เจียงเมี่ยวยังไม่รู้ตัวว่า นางได้กวนใจพระเอกโดยไม่ตั้งใจ บัดนี้นางมาถึงร้านจินซิ่วเก๋อแล้ว"คุณหนูเจียง วันนี้มาได้อย่างไร? ทำถุงหอมเสร็จแล้วหรือ?"เถ้าแก่เนี้ยฉินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มพลางต้อนรับเจียงเมี่ยวเข้าร้าน ปกติเจียงเมี่ยวจะมาส่งของสามวันครั้ง แต่วันนี้เพิ่งผ่านไปวันเดียวก็มาแล้ว"ถุงหอมยังไม่เสร็จเจ้าค่ะ อีกสองวัน"เจียงเมี่ยวตอบพร้อมกับส่ายหน้าเบา ๆ"วันนี้ข้าทำลูกหอมมา"นางกล่าวพลางหยิบลูกหอมสองลูกออกมา ลูกหนึ่งสีชมพูกลมใสส่งกลิ่นกุหลาบหอมกรุ่น อีกลูกสีขาวเหลืองเป็นประกายส่งกลิ่นดอกกล้วยไม้อ่อนหวาน ลูกหอมทั้งสองไร้ตำหนิติติง ทั้งกลิ่นกำลังดีหอมน่าดม"ลูกหอม...เป็นลุกหอมจริง ๆ ด้วย!"นางเคยเห็นเครื่องหอมอยู่บ้างตอนอยู่บ้านสามี เป็นของที่คนอื่นให้ท่านย่า หากทว่ามีตำหนิเต็มไปหมดสู้ของเจียงเมี่ยวไม่ได้ นางรู้ว่าเจียงเมี่ยวเก่ง กระนั้นก็ไม่คิดว่าจะทำเครื่องหอมได้ คุณหนูเจียงนี่เป็นใครกันแน่? หรือจะเป็นคุณหนูตกยาก? ความสงสัยมากมายผุดขึ้นในใจ ความคิดมากมายแวบผ่าน แต่สุดท้ายก็เก็บงำไว้"ลูกหอมราคาแพงเมืองเล็ก ๆ แบบนี้อาจจะขายไม่ออก ถ้าส่งไปเมืองหลวงได้ก็ดีสิ"เถ้าแก่เนี้ยฉินกล่าวด้วย
เจียงเมี่ยวถือเนื้อหมูสามชั้นสองชั่งกลับบ้าน เถ้าแก่คุ้นเคยกับนางดี จึงแถมกระดูกใหญ่ให้อีกสองท่อนหมั่นโถวที่กินตอนเที่ยงยังติดคออยู่ นางคุ้นกับอาหารดี ๆ พอมากินหมั่นโถวแป้งหยาบ ๆ นี้ก็กลืนไม่ค่อยลงลูกหอมจะขายดีหรือไม่ยังไม่รู้ ถึงเจียงเมี่ยวจะมั่นใจว่าขายได้ แต่ก็บอกไม่ได้ว่าจะขายหมดเมื่อไหร่ เถ้าแก่เนี้ยฉินจะให้เงินมัดจำ ทว่านางปฏิเสธเงินที่ได้จากการขายผ้าเช็ดหน้าและถุงหอม หักค่าใช้จ่ายแล้วเหลือ1,500 อีแปะ แลกเป็นเงินก็ได้หนึ่งตำลึงครึ่ง สำหรับชาวชนบทถือเป็นเงินก้อนใหญ่ค่าเล่าเรียนของเสิ่นเยี่ยนชิง ครึ่งปีก็สองตำลึงแล้ว คนในตระกูลเสิ่นทำงานทั้งปี นอกจากผลผลิตในไร่นา ผู้ชายก็ต้องออกไปทำงานหาเงินไม่มีวันหยุด ทั้งปีได้แค่ห้าตำลึง หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว ยังแทบไม่เหลือ ทั้งที่ฮูหยินจางเป็นคนประหยัดดังนั้น คนสมัยก่อนจะเรียนหนังสือได้ต้องรวยหรือไม่ก็คนในบ้านช่วยกันส่งเสียเสิ่นเยี่ยนชิงฉลาดเรียนเก่ง คนในครอบครัวจึงยอมลงทุน ถึงจะมีบ่นบ้าง แต่ก็ไม่มีใครโวยวายจริง ๆ จัง ๆไม่เหมือนบัณฑิตจ้าวในหมู่บ้าน เรียนไม่เก่ง สอบมาสิบกว่าปีก็ยังไม่ผ่าน เป็นภาระให้ครอบครัว หลานชายอายุยี่สิบกว่
"ฤดูเก็บเกี่ยวเพิ่งผ่านพ้นไป ท่าเรือเต็มไปด้วยคนแบกหาม พวกเราขายอาหารว่างที่อิ่มท้อง ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีลูกค้า"ความมั่นใจในน้ำเสียงของเจียงเมี่ยวทำให้ฮูหยินจางรู้สึกสบายใจขึ้น"จะดีหรือ? พวกเราไม่เคยค้าขาย..."การค้าขายไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าขายไม่ออกก็ขาดทุน เสียทั้งเงินเสียทั้งเวลาเจียงเมี่ยวรู้ว่านางกังวลจึงยิ้มปลอบ"ท่านแม่ ฝีมือทำอาหารของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?""อร่อยสิ คนแก่ ๆ อย่างข้า ไม่เคยกินอะไรอร่อยขนาดนี้มาก่อน""แล้วถ้าเอาไปขายล่ะ?""เอ่อ..."ฮูหยินจางลังเล เจียงเมี่ยวทำอาหารอร่อยก็จริง แต่ใช้วัตถุดิบเป็นเนื้อสัตว์ แรงงานที่ท่าเรือได้เงินวันละไม่กี่อีแปะ ใครจะยอมซื้อเนื้อกิน?"ทำอาหารที่ใส่เนื้อต้องใช้เงินเท่าไหร่ จะมีคนซื้อหรือ?"คำพูดของฮูหยินจางทำให้คนอื่น ๆ ได้สติใช่แล้ว ถ้าเป็นพวกเขาตอนกลางวันคงกินซาลาเปาแป้งหยาบ ๆ ก็พอแล้ว ใครจะยอมกินเนื้อ?"ท่านแม่ พวกเราขายพะโล้ หนึ่งชามสองอีแปะก็ได้ กับข้าวมีทั้งเนื้อทั้งผัก ทั้งถูกทั้งอร่อย"เจียงเมี่ยวรู้ราคาสินค้าเป็นอย่างดี กับข้าวที่มีเนื้อสัตว์ราคาแพง แรงงานที่ท่าเรือจึงนิยมกินซาลาเปาและขนมปังที่อิ่มท้องเนื้อหมูแพง
"ระวังไอน้ำร้อน อย่าให้ลวกนะ""หอมจังเลย! พะโล้หอมกว่าเนื้อตุ๋นที่ท่านป้าเล็กเคยทำอีก ต้องมีคนซื้อเยอะแน่ ๆ"คำพูดของเสิ่นเอ้อร์หลางถูกใจฮูหยินจางยิ่งนัก ความกังวลที่เหลืออยู่หายไปจนหมด ของหอม ๆ แบบนี้แค่ได้กลิ่นก็อดใจไม่ไหว ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีคนซื้อเครื่องในตุ๋นทั้งเผ็ดทั้งเหนียวนุ่ม เจียงเมี่ยวชอบไส้ใหญ่ที่สุด ดูเหมือนจะแรงไป แต่กินแล้วหอมกว่าอะไรทั้งหมด มันฝรั่งหัวไชเท้านุ่มละลายในปาก เสิ่นเหล่าตี้บาดเจ็บอยู่ เจียงเมี่ยวไม่กล้าให้กินเนื้อ จึงให้ฮูหยินจางคีบผักกับไข่ให้ชิม แค่นี้ก็ทำให้เขาชมไม่หยุด"อร่อย!"เสิ่นเหล่าตี้เอ่ยชม ตอนแรกเขาคิดว่าขาหักทำงานไม่ได้ ทุกคนคงกังวลใจ แต่สะใภ้สามมีความคิด ทั้งมีฝีมือ แบกรับทั้งครอบครัวไว้ได้เมนูพะโล้ได้รับคำชมจากทุกคนในครอบครัว พวกเขาต่างก็เห็นด้วยว่าน่าจะขายได้ แต่ปัญหาคือใครจะเป็นคนทำ"เหล่าต้ากับหวังซื่อทำ"ฮูหยินจางตัดสินใจฉับพลัน สวีซื่อที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่พอใจ"ท่านแม่แล้วครอบครัวข้าล่ะ?"สามีนางก็ถูกไล่ออกจะอยู่เฉย ๆ ให้ครอบครัวพี่ชายหาเงินได้อย่างไร?"พูดมากเสียจริง ข้ายังพูดไม่จบ!"ฮูหยินจางปราม สวีซื่อตัวหดไม่กล้าพูดต่อเสิ่น
เมื่อเสิ่นเอ้อร์หลางมาถึงโรงเรียน เสิ่นเยี่ยนชิงก็ยืนรออยู่ก่อนแล้ว แดดยามเที่ยงร้อนแรง กระนั้นเขายังยืนสงบนิ่งดั่งต้นไผ่"ท่านลุง ข้าอยู่นี่"วันนี้มาส่งข้าวช้ากว่าปกติหนึ่งถ้วยชา พอเห็นคราบเลือดแห้งที่ชายเสื้อของเอ้อร์หลาง เสิ่นเยี่ยนชิงก็ขมวดคิ้ว"เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่บ้าน?"เสิ่นเอ้อร์หลางเงยหน้าขึ้นมอง หลบตาอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าสบตาพึมพำเสียงเบา"ไม่มีอะไร แค่ท่านย่าพูดคุยกับท่านป้าเล็กจะทำการค้า"เสิ่นเยี่ยนชิงขมวดคิ้วแน่นอยู่ดี ๆ จะทำการค้าทำไม? ถึงแม้ท่านแม่จะเป็นคนใจร้อน แต่เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ นางรอบคอบมาก ปกติทำเงินหายแค่อีแปะเดียวยังเสียดายตั้งหลายวัน ไม่ต้องพูดถึงทำการค้าที่ไม่มีประสบการณ์ ขาดทุนอาจมากกว่ากำไร"ถ้าเจ้าไม่ยอมบอก ข้าจะไปขออาจารย์ลากลับบ้านไปดูเอง"เสิ่นเยี่ยนชิงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเด็ดขาดเสิ่นเอ้อร์หลางรู้สึกกลัดกลุ้ม ท่านย่ากำชับนักหนาว่าห้ามบอกเรื่องที่บ้านกับท่านลุง เพราะกลัวจะรบกวนการเรียนเขาแอบเงยหน้ามอง เห็นท่านลุงจ้องเขาตาเขม็ง ริมฝีปากเม้มแน่นสายตาราวกับมองทะลุทุกอย่างเสิ่นเอ้อร์หลางกลัวท่านลุงจะลากลับบ้านจริง ๆ ถ้าทำเช่นนั้นจะทำให้เสียกา
ขณะที่ฟ้ายังไม่สาง เสิ่นเหล่าต้าก็รีบไปที่ตัวเมืองเพื่อซื้อเครื่องในหมูสองชุด ราคารวมสองอีแปะ เขาและหวังซื่อช่วยกันล้างทำความสะอาดแล้วนำไปต้มในหม้อเนื่องจากเป็นการค้าขายครั้งแรก หวังซื่อจึงไม่ตระหนี่วัตถุดิบ นางคิดว่าหากอาหารอร่อย ย่อมดึงดูดลูกค้าได้ตลอดทั้งบ่ายบ้านตระกูลเสิ่นก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอม ผู้คนที่เดินผ่านต่างชะเง้อมองอยากเข้ามาดูว่ากำลังตุ๋นอะไรกัน ช่างหอมยั่วน้ำลายเหลือเกินเครื่องในหมูที่ตุ๋นจนเต็มสองกะละมัง เจียงเมี่ยวให้หวังซื่อนึ่งซาลาเปาแป้งข้าวสาลีผสมข้าวฟ่างอีกหนึ่งหม้อใหญ่ ซาลาเปาทำขนาดพิเศษ ราคาสองลูกหนึ่งอีแปะ แม้แต่กรรมกรที่กินจุก็อิ่มได้ด้วยซาลาเปาสองลูกทุกคนทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง เสิ่นเหล่าต้ากับหวังซื่อไม่มีเวลาพักเลย ที่บ้านมีรถเข็น เขาจึงนำเตาที่ใช้ก่อไฟในฤดูหนาวออกมา พรุ่งนี้จะได้อุ่นกับข้าวได้ตกกลางคืน เสิ่นเหล่าต้ากับหวังซื่อนอนอยู่บนเตียง ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ"ท่านพี่ พรุ่งนี้จะขายดีไหมนะ? เราใช้น้ำมันและเครื่องปรุงดี ๆ ไปตั้งเยอะ ถ้าขายไม่ออก..."หวังซื่อยังคงกังวล แต่เสิ่นเหล่าต้ากลับใจกล้า"ถ้าขายไม่ออกก็เลิกขาย ข้าจะพาต้าหลางไปหางานทำที่เมือ
เมื่อเจียงเมี่ยวมาถึง โรงเรียนเพิ่งเลิกเรียนพอดี เสิ่นเยี่ยนชิงเดินออกมาพร้อมผู้คน เขาสวมเสื้อคลุมสีเขียวมรกต รูปร่างสูงโปร่งสง่างาม กิริยาท่าทางสูงศักดิ์ผ่าเผยโดยธรรมชาติ“สมแล้วที่เป็นพระเอก” เจียงเมี่ยวคิดในใจ"ท่านพี่ ทางนี้!" เจียงเมี่ยวเขย่งปลายเท้า ใบหน้างามเปล่งประกายด้วยรอยยิ้ม โบกมือท่ามกลางผู้คนมากมายหัวใจของเสิ่นเยี่ยนชิงกระตุกวูบ ลำคอตีบตัน ถ้อยคำหลุดจากริมฝีปากโดยมิทันยั้งคิด "เจ้ามาทำไม?"เจียงเมี่ยวรู้สึกราวกับมีเลือดจุกอยู่ในอก นางรู้แก่ใจดีว่าชายหนุ่มยังคงมีอคติต่อนางอยู่มิวาย"เอ้อร์หลางไปขายของกับพี่ใหญ่ ข้ากลัวท่านพี่จะหิวก็เลยมาส่งข้าวให้เจ้าค่ะ"น้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาแดงก่ำ ก้มหน้างุดประหนึ่งดอกบัวตูมที่โรยรา ทำเอาดวงใจของเสิ่นเยี่ยนชิงอ่อนยวบ"ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น..."คำว่า 'ดีที่เจ้ามา' ถูกกลืนหายไปในลำคอ เจียงเมี่ยวช่วยตระกูลเสิ่นวุ่นวายไปหมด เขาไม่มีเหตุผลที่จะตำหนินาง"หืม?" เจียงเมี่ยวไม่เข้าใจความหมาย ดวงตากลมโตจ้องมองเขาอย่างงุนงง ทั้งเซ่อและน่าเอ็นดู ดูเหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสาเสิ่นเยี่ยนชิงอดไม่ได้ที่จะลูบศีรษะนาง เส้นผมนุ่มนิ่มดุจแ
"ถ้าขายที่เมืองฝูหรงไม่ได้ เช่นนั้นก็คงต้องไปขายที่อื่น น่าเสียดายที่ลูกหอมของข้าจะขายให้ท่านไม่ได้แล้ว"เจียงเมี่ยวโค้งคำนับเล็กน้อยพร้อมกับฝืนยิ้ม เถ้าแก่เนี้ยฉินบิดผ้าเช็ดหน้าในมืออย่างกังวลใจพวกคุณนายที่เดิมก็ไม่พอใจหลินอวิ๋นอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งแค้นใจกว่าเก่านางทำตัวเผด็จการ คิดว่าขู่จะปิดร้านแล้วจะกดดันเถ้าแก่ได้ แต่นางก็แค่ลูกสาวเจ้าเมืองเท่านั้น ได้แต่อวดอำนาจในท้องที่ พอออกจากเมืองฝูหรง จะไปมีอำนาจอะไรกับใคร? ลูกหอมของร้านจินซิ่วเก๋อถูกกว่าและหอมกว่าของในเมืองหลวง ซื้อไปฝากใครก็ดูดีมีหน้ามีตา ทว่าตอนนี้กลับถูกหลินอวิ๋นทำลายจนหมดหลินอวิ๋นตกใจมาก นางไม่คิดว่าเจียงเมี่ยวจะไม่กลัวคำขู่ของนาง ในใจเป็นโทสะ ทั้งยังเสียหน้า ถึงอย่างนั้น นางก็อยากได้ลูกหอมจึงได้แต่ยืนนิ่งเด็กสาวอายุสิบกว่าปี ถึงจะเอาแต่ใจแค่ไหนก็แสดงความหวั่นไหวออกมาทางสีหน้าเจียงเมี่ยวเลิกคิ้ว นางเดาความคิดของนางออกจึงหาทางลงให้"ข้ารู้ว่าคุณหนูชอบลูกหอมเลยอยากซื้อเยอะ ๆ ทำการค้าก็ไม่ควรไล่ลูกค้า..."เจียงเมี่ยวเห็นสีหน้าหลินอวิ๋นดีขึ้นก็พูดต่อ"แต่คุณหนูก็รู้ว่าลูกหอมมีค่า ทั้งยังทำยาก เอาเช่นนี้ดีไหมเจ้าคะ
เจียงเมี่ยวหั่นเนื้อเป็นชิ้นเล็ก ๆ ลวกน้ำเพื่อขจัดกลิ่นคาว แล้วนำน้ำตาลกรวดไปผัดในกระทะฮูหยินจางไม่เสียดายน้ำตาลและน้ำมันอีกต่อไป มองอย่างตื่นตาตื่นใจ นางใช้ชีวิตมาทั้งชีวิตก็ไม่เคยเห็นการทำอาหารที่มีความหลากหลายขนาดนี้พอผัดน้ำตาลจนได้ที่ เจียงเมี่ยวก็ใส่เนื้อลงไปผัดให้ทั่ว เติมน้ำพะโล้หนึ่งทัพพี กลิ่นหอมก็โชยออกมา"หอมจัง!"สวีซื่อเป็นคนก่อไฟ กลิ่นหอมลอยไปทางนางตลอด ทำให้นางรู้สึกหิวจนท้องก็ร้องจ๊อกๆเที่ยงนี้นางต้องแย่งหมูสามชั้นตุ๋นเพิ่มอีกสองชิ้นระหว่างตุ๋นเนื้อ เจียงเมี่ยวก็ไปเด็ดแตงกวาจากสวนมาสองลูกมาทำยำ หากกินแต่เนื้อก็จะเลี่ยน ซึ่งผักจะช่วยตัดเลื่อนทำให้กินอาหารอร่อยมากขึ้น"ท่านแม่ เที่ยงนี้กินข้าวสวยนะเจ้าคะ"นางมาอยู่ในโลกยุคโบราณนานแล้ว ยังไม่ได้กินข้าวสวยเลย น้ำหมูสามชั้นตุ๋นราดข้าวสวยร้อน ๆ แค่คิดนางก็อยากกินแทบอดใจไม่ไหว"ข้าวที่บ้านยังมีพอหรือ?"ปกติตระกูลเสิ่นกินแค่ข้าวต้มตอนเช้า ข้าวสารจึงมีไม่มาก"เมื่อวานข้าซื้อมาจากเมืองแล้วเจ้าค่ะ""งั้นเจ้าก็ผสมข้าวไม่ขัดสีลงไปด้วย"ข้าวสารในเมืองขายชั่งละสามอีแปะ ข้าวไม่ขัดสีชั่งละอีแปะเดียว ข้าวที่ตระกูลเสิ่นปลูกก็เอ
เขาแสร้งทำเป็นสงบ เจียงเมี่ยวพยักหน้าอย่างไม่แน่ใจ"ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านพี่ ที่นี่มีควันเยอะ ท่านพี่เข้าไปในห้องเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะสำลัก""ไม่เป็นไร"ข้าแค่อยากอยู่กับเจ้า...เสิ่นเยี่ยนชิงกลืนคำพูดที่เหลือลงคอ ปลายนิ้วยังรู้สึกถึงความนุ่มของแก้มหญิงสาว เจียงเมี่ยวไม่ได้สนใจเขา นางกำลังกลั่นน้ำมันหอมระเหยขั้นตอนสุดท้าย หม้อที่ซื้อมาใหม่นำความร้อนได้ดี น้ำมันหอมระเหยที่กลั่นออกมาจึงไม่มีสิ่งเจือปน ไม่นานน้ำมันหอมระเหยกลิ่นกุหลาบก็เสร็จ เจียงเมี่ยวจึงใส่ขี้ผึ้งลงไปผสมให้แข็งตัวเสิ่นเยี่ยนชิงมองลูกหอมกลมใสในมือเจียงเมี่ยว กลิ่นกุหลาบอ่อน ๆ ลอยมา ทำเอาเขารู้สึกแปลกใจเจียงเมี่ยวไม่ได้ปิดบังเรื่องทำลูกหอม ลูกหอมเป็นของที่ผู้หญิงใช้ เสิ่นเยี่ยนชิงอาจจะไม่รู้ว่านางทำอะไรอยู่ อาจจะคิดว่า นางกำลังเล่นอะไรแปลก ๆ ถ้าเขารู้ก็ไม่เป็นไร พอดีเลยจะได้อธิบายเรื่องที่นางหาเงินได้ เพราะช่วงนี้นางใช้เงินเปลืองเสิ่นเยี่ยนชิงต้องสงสัยแน่ ๆ ว่านางเอาเงินมาจากไหนเสิ่นเยี่ยนชิงเคยสงสัยจริง แต่คิดว่าเจียงเมี่ยวทำแต่ถุงหอม เพราะถุงหอมในมือซูจื่อเหวินมีฝีมือการปักเหมือนที่เจียงเมี่ยวให้เขาไม่มีผิด ตามท
"ถ้าเจ้าไม่อยู่ ข้าก็จะไม่ได้กินข้าวบ้านเจ้าแล้ว"ซูจื่อเหวินยิ้มแหยๆ เขาเป็นคนติดรสชาติอาหาร ตั้งแต่อาหารบ้านตระกูลเสิ่นอร่อยขึ้น เขาก็แอบมากินทุกที ทั้งอาหารหมักดองรสเผ็ดหอม กุยช่ายทอดเหลืองกรอบหอมฟุ้ง อร่อยกว่าอาหารในโรงเตี๊ยมบ้านเขาเสียอีก ทำให้รู้สึกว่าอาหารที่เคยกินมาไม่มีรสชาติเลย ถ้าได้ไปกินที่บ้านตระกูลเสิ่นให้หนำใจล่ะก็...ซูจื่อเหวินคิดพลางกลืนน้ำลายเสิ่นเยี่ยนชิงมองเขาด้วยความรังเกียจ แค่นี้น่ะหรือ?"ไม่ได้!"เขาไม่ยอมเด็ดขาด วันหยุดมีแค่วันเดียว เขาอยากอยู่กับเมี่ยวเอ๋อร์ตามลำพัง พาเพื่อนกลับบ้านจะดูเป็นอย่างไร "บ้านข้าจน ต้อนรับเจ้าไม่ได้หรอก"เสิ่นเยี่ยนชิงปฏิเสธอย่างหนักแน่น ซูจื่อเหวินหน้าสลดห่อเหี่ยวสุดๆ"ข้าจะจ่ายเงิน ไม่กินฟรี ๆ หรอก"เขาพยายามอ้อนวอน แต่เสิ่นเยี่ยนชิงไม่สะทกสะท้าน ซูจื่อเหวินจึงต้องล้มเลิก พูดต่อไปคงน่ารำคาญ ถึงตอนนี้เสิ่นเยี่ยนชิงก็รำคาญเขามากแล้ว "เฮ้อ ไม่มีพะโล้รสจัดจ้านกิน วันนี้ข้าคงอดตายแน่ๆ""หึ!"เสิ่นเยี่ยนชิงไม่สนว่าซูจื่อเหวินจะอดตายหรือไม่ ตอนนี้เขาแค่อยากกลับบ้านเร็วๆแต่เมี่ยวเอ๋อร์จะทำอะไรอร่อยๆ ให้เขากินนะ ชายหนุ่มที่ไ
เจียงเมี่ยวมองดูแม่สามีลูกสะใภ้ทะเลาะกัน อารมณ์ก็ดีขึ้นเยอะ"ท่านแม่ ข้ายังซื้อข้าวสาร แป้ง น้ำตาลมาด้วย พรุ่งนี้ท่านพี่หยุดเรียน ข้าจะทำขนมให้ท่านพี่กิน"เสิ่นเยี่ยนชิงอยากกินไหม นางไม่รู้ จริงๆ แล้วนางอยากกินเองต่างหากขนมที่เสิ่นเยี่ยนชิงซื้อมาให้หวานเกินไป นางกินแล้วเลี่ยน แต่เพราะเหตุนั้นนางเลยอยากกินขนมขึ้นมาขนมนุ่ม ๆ หอม ๆ ไม่ได้กินนานแล้วสิฮูหยินจางพูดไม่ออก"ทำก็ทำสิ"นางดูออกว่าเมี่ยวเอ๋อร์อยากกินต่างหากสะใภ้สามถึงจะขยันขึ้น แต่ก็ยังตะกละเหมือนเดิมเจียงเมี่ยวยังไม่รู้ตัวว่าถูกจับได้ ตอนนี้นางกำลังบดแป้งอยู่ต้ายานั่งยอง ๆ อยู่ข้าง ๆ มองเจียงเมี่ยวใส่ข้าวที่แช่น้ำไว้แล้วลงในโม่หิน เมล็ดข้าวขาวใสถูกบดเป็นผง เจียงเมี่ยวเทน้ำเชื่อมลงไปคนให้เข้ากัน หมักหนึ่งชั่วโมงแล้วนำไปนึ่งไอร้อนพวยพุ่งออกมาพร้อมกับกลิ่นหอมของข้าวและน้ำตาลแดง ขนมหอมนุ่มน่ากินสุด ๆเจียงเมี่ยวป้อนขนมให้ต้ายาหนึ่งชิ้น รสชาติหวานละลายในปากทำให้นางยิ้มตาหยี"หวาน""อร่อยไหม?""อร่อยเจ้าค่ะ!อร่อยมาก"เจียงเมี่ยวลองชิมดูเช่นกัน ข้าวสมัยโบราณปลูกแบบปลอดสารพิษ กลิ่นจึงหอมกว่า เนื้อขนมเหนียวนุ่มหนึบอร
ซูจื่อหลานไม่ได้คะยั้นคะยอ นางมองเจียงเมี่ยวลงจากรถแล้วจากไป"กลับจวน"...เจียงเมี่ยวถือของกลับบ้าน เดินช้าๆ มาตลอดทาง ใบหน้าของนางยังคงซีดเล็กน้อยนางฮูหยินจางกับสวีซื่อกำลังทำงานอยู่ที่ลานบ้าน เห็นนางดูใจลอยก็เป็นห่วง"เมี่ยวเอ๋อร์เป็นอะไรไป?เจอเรื่องอะไรมาหรือ?"ฮูหยินจางจับมือของนาง มือเย็นเฉียบมีเหงื่อเย็น ๆ เต็มฝ่ามือ"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านแม่ ข้าคงเหนื่อยที่เดินเยอะ พักสักหน่อยก็หายแล้ว"นางรู้สึกอบอุ่นใจ ความกังวลหายไป เจียงเมี่ยวนั่งลงดื่มน้ำแล้วหยิบของในตะกร้าออกมา"ท่านแม่ ข้าซื้อผ้ามาให้ท่านเจ้าค่ะ ใกล้จะเปลี่ยนฤดูแล้วพอดีจะได้ตัดเสื้อใหม่""ซื้อของมาให้ข้าอีกแล้ว!เสื้อผ้าข้ายังดีอยู่ ไม่เห็นต้องตัดใหม่เลย เก็บไว้ให้เหล่าซานเถอะ"ฮูหยินจางบ่น สะใภ้สามใช้เงินเปลืองจริงๆแต่พอมองผ้าสีครามผืนนั้น นางก็รู้สึกชื่นชอบขึ้นมาหน่อยๆตระกูลเสิ่นไม่ได้ซื้อผ้ามาสองปีแล้ว เสื้อผ้าของทุกคนก็มีแต่รอยปะชุน"ท่านพี่มีแล้วเจ้าค่ะ"าแล้วนางก็หยิบผ้าสีขาวอมฟ้าผืนนั้นออกมา "ข้าคิดว่าจะตัดชุดยาวให้เขาไว้ใส่ตอนสอบในระดับมณฑล จะได้ดูดีมีหน้ามีตา" เดือนหน้าเสิ่นเยี่ยนชิงจะไปสอบในระดับมณฑ
"หึ! เจ้าเป็นตัวอะไร? กล้าคิดเกินตัว หมายปองคุณหนูของข้างั้นหรือ!"ไฉ่อวิ๋นโกรธจนตัวสั่น เป็นแค่คางคกริอาจกินเนื้อหงส์ ไม่ดูสารรูปตัวเองเสียเลยซูจื่อหลานจิกเล็บจนจมเนื้อ ดวงตาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ในเมื่อไม่ยอมดื่มสุราคารวะ ชอบสุราลงทัณฑ์ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องทำดีด้วย"ลุงเจิง ซ้อมมันให้หนัก!"คนขับรถระงับความโกรธไว้ไม่อยู่ ไอ้สารเลวนี่กล้าลบหลู่คุณหนูของพวกเขา คงอยากตายแล้วกระมังลุงเจิงเคยเป็นทหาร ถูกบิดาของซูจื่อหลานจ้างมาคุ้มครองนางด้วยเงินจำนวนมาก เขาปล่อยหมัดไม่ยั้ง ลูกน้องทั้งสองของซุนหยวนเป่าถูกซ้อมจนหน้าตาบวมปูด ส่วนซุนหยวนเป่าก็โดนเตะล้มลงแล้วต่อยท้องซ้ำซุนหยวนเป่าถูกซ้อมจนปัสสาวะราด ปวดท้องเหมือนไส้จะทะลัก"โอ๊ยๆ หยุดซ้อม หยุดซ้อมได้แล้ว โอ๊ย เจ็บปางตายแล้ว...""ตีให้ตายไปเลย ไอ้สารเลวกล้าล่วงเกินคุณหนูข้า!"ลุงเจิงไม่ปรานี ซุนหยวนเป่าถูกซ้อมจนหัวบวม ปากมีเลือดไหล ฟันหลุดออกมาหลายซี่"ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่กล้าแล้ว คุณหนูสวีไว้ชีวิตข้าเถอะ"พอได้สติซุนหยวนเป่าก็รู้ตัวว่าทำเรื่องโง่ ๆ ลงไป พี่ชายเขาเจอตระกูลสวียังต้องหลีกทาง เขาทำเช่นนี้ หาเรื่องใส่ตัวชัด ๆเขาห
บุรุษที่ยืนอยู่ข้างหน้านั้นเตี้ยอ้วน ร่างกายกลมป้อม สวมชุดผ้าไหมชั้นดี ทว่ากลับดูตลกขบขัน ใบหน้าบวมเต็มไปด้วยไขมัน ตาเล็ก จมูกแดงเบียดกัน เขามองเจียงเมี่ยวอย่างหื่นกระหายยื่นมือจะมาลวนลามนางซุนหยวนเป่าดื่มเหล้ามาจากหอมงคล อยู่ในสภาวะมึนเมาเห็นเจียงเมี่ยวเลยคิดว่าเป็นนางฟ้า"สาวงามให้ข้าจุ๊บหน่อยสิ"เจียงเมี่ยวขยะแขยงจนทนไม่ไหว อาหารที่เพิ่งกินเกือบพุ่งออกมา ไม่คิดว่ากลางวันแสกๆ จะเจออันธพาล นางขมวดคิ้ว สายตาเย็นชา คว้าม้านั่งจากแผงบะหมี่ฟาดใส่"โอ๊ย! เจ็บ!"ซุนหยวนเป่าโดนตีที่แขน เจ็บปางตาย จึงได้สติ"บัดซบ !นังตัวดี กล้าตีข้างั้นหรือ?จับมันไป!"เขาโบกมือลูกน้องก็เข้ามามาดหมายจับเจียงเมี่ยว ทั้งสองยิ้มอย่างหื่นกระหาย ดูก็รู้ว่าทำเรื่องแบบนี้บ่อยครั้ง"กลางวันแสก ๆ แบบนี้ไม่มีกฎหมายหรือไง?"เจียงเมี่ยวถือม้านั่งขวางไว้พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว"กฎหมาย? ในเมืองฝูหรง ข้าคือกฎหมาย!"ซุนหยวนเป่าพูดอย่างอวดดีปกติเขามักใช้อำนาจของพี่ชายรังแกคนอื่น พอเห็นหญิงสาวคนไหนถูกใจก็ให้ลูกน้องไปลักพาตัวมา โดยไม่มีใครกล้าหืออือพ่อค้าแม่ค้าข้าง ๆ รู้นิสัยเขาดีจึงหลบไปไกล ๆ ไม่กล้าช่วยนางลูกน้อ
"มีสิ เมิ่งเอ๋อร์ปีนี้ก็หกขวบแล้ว"พูดถึงตรงนี้น้ำตาก็ไหล ลูกสองคนอยู่กับบ้านสามี ชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้พบหน้าอีกแล้ว เจียงเมี่ยวเห็นว่าเป็นเรื่องเศร้าของเถ้าแก่เนี้ยฉินจึงไม่ถามต่อ เถ้าแก่เนี้ยฉินเช็ดน้ำตาแล้วฝืนยิ้ม "ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว"ทั้งสองคุยกันพลางดื่มชาก็มีคนรู้จักเดินเข้ามาในร้าน"มีลูกหอมเหลือไหม?""คุณหนูสวีมาพอดี วันนี้มีลูกหอมมาใหม่เจ้าค่ะ"เถ้าแก่เนี้ยฉินยิ้มเดินเข้ามาวางลูกหอมสามกลิ่นบนโต๊ะ"นี่กลิ่นผลไม้หรือ?"ซูจื่อหลานได้กลิ่นลูกพีช หวานอ่อนๆ ไม่ฉุน "ใช่แล้วเจ้าค่ะ นี่เป็นสินค้าใหม่ลูกหอมกลิ่นผลไม้""ข้าเอาทั้งหมดนี่แหละ"ทั้งสามกลิ่นนางชอบหมด อีกอย่างสิบลูกที่ซื้อครั้งก่อน เมื่อเอาไปให้คนอื่น ทุกคนต่างก็ชมนาง"เอ่อ...คุณหนูคงยังไม่รู้ ตอนนี้ร้านจำกัดจำนวนขายคนละสองลูกเจ้าค่ะ คุณหนูก็รู้ว่าร้านเล็ก ๆ มีลูกหอมแค่นี้ ถ้าคุณหนูซื้อไปหมด พวกเราจะทำการค้าได้อย่างไร?"ซูจื่อหลานไม่ได้มาหลายวันจึงไม่รู้เรื่องนี้ นางขมวดคิ้วเสียดายนางอยากได้ทั้งหมดนี่นาแต่นางก็เข้าใจความลำบากในของเถ้าแก่เนี้ยฉิน สุดท้ายจึงจำใจเลือกมาแค่สองลูก"งั้นข้าเอากลิ่นดอกกล้วยไม้กับกลิ่นผ
"งั้นเจ้าต้องสัญญากับพี่ว่าจะอยู่ให้ห่างจากร้านของตระกูลเสิ่น""แน่นอน!"ไข่ที่หวังซื่อเอามาถูกน้องสะใภ้เก็บไว้ พอหวังเอ้อร์จู้ฟังสูตรเสร็จก็อ้างว่าบ้านไม่มีข้าวให้นางรีบกลับ ระหว่างทางหวังซื่อรู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ถ้าฮูหยินจางรู้เข้าจะเกิดอะไรขึ้น?...ตอนเจียงเมี่ยวออกจากบ้านเจอหวังซื่อกำลังกลับมาพอดี นางสะพายตะกร้า ท่าทางใจลอย"พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านลุงกับท่านป้าเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?""อ๊ะ"หวังซื่อสะดุ้งตกใจ"สบายดี สบายดี"นางตอบตะกุกตะกักรีบเดินเข้าบ้านไปเจียงเมี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าพี่สะใภ้ใหญ่ดูมีพิรุธแต่นางก็ไม่ได้ใส่ใจ คิดว่าหวังซื่อคงเหนื่อยจากการเดินทาง ฤดูร้อนผ่านพ้นไป ฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะมาเยือนใบไม้ข้างทางเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ถนนเพิ่งฝนตกจึงมีดินโคลนเละเทะ เจียงเมี่ยวจับชายกระโปรงเดินเลือกที่แห้งเมืองฝูหรงคึกคักไปด้วยผู้คน พอถึงหน้าประตูเมือง นางเกือบโดนรถม้าที่วิ่งมาด้วยความเร็วชน โชคดีที่หญิงวัยกลางคนข้าง ๆ ดึงนางไว้ไม่งั้นคงบาดเจ็บ"ให้ตายเถอะ! เป็นบ้าหรือไง? ขับรถเร็วบนถนนรีบไปเกิดใหม่งั้นหรือ?"หญิงวัยกลางคนคนนั้นเป็นคนใจร้อน จึง