63 : พวกเจ้าทิ้งเสบียงไปบ้างเถอะ เซี่ยซือซือมองชาวบ้านแต่คนละ ต่างมีเสบียงติดไม้ติดมือมากันหมด โดยเฉพาะบ้านเศรษฐีของที่นี่ ชาวบ้านบุกตะลุยเข้าไปรื้อเอาเสบียง ที่พวกเขาขนไปไม่หมดออกมา แต่ก็นำไปได้แค่บางส่วนเท่านั้น เกวียนของเฒ่าอวี่ไห่ไม่สามารถแบกรับน้ำหนักของเสบียงได้อีก “เหตุใดไม่ให้คนลงจากเกวียนแล้วเอาเสบียงใส่ไว้ล่ะ” นางหลินเสียดายเสบียงที่ตนอุตส่าห์แบกออกมาจากบ้านหลังหนึ่ง แต่กลับไม่สามารถขนออกไปได้ “เกวียนของข้า ข้าให้ครอบครัวของข้านั่ง กับเด็กและคนชราที่เดินเองไม่ไหว พวกเจ้าโลภในเสบียงเหล่านั้นนักก็หารถเข็นมาเข็นเอาเองสิ” เฒ่าอวี่ไห่แย้งนางออกไป “จริงด้วยสะใภ้ใหญ่ เจ้าไปหารถเข็นบ้านไหนสักหลังมาขนเสบียงเถอะ เร็วเข้าก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทาง สะใภ้รองเจ้าก็ไปด้วย” แม่เฒ่าเซี่ยรีบผลักลูกสะใภ้ทั้งสองให้ออกไปหารถเข็น มองเลยไปยังลูกชายกับหลานของนาง “เจ้าใหญ่เจ้ารองพาลูก ๆ ของเจ้า ไปช่วยกันหารถเข็นเร็วเข้า” ความโลภบังตาอยากได้ของผู้อื่น ทำให้ครอบครัวสกุลเซี่ยต่างออกไปหารถเข็น มาขนเสบียงที่เหลืออยู่ พวกเขาช่างหาได้รวดเร็วนัก หามาได้ถึงสอง
64 : เจ้าอย่าได้อายไปฮุ่ยหนิง ทุกคนนั่งกินอาหารเที่ยงกันอย่างง่าย ๆ หนนี้ชาวบ้านต่างมีเสบียงกันครบทุกครอบครัว พวกเขาเลยเลือกที่จะทำอาหารกินกันเอง เซี่ยซือซือเองก็ไม่ได้เอ่ยแย้งอันใด กลุ่มของโหย่วหย่งอี้มีคนทำอาหารของเขา เช่นเดียวกับกลุ่มของผู้ใหญ่บ้าน และกลุ่มของท่านหมออวี่ เพราะเสบียงที่หาได้จากอำเภอวั่งย่อมไม่เหมือนกัน ทำให้ทุกบ้านอยากทำอาหารของพวกเขากันเอง “ท่านยายท่านมากินกับข้าเถอะเจ้าค่ะ” เซี่ยซือซือเรียกแม่เฒ่าจางมาร่วมกินข้าวด้วยกัน “ได้อย่างไรกันอาซือ ข้าไม่ได้มีเสบียงดีเหมือนพวกเจ้า” แม่เฒ่าจางนึกเกรงใจขึ้นมา “เสบียงก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ แม่เฒ่าจางท่านอย่าได้เกรงใจไปเลย ท่านตัวคนเดียวมากินกับพวกเราเถอะเจ้าค่ะ” นางถานเองก็ยอมรับในตัวของแม่เฒ่าจาง ตลอดการเดินทางนางดูแลเซี่ยซือหยางเป็นอย่างดี ไม่แปลกที่ลูกสะใภ้ของนางจะตอบแทนหญิงชราผู้นี้ “เช่นนั้นก็ต้องรบกวนพวกเจ้าแล้ว” เมื่อนางถานเอ่ยเช่นนี้ แม่เฒ่าจางจึงวางใจที่จะร่วมกินข้าวกับพวกเขา เซี่ยซือซือแอบหยิบเนื้อแดดเดียวออกมาจากมิติพิเศษ นางถานหุงเพียงข้าวหม้อหนึ่งไว้ตั้ง
65 : ซือซือข้ากลัว ก่อนเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง คนของโหย่วหย่งอี้ได้มารายงานเรื่องสำคัญ เส้นทางที่พวกเขาต้องเดินทางผ่านนั้น ถูกข้าศึกบุกเข้าไปยึดพื้นที่หมดเสียแล้ว “เหตุใดพวกมันถึงได้ยึดที่นั่นได้เร็วนัก” โหย่วหย่งอี้ไม่เข้าใจเรื่องนี้ “เป็นกองทหารม้า มาจากอีกฝั่งหนึ่งของเมืองขอรับ” ลูกน้องคนที่นำข่าวมาแจ้งรีบอธิบายเพิ่ม “กองทหารม้าเช่นนั้นรึ เราไปทางเดิมไม่ได้แล้ว ท่านลุงหลูท่านมีความเห็นว่าอย่างไร” “ทางราบไปไม่ได้แล้วขอรับคุณชายรองอันตรายเกินไป เราคงต้องไปเส้นทางอื่น” หลูจิ่นฟานนำแผนที่ของเขาออกมากางดู พบเส้นทางบนเทือกเขาที่พอจะผ่านไปได้ แต่ค่อนข้างอันตรายเพราะมีโจรป่าคอยดักซุ่มโจมตีอยู่ หลูจิ่นฟานนำเรื่องนี้มาบอกแก่ผู้ใหญ่บ้าน เพราะเขาเป็นหัวหน้าชาวบ้านที่เดินทางร่วมกันไป ผู้ใหญ่บ้านไม่อาจตัดสินใจเองได้ เขานำเรื่องนี้ไปหารือกับชาวบ้านทุกคน หลายคนส่งเสียงโอดโอยด้วยความผิดหวัง ไม่คิดว่าเส้นทางหลักที่ใช้เดินทาง จะถูกข้าศึกยึดไปในเวลาอันรวดเร็ว “พวกชาวบ้านที่แยกไปอีกทางล่ะขอรับ” ท่านหมออวี่นึกห่วงกลุ่มที่แยกไปก่อนหน้า
66 : โจรป่าบุก เสียงของชาวบ้านดังไกลออกไปเรื่อย ๆ เหลือเพียงกลุ่มของโหย่วหย่งอี้ กับคนบ้านสกุลเซี่ยที่ยังอยู่ที่เดิม หลูจิ่นฟานนึกสงสัยคนบ้านนี้นัก เขาเดินเข้าไปถามเซี่ยฉางใกล้ ๆ ว่าเหตุใดถึงไม่ตามชาวบ้านไป “เด็กอาซือนั่นจะไปรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร ข้าไม่เชื่อนางหรอกขอรับ อยู่กับพวกท่านน่าจะปลอดภัยที่สุดแล้ว” เซี่ยฉางไม่เคยเชื่อหลานสาวของตนเองสักครั้ง ที่ผ่านมานางก็แค่โชคดีเท่านั้นเอง “นางก็แค่โกหกชาวบ้านไปวัน ๆ ท่านหลูก็อย่าไปโดนนางหลอกเสียล่ะ” แม่เฒ่าเซี่ยได้ทีซ้ำเติมเซี่ยซือซือเข้าไปอีก “นั่นไม่ใช่หลานสาวของพวกท่านหรอกรึ” “ก็เพราะว่าเป็นหลานสาวน่ะสิ ข้าถึงรู้จักนิสัยใจคอนางเป็นอย่างดี ใครจะเชื่อนางก็เชื่อไปเถอะ ข้าไม่เชื่อหรอก” แม่เฒ่าเซี่ยทำเสียงเย้ยหยันเต็มที่ สวบ ! สวบ ! เสียงฝีเท้าเหมือนคนวิ่งเร็ว ๆ ตรงมาทางนี้ ทุกคนต่างหันไปให้ความสนใจเป็นสายตาเดียวกัน พบคนที่หลูจิ่นฟานส่งไปดูลาดเลาบนเขาก่อนหน้า เขาตรงมากำหมัดคำนับให้หลูจิ่นฟาน “มีโจรป่ากำลังลงมาจากเขาจริง ๆ ขอรับท่านหลู” เสียงรายงานเต็มไปด้วยลมห
67 : ค่ายทหารเมืองอี๋หลิง ทุกคนผ่านค่ำคืนอันเลวร้ายมาได้ ด้วยการนำทางของเซี่ยซือซือ หลูจิ่นฟานยังไม่เข้าใจว่าทำไม นางถึงรู้จักเส้นทางในความมืดได้ อีกทั้งยังสามารถบอกได้ จุดไหนมีหลุมมีบ่อหรือก้อนหินขวางทาง ในยามนี้เขาเริ่มเชื่อชาวบ้านขึ้นมาแล้ว ที่ว่านางมีลางสังหรณ์อันดีเยี่ยม ยามเหม่า[1] เซี่ยซือซือให้ทุกคนหยุดพักและหลับเอาแรงก่อนได้ นางเห็นแล้วว่าพวกโจรป่า พากันกลับขึ้นภูเขาไป ส่วนเจียงฉีหมิงได้นำลูกน้องทั้งหมดตามหลังทุกคนมา นางทำเช่นนี้เพื่อรอพวกเขาอีกด้วย เพราะมีสามคนในกลุ่มของเจียงฉีหมิงได้รับบาดเจ็บ จำเป็นต้องให้ท่านหมออวี่ช่วยรักษา ขณะที่ชาวบ้านกำลังทำมื้อเช้ากันอยู่นั้น เจียงฉีหมิงได้พาคนของเขาตามมาทันพอดี ท่านหมออวี่รีบเข้าไปทำการรักษา คนที่ได้รับบาดเจ็บได้อย่างทันท่วงที เป็นไปตามที่เซี่ยซือซือคาดการณ์เอาไว้ เพราะเหตุการณ์ฉุกละหุก ทุกคนจึงกลับมากินข้าวหม้อเดียวกันอีกครั้ง โดยแบ่งเสบียงของแต่ละบ้านมารวมกัน บ้านสกุลเซี่ยแม้จำใจต้องทิ้งเสบียงที่อยู่บนรถเข็น แต่พวกเขายังมีเสบียงอยู่จำนวนหนึ่ง ยังพอให้ได้กินไปได้อีกหลายวัน เซี่ย
68 : เสี่ยวเป่าไม่ไปกับข้ารึท่านพี่ ทุกคนนั่งพักหายเหนื่อยได้ราวสองเค่อ ทหารที่ออกไปช่วยขับไล่ข้าศึกก็กลับเข้ามา พร้อมกับข่าวดีว่าข้าศึกล่าถอยออกไปหมดแล้ว ทุกคนต่างกล่าวขอบคุณกองทัพเมืองอี๋หลิง ที่ช่วยปกป้องชีวิตของผู้ลี้ภัย “ผู้นำกองทหารออกไปขับไล่ข้าศึก คือคุณชายใหญ่โหย่วหยางหลง ลูกชายคนโตของแม่ทัพโหย่วตงหยางของเมืองเว่ย์เชียวนะ โชคดีของเมืองอี๋หลิงแล้วที่ได้คุณชายใหญ่ผู้นี้ มาช่วยขับไล่พวกทหารแคว้นฉี” เสียงชาวบ้านผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น ทำให้ทุกคนมองไปยังผู้นำกองทหาร ที่กำลังขี่ม้าเข้ามาในกำแพงเมือง ด้วยสายตาแห่งความชื่นชม “เจ้ารู้ได้อย่างไร” “บ้านเดิมข้าอยู่เมืองเว่ย์ ช่างห้าวหาญเหมือนบิดาไม่มีผิด” “จริงด้วย น่าเกรงขามยิ่งนัก แต่เหตุใดถึงได้มาอยู่เมืองอี๋หลิงได้ล่ะ ได้ข่าวว่าเป็นรองแม่ทัพของเมืองเว่ย์เชียวนะ” “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” “เหตุใดถึงมีคนหน้าเหมือนพี่เขยเพิ่มมาอีกคนเล่า” เสียงของเซี่ยซือหยางทำให้ชาวบ้านต่างหันมามองถานจ้านกันหมด ก่อนจะหันกลับไปมองโหย่วหยางหลง สลับกันไปมาอยู่อย่างนั้น “เหม
69 : จ่ายห้าสิบตำลึงมา ข้าพร้อมตัดขาดจากพวกมัน เช้าวันต่อมาเซี่ยซือซือถึงได้รับคำตอบจากชาวบ้าน ว่าพวกเขาตัดสินใจอยู่ที่นี่กันหมด กระทั่งครอบครัวของแม่เฒ่าเซี่ยเอง แม้ว่าคนบ้านใหญ่อยากเดินทางต่อไปยังเมืองเว่ย์ แต่พวกเขาไม่มีเสบียงที่จะใช้กินอยู่ระหว่างทาง จึงตัดสินใจทำแบบชาวบ้านทั้งหมด มีเพียงคนบ้านสกุลถานที่ตัดสินใจไปต่อ แต่พอแม่เฒ่าเซี่ยเห็นว่าคนบ้านสกุลถาน ออกไปหาซื้อรถม้าและขนเสบียงมาเต็มคันรถ นางเกิดโลภมากอยากได้ขึ้นมา ต่างพาลูกหลานวิ่งเข้าไปแย่งชิงเอา จนเกิดการลงไม้ลงมือกันขึ้น เซี่ยฮุ่ยหนิงถูกเซี่ยซือซือตบกระเด็นไปนอนกองอยู่บนพื้น โทษฐานมาแย่งของของน้องสาวนาง ส่วนเซี่ยเวยอันก็ถูกถานจ้านถีบกระเด็นไปอีกทาง เพราะมาแย่งของในมือของเซี่ยซือหยาง เซี่ยฉางกับเซี่ยชุนเห็นว่าลูก ๆ ของตนถูกทำร้าย ต่างก็วิ่งเข้าไปช่วยเหลือ แต่เพราะเหตุใดก็ไม่รู้ ถึงได้สู้แรงของถานจ้านกับเซี่ยซือซือไม่ได้ ถูกพวกนั้นถีบกระเด็นไปคนละทิศทาง “เป็นไปได้อย่างไร” นางจงกอดลูกสาวเอาไว้แน่น ไม่กล้าเข้าไปลงมือเหมือนคนอื่น ได้แต่มองสามีกับลูกชายถูกคนบ้านสกุลถาน ตบตีจนล้มไปกองอยู่บน
70 : มุ่งหน้าสู่เมืองเว่ย์ เจียงฉีหมิงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น เขานำเรื่องนี้กลับไปรายงานโหย่วหย่งอี้ หลังจากได้รับคำสั่งให้มาดูชาวบ้าน ว่าตัดสินใจทำอย่างไรต่อ ขณะที่เขาเอ่ยเรื่องนี้สามพี่น้องตระกูลโหย่ว ต่างนั่งอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน “พวกเขาไม่ไปเมืองเว่ย์กันนี่เอง” โหย่วหย่งอี้ไม่แปลกใจเท่าใดนัก สภาพของชาวบ้านดูไม่อยากจากบ้านเกิดไปไกล “ขอรับ มีเพียงคนบ้านสกุลถานที่ไปครอบครัวเดียว” “คนบ้านสกุลถาน ใช่คนที่ท่านลุงหลูรู้จัก ที่ว่าเคยเป็นคนใช้เก่าจวนแม่ทัพคนนั้นใช่ไหม” โหย่วหย่งอี้ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ “ใช่ขอรับคุณชายรอง ลูกสะใภ้กับน้อง ๆ ของนางด้วย อีกเรื่องนางทะเลาะกับท่านย่าของนาง ถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน สุดท้ายเลยต้องทำหนังสือตัดขาดจากกัน” “ตัดขาด ?” โหย่วหย่งอี้นึกสงสัย เจียงฉีหมิงเลยเล่าให้ละเอียดขึ้นกว่าเดิม แทบไม่มีตกหล่นแม้แต่เหตุการณ์เดียว “ห้าสิบตำลึงแลกกับการตัดขาดจากสกุลเดิมอย่างนั้นรึ เซี่ยซือซือผู้นี้ช่างใจเด็ดนัก” โหย่วหยางหลงได้ยินแล้วก็รู้สึกชื่นชมเซี่ยซือซืออยู่ไม่น้อย เป็นสตรีอายุยังน้อยแต่กลับก
114 : ยวนยางคู่ (จบ) สองเดือนต่อมา เสียงประทัดจุดขึ้นตรงหน้าคฤหาสน์ตระกูลเซี่ย ถานจ้านเป็นฝ่ายแต่งเข้ามาเป็นเขยของตระกูล คนนอกไม่รู้มักคิดติฉินนินทา แต่การที่เซี่ยซือซืออยู่กับสองแม่ลูกตระกูลถานมาตั้งแต่ต้น พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกันมาหลายปีแล้ว ไม่แบ่งแยกว่าใครต้องแต่งเข้าบ้านใคร นางถานเองย่อมรู้ว่าการที่บุตรชายแต่งเข้าบ้านของภรรยา เป็นเพราะเขาต้องการช่วยนางดูแลน้อง ๆ ทั้งสองคน ตัวนางเองมีวันนี้ได้เพราะเซี่ยซือซือเช่นเดียวกัน “เจ้าไม่เสียใจแน่นะเหลี่ยฮวา” แม่เฒ่าจางแอบถามก่อนพิธีเริ่มต้นขึ้น “ข้าไม่เสียใจเจ้าค่ะแม่เฒ่าจาง ลูกชายข้ายังใช้แซ่ของข้ามาตั้งแต่เกิด ข้าไม่สนใจเรื่องชื่อแซ่หรอกเจ้าค่ะ สนใจแค่ว่าเขามีความสุขในชีวิตหรือไม่ ข้าเคยถามเรื่องซื้อเรือนเป็นของตัวเอง จ้านเออร์ปฏิเสธในทันที เขาไม่ยอมแยกจากซือซือไปไหน และรู้ว่านางเองก็ไม่สามารถแยกจากน้อง ๆ ไปได้เช่นเดียวกัน พวกเราอยู่ด้วยกันเช่นนี้ก็มีความสุขดีแล้วนี่เจ้าคะ ยังท่านมีครอบครัวอาจารย์ฮู่ ล้วนแล้วแต่เป็นครอบครัวเดียวกัน” “เจ้าคิดเช่นนี้ย่อมดีแก่พวกเขา อย่าไปฟังเสียงผ
113 : ขอแต่งงาน ถานจ้านพานางไปเลือกซื้อโคมไฟอันใหม่ จากนั้นก็ชวนกันไปล่องเรือในบึง เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของผืนน้ำ ที่สะท้อนแสงเป็นดวงไฟน้อยใหญ่เต็มไปหมด ฝีพายยืนอยู่ด้านหลังทำเป็นไม่สนใจคู่สามีภรรยา ที่กำลังอิงอกซบไหล่กันอยู่ ถานจ้านถอดเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกออกคลุมให้ภรรยา “ซือซือ” “หืม” “เจ้าอายุสิบแปดแล้วนะ” “อื้ม” “เราแต่งงานกันเถอะ” เซี่ยซือซือ “...” นางรีบดันศีรษะตัวเองออก เงยหน้ามองเขาด้วยความงุนงง “ไม่ใช่เราเป็นสามีภรรยากันแล้วรึ” “ใช่ แต่เราไม่เคยเข้าพิธีแต่งงานกัน และยังไม่เคยร่วมหอ” ทำไมเซี่ยซือซือได้ยินแล้วรู้สึกว่า เขาย้ำสองคำสุดท้ายแบบแปลก ๆ ก้มลงเล่นนิ้วมือตัวเองเงียบ ๆ “ร่วมเหอหรือ” พวงแก้มแดงปลั่ง ภายใต้แสงจากโคมไฟที่แขวนไว้ตรงหัวเรือ “เจ้าเคยเล่าให้ข้าฟังว่า โลกของเจ้าบุรุษขอสตรีแต่งงาน จะสวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้าย” ถานจ้านล้วงหยิบแหวนหยกเนื้อดีสีขาวออกมาจากแขนเสื้อ บรรจงสวมใส่บนนิ้วนางข้างซ้ายให้นาง “แต่งงานกับข้านะซือซือ” เซี่ยซือซือมองแหวนบนนิ้ว
112 : ชีวิตในเมืองหลวง เมื่อแคว้นฉีแพ้สงครามย่อยยับ เพื่อแสดงความจริงใจว่าจะไม่บุกแคว้นจ้าวในช่วงสิบปีนับจากนี้ พวกเขาจึงยอมส่งองค์ชายหกซึ่งมีอายุเพียงห้าปี มาเป็นตัวประกันที่แคว้นจ้าว หลังจากนั้นเพียงห้าเดือน เมืองหลวงได้เกิดเหตุวุ่นวายขึ้น เนื่องจากฮ่องเต้ทรงสวรรคตลงด้วยโรคร้าย ท่านอ๋องเจ็ดกับท่านอ๋องห้าจึงต้องนำทัพ เข้าไปปราบปรามขุนนางชั่วที่ก่อกบฏ และปลดองค์รัชทายาทผู้ไร้ความสามารถลงจากบัลลังก์ ท่านอ๋องเจ็ดได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย ให้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้องค์ถัดไป เมืองหลวงที่เคยเต็มไปด้วยขุนนางชั่ว กลับถูกกำจัดทิ้งไปในเวลาเพียงสองปีกว่า แน่นอนว่าคนที่อยู่เบื้องหลัง คอยเฝ้าดูคนชั่วและชี้เป้าหมายความผิดได้อย่างแม่นยำ ยังเป็นเซี่ยซือซือคนเดิม แม้นางไม่ขอรับตำแหน่งใด ๆ เพราะอยากทำการค้าเพื่อความร่ำรวย แต่หากมีเรื่องสำคัญจริง ๆ อยากให้นางช่วย นางก็พร้อมช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ แม่ทัพโหย่วถูกย้ายมาเป็นแม่ทัพประจำเมืองหลวง ฮ่องเต้ได้มอบจวนให้เขาได้อยู่อาศัยอย่างสมเกียรติ และมอบตำแหน่งให้บุตรชายทั้งสอง โหย่วหยางหลงได้เป็นหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพร แม้เขาแขนพ
111 : ขับไล่ข้าศึก เซี่ยซือซือนอนไปได้เพียงหนึ่งชั่วยามเศษ ท่านอ๋องเจ็ดก็ส่งคนมาตามนางที่กระโจม ให้นางตรวจสอบดูสถานการณ์ที่ค่ายของข้าศึก เซี่ยซือซือใช้เวลาไม่นานก็พบว่าฤทธิ์ของยาเริ่มทำงาน ท่านหมอใช้ยาที่ทำให้ร่างกายอ่อนแรง ไร้รสไร้กลิ่นไร้สี ม้าศึกนับหมื่นตัวล้มเกลื่อนอยู่บนพื้น ส่วนทหารหนึ่งในสี่ต่างก็ลุกไม่ขึ้นเช่นกัน “ได้ผลเจ้าค่ะท่านอ๋อง แม้จำนวนที่ได้รับยาไม่มากนัก แต่ก็ทำให้กองทหารม้าทมิฬไร้อาชาสู้รบได้จริง ๆ” “เช่นนั้นดี ออกคำสั่งไปให้เตรียมตัวออกรบ ส่งข่าวให้ทางซื่อจื่อได้รู้ด้วย” ท่านอ๋องเจ็ดจะรุกฆาตข้าศึกในเช้านี้ เซี่ยซือซือตัดสินใจพูดเรื่องน้ำพุวิเศษกับท่านอ๋องเจ็ดตามลำพัง นางไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องนี้มากนัก แต่ทหารนับแสนนาย นางไม่สามารถลงมือคนเดียวได้ “เจ้าบอกว่าน้ำพุวิเศษสามารถทำให้กำลังวังชาเพิ่มขึ้นได้เช่นนั้นรึ” “เจ้าค่ะ ท่านลองดื่มดูก็ได้แต่แค่อึกเดียวพอนะเจ้าคะ มันช่วยในการรักษาเป็นหลัก ร่างกายคนปกติหากดื่มเกินหนึ่งอึก มันจะส่งผลเสีย” นางล้วงหยิบขวดน้ำพุวิเศษยื่นให้ท่านอ๋องเจ็ด ท่านอ๋องเจ็ดรับข
110 : กำจัดหน่วยสอดแนม ซื่อจื่อได้รับจดหมายเตือนแล้วถึงกับหน้าดำคล้ำในทันที หากไม่มีการเตือนจากฝั่งท่านอ๋องเจ็ด เขาคงไม่ได้สนใจข้าศึกที่แอบมาด้านข้างเป็นแน่ รีบออกคำสั่งให้ทหารหลักสามหมื่นนาย ดักซุ่มโจมตีข้าศึกที่จ้องทำลายคลังเสบียงในคืนนี้ ส่วนข้าศึกด้านหน้าที่แสร้งทำเป็นบุกโจมตี ก็ให้กองทัพย่อย ๆ ออกไปจัดการส่วนหนึ่ง ที่เหลือตรึงกำลังอยู่กับที่ ห้ามผลีผลามโดยเด็ดขาด ยามดึกทหารทั้งสองฝั่งต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ถานจ้านนำทหารร้อยนาย ตามด้วยเซี่ยซือซือกับอาจารย์ฮู่ ลอบเข้าไปโจมตีหน่วยสอดแนมของอีกฝ่าย หนนี้พวกมันมากันเพียงสิบสองคน แบ่งออกเป็นสองกลุ่มกลุ่มละหกคน เซี่ยซือซือชี้เป้าให้พลธนูโจมตีได้อย่างง่ายดาย จากนั้นนางก็ปลีกตัวไปช่วยสามีกับอาจารย์ฮู่ หน่วยสอดแนมทั้งแปดกลายเป็นศพในเวลาอันรวดเร็ว “จุดพลุส่งสัญญาณ” นางสั่งทหารด้านหลัง ปัง ! ปัง ! ตามที่ตกลงกันไว้ หากพลุส่งสัญญาณดังขึ้น รุ่งเช้าทหารทุกนายต้องเดินทางลงจากเทือกเขาชิงเทียนอย่างเงียบ ๆ กลุ่มของถานจ้านจะเดินทางนำหน้าไปก่อน เพื่อที่จะได้ส่งสัญญาณบอกคนด้านหลังเป็นระยะ เป
109 : เข้าสู่สมรภูมิรบ เรือนโหย่วเสวี่ยหยา เซี่ยซานซานฝึกฝนวรยุทธ์กับคุณหนูสามจนเหนื่อยล้า นางกำลังนั่งกินขนมที่สาวใช้นำมาให้ ส่วนโหย่วเสวี่ยหยาขอตัวเข้าไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ความจริงนางชวนเซี่ยซานซานไปอาบน้ำด้วย แต่เซี่ยซานซานปฏิเสธไม่อยากรบกวน “เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่” เสียงนุ่มทุ้มของโหย่วหยางหลงดังขึ้นอยู่ด้านหลัง “คุณชายใหญ่” เซี่ยซือซือรีบลุกขึ้นโค้งศีรษะให้เขา “ข้าเห็นสาวใช้บอกว่าเสวี่ยหยามีแขก นึกว่าจะเป็นใครที่ไหนเสียอีก นั่งลงสิเจ้ากำลังกินขนมอยู่ไม่ใช่รึ” “เจ้าค่ะ” เซี่ยซานซานไม่อยากอยู่กับคนผู้นี้ตามลำพัง นางเหมือนเด็กน้อยขี้ขลาด มองไปทางประตูห้องของโหย่วเสวี่ยหยาตลอดเวลา “เหตุใดถึงไม่นั่ง รังเกียจข้ารึ” “มะไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้านั่งแล้ว” นางไม่กล้ามองสบสายตากับเขาด้วยซ้ำ นั่งลงบนเก้าอี้อย่างจำใจ “กลัวข้ารึ” มุมปากของโหย่วหยางหลงกระตุกเบา ๆ นึกอยากแกล้งเด็กสาวคนนี้ขึ้นมา “เจ้ามาฝึกวรยุทธ์กับน้องสามของข้า เหตุใดไม่มาลองฝึกกับข้าดูบ้างล่ะ” “ข้าฝีมืออ่อนหัดนัก ไม่บังอาจไ
108 : รักษาท่านอ๋องห้า แม่เฒ่าจางกับเสี่ยวเป่าเริ่มปรับตัวเข้ากับทุกคนได้แล้ว นางคอยช่วยเหลืองานบ้านทุกอย่าง ไม่ทำตัวนิ่งดูดายแต่อย่างใด แม้ว่านางถานจะบอกให้อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอันใด แต่ความเกรงใจของหญิงชรานั้นมีมากเหลือเกิน เซี่ยซือซือเลยปล่อยให้ท่านทำไป การอยู่เฉย ๆ จะยิ่งทำให้รู้สึกเครียด นางคอยกำชับแม่เฒ่าจางว่า นางมีเงินสามารถเลี้ยงดูทั้งคู่ได้ ไม่ต้องคิดว่านางจะลำบาก แม่เฒ่าจางถึงได้วางใจ “ท่านพี่ข้าไปหาคุณหนูสามได้หรือไม่” เซี่ยซานซานอยากเจอหน้าโหย่วเสวี่ยหยา นางอยากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไร ถอนหมั้นไปแล้วทางซื่อจื่อจะตำหนินางหรือไม่ “อืม” เซี่ยซือซือคิดหนักเพราะนางต้องไปทำงานนี่สิ “ไปเพิ่มอีกคนคงไม่เป็นไรหรอกซือซือ” ถานจ้านหน้าน้องสาวภรรยาแล้วรู้สึกสงสาร “แล้วน้องเล็กล่ะ” เซี่ยซือซือมองหาน้องชายบ้าง เพราะปกติเซี่ยซานซานจะเป็นคนคอยดูแลเขา เซี่ยซานซาน “เขาเล่นอยู่กับเสี่ยวเป่าหลังบ้านเจ้าค่ะ มีหนิงเซียนคอยดูอยู่” “เจ้าเข้าไปบอกท่านแม่ไว้ก่อน เผื่อไม่เห็นเจ้าท่านจะเป็นห่วงเอา” “ได้ท่านพี่” เซี่ยซา
107 : คุณชายเริ่นก้งเยว่กับพี่หญิงใหญ่ วันต่อมาโรงประมูลหยางชุนกระจายข่าวออกไปอย่างหนาหู ว่าคุณชายเริ่นก้งเยว่ได้นำของล้ำค่ามาร่วมประมูล ผู้คนต่างแห่มาซื้อตั๋วเข้าชมกันอย่างล้นหลาม รวมไปถึงคนในจวนท่านอ๋องห้าด้วย “เจ้าแน่ใจนะว่าข้าเหมือนสตรีแล้ว” สตรีร่างสูงอย่างถานจ้านเริ่มรู้สึกประหม่า เขาแอบออกมาแต่งตัวที่โรงเตี๊ยมด้านนอก เพราะไม่อยากให้คนในบ้านรู้เรื่องนี้ “พี่หญิงใหญ่เหตุใดไม่เชื่อมือข้าล่ะขอรับ” เซี่ยซือซือที่อยู่ในชุดของคุณชายเริ่นก้งเยว่กลั้นขำแทบตาย นางถักเปียทำมวยผมให้เขาอย่างน่ารัก ใบหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอางอย่างสวยงาม “พี่หญิงใหญ่ท่านงามมากขอรับ บุรุษในโรงประมูลต้องคลั่งไคล้ท่านแน่” ถานจ้าน “...!?” เขามองพ่อหนุ่มน้อยหน้าตาเกลี้ยงเกลาตรงหน้า นางจะรู้บ้างไหมว่าแต่งเช่นนี้แล้วดึงดูดสายตาผู้คนยิ่งนัก “เจ้ารีบสวมหมวกเถอะ” เขาหยิบหมวกใบใหญ่ครอบลงบนศีรษะของนาง ก่อนจะสวมให้ตัวเองอีกด้วย หากเซี่ยซือซือไม่บอกว่านางสวมหมวกปิดบังใบหน้า ไว้ตลอดเวลาที่ปลอมตัวเป็นคุณชายเริ่นก้งเยว่ เขาคงห้ามไม่ให้นางเข้าไปยังโรงประมูลแล้ว ก่อนหน้
106 : เสี่ยวเป่า นั่นเจ้าใช่ไหม ! รถม้าวิ่งช้า ๆ ผ่านถนนที่มีขอทานกับคนไร้บ้านรวมตัวกันอยู่ เซี่ยซือซือไม่อยากให้น้องชายของนาง เห็นภาพน่าเวทนาเหล่านี้ นางอยากพาเขากลับเข้าไปนั่งในรถม้า แต่ไม่มีที่ให้จอดรถม้าได้อย่างปลอดภัย หากจอดไปแล้วเกรงว่าคนไร้บ้านเหล่านี้ จะกรูกันเข้ามารุมทึ้งรถม้าของนางเข้า จึงต้องให้เขานั่งอยู่บนตักของนางต่อไป เซี่ยซือหยางกินขนมในมือแล้วมองสองข้างทางไปด้วย เขาเห็นคนยากไร้นอนเกลื่อนข้างถนนเต็มไปหมด เขาได้แต่ถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า ก้มลงมองขาสั้น ๆ กับนิ้วมือป้อม ๆ ของตัวเอง จะไปช่วยเหลืออันใดผู้อื่นได้ “แต่เอ๋ ?” เขาหันกลับไปมองดูอีกที ขนมในมือถูกปล่อยทิ้งลงพื้น ลุกขึ้นยืนหันหน้ามองไปยังด้านหลัง “น้องเล็กอันตรายอย่าลุก” เซี่ยซือซือจับเขาเอาไว้แน่น ๆ แต่เหตุใดเขาถึงได้ดิ้นรน อยากมองไปด้านหลังเช่นนี้ “เสี่ยวเป่า นั่นเจ้าใช่ไหม !” ถานจ้านถึงกับค่อย ๆ หยุดรถม้าลง เขาหันไปมองหน้าเซี่ยซือหยางด้วยความแปลกใจ “เสี่ยวซือหยางเจ้าเรียกใคร” “เหมือนข้าจะเห็นเสี่ยวเป่า” เขาพูดคล้ายไม่แน่ใจ “เสี่ยวเป