ซ่งรั่วเจินเป็นเจ้าสำนักวิชาเต๋า สิ่งที่เชี่ยวชาญก็คือศาสตร์ลี้ลับ ศาสตร์แห่งการทำนาย ยันต์แปดทิศ และศาสตร์ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่ลี้ลับลึกซึ้งเกินไป เวลาอธิบายมักจะทำให้คนเข้าใจได้ยาก มิสู้บอกว่ามีตาทิพย์ย่อมเข้าใจได้ง่ายกว่าหลิ่วหรูเยียนกับลูกชายทั้งสองอึ้งไปเพราะข้อมูลใหม่นี้ จิตใต้สำนึกบอกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อคิดถึงเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา นอกจากสาเหตุนี้ก็ดูเหมือนจะหาเหตุผลที่เหมาะสมกว่ามาอธิบายไม่ได้แล้ว“หลังเจ้าได้รับความสะเทือนใจก็มีความสามารถนี้หรือ?” หลิ่วหรูเยียนถามอย่างอดไม่ได้“ความจริงแล้ว วันนั้นพอได้รู้ว่าหลินโหวจะแต่งภรรยาสองคนพร้อมกัน ข้าก็โมโหจนสลบไป พอฟื้นขึ้นมาก็มีความทรงจำเหล่านี้แล้วเจ้าค่ะ...”ซ่งรั่วเจินก้มหน้า ใบหน้าพริ้มเพรานั้นสะท้อนความอับจนปัญญาและความลำบากใจ สองวันมานี้นางแสดงออกตามใจตัวเองเกินไปแล้ว ทำให้คนสงสัยได้ง่าย ตอนนี้แสดงความอ่อนแอออกมาอย่างเหมาะสมถึงจะทำให้คนเชื่อ“มิน่าเล่า” หลิ่วหรูเยียนปวดใจยิ่งนัก “เจินเอ๋อร์ เวลาอยู่ต่อหน้าพวกข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องแสร้งเป็นเข้มแข็ง ก่อนหน้านี้พวกเราทุกคนถูกหลินโหวหลอกลวง คิด
แต่ไหนแต่ไรมานางเป็นคนใจร้าย สำหรับคนที่ไม่ดีกับตน อย่าคิดฝันจะได้เอาเปรียบกันแม้แต่น้อย!จนกระทั่งมาถึงร้าน ก็ได้ยินเสียงทะเลาะดังออกจากด้านใน“พ่อบ้านหลิน หลายวันก่อนคุณหนูของข้าส่งคนมาแจ้งแล้ว นับแต่นี้ไปไม่เกี่ยวข้องอันใดกับจวนหลินโหวอีก ดังนั้นบัญชีเงินทั้งหมดล้วนส่งคืนให้สกุลซ่ง เจ้าอย่าว่าแต่เงินเลย แม้แต่เงินเชื่อก็ไม่ได้” ผู้จัดการร้านซ่งอวี้ปฏิเสธเสียงเฉียบ“ผู้จัดการซ่ง บัญชีของร้านตลอดสองปีมานี้ส่งไปให้จวนของพวกเรามาโดยตลอด เรื่องจิปาถะเช่นนี้จะพูดให้ชัดเจนอย่างง่ายดายได้อย่างไร?”“มิหนำซ้ำ เดิมทีร้านนี้ก็เป็นของจวนสกุลหลินของพวกเรา แม่นางซ่งเพียงให้เจ้ามาช่วยพวกเราดูแล บัดนี้นับว่าถอนหมั้นแล้ว ร้านก็เป็นของพวกเรา ที่สมควรไปก็คือพวกเจ้าต่างหาก!”พ่อบ้านหลินโมโหกระทืบเท้าอย่างโอหังพลางชูคอขึ้น “พวกเจ้าจงไปเดี๋ยวนี้เลย ห้ามมิให้นำของทั้งหมดไป หาไม่แล้วก็คือขโมย!”“สิ่งของเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นพวกเราสกุลซ่งนำมา พวกเจ้ายังคิดละโมบกระนั้นรึ? อย่าได้ทำเกินไปนัก!”ซ่งอวี้โมโหจนสีหน้าแข็งทื่อดุจเหล็ก เมื่อแรกตอนพวกเขารับช่วงต่อร้านนี้ ภายในทั้งเก่าทั้งโทรม เพียงแต่ตกแต่งซ่
“ลืมตาสุนัขของเจ้าดูให้ชัดเจน! หาไม่แล้วให้ฮูหยินผู้เฒ่าของเจ้าไปพูดให้กระจ่างในศาลก็ย่อมได้ เงินของสกุลซ่งของข้า คนสารเลวเช่นเจ้าคิดจะโลภก็โลภได้กระนั้นรึ?”ซ่งจืออวี้เผยสีหน้ารังเกียจ ยกมือตบไปหนึ่งฉาด ตบเสียจนตาสองข้างของหลินเทามองเห็นดาวสีทองเขานับว่าเข้าใจแล้วเพราะเหตุใดน้องหญิงห้าจึงต้องพาอันธพาลมามากเพียงนี้ คนสกุลหลินเหล่านี้ช่างไร้ศักดิ์ศรีไร้ยางอายโดยแท้!“ท่าน...เหตุใดท่านตบคนเล่า?” หลินเทาเปล่งเสียงลนลาน“ข้าอยากตบก็ตบ เจ้าคนมีตาหามีแววไม่ ข้าตบหลินจือเยว่เขาก็ไม่กล้าตอบโต้ เจ้านับเป็นตัวอะไร?”ซ่งจืออวี้ไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย ยกมือตบใบหน้าอีกด้านของหลินเทาอีกหนึ่งฉาด คราวนี้จึงบวมเป่งเหมือนกันทั้งสองข้าง คล้ายหัวหมูก็มิปาน“ติดหนี้พวกเราแปดล้านตำลึงยังไม่คืน ยังคิดหมายตาร้านของพวกเราอีก มิใช่พูดว่าหลินโหวเป็นขุนนางมือสะอาด ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์กระนั้นหรือ? ช่างเป็นคนไร้ยางอายมาอาศัยรวมกันโดยแท้ ไสหัวไป!”หลินเทาได้ยินเพียงว่าคุณชายสามสกุลซ่งวู่วามไร้สมอง ไฉนเลยจะคิดได้ว่าเขาเป็นคนไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด ไม่พูดพร่ำก็ตบเขาแล้ว ตกใจเสียจนเขาต้องกุมศีรษะรีบขยับถอยหลัง“ท่
นี่มันช่าง...โหดร้ายกับเขาเกินไปแล้วซ่งอี้อันได้ยินเสียงคุ้นหูของจ้าวซูหว่านตั้งแต่แรกแล้ว เขาหลุบตาส่ายหน้า เป็นสัญญาณว่าเขาอยากฟังต่อไปเห็นดังนั้น พวกซ่งรั่วเจินทั้งสองคนก็มิได้จากไป ฟังทั้งสองคนฉุดกระชากกันพลางพูดเรื่องหน้าไม่อาย“เช่นนั้นตอนนี้จะทำอย่างไร? หลังตัวไร้ประโยชน์อย่างซ่งอี้อันผู้นั้นกลายเป็นคนตาบอด ข้าก็อยากถอนหมั้น ท่านให้ข้ารออยู่ตลอด ยืดเยื้อมาจนถึงตอนนี้ ข้าถอนหมั้นแล้ว ไม่ว่าสิ่งใดข้าก็ให้ท่านทั้งหมดแล้ว ท่านจะไม่สู่ขอข้าไม่ได้นะ”“ตอนแรกคนของท่านสมควรลงมือหนักยิ่งกว่านี้ ฆ่าเขาให้ตายแต่แรก เรื่องก็ไม่ยุ่งยากมากถึงเพียงนี้แล้ว”“บัดนี้ข้าตั้งครรภ์แล้ว ข้ารอได้ แต่ลูกในท้องสามารถรอได้กระนั้นหรือ?”ฉินเซี่ยงเหิงจับข้อมือจ้าวซูหว่าน “ซูหว่าน เจ้าต้องเชื่อความจริงใจของข้าที่มีต่อเจ้า ข้าต้องสู่ขอเจ้าเป็นแน่ หากมิใช่เพราะเจ้ากับซ่งอี้อันหมั้นหมายกัน พวกเราก็ได้อยู่ด้วยกันตั้งนานแล้ว”“มิสู้...เจ้าไปหาซ่งอี้อัน ร้องไห้ต่อหน้าเขาสักรอบหนึ่ง พูดว่าเจ้ามีใจให้ข้า แต่ข้าห่วงใยความรู้สึกของเขาจึงไม่ยอมอยู่ร่วมกับเจ้า เจ้าตาบอดคนนั้นรู้ว่าตนเองไม่เหมาะสมกับเจ้า จะต้อง
สามพี่น้องพบคู่ชู้รักแล้วก็ไม่มีแก่ใจกินข้าวอีก จ้าวซูหว่านกับฉินเซี่ยงเหิงช่างน่ารังเกียจนัก เกรงว่าอีกไม่นานจะต้องมาร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าซ่งอี้อันเป็นแน่“ฉินเซี่ยงเหิงใช่พี่ชายของฉินซวงซวงหรือไม่?” ซ่งรั่วเจินเอ่ยปากถามซ่งอี้อันชะงัก ฉับพลันก็ดึงสติกลับมาได้ “ใช่แล้ว เขาคือบุตรของท่านแม่ทัพฉิน”“สองพี่น้องคู่นี้เกรงว่าจะสมคบคิดกันกระมัง? ไม่เช่นนั้นจะมีเรื่องบังเอิญถึงเพียงนี้หรือ?” ซ่งจืออวี้ตะลึงงันพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี คนไร้ยางอายอยู่ร่วมกันโดยแท้!ซ่งรั่วเจินย้อนคิดถึงรายละเอียดในนิยายที่เคยอ่านก่อนหน้านี้ ทันใดนั้นก็นึกเรื่องสำคัญมากหนึ่งเรื่องขึ้นได้“พี่รอง ก่อนหน้านี้เฉินเซี่ยงเหิงมาจวนพวกเราบ่อย ๆ จ้าวซูหว่านเองก็มาดูเรียงความของท่านบ่อย ๆ ใช่หรือไม่?”ซ่งอี้อันหันหน้ามาพูดเสียงเข้ม “เจ้าหมายความว่า...”“ตามที่ข้ารู้มา แม้ฉินเซี่ยงเหิงจะศึกษาได้ไม่เลว แต่ก็ยังต่างชั้นกับท่านไม่น้อย ก่อนหน้านี้ก็มาขอให้ท่านสอนบ่อย ๆ บัดนี้ดวงตาทั้งสองข้างของท่านมืดบอด การสอบฤดูใบไม้ผลิเองก็ใกล้เข้ามาแล้ว เขา...”“อีกเดี๋ยวข้าจะนำเรียงความของข้าส่งไปให้ท่านอาจารย์ดู”
“สองปีมานี้ นางใส่ใจดูแลข้า ดูแลจวน เทียบกับนางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นั่นแล้วยังดีกว่าไม่รู้กี่มากน้อย!”หลินรั่วหลานนึกถึงตอนที่ฉินซวงซวงแต่งเข้ามา อย่าว่าแต่เรื่องสินเดิมที่ว่างเปล่าเลย ยังสร้างความเดือดร้อนให้ลูกชายต้องอับอายขายหน้าอีก เพียงแต่งเข้ามาก็ถูกทางการจับตัวไป ยังต้องให้ลูกชายหาหนทางไปพานางออกมาอีกด้วยไหนเลยจะเทียบเคียงซ่งรั่วเจินได้?“ท่านแม่ ข้ากับซวงซวงแต่งงานกันแล้ว ข้าไม่มีวันแต่งงานกับซ่งรั่วเจินเป็นอันขาด ภายภาคหน้าขอท่านอย่าได้พูดเช่นนี้อีก ให้ซวงซวงรอในคุกอยู่ตลอดก็มิใช่เรื่องดี ท่านหาทางช่วยข้ารวบรวมเงินหนึ่งแสนตำลึงที ข้าจะไปไถ่ตัวนางออกมา”หลินจือเยว่ขมวดคิ้วแน่น ซวงซวงรออยู่ข้างในมากหนึ่งวัน ที่เสียไปก็คือหน้าของเขา เขารู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าต้องยังมีเงินอยู่ในมือแน่นอน“นางแพศยาคนนั้นทำเรื่องน่าขายหน้าพรรค์นี้ด้วยตนเอง ยังต้องให้พวกเรานำเงินไปไถ่อีกรึ?” หลินรั่วหลานเอ่ยถามเสียงแหลม “ให้สกุลฉินหาทางเอาเองเถอะ!”“บัดนี้ซวงซวงเป็นคนของพวกเราสกุลหลินแล้ว”สีหน้าหลินจือเยว่หนักแน่น เขารักเพียงซวงซวง แม้ครั้งนี้ซวงซวงจะทำผิดจริง แต่เขารู้ว่าซวงซวงทำถึงเพียงนี้ก็เพราะ
“ฝ่าบาท กระหม่อม กระหม่อมกำลังหาทาง...”หลินจือเยว่เหงื่อผุดดุจเม็ดฝน เขาประเมินการตัดสินใจเฉียบขาดของสกุลซ่งต่ำไป ถึงขั้นแม้เสียหน้าก็ต้องทำลายเขาให้ได้!“เจ้าคิดวิธีอันใดได้เล่า? ได้ยินว่าสองปีมานี้ เจ้าไม่เพียงยกมารดาเฒ่าในจวนให้แม่นางซ่งดูแล ตนเองอยู่ที่ชายแดนยังเขียนจดหมายขอเงินสกุลซ่งบ่อยครั้ง ตอนแต่งงานเจ้าก็สู่ขอภรรยาหลวงที่มีศักดิ์ทัดเทียมกันมาหยามเกียรติแม่นางซ่งอีกด้วย เจ้าช่างไม่สมควรเป็นคนยิ่งนัก!”ฮ่องเต้กริ้วหนัก ก่อนนี้ชมชอบหลินจือเยว่มากเพียงใด บัดนี้ก็คับข้องหมองใจมากเพียงนั้นสีหน้าหลินจือเยว่ซีดเผือด คิดไม่ถึงว่าซ่งจืออวี้ไม่เพียงพูดเรื่องหนี้สิน แม้แต่เรื่องเหล่านี้ก็กราบทูลต่อเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาทจนหมดสิ้น นี่...นี่ช่างเป็นการตัดอนาคตของเขาโดยแท้!“ฝ่าบาท กระหม่อมเองก็ไม่คิดว่ารักษามารดาต้องใช้เงินมากเพียงนี้ นับตั้งแต่รู้เรื่องกระหม่อมก็คิดหาทางชดใช้ เพียงแต่ว่าจำนวนเงินนั้นไม่น้อยนัก จึงทำให้เสียเวลาไปหลายวัน...”เห็นหลินจือเยว่เปิดปากก็โยนความรับผิดชอบไปที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลิน ซ่งจืออวี้ย่อมไม่อาจยอมรับ“ฝ่าบาท น้องหญิงของกระหม่อมถูกหลินโหวทำร้ายจิตใจ ปรารถ
“หลินโหว แม่นางฉินเป็นคนเคียงหมอนของเจ้า วันแต่งงานเจ้าพูดไปทุกถ้อยคำว่านางจิตใจดีมีเมตตา รู้จักนางดี บัดนี้กลับพูดว่าไม่รู้เรื่อง เจ้าเป็นขุนนางในราชสำนักถึงขั้นมองจิตใจชั่วร้ายโหดเหี้ยมของคนเคียงหมอนไม่กระจ่าง นี่ไม่เลอะเลือนเกินไปหน่อยหรือ?” ฉู่จวินถิงเอ่ยปากเสียงเรียบหลินจือเยว่สายตาโง่งม ถูกกล่าวโทษเพิ่มอีกหนึ่งข้อแล้วกระนั้นหรือ?“ซวงซวงเองก็ถูกผู้มีวิชาหลอก พูดไปแล้วทั้งหมดล้วนต้องโทษนักต้มตุ๋นผู้นั้นที่ทำร้ายผู้คนมากถึงเพียงนี้” หลินจือเยว่อธิบายราชครูสวีเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “นั่นเพราะโง่เขลาเบาปัญญา ทำร้ายตนเองทั้งสิ้น!”หนึ่งคนต่อหนึ่งคนกล่าวโทษ สีหน้าหลินจือเยว่ซีดเผือด ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าซ่งหลานจือเป็นหรือตาย ก็สูญเสียอำนาจใหญ่ไปแล้ว ภายในราชสำนักอย่างมากที่สุดก็มีแม่ทัพไป๋ที่ยินดีช่วยพูดแทนพวกเขาเท่านั้น เหตุใดราชครูสวีกับฉู่อ๋องก็ล้วนปกป้องจวนสกุลซ่งเล่า?ซ่งจืออวี้เองก็มองอย่างโง่งมตอนมาตีกลองร้องทุกข์ในวันนี้ แท้จริงแล้วเขาเองก็กระวนกระวายใจ แต่บัดนี้คนที่สามารถกระทำเรื่องนี้ได้ก็เหลือเพียงเขาคนเดียวที่เหมาะสมที่สุด มิหนำซ้ำน้องหญิงห้ายังช่วยเขาคิดคำพูดดี ๆ ไว้
“สกุลหลิ่วจะถูกปลดตำแหน่งขุนนางหรือไม่?” ซ่งรั่วเจินมองเขาอย่างสงสัย สายตาแยกดำขาวอย่างชัดเจนภายใต้แสงจันทร์ทอประกายระยับ สุกสกาวเป็นพิเศษสุ้มเสียงนางนุ่มนวล เพียงแค่เอ่ยถามเรียบๆ หนึ่งประโยค ทว่าตกอยู่ในหูของฉู่จวินถิง กลับอยากจะทำเรื่องนี้ให้กลายเป็นจริง“แน่นอน”เส้นเสียงของเขาต่ำหนัก สุ้มเสียงมั่นใจอย่างมากซ่งรั่วเจินเลิกคิ้วขึ้น “หลายปีมานี้ภายใต้การช่วยเหลือของสกุลฉินใต้เท้าหลิ่วก็สร้างผลงานไว้บ้าง แม้ว่าบัดนี้มีความผิดสลับตัวเด็ก แต่ทำให้เขาถูกลดตำแหน่งนั้นง่าย ปลดตำแหน่งขุนนางกลับไม่ง่ายถึงเพียงนั้น”เรื่องพรรค์นี้ในแวดวงขุนนาง แท้จริงแล้วเป็นเรื่องส่วนตัวของสองตระกูล คนอื่นมากที่สุดก็ล้วนรับชมความครึกครื้นยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่นายท่านหลิ่วโยนความผิดทั้งหมดไว้บนตัวญาติฝ่ายหญิง หากเป็นเรื่องภายในเรือน ย่อมเกี่ยวข้องกับเขาไม่มากเพียงแต่ นางรู้ดีมากว่านายท่านหลิ่วจะต้องมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ นายหญิงหลิ่วเองก็วางอุบายเพื่อให้เขาโชคดีในเส้นทางของขุนนาง คนที่ได้รับผลประโยชน์เหล่านี้...ไม่มีผู้บริสุทธิ์แม้คนเดียว“เจ้าเชื่อข้าหรือไม่?”ฉู่จวินถิงเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าด้านข
“พวกเจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าปีนั้นสกุลกู้เคยคิดจะให้กู้อวิ๋นเวยแต่งงานกับแม่ทัพซ่ง แต่ท้ายที่สุดงานแต่งนี้ก็ไม่สำเร็จ?คิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายแล้ว แม่ทัพซ่งยังเป็นลูกเขยของสกุลกู้ นี่นับว่าเป็นชะตาฟ้าลิขิตใช่หรือไม่?”“ข้าก็พูดแล้วสกุลกู้ซื่อสัตย์ภักดีทั้งตระกูล เหตุใดอุปนิสัยของกู้อวิ๋นเวยจึงแตกต่างออกไปถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูล ตกอับจนมีจุดจบเฉกเช่นทุกวันนี้ บัดนี้นับว่าเข้าใจทั้งหมดแล้ว การกระทำนั้นยังไม่เหมือนสกุลหลิ่วทุกกระเบียดนิ้วอีกหรือ?”ทุกคนต่างพากันส่ายหน้า รู้สึกเพียงสลดใจบัดนี้หลิ่วหรูเยียนกำลังนั่งอยู่ร่วมกับพวกราชครูกู้ ได้ยินพวกเขาเอ่ยถึงเรื่องในตอนแรก“ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าอุบัติเหตุในตอนนั้นจะทำให้เจ้าต้องตกลำบากอยู่ภายนอกมานานหลายปีถึงเพียงนี้ เป็นแม่ทำผิดต่อเจ้า...”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้จับมือหลิ่วหรูเยียนพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น ที่ผ่านมานางก็เคยได้ยินเรื่องของหลิ่วหรูเยียน รู้ว่าหลายปีมานี้นางใช้ชีวิตอยู่ที่สกุลหลิ่วอย่างยากลำบาก ยังแปลกใจเหตุใดสกุลหลิ่วลำเอียงถึงเพียงนี้เพียงแต่ เดิมทีก็เป็นลูกของบ้านอื่น พวกเขาไม่สามารถพูดอะไรได้บัด
“ลูกที่ใส่ใจเลี้ยงดูมานานหลายปี ย่อมไม่ใช่พูดว่าตัดสายสัมพันธ์ก็ตัดขาดไปเลยได้ข้าผิดไปแล้ว เป็นข้าทำผิดต่อซ่งฮูหยิน ทำผิดต่อสกุลกู้!”ได้ยินแผนการของสกุลหลิ่วที่ก่อนหน้านี้ทุกคนหยั่งเดาเอาไว้แล้ว คราวนี้ตกตะลึงพรึงเพริดอย่างอดไม่ได้ นี่วางอุบายได้อย่างยอดเยี่ยมเกินไปแล้วกระมัง!ผลประโยชน์ล้วนถูกพวกเขาเอาเปรียบจนหมดสิ้น!หากไม่ใช่กู้อวิ๋นเวยไร้ความสามารถ ก่อความวุ่นวายจนสกุลกู้ตัดขาดความสัมพันธ์ พวกเขาสกุลหลิ่วก็สามารถอาศัยความสัมพันธ์นี้ดึงความสัมพันธ์ของสกุลกู้ให้ใกล้ชิดกันได้ ยิ่งไม่ต้องพูดว่าหลิ่วหรูเยียนมีความสามารถถึงเพียงนี้ ทำให้พวกเขาเอาเปรียบได้สีหน้าราชครูกู้แข็งทื่อดุจเหล็ก พูดเสียงโกรธขึ้ง “บัดนี้พวกเจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก!”“ราชครูกู้ ท่านระงับโทสะก่อน นี่ล้วนเป็นเรื่องที่ฮูหยินของข้าทำ เดิมทีข้าก็ไม่รู้เรื่องนี้!”นายท่านหลิ่วเห็นความลับถูกเปิดเผยแล้ว รีบโยนเรื่องทั้งหมดไว้ที่นายหญิงหลิ่วนายหญิงหลิ่วตกตะลึง คิดไม่ถึงเลยว่าคนนอนเคียงหมอนร่วมกันมานานหลายปีเห็นปัญหาใหญ่มาเยือนก็ผลักนางออกไปในทันที พูดเสียงโกรธขึ้ง“นี่ เหตุใดถึงโยนทั้งหมดมาที่ข้าคนเดียวเล่า?ทั้งๆ
เผชิญหน้ากับคำวิงวอนขอความเมตตาจากนายท่านหลิ่ว ราชครูกู้ไม่ชายตาแลมองเขาเลยสักครั้ง ใบหน้าหยาบกร้านกำลังสบมองกู้อวิ๋นเวย ภายในสายตาเปี่ยมความสงสารและห่วงใย“ลูกเอ๋ย หลายปีมานี้ เจ้าลำบากแล้ว เป็นพวกเราทำผิดต่อเจ้า”หลิ่วหรูเยียนยังมิอาจยอมรับความจริงที่ว่าตนเป็นลูกของสกุลกู้ในทันทีเลยได้ เพียงแต่เผชิญหน้ากับท่าทางสงสารนั้นของราชครูกู้และฮูหยินผู้เฒ่ากู้ เพียงครู่เดียวนางก็ใจอ่อนแล้วเมื่อหลายวันก่อนได้พบฮูหยินผู้เฒ่ากู้ครั้งแรกนางก็รู้สึกคุ้นเคย หลายปีมานี้ไม่เคยรู้สึกสนิทสนมเช่นนี้มาก่อน บัดนี้ได้เห็นราชครูกู้ นางก็รู้สึกว่าตนเองหน้าตาคล้ายเขาอยู่บ้าง ขอบตาแดงเรื่อโดยไม่รู้ตัวที่แท้...นี่ต่างหากคือพ่อแม่แท้ๆ ของนาง!นึกถึงเมื่อแรกนางเคยได้ยินมาว่าสกุลกู้รักใคร่เอ็นดูลูกสาวเพียงคนเดียวมาก ความรุ่งโรจน์ในเวลานั้นทำให้แม่นางในเมืองหลวงมากมายต่างพากันอิจฉาตอนนั้น นางเองก็เคยอิจฉากู้อวิ๋นเวย อย่างไรเสียสำหรับนางแล้ว ยังไม่ต้องพูดว่ารักใคร่เอ็นดูเช่นนี้เลย แม้แต่พี่น้องเองก็ปฏิบัติคล้ายนางเป็นส่วนเกิน“ไม่ ไม่เจ้าค่ะ”หลิ่วหรูเยียนส่ายหน้า ใบหน้ากลับประดับยิ้มนางเข้าใจ สกุลกู้มิ
วาจาคมกริบนี้ฉีกหน้าสกุลหลิ่วอย่างไม่ต้องสงสัย พริบตาต่อมาคนภายในงานเข้าใจแล้วก่อนหน้านี้คนที่ยังคิดว่าสกุลหลิ่วพูดมีเหตุผลและน่าสงสารมาก บัดนี้รู้สึกเพียงถูกตบหน้าหนึ่งฉาดด้วยมือที่มองไม่เห็น!อีกฝ่ายเป็นคนจิตใจดีมีเมตตาที่ใดกัน เห็นชัดว่าพวกเขาหน้าซื่อใจคดอีกทั้งยังเย็นชา ยังไม่ต้องพูดว่าเอาเปรียบสกุลกู้ ยังสามารถแสร้งทำท่าทางเป็นคนดีกล่าวโทษหลิ่วหรูเยียนได้อีกด้วยหากไม่ใช่วันนี้ถูกเปิดโปงโดยบังเอิญ เช่นนั้นน่ากลัวว่าหลิ่วหรูเยียนก็ต้องถูกตราหน้าว่าทำผิดต่อสกุลหลิ่วและกลายเป็นวัวเป็นม้าเลี้ยงดูตอบแทนบุญคุณไปชั่วชีวิต ถึงขั้นยังถูกด่าว่าทำร้ายคุณหนูสกุลหลิ่วที่แท้จริงอีกด้วย!ภายใต้การใคร่ครวญอย่างละเอียด นี่น่ากลัวมากเพียงใดกัน?“หลิ่วเฟยเยี่ยนและกู้อวิ๋นเวยมีความสัมพันธ์ที่ดีมากมิใช่หรือ? ที่ผ่านมาข้าเคยพบพวกเขามิใช่เพียงครั้งเดียว น่ากลัวว่าพี่สาวน้องสาวคู่นี้นับญาติกันตั้งนานแล้วกระมัง!”“ไม่เพียงแค่นี้! ที่ผ่านมาข้ายังเคยเห็นกู้อวิ๋นเวยเข้าออกสกุลหลิ่วอีกด้วย ตอนนั้นข้าก็คิดว่าแปลก ปกติแล้วกู้อวิ๋นเวยคนนี้ไม่เคยเห็นคนทั่วไปอยู่ในสายตาด้วยฐานะของสกุลหลิ่ว นางน่าจะไม่สนใจ
“เดิมทียังคิดว่าไม่รู้จะนับญาติยามใดถึงจะเหมาะสม คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นวันแต่งงานของพี่ใหญ่ นี่ก็นับเป็นเรื่องมงคลยิ่งขึ้นไปอีกกระมัง?” ซ่งอี้อันหัวเราะเบาๆซ่งเยี่ยนโจวผลิยิ้ม “ข้าดูแล้วท่านตา ท่านยายและท่านลุงทั้งสองท่านล้วนดีมาก เทียบกับปลิงเหล่านั้นแล้วไม่รู้ดียิ่งกว่ามากเพียงใดท่านแม่นับญาติแล้ว ภายภาคหน้าก็ไม่ต้องถูกสกุลหลิ่วบีบบังคับอีกต่อไป คิดแล้วก็ดีใจยิ่งนัก”แม้พูดว่าเกิดเรื่องเอะอะวุ่นวายในวันแต่งงานหลายครั้ง แต่มองดูผลลัพธ์แล้วเขากลับดีใจมาก คิดว่าชิงอินเองก็ดีใจเฉกเดียวกันซ่งจืออวี้มองสองสามคนที่รู้เรื่องตั้งแต่แรกแล้ว เอ่ยออกมาอย่างอดไม่ได้ “พวกท่านล้วนรู้เรื่องแล้ว มีแค่ข้าไม่รู้?”“อย่าเสียใจไปเลย ข้าเองก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้นี่แหละ” ซ่งจิ่งเซินเอ่ยปลอบซ่งจืออวี้ “เหตุใดข้าไม่อยากจะเชื่อกันเล่า?”ซ่งอี้อันมองทั้งหมดเงียบๆ พูดว่า “ตอนนั้นอุ้มเด็กผิดตัวไป...น่ากลัวว่าอาจไม่ใช่อุบัติเหตุกระมัง”หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เขาเชื่อว่าอาจอุ้มเด็กผิดไปจริง แต่พวกเขารู้จักอุปนิสัยของสกุลหลิ่วดีมาก ภายใต้สถานการณ์ไม่รู้ว่าลูกของตนอยู่ที่ใด ไฉนเลยจะเลี้ยงดูมารดาให้เติบใหญ่ได้?
ทว่า ในเมื่อพวกเขาชอบแสดงละคร เช่นนั้นก็ให้พวกเขาแสดงอีกสักครู่เถอะขณะเดียวกันคนเหล่านั้นยิ่งเชื่อพวกเขามาก รอความจริงถูกเปิดเผยแล้ว คนโกรธแค้นที่สุดก็คือพวกเขาเฉกเดียวกัน นี่ก็คือธรรมชาติของมนุษย์“พอดีเลย ข้าทำนายออกมาได้ว่าพ่อแม่แท้ๆ ของท่านแม่ก็อยู่ในเมืองหลวง ยิ่งไปกว่านั้นยังมาเข้าร่วมงานเลี้ยงในวันนี้อีกด้วย!”ชั่วขณะที่เสียงของซ่งรั่วเจินเพิ่งจบลง ดวงตาของทุกคนภายในงานล้วนเผยแววตกใจ จากนั้นกลายเป็นตกตะลึงพรึงเพริด“เมื่อแรกแม่นางซ่งก็ช่วยสวีฮูหยินตามหาลูกสาวที่หายตัวไปนานพบมิใช่หรือ? นางจะต้องทำนายออกมาได้แน่ว่าพ่อแม่แท้ๆ ของซ่งฮูหยินเป็นใคร!”“คนก็อยู่ในงานเลี้ยงวันนี้ คงมิได้หมายความว่าอีกฝ่ายคือบ่าวสูงวัยหรือหญิงบ้านนอกหรอกกระมัง?”ทุกคนต่างหันหน้ามองกัน ประโยคนี้มีความหมายท่วมท้น ทุกคนย้อนนึกคิดอย่างอดไม่ได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าบ้านใดคลอดลูกในเวลาไล่เรี่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าหลิ่ว อายุฮูหยินของอีกฝ่ายยังห่างจากหลิ่วหรูเยียนไม่มากฮูหยินผู้เฒ่ากู้ได้ยินถ้อยคำนี้แล้ว ดูตกใจเล็กน้อย ความทรงจำในตอนแรกอย่างหนึ่งผุดออกจากสมองนางจำได้ยามตนเองตั้งครรภ์กู้อวิ๋นเวยเคยได้พบฮูหยินผู้เฒ
ยิ่งคนสกุลหลิ่วนำความจริงออกบิดเบือนเช่นนี้ ผู้คนรอบข้างก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่บ้างหลิ่วหรูเยียนมิใช่บุตรในไส้ ดังนั้นที่สกุลหลิ่วลำเอียงก็นับว่าเข้าใจได้ ยิ่งเมื่อเปลี่ยนเป็นครอบครัวอื่นแล้ว ความลำเอียงเช่นนี้เรียกได้ว่ามิอาจหลีกเลี่ยงอยู่แล้วแม้จะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ยังยากจะปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันได้ นับประสาอะไรกับเด็กที่มิใช่สายเลือดเดียวกันหากหลิ่วหรูเยียนเป็นเพียงบุตรของบ่าวรับใช้ เมื่อถูกสับเปลี่ยนให้มาเสวยสุขเป็นคุณหนูในจวน ก็นับว่าโชคมหาศาลหล่นทับนางแล้ว!“หากว่ากันตามนี้ หลิ่วหรูเยียนก็ติดค้างบุญคุณสกุลหลิ่วอยู่เช่นกัน ต่อให้ต้องชดใช้ด้วยทรัพย์สินมากหน่อยก็เป็นการสมควรแล้ว มิเช่นนั้นจะมีวาสนาได้เป็นถึงคุณหนูผู้สูงศักดิ์หรือ?”“บุตรสาวแท้ๆ ของสกุลหลิ่วบัดนี้ก็ไม่รู้ไปอยู่แห่งหนใด ทว่าสกุลหลิ่วรู้ความจริงนี้แล้วยังคงเก็บงำไว้มิยอมปริปาก ก็มิใช่ว่าใจคอกว้างขวางมากแล้วหรือ?”กระแสความคิดเริ่มโน้มเอียงไปอีกทาง คนรอบข้างต่างพูดกันไปต่างๆ นานา บ้างเริ่มเข้าอกเข้าใจถึงความใจคอคับแคบแล้งน้ำใจของสกุลหลิ่วต่งฮูหยินและจางเหวินที่มองดูเหตุการณ์มีหรือจะอดรนทนฟังได้?“หาก
“อะไรกัน? ใต้เท้าหลิ่วมิกล้าอย่างนั้นหรือ?” ฉู่จวิ้นถิงกล่าวเสียงขรึมใต้เท้าหลิ่วนิ่งเงียบอยู่ครู่ ก่อนมีทีท่าคล้ายหมดเรี่ยวแรงแล้วก็มิปาน พลางหันมองนายหญิงหลิ่วด้วยความจนใจ “ช่างเถิด เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้วก็พูดไปเสียเถิด”นายหญิงหลิ่วย่อมไม่อยากที่จะยอมรับความจริง ทว่ากลับรู้ดีว่าไม่อาจเลี่ยงต่อไปได้อีก นางจึงได้แผดเสียงร่ำไห้โหยหวน “ข้าเองก็มิรู้เช่นกันว่สารเลวคนไหนมันสับเปลี่ยนลูกข้าไป!”“หลายปีมานี้ข้าก็เลี้ยงดูหรูเยียนดังบุตรในไส้มาโดยตลอด จนเมื่อไม่นานมานี้จึงเพิ่งได้รู้ว่านางมิใช่บุตรสาวแท้ๆ ของข้า! แต่อย่างไรพระคุณเลี้ยงดูย่อมยิ่งใหญ่กว่าพระคุณให้กำเนิด หรือเพียงเพราะเรื่องเท่านี้ก็ทำให้มิอาจยอมรับข้าผู้นี้เป็นแม่เจ้าแล้ว?” ใต้เท้าหลิ่วเองก็กล่าวด้วยสีหน้าปวดร้าวเช่นกัน “ครานั้น ฮูหยินข้าตั้งครรภ์ลูกถึงสิบเดือนจนคลอดออกมา บัดนี้กลับไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าลูกไปอยู่แห่งหนใด หรือยังจะกล่าวโทษพวกข้าด้วย?”“ที่พวกข้าปิดเอาไว้มิยอมพูด ก็เพราะมิต้องการให้หรูเยียนปฏิบัติห่างเหินต่อพวกข้า มินึกเลยว่า...”ผู้คนได้เห็นสกุลหลิ่วออกปากยอมรับด้วยตนเองเช่นนี้แล้วก็อดทอดถอนใจไม่ได้ เส