“คุณนายหลี่ ได้โปรดมากับพวกเรา”คุณนายหลี่ คนที่เรียกขานเธอเช่นนี้เห็นทีจะมีแต่คนของหลี่อันเฉิง เพียงแต่ท่าทางคุกคามแววตาข่มขู่ของอีกฝ่ายกลับทำให้เธอไม่วางใจ แน่นอนว่าการหนีเป็นหนทางที่ดีที่สุด แต่เฉินซิ่วลี่รู้ดีว่าไม่มีทางหนีพ้นแน่นอน ดังนั้นจึงทำใจดีเข้าสู้ยืดตัวเอ่ยทักอีกฝ่ายด้วยท่าทางมั่นคง“พวกคุณคงเป็นคนของพี่เฉิง”“ครับ”อีกฝ่ายขานรับ หากแต่มุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยนั้นทำให้เฉินซิ่วลี่ยิ่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนของหลี่อันเฉิงแต่น่าจะเป็นศัตรูของเขา ทว่าเธอไม่คิดหนีในทันทีเพราะต้องการให้อีกฝ่ายตายใจคิดว่าเธอเป็นลูกแกะที่เชื่อฟัง“คุณคงมาเอาของที่เขาฝากไว้ อย่างนั้นก็ไปกันเถอะค่ะ”ของที่เขาฝากไว้ เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา ใบหน้าของชายสองคนตรงหน้าก็มีท่าทีสงสัยอยู่ในที เฉินซิ่วลี่แสร้งตีสีหน้าจริงจังเอ่ยน้ำเสียงมั่นคง ไม่เผยพิรุธออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว“เขาบอกว่าของชิ้นนี้สำคัญมาก ฉันเลยไม่ได้พกไปไหนมาไหนด้วย กลัวว่าถ้าถูกแย่งชิงไปคนพวกนั้นจะรู้ความลับของพวกคุณเข้า”“อย่างนั้นคุณเอาไว้ที่ไหน ที่บ้านหรือ”“จะเอาไว้ที่บ้านได้ยังไงคะ พวกคุณตามฉันมาก็พอ”เฉินซิ่วลี่หมุนจักรยานเดินทางกลับเ
หลี่อันเฉิงหยุดรถยนต์ที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน ดวงตาคมดุแข็งกร้าวหันไปมองหญิงสาวที่นั่งหน้าซีดข้างกายเขาด้วยความกังวลอย่างไม่เคยเป็น“ฉันจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเอง เธอไม่ต้องกังวล”ไม่ต้องกังวล คำนี้เขาใช้หลอกเด็กอยู่หรือไง วันนี้เธอเกือบถูกคนลวงไปทำร้าย และแน่นอนว่านี่เป็นเพราะเธอมีฐานะเป็นภรรยาของเขา“ไม่ต้องกังวล! เกิดเรื่องแบบนี้คุณยังกล้าพูดคำนี้ออกมาได้อย่างไม่ทุกข์ร้อน หลี่อันเฉิงคุณมันคนไร้หัวใจ”เฉินซิ่วลี่ เปิดประตูลงจากรถ เดินอ้อมไปด้านหลังเปิดท้ายรถยนต์หยิบจักรยานและข้าวของทั้งหมดลงมาด้วยความกรุ่นโกรธและหวาดกลัว แม้รู้ว่าโลกใบนี้เป็นเพียงเรื่องราวในนิยายเรื่องหนึ่ง หากแต่ความรู้สึกต่าง ๆ ล้วนเป็นของจริง ความกลัวในใจของเธอตอนนี้ก็เช่นกัน“เฉินซิ่วลี่!”หลี่อันเฉิงเดินลงจากรถมาขวางทางคน ทว่าเฉินซิ่วลี่กลับตวัดสายตามองเขาอย่างขุ่นเคือง สายตาที่ 6 ปีมานี้ไม่มีใครกล้าใช้กับเขา หรือหากมีคนเหล่านั้นก็ล้วนหมดลมหายใจไปหมดแล้ว“ฉันไม่สนใจว่าคุณกำลังทำภารกิจอะไรอยู่ แต่หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก ต่อให้ต้องหนีไปยังประเทศอื่นฉันก็จะพาลูกไป”เฉินซิ่วลี่รู้ดีว่าการหนีไปจากหลี่อันเฉิงโดยท
“ผมเคยบอกคุณแล้วใช่ไหมว่า... อย่ายุ่งกับเธอ!”เพล้ง! พื้นปูนด้านหน้าปรากฏเป็นรอยลูกกระสุนอีกรอย รุ่ยจิงเสียเวลานี้หวาดกลัวจนจิตตก หลับตาก้มหน้าร้องบอกเสียงสั่น“ผมผิดไปแล้ว! หลี่อันเฉิง ผมขอโทษ ผมเพียงแค่กลัวว่าเธอจะเปิดโปงภารกิจของพวกเรา คุณก็รู้ว่าภารกิจครั้งนี้ท่านนายพลกำชับมากเป็นพิเศษ”หลี่อันเฉิงเป็นหนึ่งในหัวหน้าทีมปฏิบัติงาน เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าภารกิจครั้งนี้สำคัญแค่ไหน หากแต่คนของเขา เขาย่อมสามารถจัดการเองได้“ครั้งนี้เห็นแก่ท่านนายพล ผมจะปล่อยคุณไป แต่หากมีครั้งหน้า...”เพล้ง! พื้นปูนด้านข้างหัวเข่าของรุ่ยจิงเสียแตกเป็นฝุ่นผง ห่างไปไม่ไกลมีกระสุนปืนตกหล่น เวลานี้รุ่ยจิงเสียหวาดกลัวจนแทบสิ้นสติทิ้งตัวลงหมอบกับพื้นร้องพร่ำขอโทษคนตรงหน้าเสียงสั่น เช่นเดียวกับทหารติดตามของเขาทั้งสี่คนที่ต่างพากันยกมือยอมแพ้ถึงพวกเขาจะเป็นทหาร แต่ก็รักชีวิตและมีคนข้างหลังให้ห่วงใย ให้สู้รบกับศัตรูเพื่อปกป้องชาติพวกเขายินดีตาย แต่ไม่มีเหตุผลที่ต้องมาตายเพื่อปกป้องคนไม่เจียมตัวอย่างรุ่ยจิงเสียไร้ความกล้ายังคิดอวดดี ช่างไม่ประมาณตนเองจริง ๆ …......................................เฉินซิ่วลี่เ
เย่ชิงเหวินลงจากรถยนต์มายืนรอคนด้วยความกังวลว่าเฉินซิ่วลี่อาจจะไม่มาตามที่บอก“คุณเย่”เสียงสดใสเอ่ยทักจากด้านหลัง เมื่อหันไปตามเสียงเรียกก็พบว่าเป็นเฉินซิ่วจู คิ้วหนาขมวดเข้าหากันแน่น เขามั่นใจว่าตนเองไม่ได้รู้จักกับหญิงสาวคนนี้เป็นการส่วนตัว แต่ไม่รู้เพราะอะไรทุกครั้งที่พบเจอเธอมักแสดงท่าทีสนิทสนมกับเขาราวกับรู้จักกันมานาน“ครับ”ท่าทีขานรับอย่างห่างเหินของเย่ชิงเหวินทำให้เฉินซิ่วจูรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย มองใบหน้าคมคายของเขาแล้วหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อห้าปีก่อนในตอนนั้นเธอเป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวในหมู่บ้านที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เดิมทีเธอต้องรับการหมั้นหมายและแต่งกับหลี่อันเฉิง แต่อนาคตที่สดใสกำลังรอเธออยู่ จะให้เธอทิ้งทุกอย่างเพื่อหลี่อันเฉิงได้อย่างไร แผนการยั่วยุปั่นหัวเฉินซิ่วลี่จึงเกิดขึ้นสตรีโง่คนนั้นแค่ได้ยินว่าจะต้องถูกขายไปเป็นเมียน้อยชายชรา ก็ไม่เลือกวิธีการ จับว่าที่พี่เขยลากเข้าห้องจนฟ้าสางจึงยอมเปิดประตูแน่นอนว่าการกระทำนี้ของเฉินซิ่วลี่ทำให้เฉินซิ่วจูมีข้ออ้าง หนีความเจ็บช้ำ เข้าเมืองไปเรียนในระดับมหาวิทยาลัย โดยไม่มีใครตำหนิเพียงแต่เมื่อเข้าไปยังสถานศึกษาระดับมหาวิท
“เฉินซิ่วลี่”เสียงที่ไม่คุ้นหูดังอยู่ที่หน้าบ้าน เฉินซิ่วลี่ที่กำลังยกมื้อเย็นวางลงบนโต๊ะอาหารถอนหายใจยาว หน้าประตูบ้านเธอเขียนป้ายว่าร้านอาหารจริง ๆ ใช่หรือไม่ ผู้คนถึงได้แวะเวียนมาเวลามื้ออาหารอยู่เสมอ“นั่นเสียงอารองนี่ครับ”หลี่ชุนยิ้มกว้างวางตะเกียบในมือลงแล้วรีบวิ่งออกไปรับคนในทันที เฉินซิ่วลี่ปรายตามองไปทางหวังรั่วซี อีกฝ่ายรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ก้มหน้าด้วยท่าทางร้อนรนด้วยยังคงจำได้ว่าเฉินซิ่วลี่ไม่ชอบให้เธอใกล้ชิดกับหลี่อันเผยดังนั้นเพื่อไม่ให้เฉินซิ่วลี่รู้สึกไม่พอใจหวังรั่วซีจึงรีบหาทางหลบเลี่ยงไม่พบหน้าคน“ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย อยากให้คุณหมอกู้ดูอาการสักหน่อย ขอตัวก่อนนะคะ”พูดจบหวังรั่วซีก็รีบเดินออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว ชนิดที่แม้เฉินซิ่วลี่คิดจะเอ่ยปากห้ามก็ยังไม่ทัน สุดท้ายจึงทำได้เพียงถอนหายใจยาว“คนผิดมักร้อนตัว”หลี่หมิงเอ่ยบอกเสียงเบา หางตาคมมองตามหญิงสาวรุ่นพี่ที่วิ่งออกจากบ้านด้วยความไม่พอใจ หากหวังรั่วซีไม่ได้มีความคิดอกุศลต่ออารองของเขา เหตุใดเธอต้องหลบหน้าวิ่งหนีไปเช่นนี้ ทั้งหมดนี่ต้องเป็นเพราะลึก ๆ ในใจของอีกฝ่ายคิดไม่ซื่อ สมควรแล้วที่ครั้งก่อนถูกแม่เขาสั่งสอน
เรื่องที่หลี่อันเผยกลับมาเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนในชุมชนต้าหยางทำให้ หม่าอิงหง และ หลี่อันอันโอ้อวดไปทั้งหมู่บ้าน ทั้งยังคุยโวว่าจะสร้างบ้านหลังใหม่ชดเชยหลังเดิมที่ไฟไหม้ไป“ไหน ๆ ก็จะสร้างแล้ว สะใภ้หลี่ เธออย่าได้ให้น้อยหน้าภรรยาอาเฉิงเชียวนะ”หม่าอิงหง ถูกคนเอ่ยทักเช่นนี้ทั้งหน้าก็ชาหนึบ เรื่องที่เฉินซิ่วลี่ใช้เงินถึง 2,000 หยวนสร้างบ้านนั้นเป็นที่พูดถึงกันไปทั้งหมู่บ้าน หากแต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่ผู้คนเล่าลือกันถึงที่มาของเงินก้อนนี้หม่าอิงหงก็ยกมุมปากเอ่ยเสียงเย้ยหยัน“อาเผยน่ะทำงานเป็นครู ถึงแม้จะได้เงินเดือนมากแต่จะสู้อาชีพแบบนั้นของเฉินซิ่วลี่ได้ยังไงกัน”คำพูดประโยคเดียวนี้ของหม่าอิงหงทำให้เรื่องที่เฉินซิ่วลี่ใช้ร่างกายแลกเงินถูกผู้คนพูดถึงอีกครั้ง แต่เฉินซิ่วลี่ที่ได้ยินเรื่องเช่นนี้มาร่วมครึ่งปีในใจจึงรู้สึกระอาเต็มที และไม่สนใจเรื่องพวกนี้อีกทว่าเฉินซิ่วลี่ไม่สนใจแต่หวังรั่วซีกลับรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมนี้“แต่ไหนแต่ไรผู้คนชอบพูดเรื่องเสื่อมเสียของคนอื่นเสมอ ช่างมันเถอะ”“แต่ที่พวกนั้นพูดมันไม่ใช่เรื่องจริงนะคะ”หวังรั่วซีเอ่ยแย้ง เธออยู่กับเฉินซิ่วลี่มาร่วมเดือน ย่อมเห็นว่า
“แต่ฉันหูหนัก เธอแต่งกับฉันได้”ถังซานโพล่งออกมาอย่างลืมตัว เมื่อตระหนักได้ก็ไม่อาจทวงคืนคำพูดเมื่อครู่กลับมา สองแก้มสีแทนของเขาร้อนผ่าวแดงก่ำไปจนถึงใบหู รู้สึกอับอายจนสติหยุดนิ่งคิดคำพูดไม่ได้ชั่วขณะ หากแต่สำหรับเฉินซิ่วลี่แล้วเธอกลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลยสักนิด“พี่ซาน พี่เป็นสหายสนิทของพี่เฉิง เป็นพ่อบุญธรรมของอาหมิง อาชุน ในสายตาของฉันพี่คือผู้ชายที่ดีที่สุด แต่...”ผู้ชายที่ดีที่สุด หัวใจของถังซานพลันสั่นระรัว ในดวงตามีความหวังพาดผ่าน รั้งรอคำพูดของเฉินซิ่วลี่ด้วยความตั้งใจ“แต่สำหรับฉันแล้ว พี่ไม่อาจเป็นได้มากกว่านี้”ไม่อาจเป็นได้มากกว่านี้ หัวใจที่ฟูฟ่องของถังซานพลันแตกระเบิดออกในทันที ใบหน้าคมสันยิ้มแห้ง ดวงตาแดงก่ำเอ่ยถามความชัดเจนจากเฉินซิ่วลี่อีกรอบ“อะ... อาลี่ เธอหมายความว่ายังไง”เฉินซิ่วลี่เม้มริมฝีปากบาง เธอไม่รู้ว่าหลังจากนี้สถานการณ์ระหว่างเธอกับถังซานจะเป็นอย่างไร แต่เธอไม่อาจใช้ความใจดีของเขามารั้งเขาเอาไว้ด้วยความหวังที่ไม่มีวันเป็นจริงแบบนี้“สามีภรรยานั้นเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน พี่ซานวันนี้พี่อาจจะโกรธและไม่พอใจฉัน แต่ฉันไม่อยากเสียพี่ชายดี ๆ แบบพี่ไป ต้องข
หลังจากที่ตรวจสอบบ้านครั้งสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว เฉินซิ่วลี่ก็ย้ายข้าวของที่มีเพียงน้อยนิดเข้าบ้านใหม่ โดยมีถังซานที่นำรถการเกษตรมาช่วยในการขนย้าย และเย่ชิงเหวินที่ให้คนงานมาช่วยยกของจัดวาง“แม่ครับ นี่บ้านของเราเหรอครับ”หลี่ชุนเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น หมุนตัวมองบ้านอิฐแดงสองชั้นด้วยความตื่นตา พลางจับมือหวังรั่วซีวิ่งไปจนทั่วบ้าน ขณะที่หลี่หมิงยืนกวาดตามองไปรอบตัวอย่างสงบ“ขอบคุณครับแม่”เสียงหนักแน่นเอ่ยขอบคุณคนเป็นแม่ ในดวงตาคมมีความซาบซึ้งฉายชัด เฉินซิ่วลี่ยิ้มกว้างตอบกลับให้เขา ก่อนจะปรายตามองไปยังลูกชายอีกคนที่ลากแขนหวังรั่วซีเดินสำรวจจนทั่วบ้าน“พี่รั่วซี ไปดูชั้นบนกัน”“ห้องของลูก ๆ อยู่ข้างบนตรงกลาง ส่วนรั่วซีเธอนอนกับฉัน ห้องอยู่ด้านซ้ายสุด”เฉินซิ่วลี่จงใจเว้นห้องขวาสุดไว้ให้หลี่อันเฉิง อย่างไรเสียสุดท้ายบ้านหลังนี้ก็ใช้เงินของเขาสร้าง ห้องที่ใหญ่ที่สุดก็สมควรเป็นของเขา“ฉันนอนห้องข้างล่างได้ไหมคะ”หวังรั่วซีรู้ดีว่าตนเองมีฐานะใด ดังนั้นจึงไม่คิดใช้ห้องร่วมกับเฉินซิ่วลี่ ยิ่งไม่คิดร้องขอห้องส่วนตัวชั้นบน“ห้องใต้บันไดค่อนข้างคับแคบ เธอนอนกับฉันน่าจะสะดวกกว่า”“ห้องกว้างฉันไม่ชินค
“คุณพ่อ คุณแม่ อาเหม่ยอยากได้ตุ๊กตาตัวนี้”เสียงเด็กหญิงไว้ 3 ขวบร้องบอกคนเป็นพ่อและแม่ กวงซุนหลี่ยิ้มรับทว่าขณะที่กำลังจะเดินไปซื้อของให้ลูกสาวคนเล็ก มือข้างซ้ายก็ถูกดึงรั้งเอาไว้เสียก่อน“อาเหม่ยเพิ่งซื้อของเล่นไปเมื่อสัปดาห์ก่อน หากจะซื้อชิ้นใหม่ต้องเป็นเดือนหน้า”เฉินซิ่วลี่ห้ามปรามเด็กหญิงตัวน้อยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้ากลมสดใสพลันสลดน้ำตาคลอก้มหน้ามองพื้น หลี่ชุนในวัย 10 ขวบรีบเข้ามาอุ้มน้องสาวตัวน้อยขึ้นแล้วเอ่ยกระซิบปลอบประโลม“ไม่เป็นไรนะอาเหม่ย เดี๋ยวเดือนหน้าพี่ซื้อให้”ด้วยฐานะทางบ้านของพวกเขาตอนนี้ แค่ของเล่นเพียงชิ้นเดียวไม่ใช่เรื่องยากที่จะซื้อหามาครอบครอง แต่เพราะพวกเขาเคยผ่านความยากลำบากมาก่อนจึงได้เรียนรู้คุณค่าของเงิน ในบ้านจึงมีกฎให้ซื้อของเล่นได้เพียงเดือนละ 1 ชิ้นเท่านั้น“ผมเอาตัวนี้ ใส่ถุงให้ด้วยครับ”เสียงเข้มราบเรียบเอ่ยบอก ทุกสายตาพลันหันมาจดจ้องที่หลี่หมิงขณะที่พนักงานขายรีบหยิบตุ๊กตาที่เด็กหญิงร้องบอกอยากได้เมื่อครู่ใส่ถุงอย่างรวดเร็ว“อาหมิงลูกกำลังจะทำลายกฎของบ้านเรา”เฉินซิ่วลี่เอ่ยบอกเสียงราบเรียบ แม้จะไม่ได้มีน้ำเสียงหรือท่าทางตำหนิ แต่สายตานั้นชัดเจ
“คืนนี้พวกเราจะได้น้องสาวแล้วใช่ไหมครับ”หลี่ชุนกระซิบเสียงเบา มุมปากของคนเป็นพ่อยกขึ้นสูงก่อนจะพยักหน้ารับด้วยสายตามุ่งมั่น“พ่อรับรองว่าเดือนหน้าน้องสาวของลูกต้องมาแน่ๆ”เมื่อได้ยินคำพูดที่หนักแน่นของคนเป็นพ่อสองเด็กชายก็ย้ายไปนอนที่ห้องถัดไป ขณะที่ร่างสูงโปร่งของกวงซุนหลี่ขยับเดินเข้าห้องลงกลอนแน่นหนาฉับไว “อื้ม...”เฉินซิ่วลี่ร้องครวญในลำคอเมื่อร่างกายถูกรบกวน ความเย็นจากภายนอกเข้ามาปะทะผิวกายทำให้คิ้วเรียวขมวดมุ่น ก่อนที่ดวงตาจะเปิดออก“คุณกวง! เข้ามาทำไมคะ”เพราะความแนบชิดที่ไม่เหมาะสมทำให้เธอตื่นตระหนกรีบมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง“หยุดนะคะ เดี๋ยวเด็กๆ เห็น”“เด็กๆ ย้ายไปนอนอีกห้องแล้ว”คนตัวโตที่ปลดเปลื้องผ้าของเธอจนเหลือเพียงร่างที่เปลือยเปล่าเช่นเดียวกับเขากระซิบบอกเสียงแหบพร่า แนบชิดร่างกายกำยำลงทาบทับบนตัวนุ่ม“คุณกวงหยุดก่อนค่ะ เราต้องคุยกันให้ชัดเจนก่อน”“เดี๋ยวค่อยคุยนะ”ริมฝีปากร้อนขยับจากลำคอขาวกดแนบชิดบดเบียดริมฝีปากบาง พร้อมกับวางมือบีบเคล้นอกอวบอิ่มทั้งสองข้าง ร่างกายของเฉินซิ่วลี่พลันตื่นตัวขนกายสาวลุกชัน สองเนื้อนิ่มแข็งสู้กับมือหนากวงซุนหลี่ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ถอนริมฝ
“แค่ทำข้าวสารให้เป็นข้าวสุกก็พอ”ใบหน้าของกู้เหยียนพลันร้อนผ่าวแดงก่ำไปจนถึงลำคอ เดิมทีเขาเสนอตัวช่วยแก้ปัญหานี้ก็เพราะว่าเงื่อนไขของคุณหนูกวงเพียงแค่อยากแต่งงาน แต่ไม่ต้องการความสัมพันธ์ทั้งทางกายและใจ ให้แยกบ้านเธอก็ยินดี ในเมื่อชีวิตนี้เขาเองก็ไม่คิดแต่งงานกับใครอีกแล้ว ให้แต่งหลอกๆ เป็นหุ่นเชิดให้เธอก็ไม่นับว่าเสียหายอะไร แต่งเสร็จเขาก็กลับไปเมืองเจียงเป็นคุณหมอกู้ของชาวบ้านต้าหยางต่อไปก็เท่านั้นเพียงแต่แค่เรื่องหลอกๆ เรื่องหนึ่งทำไมต้องให้เขานอนกับเธอด้วย ทำแบบนี้กวงจือหลินย่อมต้องถูกผู้คนครหาติฉินนินทา ทว่าเขาไม่ทันได้เอ่ยปฏิเสธกวงจือหลินก็ตอบรับแผนการของกวงซุนหลี่ไปแล้ว“ได้!”“ดี! อาหย่งเอาเหล้ามา”กู้เหยียนมองเหล้าดีกรีแรงตรงหน้าแล้วกลืนน้ำลายฝืดลงคอ ทั้งชีวิตของเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับเส้นทางอบายมุขไม่ว่าจะเป็น เหล้า บุหรี่ ฝิ่น การพนัน และผู้หญิง ล้วนไม่เคยข้องเกี่ยว ดังนั้นเมื่อกวงซุนหลี่ส่งแก้วเหล้าให้ มือหนาจึงยื่นไปรับด้วยท่าทางลังเล“อาหลี่ ฉัน... ไม่กินได้หรือไม่ นายก็รู้ว่าฉัน...”กู้เหยียนพูดยังไม่ทันจบประโยคแก้วเหล้าในมือก็ถูกกวงซุนหลี่จับจรดที่ริมฝีปากของเขา ตอนนี้แม
“นอกจากเธอฉันไม่เคยสัญญาจะแต่งงานกับใครทั้งนั้น”เฉินซิ่วลี่ขมวดคิ้วเรียวมองคนตรงหน้าด้วยสายตาสับสน กวงซุนหลี่จับมือซ้ายของเธอมากอบกุมแล้วกดจุมพิตที่หลังมือนุ่มก่อนจะสวมใส่แหวนลงไปที่นิ้วนางเธอเหมือนเดิม“คุณกวง คุณจะทำอะไร ฉันไม่ยินดีแต่งเป็นภรรยารองให้คุณหรอกนะ หรือต่อให้เป็นภรรยาเอก ฉันก็ไม่ยินดี”“เอาไว้ไปถึงบ้านฉันจะอธิบายเรื่องพวกนี้ให้เธอฟัง แต่นับจากนี้ห้ามเธอถอดแหวนวงนี้อีก และห้ามเธอทอดทิ้งฉันด้วย แค่คิดก็ไม่ได้เข้าใจไหม”น้ำเสียงกระซิบอ้อนวอนราวกับสาวน้อยถูกรังแก ทำให้ความกรุ่นโกรธในใจของเฉินซิ่วลี่จางหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น “ได้! ฉันจะรอฟังคำอธิบายของคุณ แต่ถ้าเหตุผลไม่เพียงพอเรื่องของเราก็ยังคงต้องยุติ”“ไม่ได้! ฉันไม่ยอม”กวงซุนหลี่เอ่ยบอกอย่างดื้อดึงพร้อมกับกระชับอ้อมแขนแน่น เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาวไม่คิดทำเรื่องที่เสียแรงเปล่าอย่างการดิ้นรนขัดขืนเขา รั้งรอจนรถหยุดลงกวงซุนหลี่ก็อุ้มคนลงจากรถเดินเข้าบ้านในทันที“คุณกวงปล่อยฉันนะคะ ฉันเดินเองได้”“ไม่!”เสียงเข้มหนักแน่นตอบกลับพลางก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปในห้องโถงแล้วนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวโดยยังคงกอดรัดเฉินซิ่วลี่ไว้บนตักไม่ยอมปล
นี่เขาคงไม่คิดจะประกาศแต่งงานกับเธอในเวลานี้หรอกนะดวงตาคมของคนบนเวทีมองตอบกลับสอดประสานดวงตาเรียว ก่อนที่เขาจะประกาศก้องอีกครั้ง“ลี่ลี่ แต่งงานกับฉันนะ”เมื่อได้ยินกวงซุนหลี่เอ่ยชื่อหญิงสาวที่เขาต้องการแต่งงาน บรรดาแขกในงานก็ส่งเสียงวิจารณ์อื้ออึงอีกครั้ง“ลี่ลี่เหรอ ใครกัน”“นั่นสิ! คุณกวงไม่ใช่ว่ากำลังคบหาดูใจกับคุณหนูกวงจือหลินอยู่หรือ ทำไมถึงประกาศแต่งกับคนอื่นได้”“แบบนี้คุณกวงจือเหลียงจะยอมหรือ”“กวงซุนหลี่ เขาไม่รักลมหายใจของตนเองแล้วหรือไง”คำพูดของผู้คนมากมายดังก้องไปทั่วงานจนกวงซุนหลี่ขบกรามแน่น หากแต่ใครจะพูดอย่างไรเขาล้วนไม่สนใจ ที่เขาสนใจมีเพียงเฉินซิ่วลี่ที่ยังนั่งนิ่งไม่ตอบรับคำขอของเขา“ลี่ลี่ ฉันสัญญาหากเธอตกลงแต่งงานกับฉัน ฉันจะมีแค่เธอ จะปกป้องดูแลเธอและครอบครัวของเราด้วยชีวิตของฉัน”หัวใจของเฉินซิ่วลี่พลันสั่นระรัว มองสบดวงตาคมด้วยแววตาสั่นไหว ดูแลด้วยชีวิต เมื่อได้ยินคำพูดนี้ความรู้สึกในวันที่เธอคิดว่าเขาตายจากไปแล้วก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง จะมีสักกี่คนที่มีโอกาสแบบเธอ ในเมื่อมีโอกาสแล้วยังต้องยึดติดกับทิฐิและข้อสงสัยมากมายทำไมกัน เมื่อคิดได้เช่นนี้เฉินซิ่วลี่ก็โยนท
เมื่อใกล้ถึงเวลาเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของกวงซุนหลี่ เฉินซิ่วลี่ก็เลือกสวมชุดสีฟ้าเข้ารูปคอสูงเพื่อปกปิดร่องรอยที่กวงซุนหลี่ทิ้งเอาไว้บนลำคอระหง แล้วออกเดินทางไปยังสถานที่จัดเลี้ยงกู้เหยียนใช้เวลาเพียง 15 นาทีก็ขับรถมาถึงหน้าโรงแรมจัดเลี้ยง ชายในชุดสูทแบบตะวันตกก็เดินมาเปิดประตูรถทั้ง 4 ด้าน กู้เหยียนส่งกุญแจรถให้พนักงานตรงหน้านำรถไปจอดในสถานที่จอดรถ ส่วนตัวเขาเดินมารับเฉินซิ่วลี่ ขณะที่หลี่หมิงและหลี่ชุนเดินขนาบข้างซ้ายขวาหวังรั่วซีตามหลังคนเป็นแม่เข้างานอย่างสงบเสงี่ยมรู้ความและในทันทีที่เฉินซิ่วลี่ก้าวเท้าเข้ามาในงาน ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น จึงทำให้สายตาชายหนุ่มในงานจดจ้องมาที่เธออย่างมากมาย หากไม่เพราะข้างกายเธอมีกู้เหยียนเคียงข้างอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าคืนนี้เฉินซิ่วลี่คงไม่อาจนั่งอย่างสงบแน่นอน“คุณกวงจัดที่นั่งไว้ให้คุณเฉินและผู้ติดตามเป็นพิเศษ เชิญพวกคุณทางด้านนี้ครับ”เมื่อทุกคนในงานได้เห็นตำแหน่งที่นั่งของเฉินซิ่วลี่ผู้คนในงานต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงสถานะความสำคัญของเธอและกู้เหยียน จวบจนกระทั่งกวงซุนหลี่ก้าวเท้าเข้ามาความสนใจของผู้คนจึงเปลี่ยนไปที่เขาแทน“สวัสดีค่ะคุณก
บทสุดท้ายเมื่อหวังรั่วซีตื่นมาตอนเช้าแล้วพบว่าเฉินซิ่วลี่หายตัวไปก็ตื่นตระหนก รีบไปแจ้งกู้เหยียนที่ห้องของเขาด้วยความร้อนใจ“รั่วซี! มาหาฉันแต่เช้ามีเรื่องด่วนอะไรหรือ”กู้เหยียนเอ่ยถามเสียงเบา เพราะเด็กชายทั้งสองยังนอนหลับอยู่บนเตียง ก่อนจะปิดประตูเดินออกมาคุยกับหวังรั่วซีที่หน้าห้อง“พี่ลี่หายตัวไปค่ะหมอกู้”เมื่อได้ยินว่าเฉินซิ่วลี่หายตัวไป กู้เหยียนก็ตื่นตระหนกจนหน้าซีดรีบหมุนตัวเปิดประตูเข้าไปหยิบเสื้อคลุมและกุญแจรถในทันที“จะเป็นพวกเดียวที่ลักพาตัวอาหมิงกับอาชุนไปเมื่อคราวก่อนไหมคะ”คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น เรื่องที่หลี่หมิงกับหลี่ชุน ถูกลักพาตัวไปเมื่อเดือนก่อน จนเป็นเหตุให้หลี่อันเฉิงตายจากไป เขายังจดจำไม่ลืม ดังนั้นไม่ว่าครั้งนี้จะอันตรายแค่ไหน เขาจะต้องปกป้องช่วยเหลือเฉินซิ่วลี่ให้ได้“เธอเข้าไปรอฉันในห้องกับเด็กๆ ก่อน ฉันจะไปตามหาคุณเฉิน”กู้เหยียนยืนยันเสียงหนักแน่นพร้อมกับวางเสื้อคลุมของตนเองลงบนไหล่บาง ใบหน้าของหวังรั่วซีพลันแดงก่ำเมื่อตระหนักได้ว่าตนเองสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่เหมาะสมนัก“ขอโทษค่ะ”“ไม่เป็นไร เธอเข้าไปรอในห้องก่อนไม่ต้องกังวลฉันจะพาคุณเฉินกลับมาอย่างปลอดภั
“ตอนนี้ฉันคือภรรยาของหลี่อันเฉิงค่ะ” กวงซุนหลี่กำมือแน่น รู้สึกอิจฉาตนเองในอดีตขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ทว่าสุดท้ายก็ยอมถอยขยับตัวลุกขึ้นนั่งที่ข้างเตียง เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาว เธอไม่รู้ว่าควรจะอธิบายความรู้สึกของตนเองอย่างไร สุดท้ายหลังจากหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่ก็ลุกขึ้นหมายใจถอยกลับไปตั้งหลัก“ฉันกลับก่อนนะคะ”ทว่าเท้าเล็กก้าวลงเตียงแต่ไม่ทันได้ขยับเดิน เอวบางก็ถูกดึงรั้งจนเธอเซถลาลงนั่งบนตักกว้าง“อย่าไปได้ไหม”เสียงออดอ้อนแผ่วเบากระซิบที่ข้างใบหูเล็ก“ลี่ลี่ อย่าไปได้ไหม”วงแขนแกร่งกระชับแน่นมากขึ้น กดปลายจมูกลงบนไหล่เล็กแล้วกระซิบเสียงอ้อนเว้าวอน“ลี่ลี่ ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเธอ เธอจะทุบตีจะด่าทอฉันก็ได้ แต่อย่าไปจากฉันได้ไหม”เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาวก่อนจะบอกเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ฉันไม่มีเหตุผลต้องอยู่ทุบตีด่าทอคุณ อีกอย่างเด็กๆ ยังอยู่ที่โรงแรมฉันไม่กลับไม่ได้ค่ะ”“เธอกลับไปตอนนี้พวกเขาก็หลับกันหมดแล้ว แต่ฉันยังไม่หลับและคงหลับไม่ลงทั้งคืนถ้าเธอจากไป ลี่ลี่... คืนนี้อยู่กับฉันนะ”หัวใจของเฉินซิ่วลี่พลันสั่นสะท้าน เม้มริมฝีปากบางอย่างสับสน หากคิดตามเหตุผลเธอไม่สมควรอยู่ต่อ แต่หากถามคว
“ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกันเป็นการส่วนตัวสักทีนะคุณกวง”“ส่งคนคืนฉันมา”กวงซุนหลี่ขบกรามกำหมัดแน่นพร้อมกับเอ่ยเสียงลอดไรฟัน ท่าทางเช่นนี้ของเขาทำให้เหลียงเหว่ยพึงพอใจมาก มือหนากระชับไหล่บางเข้าประชิดตัวก่อนจะส่งสายตาเยาะเย้ยเขา“ไม่เอาน่าคุณกวงของดีๆ แบบนี้เราแบ่งกันเล่นสนุกดีกว่านะ”เหลียงเหว่ยพูดพลางหันไปกดจมูกลงบนแก้มนุ่ม ทว่าปลายจมูกยังไม่ทันสัมผัสผิวของเฉินซิ่วลี่ ร่างกายก็ถูกเธอจับพลิกหมุนเคว้ง รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังของเขาก็กระแทกลงกับพื้นจนปวดไปทั้งตัว คนของเหลียงเหว่ยชักปืนออกมาในทันที แต่ไม่ทันได้ขยับลั่นไกปืนในมือชายคนหนึ่งก็ย้ายมาอยู่ในมือของกวงซุนหลี่แล้วปัง! ปัง! เสียงปืนดังลั่นพร้อมกับเลือดที่ไหลออกจากต้นขาของเหลียงเหว่ยทั้งสองข้าง คอเสื้อด้านหลังถูกกระชากยกขึ้น ก่อนที่ขมับขวาของเขาจะเย็นวาบเพราะปลายกระบอกปืนที่จ่อแนบลงมา“เหลียงเหว่ย คุณคงรู้ว่าต้องบอกคนของตนเองยังไง”“ถอย! ถอยไปให้หมด”สิ้นคำสั่งของเหลียงเหว่ยคนนับสามสิบคนก็ขยับหลีกทางให้กวงซุนหลี่ เขาหันมาส่งสัญญาณให้เฉินซิ่วลี่เดินประกบตามหลังเขาไปที่รถยนต์ด้านหน้าตึก“ลี่ลี่ คุณขับรถได้ไหม”“ได้ค่ะ”เหลียงเหว่ยตัวสั่นสะ