เมื่อเสร็จเรื่องของนาง จือหลินนางก็พามารดากลับที่พัก แต่ตงฟางกับงอแงจะขอติดตามไปนอนกับทั้งคู่ด้วย ลี่อินหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากป๋อฉิว เขาที่เห็นเช่นนั้นภายในอกก็อดที่จะสะท้านไม่ได้“ฟางเออร์ พี่หญิงของเจ้าเปิดห้องพักเพียงห้องเดียว เจ้าจะไปนอนกับนางได้อย่างไร” ป๋อฉิวเอ่ยดุตงฟาง“ข้า ข้า ข้าไม่เคยได้นอนกับมารดาเลยสักครั้งขอรับ” ตงฟางก้มหน้าลงอย่างเศร้าใจจือหลินอดสะท้านในคำพูดของเขาไม่ได้ ตงฟางก็คงเหมือนนางที่ไม่เคยได้รู้ว่าอ้อมกอดของมารดาเป็นเช่นใด จนเมื่อนางได้มาเจอลี่อินท่านแม่ในตอนนี้“ท่านแม่ ท่านนอนกับฟางเออร์ที่นี่ก็ได้เจ้าค่ะ” จือหลินเอ่ยขึ้น“แล้วเจ้าเล่า” ป๋อฉิวเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง“ข้าดูแลตนเองได้เจ้าค่ะ” นางไม่ได้นอนกับมารดาอยู่แล้ว ให้มารดามานอนกับตงฟางก็ไม่เป็นไร“พี่หญิงท่านดีที่สุดเลยขอรับ” ตงฟางพุ่งเข้ากอดเอวจือหลินไว้แน่น พร้อมทั้งเงยหน้ามองนางด้วยดวงตากลมโตราวกับเจ้ากวางน้อย“เหอะ คืนเดียวเท่านั้น” จือหลินเชิดหน้าขึ้น เพื่อกลบอารมณ์แปลกประหลาดที่เกิดกับนางในตอนนี้จือหลินเดินไปส่งมารดาที่ห้องของตงฟาง ก่อนที่นางจะกลับห้องพักของนางไปภายในมิติจือหลินนางนั่งสมาธิ
ก่อนจะถึงเมืองหลวงต้องผ่านหัวเมืองฝูซาง หากเดินทางต่อก็คงไปไม่ทันประตูเมืองที่ใกล้จะปิด ทั้งขบวนจำต้องหยุดพักอีกคืนก่อนจะเข้าเมืองหลวงตอนที่รับมื้อเย็น ตงฟางก็นั่งไม่นิ่งจนหลายคนสังเกต ทุกคนจึงได้เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง แต่จือหลินนางรู้ดีว่าตงฟางเป็นอันใดเขาอยากจะพูดอวดสิ่งของที่อยู่ในรถม้าของนางใจแทบขาด แต่เพราะกลัวนางตัดลิ้นจึงไม่กล้าพูด“เจ้าพูดกับท่านย่าได้” เสียงพูดของจือหลินเหมือนเสียงสวรรค์สำหรับตงฟางเขายิ้มกว้างออกมาอย่างยินดี ก่อนที่จะรีบกินข้าวในชามจนหมดในเวลาเร็ว เพื่อพาท่านย่าไปที่ห้องของเขา เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในรถม้าให้นางฟัง“พ่อรู้ด้วยมิได้หรือ” ป๋อฉิวเอ่ยถามจือหลินนางเลิกคิ้วขึ้นมองเขา เพราะได้ยินคำแทนตนที่เปลี่ยนไป“ท่านแม่ข้ายอมรับท่านแล้วหรือเจ้าคะ” จือหลินเอ่ยถามอย่างยียวนป๋อฉิวมิได้ตอบแต่เขาแสร้งปั้นหน้าเศร้าแทน“ท่านจะแสดงให้ผู้ใดดูเจ้าค่ะ” จือหลินเอ่ยถามอย่างรู้ทัน เมื่อเห็นป๋อฉิวหันไปมองที่มารดาของนางเพื่อขอความเห็นใจลี่อินนางมิได้ตอบ เอาแต่ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย จือหลินได้แต่กลอกตากับท่าทางของมารดา มารดาของนางไม่คิดจะเล่นตัวสักหน่อยหรือ นางอยากจะตะโกนถามเส
จือหลินนางดึงมีดสั้นที่อยู่ที่ขาอ่อนของนางทั้งสองข้างออกมาถืออยู่ในมือ แล้วพุ่งเข้าหาบุรุษทั้งสองทันทีบุรุษทั้งสองมัวแต่คิดจะสังหารป๋อฉิวเลยไม่ได้ระวังเด็กสาวที่อยู่ด้านหน้าของเขา มีดสั้นในมือของจือหลินแทงเข้าที่ท้องของชายคนที่อยู่ด้านหน้าสุดนางดึงออกอย่างรวดเร็วแล้วแทงซ้ำของไปที่ขาของเขา ก่อนจะเปลี่ยนทิศหันไปจัดการกับบุรุษอีกครั้งที่มัวแต่ตกตะลึงที่เห็นเด็กสาวเช่นนางลงมืออย่างรวดเร็วเช่นนี้ป๋อฉิวได้ยินเสียง เมื่อหันมาก็เห็นชายคนแรกล้มลงไปแล้ว เขารีบพาลี่อิน ตงฟางและมารดาเข้าไปหลบอยู่ในรถม้า ก่อนจะเข้ามาช่วยจือหลินจัดการองครักษ์ของตระกูลถานจะวิ่งเข้ามาช่วยนายของตนอย่างรวดเร็ว แต่ความเร็วของทุกคนก็ยังสู้ความเร็วของจือหลินที่นางลงมือไปก่อนแล้วไม่ได้เมื่อเห็นว่าชายทั้งคู่ไม่อาจลุกขึ้นมาจัดการพวกตนได้อีก จือหลินนางก็สะบัดเลือดที่ติดอยู่กับมีดสั้นออก ก่อนจะเก็บเข้าที่เดิมของมัน“หลินเออร์ เจ้าเป็นอันใดหรือไม่” ป๋อฉิวรีบเข้ามาดูจือหลินว่านางได้รับบาดเจ็บที่ใดหรือไม่ อย่างเป็นห่วง“ไม่เจ้าค่ะ ท่านพาตัวพวกมันไปสอบสวนเสียก่อนเถิด” จือหลินนางส่งเรื่องให้ป๋อฉิวจัดการ แล้วนางก็ขึ้นไปบนรถม้า
เมื่อทั้งหมดเข้ามาในห้องโถง พ่อบ้านก็รายงานเรื่องที่ผ่านมาภายในจวนเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าไม่อยู่ที่จวน ว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้นบ้าง“นางเป็นผู้ใดพี่ใหญ่ ถึงได้อยู่ฟังเรื่องในเรือนได้ขอรับ” ถานเฟิง น้องชายต่างมารดาของป๋อฉิวก็เอ่ยถามอย่างแปลกใจ“ภรรยากับบุตรสาวของข้า เช่นนี้เรื่องภายในจวนทั้งสองรับรู้ได้หรือยัง” ป๋อฉิวจ้องน้องชายต่างมารดาอย่างดุดัน“แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่านางเป็นบุตรสาวของท่านจริง มิใช่ลูกกับชายอื่นหรอกรึ” ลั่วอิ๋นเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยอมรับป๋อฉิวกับจือหลินหันไปมองทางนางพร้อมกัน แววตาของทั้งคู่เหมือนกันราวกับคนเดียวกัน จ้องมองนางเหมือนพยัคฆ์ที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อสวีลั่วอิ๋วก้มหน้าลงอย่างหวาดกลัว นางคิดไม่ถึงว่าเด็กสาวจะมีรังสีสังหารยามที่มองนางเช่นนี้พ่อบ้านเมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดเอ่ยพูดอีกแล้ว ก็รายงานเรื่องทั้งหมด เมื่อพ่อบ้านพูดจบฮูหยินผู้เฒ่าก็มองไปทางลูกสะใภ้รองของนางทันทีลั่วอิ๋นใช้โอกาสที่นางและบุตรชายไม่อยู่ที่เรือนจัดการเลี้ยงน้ำชาสองครั้ง เงินที่ใช้ในงานก็หมดไปหลายร้อยตำลึงทอง เสื้อผ้าเครื่องประดับของสองแม่ลูกอีก“พวกเจ้าทำเช่นนี้ข้าจึงคิดเรื่องหนึ่งออกมาได้ ข้าจะพูดเรื่
จือหลินเมื่อเข้ามาในมิตินางก็เริ่มทดสอบพิษทันที เพราะเรื่องพิษนางทดลองและทำขึ้นมาเพื่อไว้ใช้หลายชนิด นางจึงต้องทำยาถอนพิษที่ครอบจักรวาลไว้ด้วย เผื่อวันใดเกิดนางถูกพิษขนาดทดลองจะได้แก้ไขได้ทันนางสามารถนำยาถอนพิษของนางออกไปรักษาได้เลย แต่นางอยากจะรู้ว่าเป็นพิษชนิดใด เพื่อที่จะได้ตามหาคนร้ายได้ถูกต้องเพียงไม่นานผลทดสอบก็ออกมา ยังดีที่เพียงนำเลือดของผู้ถูกพิษเข้าเครื่องตรวจของนาง ก็สามารถปรากฏผลได้เลยว่าผู้ป่วยเป็นโรคอันใดหรือถูกพิษชนิดใด‘พิษฟู่จื่อ’ โหราเดือยไก่ เป็นสมุนไพรที่ต้องทำลายพิษเสียถึงจะนำมาใช้ได้ และส่วนมากใช้ภายนอก เพื่อไม่ให้ผู้ที่ใช้ยาใช้ไม่ถูกวิธีจนกลายเป็นยาพิษได้อีกชนิดคือ ‘เจี๋ยจู๋เถา’ หรือยี่โถ ชาวบ้านมักนำลำต้นกิ่งก้านมาตากแดดแล้วนำไปวางไว้ตามมุมเรือนเพื่อไล่หนูหรือแมลง แต่คนร้ายคงนำยางสีขาวของมันมาผสมลงในกำยานที่ใช้จุดภายในห้องของผู้เฒ่าถานจึงทำให้เขาหมดสติเช่นนี้จือหลินเมื่อรู้ว่าเป็นพิษชนิดใดแล้วถูกนำเข้าร่างกายของผู้เฒ่าถานเช่นไร นางก็ออกมาด้านนอกทันที ซูเว่ยมองตามหลังนางแล้วส่ายหัว เพราะนางเข้าห้องอย่างเร่งรีบโดยไม่ทักทายอาจารย์สักคำเมื่อจือหลินกลับเข้ามาอย
เมื่อพูดคุยเรื่องต่างๆ อีกไม่กี่ประโยคทั้งหมดก็กลับเรือนเพื่อไปพักผ่อน ป๋อฉิวก็เดินนำสองแม่ลูกเพื่อพาไปส่งที่เรือน พร้อมทั้งตงฟางที่จับมือของลี่อินไม่ยอมห่างบ่าวไพร่ ลงมือเก็บกวาดได้อย่างเรียบร้อย เรือนของลี่อินกับจือหลินอยู่ติดกับเรือนของป๋อฉิว ตงฟางก็เข้ามาจับจองห้องพักภายในเรือนด้วย โดยเขาสั่งบ่าวของตนให้ไปเก็บของมาไว้ที่เรือนของลี่อินทันทีจือหลินแทบอยากจะบ้า นางสลัดเด็กนี่ไม่หลุดเสียที แล้วยังจะเข้ามานอนในห้องของมารดานางอีก ในเมื่อลี่อินเอ่ยอนุญาตนางจึงเดินเข้าไปดูห้องของตนเองภายในห้องของนางพ่อบ้านถานตกแต่งอย่างงดงาม ราวกับห้องของคุณหนูผู้อ่อนหวาน จือหลินได้แต่ส่ายหัวเมื่อเห็นผ้าม่าน มุ้งเป็นสีชมพูหวานมันขัดกับนางเสียจริงจือหลินนางนำที่นอนเข้ามาเปลี่ยนแทนอันที่จัดเตรียมไว้ให้ หมอน ผ้าห่มล้วนแต่เอาในมิติออกมาทั้งสิ้น ส่วนผ้าม่าน นางคิดว่าเมื่อมีเวลาค่อยไปเดินดูที่ร้านเพื่อซื้อมาเปลี่ยนใหม่ป่อฉิวเมื่อเห็นว่าที่พักของสองแม่ลูกถูกจัดเตรียมอย่างดีแล้ว เขาก็ไปจัดการเรื่องคนร้ายที่วางยาบิดาต่อทันทีโดยไม่หยุดพักจือหลินนางจึงได้เข้าไปในมิติ เพื่อฝึกวิชากับท่านอาจารย์ต่อนางเล่าเรื่อง
จือหลินเมื่อพูดคุยกับอาจารย์ซูเรื่องที่นางต้องอยู่ฝึกวรยุทธ์ในมิติหลายวัน ให้นางไปแจ้งเรื่องนี้ให้มารดารับรู้จะได้ไม่เป็นห่วง จือหลินนางก็ออกจากมิติเพื่อไปหามารดาเมื่อนางออกมาด้านนอกก็ตกตะลึง เพราะทุกคนอยู่ภายในเรือนนางอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา“พวกท่านมีเรื่องอะไรหรือไม่เจ้าคะ” จือหลินเอ่ยถามอย่างแปลกใจ“หลินเออร์ เหตุใดเจ้าถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้” ทุกคนมองนางอย่างตกตะลึงนางบอกเรื่องที่นางเป็นผู้ฝึกตนเช่นเดียวกับอาจารย์ซู และตอนนี้นางก็กำลังอยู่ในช่วงการฝึก อย่างที่ทุกคนได้เห็นความเปลี่ยนแปลง เพราะนางเพิ่งจะเลื่อนระดับมาแต่นางไม่ได้บอกว่าในตอนนี้นางอยู่ในระดับที่เท่าไหร่ ถึงบอกไปพวกเขาก็ไม่รู้เมื่อทุกคนหายสงสัยแล้ว นางจึงบอกเรื่องที่นางจะเก็บตัวอีกหลายวันเพื่อฝึกวรยุทธ์ พวกเขาก็เข้าใจ สายตาของป๋อฉิวกับตงฟางที่มองมาทางนางอย่างเป็นประกาย นางก็รู้แล้วว่าพวกเขาคิดเช่นใด“ให้ข้าฝึกสำเร็จแล้วจะสอนให้ท่านเจ้าค่ะ เจ้าด้วย” จือหลินนางบอกป๋อฉิวและตงฟางทั้งคู่ยิ้มกว้างอย่างยินดี ก่อนที่ทั้งหมดจะแยกย้ายไปจัดการเรื่องของตน คงมีแต่ตงฟางที่ไม่รู้จะทำอันใดก็เดินตามจือหลินทั้งวันจนนางต้องหลบเข้าไปอยู่ใน
จือหลินหยุดมองใบหน้าของป๋อฉิว นางเลิกคิ้วขึ้นเพื่อขอฟังคำตอบจากปากของเขา“พ่อไม่คิดจะมีผู้ใดอีกแล้ว หากอยากจะรับอนุคงไม่รอมาจนถึงบัดนี้” ป๋อฉิวที่เงียบไปนานไม่ใช่เขาไม่รู้จะตอบคำถามของจือหลินอย่างไรแต่เป็นเพราะตกตะลึงกับคำเรียกของนาง ที่เรียกเขาว่าท่านพ่ออย่างเต็มใจ“หลินเออร์ เจ้ายอมรับพ่อแล้วใช่หรือไม่” จือหลินนางก็เหมือนได้สติว่าเมื่อครู่นางเรียกป๋อฉิวว่าท่านพ่อ“ก็พวกท่านจะแต่งกันอยู่แล้ว หรือจะให้ข้าเรียกท่านว่า นายท่านถานเช่นเดิมเล่าเจ้าคะ” จือหลินเอ่ยตอบอย่างตะกุกตะกัก“ไม่ ไม่ เช่นนี้ดีแล้ว” ป๋อฉิวไม่รู้ว่าเขาดีใจมากเพียงใด เมื่อถูกจือหลินนางยอมรับรู้เพียงว่าภายในอกของเขา ราวกับมีนกกำลังโบยบินอย่างมีความสุข เขายิ้มกว้างออกมาจนสุดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้น ภายในดวงตายังมีน้ำตาที่เออคลออยู่ด้วยฮูหยินผู้เฒ่าถานก็หัวเราะอย่างยินดี การที่ได้เห็นจือหลินนางยอมรับป๋อฉิวเป็นบิดาย่อมดีสำหรับทุกคนเรื่องเมื่อสามเดือนที่แล้วที่จือหลินนางเข้าไปในมิติแล้วไม่ได้รับรู้ก็ถูกทุกคนบอกเล่าอย่างออกรสชาติตงฟางขอเป็นผู้เล่าเอง วันที่ถานเฟิงถูกผู้เฒ่าถานส่งตัวไปอยู่ที่เรือนตระกูลถานที่นอกเมืองกับมารด
จือหลินนางพาชิงชางเข้าไปภายในมิติ ชิงชางเมื่อรู้ตอนนี้ตนอยู่ที่ใดเขาก็อุ้มจือหลินเข้าไปในห้องของนางนางรู้ว่าเขาต้องการทำสิ่งใดกับนางก็อดที่จะเอ่ยถามอย่างสงสัยไม่ได้“ท่านอยู่ในขั้นใด”“ข้าเร่งเดินลมปราณ เพื่อวันนี้หลินหลิน”ชิงชางไม่ยอมบอกนางแต่เขากับจุมพิตนางอย่างดูดดื่มแทน จือหลินราวกับต้องมนต์เมื่อได้รับสัมผัสที่อ่อนโยนของเขาชิงชางไล้นิ้วไปตามเรือนร่างของนาง พร้อมทั้งปลดชุดของนางอย่างรวดเร็ว“เจ้างามยิ่งนักหลินหลิน” เมื่อได้เห็นเรือนร่างที่เปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าของนาง เขาก็อดที่จะจ้องมองอย่างตกตะลึงมิได้จือหลินนางก็ไม่ได้มีท่าทีที่เขินอายเช่นหญิงสาวทั่วไป กลับใจกล้ากว่าที่เขาคิด เพียงนางช้อนสายตายั่วยวนเขา ชิงชางก็รีบปลดชุดออกด้วยมือที่สั่นเทาก่อนจะขึ้นคร่อมตัวนางพร้อมกับมอบจุมพิตที่ร้อนแรงเต็มไปด้วยไฟปรารถนา จือหลินโอบรอบคอของเขาไว้ พร้อมทั้งใช้มือที่ซุกซนของนางสัมผัสไปที่เครื่องเพศของเขาโดยตรง“หลินหลิน เจ้าช่าง ซุก ซนนัก” ชิงชางเอ่ยแสงสั่นเทาออกมาอย่างไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้จือหลินนางเงยหน้าขึ้นหัวเราะอย่างชอบใจเมื่อเห็นสีหน้าที่อดกลั้นของเขา แต่ต่อมานางก็รู้ตัวว่านางนั้นคิดผ
ภายในมิติผ่านมาได้สองปี แต่ด้านนอกเพียงผ่านไปแล้วสี่เดือนเท่านั้น ชิงชางก็คิดจะออกไปจัดการเรื่องของตนในวังหลวง แม้แต่ขั้นระดับเขาก็ไม่ให้จือหลินตรวจสอบนางก็ไม่ว่าอันใด พาเขาออกไปส่งด้านนอกอย่างที่เขาต้องการ ชิงชางมองจือหลินอย่างลึกซึ้งก่อนจะเดินจากไปโดยที่เขาไม่เอ่ยอันใดสักคำจือหลินยืนมองแผ่นหลังของเขาอย่างสะท้านในอก นางคิดว่าตัวนางไม่อยากยึดติดหรือหวังในตัวของชิงชางแล้วแต่ก็ยังอดเศร้าใจไม่ได้“ชางเออร์เจ้ากลับมาเสียที” หลีจิ้งมองบุตรชายที่รูปร่างและกลิ่นอายที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างแปลกใจ“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ลูกมีเรื่องจะพูดกับพวกท่าน”“หากเป็นเรื่องของหลินเออร์ พ่อเข้าใจ แต่เจ้าก็ต้องรู้ว่าต่อไปเจ้ามิอาจมีนางเพียงผู้เดียวได้”หลีจิ้งมองบุตรชายอย่างจริงจัง เพราะตัวเขาที่คิดจะมีเพียงอี้หนิงในวังหลังเพียงหนึ่งเดียวยังไม่อาจทำได้เขาจำต้องรับบุตรสาวของตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ทั้งผู้ที่เคยช่วยเหลือจนเขาได้นั่งในบัลลังก์ครั้งนี้ไว้อย่างเสียไม่ได้เพียงปีเดียวก็มีพระสนมมากถึงนับสิบคนแล้วชิงชางฟังคำพูดของบิดาหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด“ลูกไม่คิดจะเป็นฮ่องเต้เช่นเสด็จพ่อ ลูกต้องการออกเดิ
ชิงชางอับอายจนใบหูของเขาแดงก่ำ ตัวเขาจะเคยทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ที่ทำกับนางก็เป็นครั้งแรกของเขาเช่นกันแล้วสตรีเช่นนางกับพูดเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อย่างไม่อายบอก หรือว่านางเคยถูกผู้ใดจุมพิตมาแล้วชิงชางยิ่งคิดก็ยิ่งเกิดอาการหึงหวง เขาเดินเข้าไปจับใบหน้าของนางไว้แล้วจุมพิตนางอีกครั้งอย่างรุนแรงแต่ครั้งนี้จือหลินนางตกตะลึงอย่างแท้จริง เพราะไม่คิดว่าชิงชางจะจุมพิตนางอีกครั้ง นางคิดว่าคำพูดของนางจะทำให้เขาเกิดอยากเปลี่ยนใจจือหลินกลับเป็นฝ่ายดึงรั้งคอของชิงชางไว้ แล้วเริ่มใช้เรียวลิ้นของนางหยอกล้อกับเรียวลิ้นของชิงชางแทนในตอนแรกชิงชางก็นิ่งชะงักอย่างตกตะลึง เขาไม่คิดว่านางจะจุมพิตได้ช่ำชองเช่นนี้ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นความรัญจวนที่นางมอบให้ทั้งสองไม่รู้ว่าตนจุมพิตกันนานเพียงใด แต่เมื่อจือหลินนางถอนริมฝีปากออก ชิงชางกลับอาลัยอาวรณ์อย่างไม่สิ้นสุด“หลินเออร์ เหตุใดเจ้า”“ท่านอยากจะรู้ว่าเหตุใดข้าถึงจุมพิตเป็นใช่หรือไม่”จือหลินนางจ้องมองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างหยอกล้อ ก่อนจะเล่าเรื่องที่นางไม่ใช่คนในภพนี้ให้ชิงชางได้ฟังทั้งคู่เข้ามานั่งในห้องนั่งเล่นที่โซฟาแทนห้องทดลองของจือหลินนางบอกเล่า
บ่าวไพร่ในจวนตระกูลถานรวมทั้งองครักษ์ของชิงชางต่างแตกตื่นกันให้วุ่น เพราะเรื่องที่จือหลินและชิงชางหายตัวไปจากห้องนอนในเรือนของป๋อฉิวอย่างไร้ร่องรอยลี่อินที่ยังไม่หายดีก็ให้ตงฟางประคองตนมาที่ห้องของจือหลินอย่างร้อนใจจือหลินนางออกทันเห็นคนกำลังเข้าช่วยมารดาที่หมดสติอยู่ในห้องของนางพอดี“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเจ้าคะ” เสียงของนางทำให้ทุกคนหยุดนิ่งอยู่กับที่ คนที่มีสติที่สุดเห็นจะเป็นตงฟางที่วิ่งเข้ามากอดเอวพี่สาวไว้แน่น แล้วปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใครจือหลินต้องลูบหลังปลอบประโลมเขาอยู่พักใหญ่กว่าจะเงียบเสียงลง คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตงฟางต้องแสร้งเข้มแข็งมากเพียงใด เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับพี่สาวของตน เพราะเขาต้องดูแลมารดาที่ล้มป่วยทั้งยังน้องชายคนเล็กที่เสียขวัญอีกด้วย“หลินเออร์ เจ้ากลับมาหาแม่แล้ว” ลี่อินเมื่อได้สติก็ลุกขึ้นดึงตัวบุตรสาวเข้ามาสวมกอดอย่างหวงแหนท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อบ่าวไปแจ้งว่าพบตัวจือหลินแล้วก็รีบร้อนเดินมาทันที“หลินเออร์” ผู้เฒ่าถานมองหลานสาวด้วยดวงตาที่เออคลอไปด้วยน้ำตาส่วนฮูหยินผู้เฒ่าถานเดินเข้ามาสวมดอกนางไม่ต่างจากที่ลี่อินทำเลย“พวกท่านใจเย็นก่
ภายนอกมิติต่างวิ่งวุ่นตามหมอกันไปทั่ว เพราะหลายวันแล้วที่จือหลินนางนอนอย่างไม่ได้สติ พวกเขาที่รอเวลาให้นางตื่นก็ไม่อาจทนรอได้อีกหมอที่มาตรวจก็ไม่อาจหาสาเหตุที่ทำให้จือหลินนางหมดสติเช่นนี้ได้ เพราะร่างกายของนางเหมือนกับคนที่หลับสนิทเท่านั้นหลีจิ้งเมื่อจัดการเรื่องภายในวังหลวงเสร็จสิ้นก็มารับอี้หนิงกับอวี่ซีกลับเข้าวังหลวง เพื่อสถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้และฮองเฮาพระองค์ใหม่ป๋อฉิวถูกราชโองการแต่งตั้งเป็นเสนาบดีกรมกลาโหมทันทีที่หลีจิ้งขึ้นนั่งบัลลังก์ เขาไม่ได้รู้สึกยินดีกับตำแหน่งที่ได้จวนตระกูลถานยังไม่เปิดรับผู้คนที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดี เพราะบุตรสาวที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่ในเรือนของเขาชิงชางเมื่อช่วยบิดาจัดการเรื่องในวังหลวงเสร็จสิ้น ตัวเขาก็แทบจะอยู่ที่จวนตระกูลถานไม่ยอมขยับไปที่ใด ได้แต่นั่งเฝ้าจือหลินที่นอนหลับอยู่บนเตียงเขามักจะนำตำรา หรือเรื่องที่พบเจอมาตลอดที่ไม่ได้อยู่กับนางมาเล่าให้นางฟัง จนคนที่เข้ามาพบเห็นอกเห็นใจเขาไม่ได้ป๋อฉิวก็ไม่ทำใจไล่เข้ากลับวังไม่ลง จึงปล่อยให้เขานั่งพูดอยู่เช่นนั้น เรื่องร้านค้าของจือหลินก็ไม่มีปัญหา เพราะของที่นางทำไว้ยังมีอีกมาก ลี่อินที่
ป๋อฉิวไม่เคยเห็นด้านที่อ่อนแอเช่นนี้ของนาง เขาอดที่จะจุกในอกไม่ได้ สุดท้ายแล้วอย่างไรนางก็เป็นเด็กสาวที่ต้องการคนปลอบประโลมชิงชางกับหลีจิ้งทรุดตัวลงอย่างสิ้นแรง ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบจากการระเบิดพลังครั้งนี้ของจือหลินแต่เพียงไม่นาน ร่างกายที่ทุกคนได้รับบาดเจ็บ แม้แต่โรคที่รักษาไม่หายเมื่อถูกแสงสีขาวของจือหลินต่างก็หายราวปาฏิหาริย์ เรื่องนี้ชาวเมืองที่หนีไม่ทันจากแสงก็รับรู้ได้เช่นกันชาวชราที่เดินกลับเรือนเขาไม่อาจวิ่งหนีได้เช่นคนหนุ่มสาว เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งร่างกายที่ทรุดโทรมก็กลับแข็งแรงขึ้นอย่างน่าประหลาดใจคนขอทานที่ขาหัก ล้มอยู่ที่พื้น เพราะโดนชนจนหนีไม่ทันก็กลับมาลุกขึ้นเดินได้เมื่อแสงสีขาวหายไปกลายเป็นที่ร่ำลือไปทั่ว ชาวเมืองทั้งหมดต่างออกจากเรือนเพื่อมารอแสงสีขาวอีกครั้ง แต่ก็ไม่เคยปรากฏขึ้นอีกเลยป๋อฉิวประคองบุตรสาวขึ้น ก่อนที่ทั้งคู่จะร่ำลาสองพ่อลูกกับจวนของตนไป“หลินเออร์” ชิงชางร้องเรียกนาง“ท่านจัดการเรื่องของท่านเถิด ข้าจะกลับจวนเพื่อไปดูมารดาและน้องชาย” จือหลินนางไม่ได้หันไปมองชิงชางเลยสักนิดจือหลินพูดจบนางก็หมดสติไปทันที เพราะการระเบิดพลังและการเลื่อนขั้นที่เกิดข
ป๋อฉิวจ้องมองฉีหลีเจียวอย่างโกรธแค้น ไม่รู้ว่าเมื่อคนของเขาไปถึงจวนตระกูลถานบุตรสาวจะออกจากการกักตัวแล้วหรือยังต่อให้ใบหน้าของเขาเรียบเฉยมากเพียงใด แต่ในอกของเขากับสะท้านอย่างหวาดกลัว กลัวว่าคนในตระกูลจะเคราะห์ร้ายไปกับเขาด้วยจือหลินนางมาถึงประตูวังหลวงเพียงลำพังหลังจากที่นางใช้ปราณรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดแล้วก็ออกเดินทางมาทันที“มีป้ายคำสั่งเข้าวังหรือไม่” ทหารหน้าประตูวังเอ่ยถามจือหลินเขามองนางอย่างแปลกใจ นางไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวงหรือ จึงได้อาจหาญเข้ามาวังหลวงเช่นนี้“ไม่มี” นางเอ่ยเสียงเหยียบเย็น“กลับไปเสีย ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน” ทหารดึงกระบี่ออกมาข่มขู่จือหลินเพียงแค่นางปรายตาไปมอง ลมปราณในร่างของนางก็ทำให้ทหารที่กำลังถือกระบี่ข่มขู่นางกระเด็นถอยหลังไปกระแทกกับประตูวังจนหมดสติเสียงร้องตกใจของทหารที่อยู่รอบบริเวณนั้น วิ่งมาทางนาง เพื่อจัดการกับนางทันทีจือหลินโบกมืออย่างนึกรำคาญ นางไม่มีเวลามากพอที่จะเล่นสนุกกับพวกเขาฉีหลีเจียวดึงกระบี่ขององครักษ์ออกมาหวังจะบั่นคอป๋อฉิวอย่างมีโทสะ ก็ถูกองครักษ์ที่อยู่หน้าประตูคุกใต้ดินวิ่งเข้ามาแจ้งเรื่องผู้บุกรุก
จือหลินเดินลมปราณโดยไร้สิ่งรบกวน นางนั่งจนลืมวันลืมคืนเช่นเดิม ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด สิ่งที่จือหลินรับรู้ได้ครั้งนี้ ร่างกายของนางเลื่อนระดับได้เร็วขึ้นเพราะทนความเจ็บปวดจากลมปราณทั้งห้าที่ขยายใหญ่ขึ้นได้ ตัวนางจึงนั่งต่อไปเรื่อยๆ“หลินเออร์ บิดาเจ้าตกอยู่ในอันตราย” เสียงของชิงชางที่ออกมาจากหยกสื่อสารทำให้จือหลินนางหลุดออกจากการเลื่อนระดับดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวกับสัตว์ร้าย“บิดาข้าอยู่ที่ใด” น้ำเสียงของจือหลินที่สื่อสารกลับไปเต็มไปด้วยไอสังหาร จนชิงชางที่ถือหยกสื่อสารในมืออดสั่นสะท้านไม่ได้แรงโทสะของจือหลินเมื่อรู้ว่าบิดาของนางกำลังได้รับอันตราย ทำให้ค่ายกลที่ววางไว้ระเบิดออก เรือนของนางเสียหายไปกว่าครึ่ง ค่ายกลทั้งหมดถูกทำลายลงคนภายในจวนตระกูลถานรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือน ต่างพากันวิ่งมาที่เรือนของจือหลิน“คะ คุณหนู ท่านได้รับบาดเจ็บหรือไม่ขอรับ” พ่อบ้านถานคือคนแรกที่เขามาถามนางอย่างใจกล้า เพราะไม่มีบ่าวคนใดกล้าเดินเข้ามาใกล้นางในยามนี้นอกจากแววตาที่ลุกโชนไปด้วยโทสะของนางแล้ว ร่างกายของนางยังมีเปลวไฟแผดเผาไปทุกย่างก้าวที่นางเดิน“หลินเออร์/พี่หญิง” ลี่อินกับตงฟางเ
แต่ผู้ใดในจวนตระกูลถานจะคิด ว่าวันต่อมาดอกไม้มากมายก็ถูกส่งมาที่จวนตระกูลถาน พร้อมทั้งผู้ส่งขอไม่รับเป็นเงิน ขอแลกกับน้ำหอมเพียงหนึ่งขวดเท่านั้นผู้อาวุโสต่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมาเพียงจือหลินที่หัวเราะร่วนอย่างชอบใจ มีคนนำของมาให้เช่นนี้นางจะไม่รับไว้ได้อย่างไร แล้วก็แรกกับน้ำหอมเพียงขวดเดียวเท่านั้นจือหลินนางก็แสนจะฉลาด นำน้ำหอมจากภพของนางบรรจุลงในขวดกระเบื้องธรรมดาที่นางนำไปวางขาย มอบให้ผู้ที่ส่งดอกไม้มาให้ที่จวนกลายเป็นที่เลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง เพราะน้ำหอมที่เขาได้ ไม่มีวางขายในเมืองหลวงตอนนี้วันต่อๆ มา ดอกไม้หาอยากที่มีกลิ่นหอมก็ถูกส่งมาที่จวนตระกูลถานมากมาย จนบ่าวในจวนไม่มีเวลาได้พักหายใจ เพราะถูกคุณหนูใช้ให้ทั้งเด็ด ล้าง ตาก ดอกไม้ทั้งหมดที่ได้มาจือหลินนางก็ไม่ได้ใช้เปล่าๆ นางมอบสินน้ำใจให้อย่างเต็มที่ บ่าวในเรือนแม้จะเหนื่อยเพิ่มแต่ก็ยินยอมทำอย่างไม่ปริปากบ่นถึงแม้นางจะมีดอกไม้ไว้ทำน้ำหอมจำนวนมากแล้ว แต่น้ำหอมที่นำออกวางขายก็ยังมีเท่าเดิม ยิ่งทำให้สินค้าของนางกลายเป็นที่พูดถึง จนพ่อค้าจากต่างแคว้นและหัวเมืองอื่นๆ เดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อมาทำการค้ากับนางแต่ราคาที่จือหล