบที่เดินมาทางด้านหลัง เห็นเจ้าของร่างบางนั่งอยู่หน้าตึก ตาจดจ่ออยู่กับมือถือจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง อีกทั้งท่าทางประหนึ่งทะเลาะอยู่กับมัน ก็หลุดขำกับความน่ารัก ‘innocent’“รำคาญนักก็ปาทิ้งไปเลยสิ” แสนเย้าไปพร้อมกับยิ้มขำปันตกใจเล็กน้อยรีบเก็บอาการ ก่อนจะลุกขึ้นและเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง แล้วหันมาค้อนรุ่นพี่วงใหญ่“ก็อยากปาทิ้งอยู่หรอก แต่กลัวพังแล้วไม่มีเงินซื้อ”น้ำเสียง อึดอัดแต่ทำอะไรไม่ได้“งั้นก็เก็บ ไม่ต้องเอาออกมาแล้ว”“ครับ... เออพี่ วันนี้ผมไม่เห็นเกมไปเรียนเลย”“ อ้าวเหรอวันนี้ไม่ไปเรียนเหรอ...”แสนแสบมีสีหน้าตกใจ เมื่อปันถามออกไปเช่นนั้น“ครับ แล้วเกมเขาไปทำงานทุกวันหรือเปล่าครับ”“ก็ไปทำอยู่นะ ขยันด้วย ปะ...” แล้วแสนก็เดินนำไปที่รถปันเดินตาม ทั้งที่อยากถามอีกหลายคำถามเกี่ยวกับเกม แต่เห็นอาการลุกลี้ลุกลนของรุ่นพี่จึงเลือกที่จะเก็บคำถามไป...ร้านเหล้าที่มีพื้นที่พอสมควร ซึ่งช่วงเย็นร้านยังไม่มีแขกมากนัก แสนจึงพาปันเดินเข้าไปได้สะดวกและเจ้าของร้านยังไม่ได้ยุ่งอยู่กับการดูแลลูกค้า และเมื่อไปถึงก็เจอเจ้าของร้านที่ดูเหมือนจะนั่งรออยู่แล้ว“ว่าไง... นี่คนนี่เหรอ” ผู้ชายที่
ปันเหงื่อแตกไม่คิดว่าเรื่องจะบานปลาย แต่มายตั้งหน้าสู้รับโดยยกมือถือขึ้นมาขู่“อันที่จริงผมไม่ชอบมีเรื่อง แต่ดูท่าพวกนักเลงอย่างพวกนายต้องการหาที่พักฟรี”“แกขู่พวกกูเหรอ”“เปล่าไม่ได้ขู่ แค่โทร.ให้ตำรวจมาทำงานบ้างก็เท่านั้น”พอพูดถึงตำรวจชายพวกนั้นก็สงบท่าทีลงแล้วเอ่ยน้ำเสียงเบาลง “ไล่เด็กคนนี้ออกไปเลยนะ”มายคิ้วขมวด “แล้วเด็กผมทำผิดอะไรครับ”“ก็เนี่ย เอาถาดมาฟาด” แล้วชี้ไปที่ถาดในมือปัน“หลักฐานครับ” มายขอ ยังไงก็พร้อมเข้าข้างคนของตัวเอง“ถามเพื่อนพวกนี้ดูสิ ...ใช่ไหม” แล้วหันไปเออออกับเพื่อนร่วมโต๊ะ“เพื่อนก็ต้องเข้าข้างเพื่อนด้วยกันสิ”มายยังไม่เปลี่ยนใจ“เตือนดีๆ ไม่อยากให้ร้านเจ๋งก็ไล่เด็กปากเสียออกไปน่าจะดีกว่า”“ผมไล่ออกแน่ แต่จะไล่คนที่ไม่มีมารยาทเท่านั้นแหละครับ แต่ผมก็ต้องดูที่เหตุผลก่อน ว่าสมควรไล่ใครกันแน่ ระหว่างลูกค้านักเลง กับลูกจ้างที่ไร้มารยาทกับแขก เพราะถึงเงินจะซื้อได้ทุกอย่างจริง แต่ถ้าคนใช้เงินไม่มีมารยาท เงินตรงนั้นผมก็ไม่อยากได้ครับ”คำพูดตอกกลับเจ้าของร้านทำให้แขกกลุ่มนั้นหน้าชา แต่ในระหว่างที่พูดเคลียร์กับลูกค้าที่ก่อเรื่องยังไม่ลงตัว ลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เดินเข้
คเชนทร์คิ้วขมวดผูกปมและไม่ยอมรับคำสั่งอย่างเคย “แล้วทำไมไม่บอกว่าข้อแลกเปลี่ยนคืออะไร”“เดี๋ยวฉันจัดการเอง นายไม่ต้องกังวล...”“นายไม่ให้ผมกังวลได้ไง ในเมื่อนายยังมีความกังวลอยู่เลย...” คนดูออกเอ่ยดัก“นายรู้ดีที่สุดนะคเชนทร์...” เดร์เอ่ยเสียงอ่อน และยังมีสายตาคาดโทษลูกน้องอยู่“ผมรู้ว่าผมพลาด” คนมีชนักติดหลังตอบอย่างจำนน“ฉันให้นายไปตามดูแลปัน แล้วนี่นายไปทำอะไรกัน” สายตาจริงจังมองสมุนมือขวา แล้วมองไปยังชายหน้าตาไม่คุ้นอีกสี่คนข้างๆ“คนพวกนี้เป็นญาติๆ ผมเองครับ ไว้ใจได้”“ไว้ใจได้แล้วไง ตอนนี้เป็นไงล่ะ”“ผมก็แค่อยากให้คุณปันกลับมาหานายไวไวครับ”“ยิ่งทำให้เกลียดสิไม่ว่า”“นายไม่พูด ผมไม่พูด แล้วคุณปันจะรู้ได้ไงล่ะครับ ว่านี่คือแผนอยากให้คุนปันตกงาน”“ฉันไม่รับปาก”“อ้าว!”“จัดการให้เรียบร้อยเถอะ ก่อนที่ความลับจะแตกเอา”“ครับนาย...”แล้วคเชนทร์จัดการให้ค่าปิดปากญาติของตัวเอง ซึ่งก่อนจะปล่อยให้แยกย้ายกันกลับ ก็กำชับไว้อีกครั้งว่าห้ามใครหลุดปากถึงเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นจะเรียกเงินคืนห้าเท่า ทุกคนต่างรับปากกันอย่างหนักแน่นแล้วแยกย้ายกันไป...หลังจากที่อยู่กับความเงียบมาได้พักใหญ่ คเชนทร์ก็
“ปันนี่นะ มีคนของเขา... ใช่ญาติอะไรหรือเปล่า”แสนทวนถาม เพราะหากให้ตีความหมายมันเหมือนเป็นการปรักปรำเด็กคนหนึ่งที่นิสัยถือว่าดีมากๆ คนหนึ่งให้ถูกมองไปในทางลบได้มายคนที่มีประสบการณ์มากพอสมควร ละสายตาจากหนุ่มน้อยร่างสูงบาง แล้วมาหยุดอยู่ที่รุ่นน้อง “ไม่น่าจะใช่ญาตินะ... ดูเหมือนเป็นคนรักประมาณเด็กเสี่ย ฉันก็อธิบายไม่ถูก เพราะดูแล้วมันเหมือนคนมีอิทธิพลกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังตามมาปกป้องเด็กคนหนึ่งจากอีกกลุ่ม อย่างกับซีรี่ส์มาเฟียอย่างไรอย่างนั้น”มายให้คำนิยามไม่ได้เต็มปากเต็มคำนัก เพราะกริ่งเกรงอยู่เหมือนกัน“เห้ยจริงดิ” แล้วแสนก็หันไปมองหน้าเกม ที่ตัวเองลากมาด้วย เหมือนอยากขอคำยืนยันเกมส่ายหน้าดิก “ผมก็รู้เท่าที่พี่รู้ตอนนี้แหละครับ... ส่วนเรื่องคนเลี้ยง หรือคนรัก ผมไม่เคยได้ยินปันพูดถึงเลย” เกมที่อ่านสายตาแสนออก ก็บอกไปตามที่ตัวเองรู้อย่างไม่ปิดบัง“แล้วติดต่อปันได้ไหม” แสนถามต่อ“ไม่ครับ”“อืม หากเขาอยากติดต่อ คงติดต่อมาเองแหละ” มายออกความคิดเห็น“แล้วพี่แน่ใจหรือว่าคนพวกนั้นไม่ทำอันตรายปัน”“ไม่แน่นอนเชื่อพี่” มายสรุปตัดจบแล้วจบโดยการเลี้ยงเหล้ารุ่นน้อง เพื่อเป็นการผ่อนคลายไปในตัว...
“คุ คุรเดร์...”ใบหน้าสินหวังก่อนหน้า ฉาบเฉายแววตาระรื่นมีความหวังขึ้น“นายอย่าเงียบ...ปัน” เสียงทุ้มสั่นขาดหายปันยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง เหมือนเสียงสวรรค์ทรงลงมาโปรด ความหวาดหวั่นที่สุมอยู่ในหัวใจ หล่นหายออกจากตัว ปันวิ่งฉิวไปที่ประตูด้วยความดีใจ ส่งมือเรียวที่สั่นระริก จับไปยังกลอนประตูเพื่อปลดออก แต่ยิ่งรีบเหมือนยิ่งช้ากับความรีบที่กลายเป็นเงอะงะแทน จนกระทั่งเปิดได้สำเร็จจึงออกแรงผลักประตูไปเต็มแรง จนมันกว้างออก และเห็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้าม่านตาเปิดกว้าง ริมฝีปากคลี่ขยายบิดเบะจะร้องไห้ด้วยความดีใจและตื้นตัน ถลาเข้าไปสวมกอดร่างสูงหนาไว้แน่น โดยลืมกลัวลืมอายไปหมดสิ้น!“คุณมารับผมแล้วใช่ไหมคุณเดร์...”เสียงนั้นสั่นสะเทือนหัวใจคนฟังอย่างเดร์ “อืม...” เดร์ตอบรับในลำคอ วงแขนก็โอบร่างคนที่บางกว่ามากไว้เต็มอ้อมอก“จะกลับได้ไง ในเมื่อข้อตกลงเรายังไม่เสร็จสมบูรณ์”เสียงทุ้มห้วนดังแทรกเข้ามา ปันขยับเพื่อมองเจ้าของน้ำเสียงที่ดูแข็งห้วนผู้ชายคนนั้น! เมื่อเห็นว่าเป็นใคร ปันก็เผลอกอดเดร์แน่นขึ้นเพราะความหวาดกลัว ซึ่งเดร์รับรู้ถึงแรงกอดรัดของปันที่เพิ่มขึ้นจึงตัดสินใจดันให้ปันไปยืนหล
การสั่นสะเทือน ของยานพาหนะที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่ในความเร็วมากกว่าปกติที่เคยขับ ทำให้คนที่หลับไม่ได้สติเริ่มขยับและรู้สึกตัว เดร์แม้จะไม่มีสมาธิมากนักแต่ก็ประคองรถขับออกไปยังจุดหมายปลายทางให้ไวและปลอดภัยที่สุดหันมองดูปันเกือบทุกห้านาทีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มรู้สึกตัว เพื่อให้แน่ใจว่าปันไม่ได้ขวัญหนีดีฝ่อ จึงเบนรถจอดข้างทางเพื่อเช็คดูให้แน่ใจเสียก่อน“เป็นไงบ้าง...” เสียงทุ้ทนุ่มเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเอ่ยถามพร้อมกับยื่นมือไปกุมมือเรียวหนาของปันไว้แล้วบีบเบาๆปันรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและห่วงใยที่ส่งมาทางสายตาและการกระทำ จึงคลี่ยิ้มให้ “ผมไม่เป็นอะไรแล้วครับ” ปันตอบเสียงอ่อนแผ่วอย่างเจียมตัว“ดีแล้ว...” แล้วเดร์ก็ขยับยื่นมือไปปรับเบาะ เพื่อให้ปันได้นั่งถนัดขึ้นในช่วงจังหวะที่เดร์โน้มตัวทาบผ่าน กลิ่นกายที่คุ้นเคยทำให้ปันเผลอสูดเข้าไปจนเต็มปอด แล้วนั่งหน้าแดงซ่านเพราะการกระทำของตัวเองปากบอกว่าเกลียด แต่ใจและร่างกายโหยหาเขาตลอด! ปันค้อนขอดตัวเองแล้วเก็บอาการเอาไว้โดยการกุมมือตัวเองแล้วบีบไปมา“เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า หรือไปหาหมอดีไหม”เดร์ถามด้วยความเป็นห่วง สายตาจับอยู่บนใบหน้านั้นด้ว
เดร์กระตุกยิ้มอย่างผู้มีชัย แล้วเงยหน้าขึ้นค่อยๆ ปล่อยสะโพกเด้งลงมาต่ำ จนปันรับรู้ได้ถึงความแข็งขืนที่ถูกดันเข้ามาทักทายในช่องทางสีหวาน พร้อมกับแรงกดเข้าเป็นจังหวะ และแรงดันมาจากด้านล่าง“อึก! ซีดส์…” ปันกัดปากกลั้นเสียงคราง ทั้งเจ็บทั้งเป็นสุข“อย่าเกร็ง...” เสียงทุ้มกระเส่าบอกเบาๆ แล้วก้มใบหน้าลงไปหาแผ่นหลังขาวเนียน ก่อนจะใช้ลิ้นลากไล้เลียเม็ดเหงื่อที่ผลุดชุ่มออกมา แล้วกลืนกินรสชาติของบุรุษเพศอย่างไม่นึกรังเกียจซึ่งการกระทำของเดร์ เป็นสิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายตอบรับได้มากขึ้น จากนั้นเป็นปันที่โยกตัวเองเพื่อเติมเต็มสิ่งที่แข็งคาอยู่ตรงช่องทางสีหวานเข้าไปจนสุดลึก“อ่าส์ ปัน นายทำดีมาก....”เดร์หลุดครางออกมาด้วยความพออกพอใจ เช่นเดียวกับปันที่ครางออกมาด้วยความสุขสมปันเหงนหน้าหู่ปากสูดเอาอากาศแล้วเข้าปอดแล้วค่อย ๆ ผ่อนออกมา เพื่อบรรเทาความกระสันเสียว นัยน์ตาสุขเคลิ้มฝัน เมื่อสองมือหนาจับเอวกิ่วแล้วขยับยกให้เป็นจังหวะ โดยที่ตัวเองก็เด้งช่วยด้วย ซึ่งเป็นการช่วยที่ลงตัวควบคู่ไปกับจังหวะเพลงรัก จนเกิดเป็นเสียงครางกระเส่าแข่งกันอยู่ภายในรถแม้จะอยู่ในที่แคบ หากแต่ไม่ได้ทำให้รสรักเสียจังหวะแต่อย