งานเลี้ยงวันเกิดของฉู่มู่เหยาเรียกได้ว่าได้รับการเตรียมการมาอย่างพิถีพิถัน เสียงบรรเลงดนตรีคลอโสต นางรำก็ยิ่งร่ายรำอย่างงดงามยิ่งนักซ่งรั่วเจินลิ้มรสอาหารที่ครัวหลวงจัดเตรียมมาอย่างพิถีพิถัน ฟังคำหยอกเย้าของพวกอวิ๋นอ๋องแล้วก็ยิ้มออกมาเป็นครั้งคราวฉู่มู่เหยาให้ซ่งรั่วเจินนั่งอยู่ข้างกาย ทั้งยังให้คนเว้นที่นั่งฝั่งซ้ายของซ่งรั่วเจินไว้สำหรับฉู่จวินถิงโดยเฉพาะกู้ฮวนเอ๋อร์ก็นั่งลงข้างที่ว่างอย่างรู้ความยิ่ง เว้นที่นั่งให้ฉู่อ๋องนั่งข้างซ่งรั่วเจิน ส่วนคนที่นางหันหน้าเข้าหาก็คืออวิ๋นอ๋องที่กำลังสนทนาอย่างเพลิดเพลิน“ญาติผู้พี่ ชุดที่ฉู่อ๋องสวมวันนี้ท่านเป็นคนทำใช่ไหมเจ้าคะ?” กู้ฮวนเอ๋อร์ขยับเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยถามขึ้นมาตอนที่ซ่งรั่วเจินมาถึงก็สังเกตเห็นชุดของฉู่จวินถิงได้ในทันที จึงไม่ได้ปฏิเสธกู้ฮวนเอ๋อร์เข้าใจแล้ว รอยยิ้มกว้างกว่าเดิม “ญาติผู้พี่ ท่านไม่รู้หรอกว่าตอนที่ท่านยังไม่มา ฉู่อ๋องจงใจอวดอ้างชุดที่ท่านทำให้เขาด้วยละ ถ้าข้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเองก็คงไม่กล้าเชื่อหรอก!”ซ่งรั่วเจินกะพริบตาแล้วเอ่ยอย่างประหลาดใจ “มีเรื่องเช่นนี้ด้วย?”กู้ฮวนเอ๋อร์พยักหน้าหงึกหงัก “ตอนนี้ข้าเข
ยามนี้ทุกคนนั่งประจำที่กันหมดแล้ว ถึงจะเหลือที่ว่าง แต่ก็อยู่ห่างจากตรงนี้มากนักก่อนหน้านี้เสด็จแม่ยังกำชับให้นางดูแลพี่หญิงหลิงเชี่ยนเอ๋อร์ดีๆ โดยเฉพาะ ไม่ได้กลับเมืองหลวงมานานเช่นนี้ ไม่คุ้นเคยกับใคร ย่อมไม่อาจปล่อยให้นางนั่งโดดเดี่ยวตามลำพังอยู่ด้านหลัง“วันนี้เป็นวันเกิดขององค์หญิง ข้านั่งด้วยไม่เหมาะสม” หลิงเชี่ยนเอ๋อร์ยิ้มอย่างอ่อนโยนและมีมารยาท “ข้าไปนั่งด้านหลังดีกว่า”ฉู่จวินถิงเหลือบมองหลิงเชี่ยนเอ๋อร์แวบหนึ่ง สายตากวาดไปยังข้างๆ ซ่งรั่วเจินอย่างครุ่นคิด เหมือนกำลังใคร่ครวญความเป็นไปได้ที่จะนั่งด้วยกันสองคนครู่ต่อมา เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “แม่นางหลิง เจ้ามานั่งตรงนี้เถอะ”ความประหลาดใจวาบผ่านดวงตาหลิงเชี่ยนเอ๋อร์ “แล้วเจ้า...”ซ่งรั่วเจินก็มองฉู่จวินถิงด้วยความประหลาดใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉู่มู่เหยาแนะนำก็รู้แล้วว่าพวกเขาเป็นสหายที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก แต่ด้วยนิสัยของฉู่จวินถิง ถึงกับเป็นฝ่ายสละที่นั่งเองหรือนี่?กู้ฮวนเอ๋อร์เห็นว่าฉู่อ๋องถึงขั้นสละที่นั่งของตนเองให้หลิงเชี่ยนเอ๋อร์ สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป ผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ดึงหลิงเชี่ยนเอ๋อร์มานั่งลงบนที่นั่งของ
“จวินถิง ไม่ได้กลับมาหลายปี เจ้าไม่ถือสาที่ข้าเรียกเจ้าแบบนี้กระมัง?” หลิงเชี่ยนเอ๋อร์เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาฉู่จวินถิงมีสีหน้าสูงส่งเย็นชาเหมือนที่ผ่านมา “ไม่เป็นไร คราวนี้พี่ใหญ่เจ้ากลับมาด้วยหรือไม่?”หลิงเชี่ยนเอ๋อร์ยิ้มบาง “พี่ใหญ่มีเรื่องบางอย่างยังจัดการไม่แล้วเสร็จจึงกลับมาช้ากว่าข้า แต่คิดว่าอีกสองวันก็คงกลับมาแล้ว รอจนเขากลับมาจะต้องไปชวนเจ้าร่ำสุราเป็นอันดับแรกอย่างแน่นอน”ฉู่จวินถิงนึกถึงหลิงมู่ชวน คล้ายกับว่านึกถึงช่วงเวลาที่เคยอยู่ด้วยกัน สีหน้าจึงอ่อนโยนลงเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้ได้เจอเขาตอนอยู่ในสนามรบ ในที่สุดตอนนี้ก็ได้กลับเมืองหลวงเสียที”เมื่อทุกคนเห็นฉู่จวินถิงที่พูดจาและปฏิบัติกับสตรีโดยไม่ไว้หน้ามาแต่ไหนแต่ไร ยามนี้กลับสนทนากับหลิงเชี่ยนเอ๋อร์ด้วยสีหน้าอ่อนโยนเช่นนี้ กระทั่งเป็นฝ่ายตอบโต้กลับไป ดวงตาต่างฉายแววตกตะลึง“ฉู่อ๋องกับแม่นางหลิงรู้จักกันมาตั้งแต่เล็ก ไม่เพียงมีความสัมพันธ์มานมนาน แม่นางหลิงยังเคยนำทัพออกศึก เรียกได้ว่าเป็นยอดสตรีในหมู่สตรี”“ถ้าทั้งคู่ได้ครองคู่กัน เช่นนั้นก็เหมาะสมกันไม่ธรรมดาเชียวละ!”“จนถึงตอนนี้ฉู่อ๋องก็ยังไม่หมั้นหมาย แม้ก่อนหน้านี
ถังเสวี่ยหนิงแค้นใจยิ่งนัก พอคิดถึงว่านางหมดโอกาสที่จะได้ครองคู่กับฉู่อ๋องเพราะเรื่องนี้ ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างยากจะบรรยายในเมื่อตอนนี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางยอมให้ฉู่อ๋องกับหลิงเชี่ยนเอ๋อร์ได้ครองคู่กัน แต่ไม่ยอมให้ซ่งรั่วเจินได้เป็นชายาของฉู่อ๋องเป็นอันขาด!“ดังนั้น เจ้าอยากพูดอะไร?” ซ่งรั่วเจินเลิกคิ้วบางพลางถาม“เจ้าช่างเสแสร้งเก่งเสียจริง ข้าไม่รู้ว่าเจ้าใช้วิธีการแบบไหนมาหลอกลวงฉู่อ๋อง แต่ฮองเฮาไม่หลงกลเจ้าง่ายๆ หรอก!”“บอกเจ้าตามตรงก็แล้วกัน หลิงเชี่ยนเอ๋อร์ต่างหากจึงเป็นคนที่คู่ควรกับฉู่อ๋อง! ไม่แน่ว่าอาจได้รับสมรสพระราชทานตอนไหนก็ได้ ทุกอย่างที่เจ้าหลงลำพองในตอนนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องน่าขันทั้งเพ!”ซ่งรั่วเจินหัวเราะเบาๆ “ตอนนี้เจ้ายอมรับแล้วสินะว่าตัวเองไม่คู่ควรกับฉู่อ๋อง?”“ข้าหมายถึงเจ้าต่างหาก! เจ้าไม่คู่ควร!” ถังเสวี่ยหนิงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงทว่าซ่งรั่วเจินเพียงมองนางอย่างไม่สะทกสะท้าน “ข้าคู่ควรหรือไม่คู่ควรไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามากังวลสนใจ ข้ายังไม่ร้อนใจ เจ้าจะเดือดร้อนไปทำไม?”“เจ้าช่างหน้าด้านไร้ยางอายสิ้นดี!” ถังเสวี่ยหนิงมีสีหน้าดูแคลน “อย่าคิดนะว่าข้าไม่รู้ว่
“พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา คุณหนูซ่งคือผู้มีพระคุณของข้า เดิมทีข้าควรไปขอบคุณด้วยตนเอง แต่ช่วงนี้อยู่ระหว่างการพักฟื้น จนถึงวันนี้เพิ่งจะดีขึ้นหน่อย”ซ่งรั่วเจินสังเกตเห็นว่าเช่ออ๋องเข้ามาใกล้อย่างกะทันหัน จึงขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ คนคนนี้…กำลังทำสิ่งใดอยู่กัน?เรื่องเมื่อครั้งก่อน พวกเขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดไว้ ตราบใดที่องค์ชายใหญ่ไม่ทำตัวโง่เขลา ก็ไม่น่าจะทำให้เช่ออ๋องคลางแคลงใจได้ แล้วเหตุใดเช่ออ๋องยังต้องมาขอบคุณตระกูลซ่งกัน?“ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องได้แสดงความขอบคุณแล้ว เรื่องเช่นนี้ไม่ว่าใครเห็นล้วนต้องช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องเก็บไปใส่ใจเพคะ”อย่างไรก็ตาม ฉู่เทียนเช่อยกมือขึ้นพูดว่า "นี่คือมารยาทที่ควรมี พรุ่งนี้ข้าจะไปเอง คุณหนูซ่งคงไม่ปฏิเสธใช่หรือไม่?" ซ่งรั่วเจินหัวเราะแห้งๆ เมื่อพูดถึงขนาดนี้แล้ว แม้คิดจะปฏิเสธก็คงทำไม่ได้ไม่ใช่หรือ?“ไม่อย่างแน่นอน การที่ท่านอ๋องมาถือเป็นโชคดีของพวกเราเพคะ”เมื่อถังเสวี่ยหนิงและหลิงเชี่ยนเอ๋อร์เห็นฉากนี้ ในใจก็ลอบรู้สึกประหลาดใจแม้ว่าเช่ออ๋องจะดูเป็นมิตรเข้าถึงได้ง่าย ทว่าท่าทีที่มีต่อซ่งรั่วเจินในขณะนี
คิ้วคมของฉู่จวินถิงขมวดลง ใบหน้าเย็นชาและไร้อารมณ์ในยามนี้ถูกปกคลุมด้วยความเย็นยะเยือก “ต่อไปหากเจอคนปากพล่อยเช่นนี้อีก เสด็จพี่ควรจับคนผู้นั้นส่งเข้ากรมราชทัณฑ์เพื่อหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ"“เป็นแค่เรื่องตลกไม่กี่ประโยคเท่านั้น เหตุใดเจ้าต้องจริงจังถึงเพียงนี้ด้วย?” ฉู่เทียนเช่อพูดล้อเลียน “อายุเจ้าไม่น้อยแล้ว การหมั้นหมายล่าช้าและยังไม่กำหนดเสียที สตรีจากตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงต่างจับจ้องอยู่ เป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงคำครหา”“ไม่คิดว่าเสด็จพี่ที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บจะยังมีใจมายุ่งเรื่องพวกนี้ด้วย ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้พี่สะใภ้รองคอยดูแลท่านจนล้มป่วย กระทั่งงานเลี้ยงตอนเย็นก็ไม่อาจมาเข้าร่วม?" ฉู่จวินถิงกล่าวเสียงเรียบสีหน้าของฉู่เทียนเช่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย กล่าวว่า "ไม่เป็นไร หมอหลวงได้ตรวจดูแล้ว แค่เป็นกังวลมากเกินไป พักผ่อนไม่กี่วันก็จะดีขึ้น"ขณะนั้นเองกู้ฮวนเอ๋อร์ก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นหลิงเชี่ยนเอ๋อร์และถังเสวี่ยหนิงยืนอยู่ด้วยกัน จึงอดสงสัยไม่ได้ "ญาติผู้พี่หลิง ที่แท้ท่านกับคุณหนูถังเป็นสหายรักกันหรือ? "หลิงเชี่ยนเอ๋อร์ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถอยหลังไปครึ่งก
สีหน้าของหลิงเชี่ยนเอ๋อร์เปลี่ยนไปเล็กน้อย ในดวงตาฉายแววไม่พอใจ ทว่ากลับพยักหน้าเบาๆ "แม่นางซ่งพูดถูก"กู้ฮวนเอ๋อร์มีสีหน้าประหลาดใจ นับตั้งแต่รู้จักกับญาติผู้พี่มา ทุกครั้งที่พบจะมีสีหน้ายิ้มแย้ม แม้ก่อนหน้านี้จะเคยได้ยินว่าความดุดันของญาติผู้พี่ในยามถอนหมั้น ทว่านางก็ไม่เคยเห็นกับตาตัวเองจนกระทั่งได้ยินคำพูดของญาติผู้พี่ในยามนี้ นางจึงรู้ถึงบรรยากาศของญาติผู้พี่ยามโกรธ และรู้สึกว่าช่างเหมาะสมกับฉู่อ๋องมากจริงๆ!“ญาติผู้พี่ เมื่อครู่ที่ท่านพูดเช่นนั้นกับแม่นางหลิง ไม่กลัวว่าทุกคนจะคิดว่าท่านไม่รู้ความหรือ?”เมื่อกู้ฮวนเอ๋อร์เห็นว่าทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว จึงเอ่ยปากเสียงเบา ดวงตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นซ่งรั่วเจินช้อนดวงตาคู่สวยขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดหยอกล้อ "เมื่อครู่ยังเป็นพี่หญิงหลิง ยามนี้เป็นแม่นางหลิงแล้ว เจ้าจะเรียกว่าอะไรกันแน่?"“ข้าเรียกนางว่าญาติผู้พี่ นั่นเพียงเพราะพูดตามมารยาทเท่านั้น ท่านต่างหากคือญาติผู้พี่ที่แท้จริงของข้า!” กู้ฮวนเอ๋อร์ดึงมือของซ่งรั่วเจินและพูดอย่างหน้าตาเฉย“การยอมเสียสละตนเพื่อความคิดเห็นของผู้อื่นนั้นไม่คุ้มเอาเสียเลย และข้าก็ไม่ได้พูดอะไรผ
“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” ซ่งรั่วเจินส่ายหัว “ช่วงนี้ถังเสวี่ยหนิงอารมณ์เสียมาก คาดว่าเพราะถูกลงโทษให้คุกเข่าในห้องบรรพชน เวลากลางคืนก็พักผ่อนไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงอ่อนเพลียเป็นลมลง”“เมื่อครู่ข้าก็เตือนแล้วว่านางป่วย นางกลับไม่เชื่อและยังบอกว่าข้าด่าทอนาง"สามพี่น้องตระกูลซ่ง “???”“แม่นางหลิง โปรดอย่าพูดไร้สาระเลย เมื่อครู่น้องสาวของข้าเตือนนางไปว่าหากป่วยก็ให้ไปหาหมอ เจ้ากับนางล้วนไม่เชื่อและยังพูดว่าน้องสาวของข้าใจร้าย ยามนี้นางเป็นลมไปแล้ว จะยังมาโทษน้องสาวข้าได้อย่างไร?”ซ่งจืออวี้เร็วที่สุด เมื่อได้ยินใครพูดจาใส่ร้ายน้องสาว ก็พูดอย่างไม่ให้เกียรติเลยแม้แต่น้อยหลิงเชี่ยนเอ๋อร์ตกตะลึง นึกขึ้นได้ว่าซ่งรั่วเจินเคยพูดก่อนหน้านี้ว่าถังเสวี่ยหนิงป่วย ป่วยจริงงั้นหรือ?“ข้าไม่ได้พูดไร้สาระ แค่…” “แค่อะไร? น้องสาวข้าเตือนด้วยเจตนาดี เจ้ากลับช่วยนางพูดว่าน้องสาวข้าหาว่านางป่วย ช่างประหลาดเสียจริง!”ซ่งจืออวี้มีสีหน้ารังเกียจ สายตาคู่นั้นราวกับกำลังมองคนโง่เดิมทีถังหงจี้พี่ชายของถังเสวี่ยหนิงกำลังรีบร้อนหาหมอหลวง ได้ยินสิ่งที่ซ่งจืออวี้พูดก็ยิ่งโกรธมากขึ้น“เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว
“ชิ้ง!”กู้ชิงฉือสัมผัสได้ว่ากระบี่คมสายหนึ่งผ่านข้างกายตนไป ไรผมช่อหนึ่งถูกตัด ตกตะลึงพรึงเพริดภายในใจ“นี่ให้เจ้า”ฉู่จวินถิงลังเลไปครู่หนึ่ง ยัดยันต์คุ้มภัยใส่มือกู้ชิงฉือ“เก็บไว้ให้ดีแทนข้าด้วย!”ครู่ต่อมา กู้ชิงฉือก็มองเห็นคู่ต่อสู้เบื้องหน้า ภายในสายตาสั่นสะท้าน ก้มหน้ามองดู นี่คือกระดาษยันต์สีเหลืองหนึ่งใบ“ท่านอ๋อง ท่านยกให้ข้า เช่นนั้นท่านจะทำเยี่ยงไร!”ไต้ซือเทียนจีเห็นฉู่จวินถิงมอบยันต์ให้กู้ชิงฉือ ภายในสายตาสะท้อนแววตกตะลึง ฉู่อ๋องอยู่ภายนอกได้ชื่อว่าโหดเหี้ยมอำมหิต ฆ่าคนไม่กะพริบตา ถึงขั้นมอบของป้องกันชีวิตให้ผู้อื่น?คนผู้นี้...มีภูมิหลังเช่นไร?“ไม่ต้องห่วงข้า”ฉู่จวินถิงหลับตาลง ได้ยินเสียงฝ่าอากาศรอบด้าน แยกแยะตำแหน่ง“ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง!”พลังอันแข็งแกร่งปะทุออกมา ฉู่จวินถิงเคลื่อนไหวอย่างว่องไว ราวกับมังกรเคลื่อนไหวก็มิปาน หลบหลีกการโจมตีที่พุ่งเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่ดาบในมือจะพุ่งแทงออกไปอย่างฉับพลัน“อ๊าก!”เสียงแผดร้องสายหนึ่งดังขึ้น ศพร่างหนึ่งปรากฏต่อหน้าทุกคน“ไอ้พวกชั่ว!”ภายในสายตาฉู่จวินถิงสะท้อนความอำมหิต คนผ่านเข้าไปกลางตรอกเล็ก ทั้งๆ
ซ่งรั่วเจินติดตามซ่งเยี่ยนโจวเดินทางมาถึงพื้นที่ที่ถูกปิดล้อมไว้ บัดนี้ถูกขวางไว้ ไม่อนุญาตให้ผู้ใดผ่านทางซ่งเยี่ยนโจวหยิบป้าย ทั้งสองคนผ่านเข้าไปอย่างราบรื่น“ภายนอกเป็นทหารของทางการรับผิดชอบค้นหา ส่วนภายในและภายนอกเมือง ฉู่อ๋องคล้ายพบความผิดปกติ ดังนั้นจึงพาคนไปค้นหาก่อน”ซ่งเยี่ยนโจวพาซ่งรั่วเจินขี่ม้าไป ว่องไวอย่างมากจากนั้นระยะทางใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ซ่งรั่วเจินมองผ่านการสัมผัสของผีทวงชีวิตที่เริ่มชัดเจนมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกตกตะลึงภายในใจ เวลาสั้นถึงเพียงนี้ ฉู่อ๋องถึงขั้นพบที่ซ่อนตัวของไต้ซือเทียนจีแล้ว?“บัดนี้สถานการณ์เป็นเช่นไร?” ซ่งเยี่ยนโจวเอ่ยถาม“ท่านหัวหน้าราชองครักษ์ ท่านมาแล้ว” จ้าวเจียงแม่ทัพที่เป็นหัวหน้าได้พบซ่งเยี่ยนโจวรีบตอบ “มีหนึ่งหน่วยหายไประหว่างค้นหาขอรับ ตอนนี้ท่านอ๋องกำลังพาคนออกค้นหา”“เรื่องวันนี้พูดไปแล้วก็แปลกมาก คนกลุ่มหนึ่งอยู่ดีๆ ก็หายไป ท่านว่าแปลกหรือไม่?”เพียงซ่งรั่วเจินได้ยิน พูดเสียงเครียด “อยู่ที่ใด?”จ้าวเจียงเห็นซ่งเยี่ยนโจวถึงขั้นพาแม่นางท่านหนึ่งมาด้วย ตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ แต่มองอย่างละเอียดแล้วก็จำฐานะของอีกฝ่ายได้ ท่าทีเคารพน
ซ่งรั่วเจินพยักหน้าเบาๆ รีบตามหลังไปฉู่จวินถิงพากลุ่มคนฝีมือดีเริ่มออกค้นหาในบริเวณที่เลือกไว้ ตั้งใจเอ่ยเตือนไม่ให้ปล่อยเบาะแสใดหนึ่งหน่วยภายในนั้นกำลังค้นหาตรอกเบื้องหน้า เดินไปๆ กลับๆ พบว่าตรอกนี้ยาวมาก ถึงขั้นเกิดความรู้สึกเดินไปไม่สุดทางทีแรกทุกคนยังไม่พบอะไร จนกระทั่งเดินเป็นรอบที่สาม นี่ถึงพบว่าเคยมาสถานที่เบื้องหน้ามาก่อน เหมือนกับสถานที่ที่เคยมาก่อนหน้านี้ทุกกระเบียดนิ้ว“ผิดปกติ เมื่อครู่พวกเราค้นหาที่นี่แล้วมิใช่หรือ เหตุใดรู้สึกว่ากลับว่าอีกครั้งแล้วเล่า?”“ใช่แล้ว เมื่อครู่ข้ามาที่นี่ ประตูใหญ่เหมือนเดิมทุกกระเบียดนิ้ว ข้ายังยกหินก้อนนี้ไว้ที่อีกฝั่งด้วย ต่อให้บ้านเรือนละแวกนี้คล้ายกัน แต่ก็ไม่มีวันเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วเช่นนี้!”คนเป็นหัวหน้าขมวดคิ้วแน่น “เร็ว พวกเราออกจากตรอกนี้ไป!”“ขอรับ” ทุกคนไม่ใส่ใจการค้นหาอีก เร่งฝีเท้าว่องไวยิ่งขึ้นออกจากตรอกเล็กนี้จากนั้นทุกคนเพิ่งถึงหน้าตรอก ก็พบว่าพวกเขากลับมาอยู่ภายในตรอกเล็กอีกครั้ง สีหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไป“นี่โดนของกลางวันแสกๆ เลยหรือ?”ทุกคนต่างหันหน้ามองกัน เรื่องโดนของแบบนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ถ้ามีแค่ค
“เช่นนั้นก็ค่อยๆ ค้นหา ค้นหาทุกครัวเรือน ห้ามมิให้ปล่อยที่ใดไปเป็นอันขาด โดยเฉพาะห้องใต้หลังคา ห้องใต้ดิน ไปจนถึงคอกวัวแกะหมู ต้องหาทั้งหมดให้ละเอียด!” ฉู่จวินถิงเอ่ยออกมา“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง!”บัดนี้ทุกคนจำภาพวาดไว้ในสมองแล้ว ท่านอ๋องพูดว่าขอเพียงจับคนได้ จะตกรางวัลให้อย่างงาม!กององครักษ์หลวงเริ่มค้นหาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่พลาดที่ใดไป อีกทั้งยังไม่ปล่อยโอกาสให้คนหลุดรอดไปได้ไต้ซือเทียนจีได้รับข่าวอย่างรวดเร็ว ยามได้รู้ว่าฉู่อ๋องนำทหารออกค้นหา ก็รู้ว่ากำลังค้นหาตนเอง สีหน้าเปลี่ยนเป็นไม่สบอารมณ์มากผิดปติ“ในเมื่อสามารถทำนายมาถึงข้าได้ ซ่งรั่วเจินคนนี้รับมือยากไม่ผิดไปดังคาด!”หลายวันก่อนเขาหลบซ่อน วางอุบายวางค่ายกล เดิมทีคนทั่วไปไม่สามารถตามหาตำแหน่งของเขาพบ นี่ทำให้เขากล้าอยู่ที่เมืองหลวงต่อใครคาดคิดเล่าว่าภายในมือซ่งรั่วเจินไม่รู้ลมหายใจของเขา ถึงขั้นสามารถทำนายตำแหน่งที่เขาอยู่ได้ ฝีมือไม่ธรรมดาจริงๆ!“ไต้ซือ ตอนนี้พวกเราจะทำเช่นไร? กององครักษ์หลวงมีความสามารถไม่น้อย ฉู่อ๋องเองก็วิชายุทธสูง หากถูกเขาจับได้ พวกเราจะต้องหนีไม่พ้นแน่!”ทุกคนร้อนใจขึ้นมาอย่างสุดระงับ หลายว
“เจ้าคงมิใช่หลอกคนหรอกกระมัง?” อวิ๋นหงหล่างเผยสีหน้าสงสัยซ่งจืออวี้กลอกตาขาว “ตาแก่ไร้ยางอายคนนี้ คิดสงสัยใครที่นี่? ช่วยท่านแล้วไม่พูดขอบคุณ ยังสงสัยน้องหญิงของข้าอีกกระนั้นรึ?”“ไปๆ ๆ รีบพาหญิงแก่แพศยาชาเขียวคนนี้ไสหัวไปได้แล้ว เห็นแล้วขยะแขยง!”“อีกเดี๋ยวส่งเงินมาให้ข้า หากภายในหนึ่งชั่วยามยังมาไม่ถึง ข้าจะไปแจ้งทางการ!”“พวกเจ้าเลิกยื่นเหม่อได้แล้ว ให้พวกเจ้าส่งแขก หากยังไม่ยอมไป ก็ใช้ไม้พองไล่ออกไป!”บ่าวรับใช้ทางด้านข้างดึงสติกลับมาได้ ต่างพากันถลันขึ้นไป เตรียมไล่คนอวิ๋นหงหล่างเองก็ไม่มีหน้าอยู่ที่นี่ต่อ ทำได้เพียงพาอนุอวิ๋นจากไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ปวดใจไม่หยุด นั่นคือเงินสามแสนตำลึงเชียวนะ!หันมองอนุอวิ๋นข้างกาย เขาเกิดโทสะขึ้นมาสายหนึ่ง หากไม่ใช่นางหาเรื่อง เรื่องราวก็คงไม่ต้องกลายเป็นเช่นนี้!จนกระทั่งทั้งสองคนจากไป ซ่งจืออวี้ก็พบว่าสายตาทุกคนล้วนตกลงบนตัวของตน เอ่ยออกมาอย่างอดไม่ได้ “พวกเจ้ามองข้าทำอันใด?”“พี่สาม ชาเขียวที่ท่านพูดหมายความว่าอะไร?” ซ่งจิ่งเซินแปลกใจอยู่บ้างซ่งจืออวี้ผายมือ “ข้าเองก็ไม่รู้ เรียนมาจากน้องหญิงห้า”ซ่งรั่วเจินเห็นทุกคนมองตนสีหน้าแป
นางจำรายการสินเดิมในปีนั้นได้อย่างชัดเจน รวมไปถึงกำไรของร้านค้าที่เป็นสินเดิมเพราะหลายปีมานี้ผิดหวังกับอวิ๋นหงหล่างมาก นางจึงหันไปสนใจการค้านางและกู้หรูเยียนเป็นสหายที่ดีต่อกัน การค้าของสกุลซ่งดีมากถึงเพียงนี้ ย่อมชี้แนะนางเป็นอย่างดี ดังนั้นเงินที่หาได้ย่อมมีไม่น้อย ภายในนั้นเขียนไว้ในบัญชีรวมมากมายทว่านางเก็บรักษาบัญชีของร้านไว้อย่างดี แม้แต่ภายในจวนเบิกเงินของนางไปมากน้อยเพียงใด นางก็จำได้ทั้งหมดบัดนี้...จะเอาคืนกลับมาให้หมด!“พี่หญิง คืนของให้ท่านย่อมเป็นเรื่องที่สมควรทำ แต่ท่านเองก็ต้องการมากเกินไปแล้ว”อนุอวิ๋นเอ่ยปากอย่างอดไม่ได้ หันมองอวิ๋นหงหล่างอย่างกังวล กลัวเขาโมโหลงนามลงไปอวิ๋นหงหล่างย่อมไม่ยอมให้เกิดปัญหาตามมาอย่างต่อเนื่อง แม้ปวดใจ แต่ยังลงนามประทับลายนิ้วมือลงไป“ตอนนี้ใช้ได้แล้ว พวกเจ้าสามารถช่วยคนได้แล้วกระมัง!”เห็นจางเหวินเก็บหนังสือหย่าไป ซ่งรั่วเจินเอ่ยปากเสียงเรียบ “ให้ข้าลงมือช่วยอนุอวิ๋นก็ย่อมได้ สามแสนตำลึง!”ถ้อยคำนี้พูดออกมา อวิ๋นหงหล่างก็โง่งมแล้ว “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”“ซ่งรั่วเจิน เจ้าอย่าทำเลยเถิดเกินไปนัก ทั้งๆ ที่เจ้าพูดว่าขอเพียงลงนามในหน
“ข้าคิดไว้ดีตั้งแต่แรกแล้ว นับตั้งแต่วันที่ติดตามท่านแม่ออกจากสกุลอวิ๋น ข้าก็ไม่คิดกลับไปอีก”พูดไป อวิ๋นเนี่ยนชูก็เหลือบมองอวิ๋นเฉิงเจ๋อแวบหนึ่ง พูดว่า “ภายภาคหน้าไม่ว่าข้าแต่งกับใคร ต่อให้เป็นเพียงสามัญชนคนหนึ่ง ข้าก็ยินดี”อย่างไรเสีย ชาตินี้หากไม่สามารถแต่งงานกับคนที่รักได้ ไม่ว่าแต่งกับใครก็ล้วนเหมือนกันเมื่อแรกท่านแม่แต่งงานกับท่านพ่อ ทุกคนล้วนพูดว่าแต่งได้ดี แต่สุดท้ายได้รับอะไรเล่า?อวิ๋นเฉิงเจ๋อได้ยินว่าอวิ๋นเนี่ยนชูจะแต่งงานกับสามัญชน ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว นิ้วมือภายในแขนเสื้อกำแน่น ภายในก้นบึ้งของสายตาซับซ้อน“เจ้า ดีนักนะ!” อวิ๋นหงหล่างโมโหจนหัวเราะออกมา “ถึงตอนนั้นเจ้าหาทางออกไปได้ อย่ามาขอข้าให้ช่วยเจ้าก็แล้วกัน!”“ข้าไม่มีวันทำเช่นนั้น ตรงข้ามกันภายในหัวใจท่านพ่อ ซีหว่านล้วนสำคัญที่สุดมาโดยตลอด”“นางทำผิดมากเพียงใดล้วนไม่เป็นไร ข้าเพียงทำผิดเล็กน้อยก็ถูกลงโทษ หากข้าตามท่านกลับไป ภายภาคหน้าบ้านหลังนี้มีอนุอวิ๋นดูแล ข้ายังจะมีชีวิตที่ดีอีกหรือ?”อวิ๋นเนี่ยนชูคิดตกแล้ว เดิมทีอนุอวิ๋นก็โหดเหี้ยมอำมหิต พวกเขาล้วนมองออก มีเพียงบิดาที่มองไม่ออกบางที...บิดาอาจไม่ยอมมอง
“ยังมีเจ้า!” หลิ่วหรูเยียนชี้อนุอวิ๋น “ตอนยังเป็นสาวร้องไห้สะอึกสะอื้นก็ช่างเถอะ บัดนี้แก่จนหน้าเหลืองแล้วกลับยังไม่แก้ไข หากชอบร้องไห้ถึงเพียงนั้น ตอนจัดงานศพก็ไปร้องที่นั่นสิ วิ่งมาสร้างความอัปมงคลที่จวนซ่งของพวกเราทำอันใด!”คนสกุลซ่งหันมองมารดาอย่างแปลกใจ ที่ผ่านมามารดาอ่อนโยนนุ่มนวล ไม่เคยพูดจาเช่นนี้มาก่อน คำพูดวันนี้ช่าง...สาแก่ใจจริงๆ!จางเหวินที่เดิมทีโมโหแทบแย่กลับถูกคำพูดของหลิ่วหรูเยียนทำให้ขำจนหัวเราะออกมานางหวนนึกถึงเมื่อครั้นยังอยู่ในวัยแรกรุ่น กู้หรูเยียนมีอุปนิสัยอ่อนโยนรังแกง่าย เพราะได้รับความทุกข์จากสกุลหลิ่ว ครอบครัวลำเอียง นางอธิบายไปแล้วก็ไม่มีใครฟัง หนำซ้ำยังถูกลงโทษ ดังนั้นกู้หรูเยียนจึงชินชากับการไม่อธิบายจนกระทั่งมีคนพูดว่าร้ายนาง นางได้เห็นคนอ่อนโยนนุ่มนวลเสมอมาอย่างกู้หรูเยียนออกมาตอบโต้คน ถึงขั้นด่ากลับไปความสะเทือนใจในตอนนั้นก็คล้ายตอนนี้ ฉากตรงหน้าแทบจะซ้อนทับกัน“หลายปีมานี้เจ้าไม่บอกข้ามาโดยตลอด หากข้ารู้ตั้งแต่แรกว่าเจ้าได้รับความทุกข์เช่นนี้ จะต้องช่วยเจ้าด่าชายโฉดหญิงชั่วไร้ยางอายคู่นี้ดีๆ แน่!”จางเหวินจับมือกู้หรูเยียนไว้ ขอบตาแดงเรื่อ “ห
“ข้าไม่ช่วย เดิมทีก็ถูกต้องตามหลักการ หาไม่แล้วคนชั่วในใต้หล้านี้ล้วนมาขอให้ข้าช่วยแก้ผลกรรมให้ นั่นยังไม่กลายเป็นโลกของคนชั่วอีกหรือ?”ซ่งรั่วเจินหัวเราะออกมา “ใต้เท้าอวิ๋น ท่านเป็นขุนนางในราชสสำนักมาหลายสิบปี ถึงขั้นไม่มีหลักคุณธรรมขั้นพื้นฐานกระนั้นหรือ?”“หากท่านคิดว่าท่านพูดมีเหตุผล ก็สามารถพูดเรื่องทั้งหมดออกมาได้ พอดีจะได้ถามคนทั่วหล้าว่าคิดเห็นเหมือนท่านหรือไม่!”เพียงอนุอวิ๋นได้ยินก็รีบพูด “ข้ามิได้เชิญผีน้อยมาทำร้ายพี่หญิง ข้าเพียงหวังให้นางและนายท่านกลับมาคืนดีกัน ข้าเองก็ถูกคนชั่วนั่นหลอก”“หากข้ารู้ตั้งแต่แรกก็ไม่มีวันทำเช่นนี้”“อ้อ งั้นหรือ?” ซ่งรั่วเจินเอ่ยปากเสียงเรียบ เนตรขนงเจือรอยยิ้ม “บัดนี้มีคนทำผิดเหมือนท่านไม่น้อย ราชสำนักมีบัญชีรายชื่ออยู่ในมือแล้ว”“ไม่สู้ไปถามคนเหล่านั้นดู ตกลงพวกเขารู้หรือไม่ว่าที่เชิญผีน้อยมาก็เพื่อทำร้ายคน?”“ถ้อยคำนี้ ท่านหลอกตนเองก็ช่างเถอะ คิดว่าคนทั่วหล้าโง่เขลาเหมือนท่านหรือ?”สายตาซ่งรั่วเจินคมกริบ “ทำร้ายคนและช่วยคน ทำร้ายคนต้องชดใช้มากยิ่งกว่า หากท่านทำเพราะอยากให้ทั้งสองคนคืนดีกันจริง สิ่งที่ท่านเชิญกลับไป สมควรเป็นพระพุทธ