งานเลี้ยงวันเกิดของฉู่มู่เหยาเรียกได้ว่าได้รับการเตรียมการมาอย่างพิถีพิถัน เสียงบรรเลงดนตรีคลอโสต นางรำก็ยิ่งร่ายรำอย่างงดงามยิ่งนักซ่งรั่วเจินลิ้มรสอาหารที่ครัวหลวงจัดเตรียมมาอย่างพิถีพิถัน ฟังคำหยอกเย้าของพวกอวิ๋นอ๋องแล้วก็ยิ้มออกมาเป็นครั้งคราวฉู่มู่เหยาให้ซ่งรั่วเจินนั่งอยู่ข้างกาย ทั้งยังให้คนเว้นที่นั่งฝั่งซ้ายของซ่งรั่วเจินไว้สำหรับฉู่จวินถิงโดยเฉพาะกู้ฮวนเอ๋อร์ก็นั่งลงข้างที่ว่างอย่างรู้ความยิ่ง เว้นที่นั่งให้ฉู่อ๋องนั่งข้างซ่งรั่วเจิน ส่วนคนที่นางหันหน้าเข้าหาก็คืออวิ๋นอ๋องที่กำลังสนทนาอย่างเพลิดเพลิน“ญาติผู้พี่ ชุดที่ฉู่อ๋องสวมวันนี้ท่านเป็นคนทำใช่ไหมเจ้าคะ?” กู้ฮวนเอ๋อร์ขยับเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยถามขึ้นมาตอนที่ซ่งรั่วเจินมาถึงก็สังเกตเห็นชุดของฉู่จวินถิงได้ในทันที จึงไม่ได้ปฏิเสธกู้ฮวนเอ๋อร์เข้าใจแล้ว รอยยิ้มกว้างกว่าเดิม “ญาติผู้พี่ ท่านไม่รู้หรอกว่าตอนที่ท่านยังไม่มา ฉู่อ๋องจงใจอวดอ้างชุดที่ท่านทำให้เขาด้วยละ ถ้าข้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเองก็คงไม่กล้าเชื่อหรอก!”ซ่งรั่วเจินกะพริบตาแล้วเอ่ยอย่างประหลาดใจ “มีเรื่องเช่นนี้ด้วย?”กู้ฮวนเอ๋อร์พยักหน้าหงึกหงัก “ตอนนี้ข้าเข
ยามนี้ทุกคนนั่งประจำที่กันหมดแล้ว ถึงจะเหลือที่ว่าง แต่ก็อยู่ห่างจากตรงนี้มากนักก่อนหน้านี้เสด็จแม่ยังกำชับให้นางดูแลพี่หญิงหลิงเชี่ยนเอ๋อร์ดีๆ โดยเฉพาะ ไม่ได้กลับเมืองหลวงมานานเช่นนี้ ไม่คุ้นเคยกับใคร ย่อมไม่อาจปล่อยให้นางนั่งโดดเดี่ยวตามลำพังอยู่ด้านหลัง“วันนี้เป็นวันเกิดขององค์หญิง ข้านั่งด้วยไม่เหมาะสม” หลิงเชี่ยนเอ๋อร์ยิ้มอย่างอ่อนโยนและมีมารยาท “ข้าไปนั่งด้านหลังดีกว่า”ฉู่จวินถิงเหลือบมองหลิงเชี่ยนเอ๋อร์แวบหนึ่ง สายตากวาดไปยังข้างๆ ซ่งรั่วเจินอย่างครุ่นคิด เหมือนกำลังใคร่ครวญความเป็นไปได้ที่จะนั่งด้วยกันสองคนครู่ต่อมา เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “แม่นางหลิง เจ้ามานั่งตรงนี้เถอะ”ความประหลาดใจวาบผ่านดวงตาหลิงเชี่ยนเอ๋อร์ “แล้วเจ้า...”ซ่งรั่วเจินก็มองฉู่จวินถิงด้วยความประหลาดใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉู่มู่เหยาแนะนำก็รู้แล้วว่าพวกเขาเป็นสหายที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก แต่ด้วยนิสัยของฉู่จวินถิง ถึงกับเป็นฝ่ายสละที่นั่งเองหรือนี่?กู้ฮวนเอ๋อร์เห็นว่าฉู่อ๋องถึงขั้นสละที่นั่งของตนเองให้หลิงเชี่ยนเอ๋อร์ สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป ผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ดึงหลิงเชี่ยนเอ๋อร์มานั่งลงบนที่นั่งของ
“จวินถิง ไม่ได้กลับมาหลายปี เจ้าไม่ถือสาที่ข้าเรียกเจ้าแบบนี้กระมัง?” หลิงเชี่ยนเอ๋อร์เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาฉู่จวินถิงมีสีหน้าสูงส่งเย็นชาเหมือนที่ผ่านมา “ไม่เป็นไร คราวนี้พี่ใหญ่เจ้ากลับมาด้วยหรือไม่?”หลิงเชี่ยนเอ๋อร์ยิ้มบาง “พี่ใหญ่มีเรื่องบางอย่างยังจัดการไม่แล้วเสร็จจึงกลับมาช้ากว่าข้า แต่คิดว่าอีกสองวันก็คงกลับมาแล้ว รอจนเขากลับมาจะต้องไปชวนเจ้าร่ำสุราเป็นอันดับแรกอย่างแน่นอน”ฉู่จวินถิงนึกถึงหลิงมู่ชวน คล้ายกับว่านึกถึงช่วงเวลาที่เคยอยู่ด้วยกัน สีหน้าจึงอ่อนโยนลงเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้ได้เจอเขาตอนอยู่ในสนามรบ ในที่สุดตอนนี้ก็ได้กลับเมืองหลวงเสียที”เมื่อทุกคนเห็นฉู่จวินถิงที่พูดจาและปฏิบัติกับสตรีโดยไม่ไว้หน้ามาแต่ไหนแต่ไร ยามนี้กลับสนทนากับหลิงเชี่ยนเอ๋อร์ด้วยสีหน้าอ่อนโยนเช่นนี้ กระทั่งเป็นฝ่ายตอบโต้กลับไป ดวงตาต่างฉายแววตกตะลึง“ฉู่อ๋องกับแม่นางหลิงรู้จักกันมาตั้งแต่เล็ก ไม่เพียงมีความสัมพันธ์มานมนาน แม่นางหลิงยังเคยนำทัพออกศึก เรียกได้ว่าเป็นยอดสตรีในหมู่สตรี”“ถ้าทั้งคู่ได้ครองคู่กัน เช่นนั้นก็เหมาะสมกันไม่ธรรมดาเชียวละ!”“จนถึงตอนนี้ฉู่อ๋องก็ยังไม่หมั้นหมาย แม้ก่อนหน้านี
ถังเสวี่ยหนิงแค้นใจยิ่งนัก พอคิดถึงว่านางหมดโอกาสที่จะได้ครองคู่กับฉู่อ๋องเพราะเรื่องนี้ ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างยากจะบรรยายในเมื่อตอนนี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางยอมให้ฉู่อ๋องกับหลิงเชี่ยนเอ๋อร์ได้ครองคู่กัน แต่ไม่ยอมให้ซ่งรั่วเจินได้เป็นชายาของฉู่อ๋องเป็นอันขาด!“ดังนั้น เจ้าอยากพูดอะไร?” ซ่งรั่วเจินเลิกคิ้วบางพลางถาม“เจ้าช่างเสแสร้งเก่งเสียจริง ข้าไม่รู้ว่าเจ้าใช้วิธีการแบบไหนมาหลอกลวงฉู่อ๋อง แต่ฮองเฮาไม่หลงกลเจ้าง่ายๆ หรอก!”“บอกเจ้าตามตรงก็แล้วกัน หลิงเชี่ยนเอ๋อร์ต่างหากจึงเป็นคนที่คู่ควรกับฉู่อ๋อง! ไม่แน่ว่าอาจได้รับสมรสพระราชทานตอนไหนก็ได้ ทุกอย่างที่เจ้าหลงลำพองในตอนนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องน่าขันทั้งเพ!”ซ่งรั่วเจินหัวเราะเบาๆ “ตอนนี้เจ้ายอมรับแล้วสินะว่าตัวเองไม่คู่ควรกับฉู่อ๋อง?”“ข้าหมายถึงเจ้าต่างหาก! เจ้าไม่คู่ควร!” ถังเสวี่ยหนิงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงทว่าซ่งรั่วเจินเพียงมองนางอย่างไม่สะทกสะท้าน “ข้าคู่ควรหรือไม่คู่ควรไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามากังวลสนใจ ข้ายังไม่ร้อนใจ เจ้าจะเดือดร้อนไปทำไม?”“เจ้าช่างหน้าด้านไร้ยางอายสิ้นดี!” ถังเสวี่ยหนิงมีสีหน้าดูแคลน “อย่าคิดนะว่าข้าไม่รู้ว่
“พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา คุณหนูซ่งคือผู้มีพระคุณของข้า เดิมทีข้าควรไปขอบคุณด้วยตนเอง แต่ช่วงนี้อยู่ระหว่างการพักฟื้น จนถึงวันนี้เพิ่งจะดีขึ้นหน่อย”ซ่งรั่วเจินสังเกตเห็นว่าเช่ออ๋องเข้ามาใกล้อย่างกะทันหัน จึงขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ คนคนนี้…กำลังทำสิ่งใดอยู่กัน?เรื่องเมื่อครั้งก่อน พวกเขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดไว้ ตราบใดที่องค์ชายใหญ่ไม่ทำตัวโง่เขลา ก็ไม่น่าจะทำให้เช่ออ๋องคลางแคลงใจได้ แล้วเหตุใดเช่ออ๋องยังต้องมาขอบคุณตระกูลซ่งกัน?“ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องได้แสดงความขอบคุณแล้ว เรื่องเช่นนี้ไม่ว่าใครเห็นล้วนต้องช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องเก็บไปใส่ใจเพคะ”อย่างไรก็ตาม ฉู่เทียนเช่อยกมือขึ้นพูดว่า "นี่คือมารยาทที่ควรมี พรุ่งนี้ข้าจะไปเอง คุณหนูซ่งคงไม่ปฏิเสธใช่หรือไม่?" ซ่งรั่วเจินหัวเราะแห้งๆ เมื่อพูดถึงขนาดนี้แล้ว แม้คิดจะปฏิเสธก็คงทำไม่ได้ไม่ใช่หรือ?“ไม่อย่างแน่นอน การที่ท่านอ๋องมาถือเป็นโชคดีของพวกเราเพคะ”เมื่อถังเสวี่ยหนิงและหลิงเชี่ยนเอ๋อร์เห็นฉากนี้ ในใจก็ลอบรู้สึกประหลาดใจแม้ว่าเช่ออ๋องจะดูเป็นมิตรเข้าถึงได้ง่าย ทว่าท่าทีที่มีต่อซ่งรั่วเจินในขณะนี
คิ้วคมของฉู่จวินถิงขมวดลง ใบหน้าเย็นชาและไร้อารมณ์ในยามนี้ถูกปกคลุมด้วยความเย็นยะเยือก “ต่อไปหากเจอคนปากพล่อยเช่นนี้อีก เสด็จพี่ควรจับคนผู้นั้นส่งเข้ากรมราชทัณฑ์เพื่อหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ"“เป็นแค่เรื่องตลกไม่กี่ประโยคเท่านั้น เหตุใดเจ้าต้องจริงจังถึงเพียงนี้ด้วย?” ฉู่เทียนเช่อพูดล้อเลียน “อายุเจ้าไม่น้อยแล้ว การหมั้นหมายล่าช้าและยังไม่กำหนดเสียที สตรีจากตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงต่างจับจ้องอยู่ เป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงคำครหา”“ไม่คิดว่าเสด็จพี่ที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บจะยังมีใจมายุ่งเรื่องพวกนี้ด้วย ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้พี่สะใภ้รองคอยดูแลท่านจนล้มป่วย กระทั่งงานเลี้ยงตอนเย็นก็ไม่อาจมาเข้าร่วม?" ฉู่จวินถิงกล่าวเสียงเรียบสีหน้าของฉู่เทียนเช่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย กล่าวว่า "ไม่เป็นไร หมอหลวงได้ตรวจดูแล้ว แค่เป็นกังวลมากเกินไป พักผ่อนไม่กี่วันก็จะดีขึ้น"ขณะนั้นเองกู้ฮวนเอ๋อร์ก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นหลิงเชี่ยนเอ๋อร์และถังเสวี่ยหนิงยืนอยู่ด้วยกัน จึงอดสงสัยไม่ได้ "ญาติผู้พี่หลิง ที่แท้ท่านกับคุณหนูถังเป็นสหายรักกันหรือ? "หลิงเชี่ยนเอ๋อร์ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถอยหลังไปครึ่งก
สีหน้าของหลิงเชี่ยนเอ๋อร์เปลี่ยนไปเล็กน้อย ในดวงตาฉายแววไม่พอใจ ทว่ากลับพยักหน้าเบาๆ "แม่นางซ่งพูดถูก"กู้ฮวนเอ๋อร์มีสีหน้าประหลาดใจ นับตั้งแต่รู้จักกับญาติผู้พี่มา ทุกครั้งที่พบจะมีสีหน้ายิ้มแย้ม แม้ก่อนหน้านี้จะเคยได้ยินว่าความดุดันของญาติผู้พี่ในยามถอนหมั้น ทว่านางก็ไม่เคยเห็นกับตาตัวเองจนกระทั่งได้ยินคำพูดของญาติผู้พี่ในยามนี้ นางจึงรู้ถึงบรรยากาศของญาติผู้พี่ยามโกรธ และรู้สึกว่าช่างเหมาะสมกับฉู่อ๋องมากจริงๆ!“ญาติผู้พี่ เมื่อครู่ที่ท่านพูดเช่นนั้นกับแม่นางหลิง ไม่กลัวว่าทุกคนจะคิดว่าท่านไม่รู้ความหรือ?”เมื่อกู้ฮวนเอ๋อร์เห็นว่าทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว จึงเอ่ยปากเสียงเบา ดวงตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นซ่งรั่วเจินช้อนดวงตาคู่สวยขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดหยอกล้อ "เมื่อครู่ยังเป็นพี่หญิงหลิง ยามนี้เป็นแม่นางหลิงแล้ว เจ้าจะเรียกว่าอะไรกันแน่?"“ข้าเรียกนางว่าญาติผู้พี่ นั่นเพียงเพราะพูดตามมารยาทเท่านั้น ท่านต่างหากคือญาติผู้พี่ที่แท้จริงของข้า!” กู้ฮวนเอ๋อร์ดึงมือของซ่งรั่วเจินและพูดอย่างหน้าตาเฉย“การยอมเสียสละตนเพื่อความคิดเห็นของผู้อื่นนั้นไม่คุ้มเอาเสียเลย และข้าก็ไม่ได้พูดอะไรผ
“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” ซ่งรั่วเจินส่ายหัว “ช่วงนี้ถังเสวี่ยหนิงอารมณ์เสียมาก คาดว่าเพราะถูกลงโทษให้คุกเข่าในห้องบรรพชน เวลากลางคืนก็พักผ่อนไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงอ่อนเพลียเป็นลมลง”“เมื่อครู่ข้าก็เตือนแล้วว่านางป่วย นางกลับไม่เชื่อและยังบอกว่าข้าด่าทอนาง"สามพี่น้องตระกูลซ่ง “???”“แม่นางหลิง โปรดอย่าพูดไร้สาระเลย เมื่อครู่น้องสาวของข้าเตือนนางไปว่าหากป่วยก็ให้ไปหาหมอ เจ้ากับนางล้วนไม่เชื่อและยังพูดว่าน้องสาวของข้าใจร้าย ยามนี้นางเป็นลมไปแล้ว จะยังมาโทษน้องสาวข้าได้อย่างไร?”ซ่งจืออวี้เร็วที่สุด เมื่อได้ยินใครพูดจาใส่ร้ายน้องสาว ก็พูดอย่างไม่ให้เกียรติเลยแม้แต่น้อยหลิงเชี่ยนเอ๋อร์ตกตะลึง นึกขึ้นได้ว่าซ่งรั่วเจินเคยพูดก่อนหน้านี้ว่าถังเสวี่ยหนิงป่วย ป่วยจริงงั้นหรือ?“ข้าไม่ได้พูดไร้สาระ แค่…” “แค่อะไร? น้องสาวข้าเตือนด้วยเจตนาดี เจ้ากลับช่วยนางพูดว่าน้องสาวข้าหาว่านางป่วย ช่างประหลาดเสียจริง!”ซ่งจืออวี้มีสีหน้ารังเกียจ สายตาคู่นั้นราวกับกำลังมองคนโง่เดิมทีถังหงจี้พี่ชายของถังเสวี่ยหนิงกำลังรีบร้อนหาหมอหลวง ได้ยินสิ่งที่ซ่งจืออวี้พูดก็ยิ่งโกรธมากขึ้น“เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว
ตอนนั้นสมองของนางขาวโพลน ชนิดที่ว่ายังเจือความขุ่นเคืองระคนเขินอายอีกด้วย คิดว่าญาติผู้พี่จำคนผิดไปจนกระทั่งได้ยินเขาพูดพึมพำชื่อของนางไม่หยุด ได้เห็นน้ำตาเจืออยู่ในสายตาของเขา ความรู้สึกของนางก็ซับซ้อนขึ้นมาจากนั้น นางประคองญาติผู้พี่เข้าห้อง ได้ยินเขาพูดพึมพำภายในความฝัน เรียกชื่อของนางเบาๆตอนจากมา นางชนเข้ากับหนังสือบนโต๊ะของเขาโดยไม่ทันระวัง ตอนหยิบของขึ้นมา จู่ๆ ก็ได้พบภาพวาดของตนถูกซ่อนไว้ด้านในบนภาพวาดนั้นเป็นนางสวมใส่ชุดที่ไปฟังเรื่องเล่านางเปิดลิ้นชักของโต๊ะเขียนหนังสือตัวนั้นออกดู พบว่าภายในล้วนเป็นภาพวาดของนางไม่เพียงแค่นางในตอนนี้ ยังมีนางในอดีต ทั้งหมดล้วนวาดเองกับมือของญาติผู้พี่คิดดูอย่างละเอียดแล้ว ตอนเด็กนางยังเคยไปที่ห้องของญาติผู้พี่ ต่อมาหลังความรักผลิบานในหัวใจก็ชอบไปหาญาติผู้พี่เพียงแต่จู่ๆ อยู่มาวันหนึ่ง ญาติผู้พี่บอกนางด้วยท่าทางเคร่งขรึมอย่างมาก นางเป็นหญิงสาวแล้ว ไม่สามารถเข้าห้องผู้ชายตามสะดวกได้ นางถึงเข้ามาน้อยครั้งทว่าชั่วขณะได้เห็นภาพวาดมากมายนี้ นางถึงเข้าใจอย่างชัดเจน เหตุใดญาติผู้พี่ไม่ให้นางเข้าห้องเพราะภายในห้องของเขามีของมากมายที
เมื่อเห็นกู้ฮวนเอ๋อร์ภาคภูมิใจเช่นนี้ ซ่งรั่วเจินและคนอื่น ๆ ก็อดมิได้ที่จะสงสัยใคร่รู้ ว่าของล้ำค่าที่ว่าคือสิ่งใดกันแน่? “ผ่าม!” กู้ฮวนเอ๋อร์เปิดกล่องผ้าไหมออกด้วยความตื่นเต้นยิ่ง แต่ทว่าหลังจากที่ทุกคนในงานเห็นของในกล่องผ้าไหมแล้ว ล้วนนิ่งงันไปทันที เนื่องด้วยในกล่องนั้นมีเจ้าแม่กวนอิมประทานบุตรอยู่องค์หนึ่ง! “แค่กๆ” ฉู่อวิ๋นกุยกระแอมครั้งหนึ่ง แต่ใบหน้ากลับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ สตรีที่เขาชอบนั้น ช่างเป็นคนที่ชาญฉลาดนัก! ซ่งรั่วเจินพลันมองไปทางฉู่จวินถิงโดยไม่รู้ตัว ใบหน้ากลับเห่อแดงขึ้นมา แววตาของฉู่จวินถิงปรากฏแววขบขันวาบผ่าน ของขวัญชิ้นนี้ช่างมีความหมายยิ่งนัก กู้ฮวนเอ๋อร์เห็นว่าหลังจากที่ตนหยิบของขวัญออกมาแล้ว ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น ”นี่มันสีหน้าอะไรของพวกเจ้ากัน? หรือว่าไม่ดีงั้นหรือ?“ “เจ้าแม่กวนอิมประทานบุตรองค์นี้ ข้าไปกราบขอมาโดยเฉพาะ ผ่านพิธีปลุกเสก ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก!” ซ่งรั่วเจิน “...” หลายครั้งนางเองก็นับถือกู้ฮวนเอ๋อร์จริง ๆ ทั้ง ๆ ที่อายุน้อยขนาดนี้ แต่ความคิดที่จะมอบของขวัญให้กลับเหมือนค
ณ เวลาเดียวกันนั้น อวิ๋นเนี่ยนชูก็ได้มาหาซ่งรั่วเจินเช่นกัน “รั่วเจิน ยินดีกับเจ้าด้วยนะ ข้าเองก็เห็นเหตุการณ์ในงานเทศกาลโคมไฟแล้ว เดิมทีอยากจะไปแสดงความยินดีกับเจ้าอยู่หรอก แต่หลังจากนั้นเกิดเรื่องบางอย่างทำให้ล่าช้าไป จึงต้องมามอบของขวัญแสดงความยินดีในวันนี้” อวิ๋นเนี่ยนชูยิ้มพลางยื่นของขวัญแสดงความยินดีไปให้ “นี่คือของสิ่งนี้ข้าเตรียมไว้แต่เนิ่น ๆ แล้ว ฉู่อ๋องเป็นคนดีจริง ๆ เมื่อพวกเจ้าได้แต่งงานกันแล้วจักต้องครองรักกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข จนผู้คนรอบข้างพากันริษยาแน่นอน” ซ่งรั่วเจินมองดูอวิ๋นเนี่ยนชูเปิดกล่องผ้าไหมออก ภายในบรรจุเครื่องประดับศีรษะของสตรีครบชุด เครื่องตกแต่งอื่น ๆ ไปจนถึงเครื่องประทินโฉม ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตกใจอย่างถึงที่สุด “ของมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ดูแล้วครบชุดเลย เจ้าให้จัดทำขึ้นมาโดยเฉพาะหรือ?” “ใช่แล้ว!” อวิ๋นเนี่ยนชูพยักหน้าพลางยิ้ม “แต่ก่อนข้าครุ่นคิดอยู่ตลอดว่าควรจะมอบสิ่งใดให้เจ้าเป็นของขวัญดี แต่คิดไปคิดมาก็ยังไม่มีสิ่งที่เหมาะสมที่สุดได้เลย” “หลังจากนั้น ข้าก็คิดว่า สิ่งที่สตรีมักจะใช้บ่อย ๆ ในชีวิตประจำวันก็มิพ้นเคร
เมื่อได้ฟังสิ่งที่จางเหวินพูด กู้หรูเยียนกับเยี่ยนชิงอวี้ต่างก็อดมิได้ที่จะตกตะลึง ตั้งแต่เมื่อเริ่มรู้จักความรักครั้งแรกก็ชอบพอเฉิงเจ๋อ ถ้าอย่างนั้น ก็ชอบพอหลายปีจริง ๆ พวกเขากลับมิรู้มาโดยตลอด คิดดูแล้ว ในใจเด็กทั้งสองคงมีสิ่งที่เก็บกลั้นไว้อยู่ “จะว่าไป ก็ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้ที่ข้ามิได้ใส่ใจให้ดีนัก เอาแต่ให้เฉิงเจ๋อคอยดูแลน้องสาวให้ดี” “เนี่ยนชูชอบตามติดอยู่ข้างกายเฉิงเจ๋อมาตั้งแต่เล็ก ทุกครั้งที่เฉิงเจ๋อกลับจากสำนักศึกษา เป็นเวลาที่นางมักดีใจเป็นที่สุด ข้าก็นึกว่าเป็นเพียงความรักฉันพี่น้องมาโดยตลอด” “มาตรองดูดี ๆ แล้ว ตอนนั้นข้าก็ควรพบความผิดแผกได้ หากเป็นเพียงพี่น้องธรรมดา เหตุใดเด็กทั้งสองจึงมิยอมแต่งงานจนถึงตอนนี้?” จางเหวินยิ่งเอ่ยก็ยิ่งปวดใจ เมื่อนึกถึงคราวก่อนที่อนุอวิ๋นยังหมายจะยกอวิ๋นซีหว่านที่ยังไม่ได้แต่งงานให้แก่เฉิงเจ๋อ เกรงว่าตอนนั้น หัวใจของเด็กทั้งสองคงรวดร้าวมิใช่น้อย ถึงขั้นที่ เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นในตอนนั้น นางยังเคยกล่าวกับเฉิงเจ๋อด้วยว่า เรื่องนี้ช่างน่าขันเสียจริง นางมองเขาเป็นดั่งบุตรชายแท้ ๆ มาโดยตลอด อนาคตจะต้องเลือกคู่ค
“พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้ายังจะเกรงใจข้าอีกหรือ? ที่ข้ามานี้ มิใช่เพียงเพื่อช่วยรั่วเจินเตรียมงานแต่งเท่านั้น อีกทั้งยังได้เห็นหน้าชิงอินด้วย ช่างเป็นเรื่องดีเสียจริง” ขณะที่กู้หรูเยียนและเยี่ยนชิงอวี้กำลังสนทนาหยอกเย้ากันอยู่นั้น ก็พลันสังเกตเห็นว่าจางเหวินราวกับเหม่อลอยอยู่ไม่น้อย “หรือว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือ? เหตุใดเจ้าจึงมีท่าทีเหม่อลอยเช่นนี้?” กู้หรูเยียนเอ่ยถาม จางเหวินจึงได้คืนสติ ในใจของนางล้วนมีแต่เรื่องของเนี่ยนชูกับเฉิงเจ๋อ จนเผลอใจลอยไปโดยไม่รู้ตัว “ข้า...” นางเหมือนจะเอื้อนเอ่ย แต่กลับชะงักไป เยี่ยนชิงอวี้ขมวดคิ้ว “เจ้ามีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถบอกพวกเราได้งั้นหรือ? บอกมาตามตรงเถิด” “ที่อนุอวิ๋นพูดมามิผิดเลย ระหว่างเนี่ยนชูและเฉิงเจ๋อต่างก็มีใจให้กัน” จางเหวินทอดถอนใจครั้งหนี่ง เมื่อนึกถึงภาพที่นางได้เห็นเมื่อวานยามกลับจวน เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเฉิงเจ๋อในสภาพเช่นนั้น บทสนทนาของทั้งสอง นางก็พลอยได้ยินไปด้วย นางจึงได้รู้ว่าที่แท้เนียนชู่ชอบพอเฉิงเจ๋อมาหลายปีเพียงนี้ ในฐานะมารดาเช่นนาง นางคิดว่าตนใส่ใจบุตรเป็นอย่าง
ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น นางกำนัลในตำหนักจงเฟยก็พลันเข้ามา“ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” นางกำนัลก้มกายคำนับด้วยท่าทางเคารพนบนอบ แต่ในมือกลับถือเซียนบุปผาเอาไว้หนึ่งองค์ “แม่นางของบ่าว ให้บ่าวนำเซียนบุปผามาให้ฮองเฮา ขอเพียงทรงบูชาด้วยใจที่ตั้งมั่น ก็จะสามารถเปล่งปลั่งผุดผ่อง ทำให้เยาว์วัยตราบนานเท่านาน” เมื่อวาจาถูกเปล่งออกมาเช่นนั้น ฮองเฮาและลู่หมิ่นฮุ่ย ต่างพินิจพิจารณาเซียนบุปผาที่อยู่ตรงหน้า ต้องบอกเลยว่ารูปปั้นนี้ถูกทำขึ้นได้สมจริงยิ่งนัก เซียนบุปผานั้นก็งามวิจิตรด้วยรูปลักษณ์อันเย้ายวนตา “นี่มันเซียนบุปผาอะไรกัน? ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” แววตาของฮองเฮาปรากฏแววประหลาดใจวาบหนึ่ง ในใจกับยิ่งรู้สึกสงสัย จงเฟยมีน้ำใจงามถึงเพียงนี้เชียวหรือ จึงยอมมอบของล้ำค่าเช่นนี้ให้แก่นาง? นางสนมวังหลัง ต่างกำลังช่วงชิงแข่งขัน หวังเพียงให้ตนสามารถงามล้ำกว่าผู้อื่น เพื่อที่ฮ่องเต้จะได้ต้องตาในคราแรกเห็น จงเฟยในวันนี้ผุดผ่องไปทั้งตัวยิ่งกว่าทุกวัน แค่ฮ่องเต้ได้เห็น ราตรีนี้ย่อมต้องพลิกป้ายชื่อของนางเป็นแน่ หากความลับที่ทำให้จงเฟยงดงามขึ้นเป็นเพราะการบูชาเซียนบุปผ
นับตั้งแต่แต่งงานกันเป็นต้นมา ท่านอ๋องก็ปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่งมาโดยตลอด โดยเฉพาะหลังจากแต่งงานแล้ว นั่นยิ่งไม่จำเป็นต้องพูดถึงเลยฮองเฮามองแหวนบนมือลู่หมิ่นฮุ่ยแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ “ท่านอ๋องของเจ้าดีต่อเจ้ามากมาแต่ไหนแต่ไร ส่งของขวัญมาให้รวดเร็วปานนี้ ข้าได้ยินมาว่าแหวนในร้านขายเครื่องประดับทั่วเมืองหลวงถูกขายหมดเกลี้ยงแล้ว เมื่อก่อนหาได้ขายดีเท่าปิ่นปักผมไม่”“ไม่รู้ว่าจวินถิงคิดวิธีแปลกใหม่เช่นนี้ได้อย่างไร แต่ข้าแค่ได้ยินก็รู้สึกว่าพวกเขาสองคนเป็นคู่สร้างคู่สมโดยแท้ ช่างชวนให้คนอิจฉานัก”ลู่หมิ่นฮุ่ยดื่มชาจิบหนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “พี่หญิง ยามนี้ท่านคิดตกแล้วช่างดีเหลือเกิน ข้าได้ยินมาว่าหลังจากที่ไทเฮาทรงทราบว่าฝ่าบาทพระราชทานสมรส ยังให้คนนำของพระราชทานไปส่งที่สกุลซ่งไม่น้อยเลย เห็นได้ชัดว่าโปรดปรานแม่นางซ่งมาก”ฮองเฮาพยักหน้าน้อยๆ วันนี้ตอนที่นางได้ยินข่าวนี้ก็มีความคิดแบบเดียวกัน ความโปรดปรานที่ไทเฮามีต่อซ่งรั่วเจินช่างชวนให้คนประหลาดใจโดยแท้แต่สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นข่าวดียิ่งโดยไม่ต้องสงสัย“จริงสิ ข้าได้ยินมาว่าแม่นางสกุลหลิงผู้นั้นหมู่นี้ใกล้ชิดกับเช่ออ๋องมากทีเดียว คน
“ก่อนแต่งงานเขาสามารถคิดวิธีการนี้ออกมาได้ หลังแต่งงานก็ย่อมสามารถคิดวิธีอื่นออกมาได้เหมือนกัน เขาย่อมจะมีวิธีแก้ไข”ซ่งหลินมองไปทางกู้หรูเยียน “คิดถึงสมัยที่แม่ข้ายังอยู่ ข้าก็จัดการเรื่องต่างๆ ได้ดีเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”กู้หรูเยียนอึ้งไป คิดถึงเมื่อครั้งที่แม่สามียังอยู่ ระหว่างนางกับแม่สามีก็ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีความขัดแย้งอันใด ทุกครั้งซ่งหลินล้วนจัดการได้ดีมากตอนเริ่มแรก นางเข้าใจมาตลอดว่าเป็นเพราะแม่สามีนิสัยดี รู้สถานการณ์ที่นางอยู่ในตระกูลหลิ่วแล้วยังยินดียอมรับนางอย่างไรเสีย รูปแบบการทำเรื่องต่างๆ ของตระกูลหลิ่วหลายปีมานี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ดื้อด้านไร้เหตุผล ชอบมาหาผลประโยชน์จากตระกูลซ่ง นางรู้สึกละอายใจต่อตระกูลซ่งมาโดยตลอดโชคดีที่ทั้งแม่สามีและพ่อสามีล้วนไม่เคยตำหนินางเพราะเรื่องนี้ นางย่อมเข้าใจว่าในเรื่องนี้ย่อมขาดความชอบของซ่งหลินไปไม่ได้เลย“ตอนนั้นท่านโน้มน้าวแม่สามีอย่างไรหรือ?” กู้หรูเยียนถามอย่างสงสัยตอนนั้นนางกังวลใจไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ทุกครั้งที่ซ่งหลินบอกนางว่าไม่เป็นไร พ่อสามีและแม่สามีจิตใจกว้างขวาง ไม่เคยเก็บเรื่องพวกนี้มาใส่ใจ แต่กลับเห็นใจนางเป
“เมื่อวานข้าได้ดูตั้งแต่ต้นจนจบ การจัดเตรียมแสนอลังการแบบนี้ ไม่เพียงแค่ไม่เคยเห็นมาก่อนเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความจริงใจของฉู่อ๋อง”“ตอนที่ข้าเห็นฉู่อ๋องเป็นฝ่ายถามแม่นางซ่งว่ายินดีแต่งงานกับเขาหรือไม่ก็รู้สึกว่าถ้าบุรุษในใต้หล้าเป็นเหมือนเขากันทุกคนก็คงดี”“ไม่รู้ว่าการมอบแหวนมีความหมายพิเศษอันใดหรือไม่? ตอนข้าเห็นฉู่อ๋องสวมแหวนให้แม่นางซ่งก็รู้สึกว่าพิเศษเอามากๆ วันหน้าตอนข้าแต่งงานก็อยากทำเช่นนี้เหมือนกัน”ทันใดนั้น แหวนในร้านขายเครื่องประดับก็กลายเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุด ตั้งแต่เมื่อคืนวานจนถึงเช้าวันนี้ แหวนทั้งหมดล้วนขายไปจนหมดเกลี้ยงขณะที่เวลานี้จวนสกุลซ่งเพิ่งได้รับราชโองการพระราชทานสมรส“ยินดีด้วย แม่ทัพซ่ง ซ่งฮูหยิน วันที่แปดเดือนหน้าเป็นวันดี หลังแต่งงานแล้ว แม่นางซ่งก็จะกลายเป็นพระชายาฉู่อ๋อง”ขันทีที่อัญเชิญราชโองการมามีรอยยิ้มเต็มใบหน้า ตำแหน่งพระชายาฉู่อ๋องว่างเว้นมานานมากแล้ว ฉู่อ๋องควรแต่งงานตั้งแต่หลายปีก่อน แต่ก็ผัดผ่อนมาจนถึงตอนนี้บัดนี้ในที่สุดก็มีว่าที่พระชายาฉู่อ๋องเสียที ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองโดยแท้“เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งของพระราชทานจากในวัง ไม่เพ