“แม่นาง เมื่อครู่ข้าปากไวไปหน่อย เจ้าอย่าเก็บไปใส่ใจเลย”เสี่ยวเอ้อร์พูดออกมาแล้วค่อยนึกได้ว่าเจ้านายของซ่งรั่วเจินก็มาค้าขายเหมือนกัน พูดจาแบบนี้มิเท่ากับด่าเจ้านายของอีกฝ่ายไปด้วยหรอกหรือ?ซ่งรั่วเจินกลับแบมือด้วยสีหน้าไม่แยแส “ไม่เป็นไร พ่อค้าย่อมหากำไรอยู่แล้ว ข้าเป็นแค่สาวใช้คนหนึ่ง ข้าก็คิดเหมือนเจ้านั่นแหละ”เสี่ยวเอ้อร์ได้ยินดังนั้นก็พลันรู้สึกสนิทสนมขึ้นมาไม่น้อย ยามพูดจาก็ระวังตัวน้อยลงหลายส่วน“ใช่ไหม? ข้าจะบอกเจ้าก็ได้ว่ามันแปลกจริงๆ นายอำเภอของพวกข้าเดิมทีเป็นขุนนางเปี่ยมเมตตาที่ใครต่อใครล้วนสรรเสริญ แต่หลังเกิดอุทกภัยที่เมืองผิงหยาง เขาก็เหมือนเปลี่ยนนิสัยไปเลยอย่างไรอย่างนั้น”“รวมหัวกับพ่อค้าของทางการ ปล่อยให้พวกพ่อค้าเพิ่มราคาสินค้า รอจนถึงตอนที่พวกข้าตระหนักถึงความผิดปกติอยากไปซื้อเสบียงก็ไม่ขายเสบียงกันแล้ว”“หลังจากนั้นพอนำเสบียงออกมาอีกที ราคาก็เพิ่มเป็นสามเท่า ชาวบ้านอย่างพวกข้าเดิมทีก็แค่หาเลี้ยงครอบครัวหาเช้ากินค่ำ อยู่ดีๆ ก็แพงขึ้นขนาดนี้ จะมีปัญญาซื้อเสียที่ไหน?”“โชคดีที่เจ้านายของพวกข้าจิตใจดี ข้าทำงานอยู่ที่นี่ ยามปกติถ้ามีอาหารเหลือยังแบ่งปันให้พวกข
ซ่งรั่วเจินใคร่ครวญพลางกล่าว โดยทั่วไปแล้ว นิสัยคนเราไม่มีทางเปลี่ยนไปปุบปับโดยไม่มีเหตุผล หากเกิดสถานการณ์เช่นนี้ ความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงขึ้นกะทันหัน“เจ้าหมายความว่า...อาจถูกข่มขู่?”ฉู่จวินถิงครุ่นคิดพลางกล่าว ในเมื่อเป็นขุนนางที่ดีที่ใครต่อใครล้วนชมเชย จะต้องไม่ยอมรับเงินสกปรกเป็นแน่ แต่ยามนี้กลับปล่อยปละละเลย กระทั่งยังช่วยพวกเขา ความเป็นไปได้ว่าถูกข่มขู่จึงมีมากที่สุดแล้วซ่งรั่วเจินพยักหน้าน้อยๆ “ใช่ว่าไม่มีความเป็นไปได้เช่นนี้ แต่รายละเอียดเป็นอย่างไรยังต้องรอให้ท่านอ๋องตรวจสอบ”ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นหยางก็รุดกลับมารายงานข้อมูลที่ไปสืบทราบมาได้“ท่านอ๋อง ข้าน้อยสืบทราบมาว่าราคาเสบียงอาหารที่นี่เพิ่มขึ้นมากกว่าสามเท่า เนื่องจากขาดแคลนเสบียงอาหาร ราคาแทบจะเพิ่มขึ้นเมื่อผ่านไปไม่กี่วัน ดังนั้นชาวบ้านแทบจะนำเงินทั้งหมดที่มีออกมาซื้อเสบียงไปกักตุนไว้หมดแล้ว”“ไม่เพียงเท่านี้ สถานการณ์บริเวณใกล้เคียงเมืองผิงหยางยังเลวร้ายกว่านี้ ได้ยินว่าราคาเสบียงของที่นั่นน่าตระหนกนัก แทบจะบีบคั้นให้ชาวบ้านต้องอดตายเลยชัดๆ”อวิ๋นหยางมีสีหน้าปั้นยาก ขณะที่เขาไปสืบข่าว เห็นส
เมื่อซ่งรั่วเจินพูดจบ ฉู่เทียนเช่อก็เหลือบมองนางครู่หนึ่ง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบขรึม “ที่นี่เป็นที่ที่สาวใช้อย่างเจ้ามีสิทธิ์กล่าววาจาได้งั้นหรือ?”หลิงเชี่ยนเอ๋อร์เองก็มองพินิจซ่งรั่วเจินด้วยเช่นกัน สาวใช้นางนี้ช่างไร้มารยาทยิ่งนัก แม้แต่เรื่องแบบนี้ยังกล้าจะพูดสอด!“สาวใช้เยี่ยงเจ้าไฉนเลยจะเข้าใจเรื่องแบบนี้ หากแม้นปรารถนาจะอวดภูมิ ก็ควรรู้จักกาลเทศะที่เหมาะสม”น้ำเสียงโอหังแฝงด้วยความรังเกียจ ทว่ากลับมีความดูแคลนอยู่มากกว่านั้น ทำให้ซ่งรั่วเจินมั่นใจว่าท่าทีสงบเสงี่ยมไม่ต้องการชิงดีชิงเด่นกับผู้ใดก่อนหน้านี้ของหลิงเชี่ยนเอ๋อร์ ล้วนเป็นเพียงการเสแสร้งแกล้งทำเมื่อครู่นางมัวแต่ครุ่นคิดถึงสถานการณ์ของเมืองไห่เทียน จึงลืมไปว่าตนเองในยามนี้เป็นเพียงแค่สาวใช้นางหนึ่ง ไม่มีสิทธิ์กล่าววาจาใดให้มากความจริง ๆฉู่จวินถิงปรายตามองหลิงเชี่ยนเอ๋อร์แวบหนึ่ง “ยามนี้เป็นเวลาแห่งการรับฟังและรวบรวมความคิดเห็น ทุกคนล้วนกำลังหาหนทางแก้ไข เหตุใดจึงต้องถือสาเรื่องพรรค์นี้?”“จวินถิง ข้ารู้ว่าเจ้ามิใส่ใจเรื่องชนชั้นวรรณะมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่นางก็เป็นเพียงสาวใช้ไร้ปัญญานางหนึ่งเท่านั้น ไฉนเลยจะสาม
เมื่อทุกคนได้ฟัง ก็พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ในใจกระตุกวูบ “มิเพียงเท่านั้น พ่อค้าผู้มั่งคั่งเหล่านี้ย่อมต้องมีเครือข่ายติดต่อกัน มิต้องรอให้เราไปถึง เกรงว่าพวกเขาก็คงได้รับข่าวและเตรียมการรับมือล่วงหน้าไว้เรียบร้อยแล้ว” ฉู่จวินถิงกล่าวขึ้นด้วยท่าทีสงบนิ่ง นี่เองก็เป็นเหตุผลที่เขาคัดค้านข้อเสนอของฉู่เทียนเช่อก่อนหน้านี้ หลายเรื่องมิอาจมองเพียงสิ่งที่อยู่ตรงหน้า วิธีการแก้ไขเพียงแค่ปลายเหตุ แต่ไม่จัดการที่ต้นเหตุ หากเป็นเพียงเมืองเดียวก็อาจนับว่าเป็นวิธีที่ใช้ได้ แต่หากเป็นสถานการณ์ในวงกว้างเช่นนี้ย่อมใช้ไม่ได้ผลอย่างแน่นอน เมื่อราชครูกู้ได้ฟังการวิเคราะห์ของฉู่จวินถิงและซ่งรั่วเจิน ก็พลันตระหนักได้ว่าเด็กทั้งสองแม้อายุยังน้อย แต่กลับพิจารณาเรื่องราวที่ต้องแก้ไขได้อย่างรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาของเขาจึงฉายแววพึงพอใจออกมา “หากเราต้องการแก้ไขเรื่องนี้ ก็ควรไปดูสถานการณ์ของนายอำเภอเสียก่อน” ราชครูกู้กล่าว ทุกคนต่างพยักหน้าไปตาม ๆ กัน แท้จริงแล้ว สถานการณ์ในเมืองไห่เทียนผู้ที่รู้ดีที่สุดย่อมเป็นนายอำเภอ หากพวกเขาไปสอบถามสักหน่อยก็คงทราบเรื่องราวทั้งหมด
พวกเขาสบตากัน ในใจต่างรู้ดีว่าต้องมีเงื่อนงำบางอย่างซ่อนอยู่ในเรื่องนี้ “ดูเหมือนที่ทุกคนกล่าวกันว่าก่อนหน้านี้นายอำเภอเป็นนายอำเภอที่ดูแลเอาใจใส่ชาวบ้าน ทุกคนต่างชมเชยเขา คงจะเป็นเรื่องจริง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงทำให้กลายมาเป็นเช่นนี้” ซ่งจิ่งเซินขมวดคิ้วแน่น “ก่อนหน้านี้ ข้าเคยติดต่อพูดคุยกับตระกูลเจียงแห่งเมืองไห่เทียน หัวหน้าตระกูลเจียงเป็นคนหยิ่งผยองก็จริง แต่ในเมื่อสามารถก้าวขึ้นเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองได้ การจะถือดีก็มิใช่เรื่องแปลกอะไร” “แม้ตอนนั้นข้าจะไม่เคยเจอกับนายอำเภอเมืองไห่เทียน แต่ตอนที่หัวหน้าตระกูลเจียงกล่าวถึงเขา ก็ยังแสดงความเกรงใจต่อนายอำเภออยู่บ้าง” “สถานการณ์ในตอนนี้ มันผิดแปลกไปจริงๆ” ซ่งรั่วเจินพินิจมองเรือนเบื้องหน้าแห่งนี้ ระหว่างนั้นมีพลังงานมืดกลุ่มหนึ่งลอยออกมาจากทิศหนึ่งภายในเรือน ตั้งแต่ที่นางเพิ่งจะก้าวเข้ามาในเรือนแห่งนี้ นางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติไป แต่ทว่าก่อนหน้านี้กลับไม่พบสิ่งอัปมงคล จึงตั้งใจที่จะออกมาหาให้ทั่วสักรอบ แล้วก็เจอจริง ๆ “น้องหญิงห้า เจ้ากำลังมองอะไรอยู่?” ซ่งจือ
เขาไม่อาจทนมองดูญาติคนสุดท้ายจากไปต่อหน้าต่อตาเพราะเหตุผลนี้ได้จริง ๆ จึงจำต้องยอมตกลง และแล้วอาการของบุตรชายก็ค่อย ๆ ดีขึ้น เขาจนปัญญาที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องทุกอย่าง แต่ก็ไม่เต็มใจที่จะสมคบคิดกับพวกคนชั่ว เพราะเหตุนี้จึงกลายเป็นดั่งเช่นในวันนี้ เขารู้สึกละอายต่อประชาชนทั้งเมือง หลังจากนั้น เขาเองก็เคยลองพยายามอีกครั้ง แต่กลับพบว่าไม่มีประโยชน์แม้แต่นิดเดียว แม้จะส่งบุตรชายไปยังเมืองอื่น แต่ก็ยังคงป่วยหนักเช่นเดิม เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไร้หนทาง เขาจึงทำได้เพียงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ก็คือนำทรัพย์สินที่สามารถบริจาคได้ทั้งหมดออกไปบริจาค… ฉู่จวินถิงและราชครูกู้ต่างตกอยู่ในความเงียบหลังจากได้ฟังเรื่องทั้งหมด พวกเขาเดาไว้ว่าจ้าวชิงหยวนต้องมีเรื่องลำบากใจ แต่กลับไม่คิดเลยว่าเรื่องลำบากใจของเขาจะเจ็บปวดถึงเพียงนี้ เมื่อชะตาชีวิตของครอบครัวต้องถูกนำมาแขวนไว้กับชีวิตของผู้คนทั้งเมือง กลับกัน ไม่ว่าใครก็คงจะเลือกได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้น บุตรสาวของเขายังต้องสังเวยชีวิตไปแล้วเพราะเรื่องนี้ ผู้ที่วางแผนเรื่องทั้งหมดนี้ ช่างโหดเหี้ยมอำมหิตเกินไป
ซ่งรั่วเจินมองกลุ่มไอมรณะที่อยู่ภายในห้อง ดวงตาแข็งกร้าว คนสารเลวรกโลกพวกนี้ เรียนวิชาศาสตร์ลี้ลับมาใช้ทำร้ายผู้คน! ไอมรณะที่รุนแรงเช่นนี้ ไม่ว่าใครที่อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ พลังชีวิตก็ย่อมจะถูกกัดกร่อนทีละน้อย จนมีสภาพย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ เพราะจ้าวเฮ่าเจี๋ยเป็นชายหนุ่ม อีกทั้งยังอยู่ในวัยสิบเจ็ดปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่พลังหยางเพิ่งจะแข็งแกร่งถึงที่สุด หากเปลี่ยนเป็นหญิงสาวหรือผู้อาวุโส คงทนรับไม่ไหวและสิ้นใจไปนานแล้ว “พวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่หรือ?” จ้าวชิงหยวนรีบรุดเข้ามาอย่างร้อนรน ทันทีที่ก้าวเข้าห้องก็พุ่งตรงไปอยู่ข้างกายจ้าวเฮ่าเจี๋ยทันที ดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใย “เฮ่าเจี๋ย มีอะไรหรือ? เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?” จ้าวเฮ่าเจี๋ยส่ายหน้า พลางมองไปยังหญิงสาวตรงหน้า ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมีความรู้สึกปลอดภัยเกิดขึ้น ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เขารู้สึกเสมอว่าภายในห้องราวกับมีพลังงานมืดกลุ่มหนึ่งปกคลุมอยู่ แต่เมื่อเขาถามผู้อื่น ทุกคนต่างบอกว่าไม่มีอะไรแบบนั้น และถึงขั้นคิดว่าเขาป่วยหนักจนเสียสติไปแล้ว แต่เขาเห็นมันได้จริงๆ! ไม่เพียงแต่จะมองเห็น เขาถึงขั้นรู้สึ
จ้าวชิงหยวนเบิกตากว้าง นี่ถึงรับรู้ว่าสิ่งที่ลูกชายตนเองได้บอกกล่าวในช่วงหลายวันมานี้ไม่ใช่ภาพหลอน แต่เป็นความจริง แม่นางเบื้องหน้าท่านนี้ถึงขั้นสามารถมองเห็นได้“แม่นาง เจ้าสามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่าตกลงเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่?”บัดนี้ซ่งรั่วเจินได้รู้เรื่องทั้งหมดผ่านปากฉู่จวินถิงแล้ว หลังนางเล่าสาเหตุออกมา จ้าวชิงหยวนโมโหตัวสั่น“พวกเขา เหตุใดพวกเขาต่ำช้าได้ถึงเพียงนี้! เพื่อหาเงินอย่างไร้จริยธรรม ก็ต้องการชีวิตคนมากถึงเพียงนี้!”เดิมทีจ้าวชิงหยวนอยากไปเชิญหมอมาเพื่อรักษาอาการจ้าวเฮ่าเจี๋ย แม้พูดว่าไอมรณะถูกกำจัดไปแล้ว แต่เขากลับมองดูแล้วอ่อนแอมากเกินไป กังวลว่าจะทนไม่ไหวอย่างแท้จริงทว่า ซ่งรั่วเจินบอกเขาไม่จำเป็นต้องกังวล ตนเองจะลงมือช่วยเหลือเองบัดนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือจัดการปัญหาเมืองไห่เทียน อย่างไรเสียก็ยังมีราษฎรกำลังตกทุกข์ได้ยากมากถึงเพียงนั้น จัดการเร็วขึ้น ก็สามารถช่วยได้มากขึ้นอีกสองคน“พี่หญิง อาการของข้าสามารถดีขึ้นได้จริงหรือขอรับ?” จ้าวเฮ่าเจี๋ยเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ซ่งรั่วเจินพยักหน้า “แน่นอน เดิมทีร่างกายเจ้าก็แข็งแรงอยู่แล้ว หากไม่ถูกไอมรณะรุมเร้า ก็ไม่มีวันก
เดิมทีฉู่เทียนเช่อก็ไม่พอใจที่หลิงเชี่ยนเอ๋อร์เฝ้าหวังเพียงมาขอความช่วยเหลือจากฉู่จวินถิง ด้วยความสามารถของเขาย่อมสามารถจัดการเรื่องทั้งหมดได้บัดนี้ได้ยินคำพูดของสองพี่น้องสกุลซ่ง นี่จึงพูด “แม่นางหลิง เป้าหมายในการมาครั้งนี้ของจวินถิงและราชครูกู้คือจัดการปัญหาอุทกภัย ช่วยเหลือราษฎร พี่ใหญ่ของเจ้ากำลังเผชิญหน้ากับอันตราย ข้าจะพาคนฝีมือดีไปช่วยเจ้าตามหาเอง”“จวินถิง เจ้า...”หลิงเชี่ยนเอ๋อร์ยังไม่ตัดใจดังเดิม ฉู่จวินถิงกลับเอ่ยตัดบทคำพูดของนาง “ความปลอดภัยของพี่ใหญ่เจ้าและความปลอดภัยของราษฎรมากมาย หนักเบาเยี่ยงไร เจ้าน่าจะรู้ดี”ถ้อยคำนี้ยับยั้งคำพูดของหลิงเชี่ยนเอ๋อร์เอาไว้แล้ว ต่อให้ไม่ยินยอมก็ต้องรับปาก“น้องสาม เจ้าจัดการสถานการณ์เป็นเช่นไรแล้ว?” ฉู่เทียนเช่อเอ่ยถามหลิงเชี่ยนเอ๋อร์เองก็เอ่ยปาก “ข้าได้ยินมาว่าวันนี้พวกเจ้าเริ่มแจกจ่ายโจ๊ก เช่นนั้นเมืองผิงหยางจะทำเช่นไร?”“มีราษฎรที่ใดบ้างไม่ใช่ราษฎร? ช่วยเหลือผู้ลี้ภัยของเมืองไห่เทียนส่วนหนึ่งก่อน พวกเราใกล้จะไปเมืองผิงหยางแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยดูสถานการณ์” ฉู่จวินถิงเอ่ยขึ้นได้ยินดังนั้น ฉู่เทียนเช่อคิดเพียงว่าฉู่จวินถิงช่าง
คิ้วเรียวยาวดุจกิ่งหลิวของซ่งรั่วเจินขมวดแน่น คนผู้นี้ลึกลับถึงเพียงนี้ จัดการทุกเรื่องอย่างระมัดระวัง ไม่สามารถหาสิ่งของที่สามารถบ่งบอกฐานะพบหากเอาแต่เฝ้ารออยู่ที่นี่ น่ากลัวว่าไม่รู้จะต้องรอจนถึงยามใด หากมีสิ่งที่คนผู้นี้ทิ้งไว้ นางกลับสามารถใช้สิ่งของตามหาคนได้อย่างไรเสีย ไม่มีเวลาตกฟากทำนองนี้ก็ช่างเถอะ อีกทั้งยังไม่ใช่ญาติพี่น้องแท้ๆ แม้แต่ของใช้จำเป็นในชีวิตก็ไม่มี ยากจะทำนายออกมาโดยอาศัยเพียงความว่างเปล่าได้ว่าคนผู้นี้เป็นใครหัวหน้าตระกูลเจียงใคร่ครวญครู่หนึ่ง ทันใดนั้นพูดขึ้น “ครั้งก่อนเขาโยนผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดหนึ่งผืนทิ้ง บ่าวในเรือนข้าบังเอิญเก็บได้ ข้าไม่ได้ทิ้ง!”ตอนนั้นเขาเองก็อยากหาเบาะแสบางอย่างจากผ้าเช็ดหน้านี้ ทว่าน่าเสียดายเป็นเพียงผ้าเช็ดหน้าธรรมดา ไม่มีอันใดพิเศษ แต่เขายังเก็บรักษาไว้ดวงตาซ่งรั่วเจินทอประกาย “รีบไปหยิบมาเร็วเข้า”จากนั้นผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดมาถึงมือ สีหน้าซ่งรั่วเจินมั่นใจอย่างมาก นางสบตาฉู่จวินถิงแวบหนึ่ง ฝ่ายหลังเข้าใจในทันใด “ไปเถอะ พวกเรากลับกัน”ฉู่จวินถิงทิ้งคนไว้เฝ้าพวกหัวหน้าตระกูลเจียง สั่งให้พวกเขาแสร้งทำเป็นไม่มีอันใดเกิดขึ
ดังคาด แม่นางที่ท่านอ๋องชอบไม่ใช่คนธรรมดา!ขณะกำลังพูดอยู่นั้น อวิ๋นหยางตามมาแล้ว “แม่นางซ่ง ท่านอ๋องเชิญท่านกลับไปขอรับ”ซ่งรั่วเจินพยักหน้าเบาๆ ดีดนิ้วทีหนึ่ง ทั้งสองคนตรงหน้าเองก็ได้สติกลับมาแล้วทันใดนั้น ทั้งสองคนนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้พวกเขาล้วนพูดออกมาแล้ว ตกตะลึงยิ่งขึ้นภายในใจ แม่นางคนนี้ช่างน่ากลัวโดยแท้!“พวกท่านเองก็ไปกับข้าด้วย” ซ่งรั่วเจินพูดภายใต้การนำทางของอวิ๋นหยาง ซ่งรั่วเจินพบว่าทางที่ไปไม่ใช่ลานบ้านส่วนหน้า แต่เป็นอีกแห่งหนึ่งฉู่จวินถิงเห็นซ่งรั่วเจินพาอีกสองคนมาด้วย เลิกคิ้วคมขึ้น “เจ้าหาพบแล้ว?”ซ่งรั่วเจินพยักหน้า “พวกเขาสองคนเคยปรึกษากับหัวหน้าตระกูลเจียงเรื่องหนทางแก้ไขมาก่อน ทีแรกคิดหนีไปตอนท่านสอบสวน บังเอิญถูกหม่อมฉันพบเข้า”“ดูท่าแล้ว เจ้าเองก็ถามบางอย่างออกมาได้แล้ว?”ฉู่จวินถิงมองผ่านสีหน้าของซ่งรั่วเจินก็สามารถรู้ได้ พวกเขารู้จักกันมานานถึงเพียงนี้ รู้นิสัยเล็กๆ ของนางดีท่าทีที่แสดงออกในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่ากำลังภาคภูมิใจหลายส่วน“ย่อมเป็นเช่นนั้นเพคะ” ซ่งรั่วเจินยิ้มกว้าง “พวกเขาสองคนเป็นเพียงลูกสมุนตัวเล็กๆ หัวหน้าตระกูลเจียงต่างหากที่รู
“ฟังไม่เข้าใจ?”ซ่งรั่วเจินยกมุมปากน้อยๆ “ตอนพวกท่านใช้ไอมรณะข่มขู่นายอำเภอจ้าว พวกท่านน่าจะรู้ว่าผลลัพธ์เป็นเช่นไรกระมัง? อยากสัมผัสประสบการณ์ด้วยตนเองดูหรือไม่?”เพียงถ้อยคำนี้พูดออกไป สีหน้าทั้งคู่ก็เปลี่ยนไป “ไอมรณะ?”ซ่งรั่วเจินยกมือขึ้น ไอมรณะกลุ่มหนึ่งก็ไหลออกมาจากฝ่ามือ ใช้กลอุบายเพียงเล็กน้อย ทำให้ทั้งสองได้เห็นไอสีดำสายหนึ่ง“แท้จริงแล้วความรู้สึกยามไอมรณะเข้าสู่ร่างกายนั้น คนไม่เคยสัมผัสมาก่อนย่อมไม่รู้ ในเมื่อพวกท่านชมชอบใช้ไอมรณะถึงเพียงนี้ ก็สมควรลองดูด้วยตนเองสักรอบ”“ไม่ ไม่ พวกเราไม่รู้เรื่องอันใดเลยจริงๆ!”หัวหน้าตระกูลหลี่ขยับถอยหลังอย่างหวาดกลัว ภายในสายตาเปี่ยมความตกตะลึงก่อนหน้านี้พวกเขาเคยเห็นความน่ากลัวของไอมรณะมาก่อน ลูกสาวของจ้าวชิงหยวนก็ตายเพราะสาเหตุนี้ พวกเขาล้วนเห็นสภาพน่าสยดสยองตอนตายอยู่ภายในสายตา ชวนให้คนประหวั่นพรั่นพรึงโดยแท้!บัดนี้ แม่นางตรงหน้าถึงขั้นสามารถควบคุมไอมรณะได้ นั่นไม่เหมือนกับที่พวกเขาได้เห็นก่อนหน้านี้หรอกหรือ?“เช่นนั้นก็สงบเสงี่ยมสักหน่อย รีบพูดออกมา!”ซ่งรั่วเจินกวาดตามองสองคนตรงหน้า เดิมทีมองไม่เห็นความพิเศษอันใด แต่ได้เ
รูม่านตาหัวหน้าตระกูลเจียงหดลง ฉู่อ๋องถึงขั้นรู้!ต่อให้เป็นจ้าวชิงหยวน จนกระทั่งตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าตกลงสาเหตุคืออันใด ทว่าวันนี้ฉู่อ๋องเพิ่งมาถึงก็รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว“ท่านอ๋อง กระหม่อม...”เจียงฮูหยินและลูกๆ ล้วนตกตะลึงพรึงเพริด ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดท่านอ๋องมาแล้วจึงต้องการชีวิตพวกเขาทั้งหมด!“นายท่าน ท่านรีบพูดสิ! หรืออยากให้พวกเราต้องตายทั้งตระกูลเจ้าคะ?” เจียงฮูหยินร้อนใจตอนนี้เอง ฉู่จวินถิงเดินมาหยุดข้างกายซ่งรั่วเจิน เอ่ยปากเสียงนุ่มนวล “เจ้าไปเดินเล่นก่อน อีกเดี๋ยวข้าจะไปหาเจ้า”ซ่งรั่วเจินชะงักเบาๆ สายตาเลื่อนตกลงบนตัวทุกคนในตระกูลเจียงก็เข้าใจขึ้นมาหลายส่วน คาดว่าภาพต่อจากนี้ไม่เหมาะให้นางเห็น พยักหน้าลงอย่างเชื่อฟัง“เพคะ”หลังฝ่ายหญิงจากไป ฉู่จวินถิงหันหน้ากลับมาอย่างเชื่องช้า ดวงตาดำดุจหมึกคู่นั้นเปี่ยมไออำมหิต เขายืนนิ่งๆ อยู่ที่เดิม คล้ายราชามารก็มิปานชวนให้คนอกสั่นขวัญแขวน“เดิมทีข้าก็ไม่มีความอดทนมากอยู่แล้ว” ฉู่จวินถิงเหล่มอง “อวิ๋นหยาง”อวิ๋นหยางดึงกระบี่ออก วางพาดบนชายคนหนึ่ง ก็คือคุณชายใหญ่สกุลเจียงไม่ฟังความคนนั้น“ฆ่า!”อวิ๋นหยางฟันลงไปอย่างไม่ลังเล
“ตอนนี้มองดูแล้วที่นี่ไม่มีอันใดไม่เหมาะสม” ซ่งรั่วเจินเอ่ยขึ้น “ไม่มีไอมรณะ ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้สืบข่าวได้ว่าสกุลเจียงเองก็ไม่มีคนเจ็บป่วย”สายตาฉู่จวินถิงเย็นชา “อาจจะ...สมรู้ร่วมคิดกันตั้งแต่แรกแล้ว หรือไม่ก็ข่มขู่ธรรมดาก็เพียงพอให้พวกเขารับปากแล้ว”หัวหน้าตระกูลเจียงเร่งเดินทางออกมาอย่างว่องไว “คารวะฉู่อ๋อง!”ฉู่อ๋องมองหัวหน้าตระกูลเจียงแวบหนึ่ง เห็นข้างกายเขาไม่มีผู้อื่นอยู่ด้วย สายตาเจือแววนึกสนุก “หัวหน้าตระกูลเจียงอายุปูนนี้แล้ว คงไม่ใช่ยังไม่แต่งงานหรอกกระมัง?”“เรียนท่านอ๋อง บังเอิญยิ่งนัก ภรรยากระหม่อมพาลูกไปเยี่ยมญาติที่คูเมืองอื่นแล้ว บัดนี้ยังไม่กลับมาพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าตระกูลเจียงยิ้มประสบเอาใจพลางอธิบาย“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ฉู่จวินถิงยกมุมปากเบาๆ “วันนี้ภรรยาและลูกของหัวหน้าตระกูลเจียงออกจากเมืองไปเยี่ยมญาติ บังเอิญตอนข้ามาถึง ได้เชิญพวกเขากลับมาพร้อมกันแล้ว”“คาดว่าหัวหน้าตระกูลเจียงคงไม่ถือสากระมัง?”เสียงฉู่จวินถิงเพิ่งจบลง หัวหน้าตระกูลเจียงพลันใจสั่น ได้เห็นฉู่จวินถิงส่งสัญญาณผ่านทางสายตาทีหนึ่ง อวิ๋นหยางพาคนเข้ามาแล้ว“นายท่าน!”“ท่านพ่อ!”สีหน้าเจี
หัวหน้าตระกูลเจียงขมวดคิ้วแน่น พวกเขารู้ชื่อเสียงของฉู่อ๋องดีมาก นั่นคือเทพสังหารในสนามรบเชียวนะ!พวกเขาที่นี่อยู่ใกล้เมืองผิงหยาง ย่อมรู้จักบารมีของฉู่อ๋องดีที่สุด“พูดไปแล้วเรื่องนี้ยังต้องโทษท่าน เดิมทีฉู่อ๋องต้องการไปเมืองผิงหยาง ก็แค่แวะเติมเสบียงที่ท่าเรือเท่านั้น แต่พวกเจ้ากลับสร้างเรื่องที่ท่าเรือ ทำให้พวกเขาต้องอยู่ต่อ”สีหน้าหัวหน้าตระกูลหลี่ไม่สบอารมณ์ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้พวกเขาวางแผนไว้แล้ว ต่อให้ราชสำนักส่งคนมา นั่นจะต้องไปที่เมืองผิงหยางก่อน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีวันมาที่เมืองไห่เทียนก่อนทันทีที่ได้รับข่าว พวกเขาก็สามารถหาทางป้องกันตนเองได้ มีเวลามากเพียงพอใครคาดคิดเล่าว่าจะเกิดสถานการณ์ที่ทำให้พวกเขารับมือไม่ทันเช่นนี้ ไม่มีโอกาสหนีตั้งแต่แรก“เรื่องนี้ไม่สามารถโทษข้าได้ ไฉนเลยข้าจะรู้ว่าเรื่องจะบังเอิญถึงเพียงนี้?”หัวหน้าตระกูลเจียงอึดอัดใจอย่างอดไม่ได้ หากเขารู้ตั้งแต่แรก ก็ไม่มีวันปล่อยให้เรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้น น่าเสียดายบนโลกนี้ไม่มียารักษาโรคเสียใจภายหลัง“บัดนี้โทษใครก็ไม่สำคัญ รีบคิดเถอะว่าจะทำเช่นไร ข้าส่งคนไปสืบข่าวแล้ว ฉู่อ๋องไปที่อำเภอนั้น น่ากลัวว่าอ
อิงตามที่ซ่งเยี่ยนโจวพูด สถานการณ์ในตอนนั้นอันตรายมากอย่างแท้จริง หากไม่ใช่คนสกุลหลิงนำทหารเร่งเดินทางมาถึง เขาก็คงไม่มีชีวิตอยู่แล้วหลินจือเยว่กลับมีผลงานเพราะส่งข่าว หากไม่ได้เขาส่งข่าว สกุลหลิงไปไม่ทันเวลา น่ากลัวว่าจะต้องเสียชายแดนไปแล้วแน่ ไม่มีวันเอาชนะศึกในครั้งนี้ได้!แม้พูดว่าพวกเขาไม่มีหลักฐานพิสูจน์ทั้งหมดนี้ แต่เพียงเรื่องที่บิดายังไม่ตาย กลับไม่ส่งข่าวมาโดยตลอด ก็สามารถตั้งข้อสันนิษฐานได้มากแล้วภายในนี้จะต้องมีเงื่อนงำซ่อนอยู่แน่ทั้งหมด...ยังชี้ไปที่สกุลหลิงอีกด้วย!ยามฉู่จวินถิงมาถึงก็ได้เห็นพวกซ่งรั่วเจินสามพี่น้องกำลังนั่งรวมตัวกัน บรรยากาศตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด“ทำนายผลออกมาไม่ดีกระนั้นหรือ?” ภายในสายตาฉู่จวินถิงสะท้อนความกังวลซ่งรั่วเจินส่ายหน้า “เปล่าเพคะ ก็แค่คิดบางเรื่อง ท่านและท่านตาเข้าใจสถานการณ์แล้วหรือ?”“อยากรู้เรื่องผู้อยู่เบื้องหลัง ยังต้องไปสกุลเจียงสักเที่ยวหนึ่ง จะได้พบหัวหน้าตระกูลเจียง” ฉู่จวินถิงเผยสีหน้าเคร่งขรึม “ง้างปากของเขา สามารถลดปัญหาลงได้มาก”ซ่งรั่วเจินเข้าใจ “หม่อมฉันไปเป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่?”ในเมื่อทางฝั่งจ้าวชิงหยวนพบไอม
ดูท่าแล้ว ท่านพ่อสังเกตเห็นความอันตราย มิหนำซ้ำยังพบสถานที่ปลอดภัย “บางที...พวกเราไม่จำเป็นต้องไปหาท่านพ่อ ท่านพ่อก็จะมาหาพวกเราเอง”ถ้อยคำนี้พูดออกมาแล้ว พวกซ่งจืออวี้ทั้งสองคนเผยสีหน้าตกตะลึง “นี่หมายความว่าอะไร? หรือท่านพ่อสามารถรู้ได้ว่าพวกเรามากระนั้น?”“ท่านพ่อย่อมไม่รู้ หากข้าเดาไม่ผิด เป็นไปได้มากว่าท่านพ่อกำลังสืบเรื่องอุทกภัยจึงเข้ามาใกล้”ซ่งรั่วเจินใคร่ครวญพลางเอ่ยปาก “บัดนี้ตำแหน่งของท่านพ่อไม่ใช่ชายแดน ยิ่งไปกว่านั้นยังใกล้กับที่พวกเราอยู่ ข้าคิดว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”“พูดเช่นนี้แล้ว อาการบาดเจ็บของท่านพ่อหายดีแล้วกระนั้น?” ซ่งจืออวี้แปลกใจ หากเป็นเช่นนี้จริง นั่นก็คือข่าวดีซ่งจิ่งเซินกลับไม่ดีใจมากนัก “ใช่หรือไม่ว่าถูกไล่ต้อนให้จากไป? ครั้งนี้ท่านพ่อเกือบต้องทิ้งชีวิตในสนามรบ ข้าคิดว่าจะต้องถูกคนทำร้ายแน่!”“คนที่ทำร้ายเขารู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ จึงตามหาเขาทั่วสารทิศ”ซ่งรั่วเจินเองก็คิดว่าข้อสันนิษฐานนี้เป็นไปได้มากทีเดียว นึกอยากตามหาคน ทันใดนั้นความคิดหนึ่งแล่นผ่านสมองนางอย่างกะทันหัน จะใช่คุณชายใหญ่สกุลหลิงหรือไม่?นับตั้งแต่คำรบแรกที่นางได้พบหลิงเชี่ยนเอ