จือหลินนางเสียใจจนพอแล้วก็ออกจากมิติ เพื่อหาหีบใส่ท้องทั้งสิบก้อนที่นางทำขึ้น ก่อนจะขอให้ป๋อฉิวให้คนนำไปแลกเปลี่ยนเป็นทองที่ใช้ในปัจจุบันให้นางป๋อฉิวมิได้ถามว่านางได้มาจากไหนหรือจะเปลี่ยนเป็นทองก้อนเพื่อใช้เรื่องใด เขาเรียกพ่อบ้านให้นำทองของจือหลินไปที่ร้านรับฝากเงินทันทีพ่อบ้านหายไปเพียงหนึ่งชั่วยามก็กลับมาพร้อมทองก้อนที่แลกมาได้ถึงสิบหีบ นางเปิดออกดูอย่างพอใจ ก่อนจะส่งทองให้พ่อบ้านหนึ่งก้อน และคนอื่นที่ช่วยยกมาอีกคนละก้อนอย่างใจกว้างบ่าวคนอื่นที่เห็นเช่นนี้ก็อดจะอิจฉาไม่ได้ หากเปลี่ยนเป็นพวกตนไปยกมาแทนจะคงได้เช่นกันพ่อบ้านกับบ่าวที่ได้ทองก้อนไปไม่อยากจะเชื่อว่าคุณหนูจะใจกว้างกับพวกเขาเช่นนี้ทองคำหนึ่งก้อนที่ให้ไปมีค่าเท่ากับสิบตำลึงทอง เพราะทองแต่ละก้อนหนักหนึ่งจิน (1จิน=500กรัม) เงินมากเช่นนี้ บ่าวบางคนสามารถไถ่ถอนตัวออกไปได้เลยจือหลินนางไม่ได้คิดมากเช่นนั้น เพราะทองทั้งสิบหีบที่ได้มานางล้วนได้มาอย่างง่ายดาย หรือจะเรียกว่าไม่ง่าย เพราะต้องแลกกับลมปราณที่นางฝึกมาทั้งหมดไปก่อนจะถึงวันงานจือหลินนางกลับเข้าไปในมิติ เพื่อนั่งสมาธิรวบรวมลมปราณอีกครั้งสองวันต่อมาเมื่อนางออกมาจากใน
อาจารย์ซูเห็นจือหลินนางสามารถปรุงยาตามที่เขาสอนไว้ได้อย่างดี เขาจึงได้มอบตำราปรุงยาไว้ให้นาง ต่อไปให้นางฝึกทำด้วยตนเองเพราะจือหลินนางยังมีสมุนไพรไม่ครบตามที่ตำราระบุไว้จือหลินนางจึงต้องหันมาฝึกวรยุทธ์อย่างหนักหลังจากที่ลมปราณของนางกลับมาเต็มเช่นเดิม อาจารย์ซูเมื่อเห็นกระบวนท่าของจือหลินนางสามารถควบคุมได้ตามใจแล้วเขาก็เริ่มสอนการโจมตีที่ใส่พลังปราณต่างๆ เข้าไปด้วย แต่ละครั้งที่นางออกกระบวนท่า จือหลินนางจึงรู้ว่ามันรุนแรงมากเพียงใด หากยังฝึกในมิติของนาง ห้องต่างๆ คงได้พังลงมาแน่ๆ“อาจารย์ซู ข้าคิดว่าจะออกไปฝึกด้านนอกดีหรือไม่เจ้าคะ” จือหลินเอ่ยขอความเห็นจากอาจารย์“โง่เขลานัก หากเจ้ากังวลว่าพลังปราณของเจ้าจะสร้างความเสียหายให้ห้วงมิติ ข้าย่อมมีวิธี” อาจารย์ซูมองค้อนจือหลินเขาเดินไปที่ลานกว้างก่อนจะสร้างค่ายกลเพื่อให้จือหลินนางฝึกปล่อยพลังได้เต็มที เพื่อไม่ให้ส่วนนอกที่ไม่ได้สร้างค่ายกลได้รับความเสียหาย“ท่านมีวิธีก็ไม่บอกข้า”“แล้วเจ้าเคยถามหรือไม่เล่า” เขาเอ่ยเสียดสีจือหลิน ก่อนที่ทั้งสองจะเข้าไปภายในค่ายกลที่เขาสร้างขึ้นแล้วเริ่มสอนนางอีกครั้งหลังจากที่จือหลินนางรู้ว่าอาจารย์ซูรู
จือหลินนางยืนนิ่งอย่างตกตะลึง นางเข้าไปนานเพียงใด มารดาถึงกับตั้งครรภ์แล้วกำลังคลอดน้องของนางด้วย“หลินเออร์ เจ้ามาแล้ว” ป๋อฉิวเอ่ยเรียกสติของบุตรสาว“ท่านพ่อ ข้าเก็บตัวนานเพียงใดเจ้าคะ” นางเอ่ยถามบิดา“หลินเออร์ เจ้าเก็บตัวเกือบสองปี” สิ้นคำของป๋อฉิว ลี่อินนางก็กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดอีกครั้งจือหลินนางเลิกสนใจว่าเวลาจะผ่านมานานเพียงใด นางพุ่งเข้าไปในห้องที่มารดานอนรอคลอดอยู่อย่างรวดเร็วเมื่อเห็นมารดาร้องอย่างเจ็บปวด และกำลังจะหมดแรงเบ่งแล้ว จือหลินนางก็เดินไปหยุดอยู่ที่ข้างเตียงมองมารดาอย่างกังวล“ออกไปให้หมด” นางร้องสั่งทุกคนที่อยู่ในห้องให้ออกไปหมอตำแยสองคนกับสาวใช้มองหน้าจือหลินอย่างไม่เข้าใจ“ข้าบอกให้ออกไป” นางหันไปเอ่ยเสียงเย็นเพราะความกังวลเรื่องมารดา ทำให้จือหลินนางเผลอปล่อยลมปราณออกมาจนแจกันลายครามที่อยู่ในห้องตกลงมาแตกกระจายเต็มพื้นป๋อฉิวรีบวิ่งเข้ามาดูว่าภายในห้องเกิดเรื่องใดขึ้น เมื่อเห็นใบหน้าของจือหลินที่มองทุกคนอย่างไม่สบอารมณ์ เขาก็เอ่ยถามทันที“เกิดเรื่องใดขึ้นหลินเออร์”“ให้พวกนางรีบออกไปเจ้าคะ” จือหลินเอ่ยบอกบิดา“พวกเจ้าออกไปเสียก่อน” ป๋อฉิวหันไปบอกสาวใช้กั
จือหลินนางจึงบอกเรื่องที่จะสอนวิธีฝึกตนให้ทุกคน แต่นางต้องไปปรุงยาเพื่อเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกเสียก่อนนายท่านผู้เฒ่าถานจึงเรียกพ่อบ้านแล้วให้เขาไปจัดการเรื่องสมุนไพรที่จือหลินนางต้องใช้ปรุงยาทุกคนเมื่อพูดคุยกับเรียบร้อยต่างก็แยกย้ายไปพักผ่อน เสื้อผ้าชุดใหม่ของจือหลินก็ถูกมาที่เรือนของนางเรียบร้อยแล้วจือหลินนางจึงนำบางส่วนเข้าไปเก็บไว้ในมิติ แล้วไปหามารดาที่เรือนของนางนางยังนำยาบำรุงเลือดและยาบำรุงร่างกายไปให้มารดากินบุตรชายคนเล็กของตระกูลถาน นามตงหยาง ป๋อฉิวเป็นผู้ตั้งให้เขา ในตอนนี้เนื้อตัวของตงหยางอวบอิ่มน่าฟัดยิ่งนักตงฟางก็เป็นอีกคนที่หลงน้องชาย เมื่อเขากลับมาจากสำนักศึกษาเขาก็จะมาอยู่ที่เรือนของบิดาเพื่อนั่งดูน้องชายนอนจือหลินเมื่อพ่อบ้านนำสมุนไพรมาส่งให้นางแล้ว นางก็กลับเรือนตัวเองเพื่อเข้าไปปรุงยาให้กับทุกคนจือหลินนางคิดจะให้บิดากินยาถ่ายไขกระดูกก่อน ส่วนคนอื่นต้องบำรุงร่างให้ดีเพื่อเตรียมพร้อมในการฝึกตนเพราะนางไม่รู้ว่าพวกเขาจะทนรับความเจ็บปวดจากการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกได้หรือไม่จือหลินนางปรุงยาเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกครั้งนี้ได้เกือบสิบเม็ด เมื่อเก็บที่เหลือเข้าตู้ยาเรียบร้อย น
นับจากนั้นมา ป๋อฉิวก็เริ่มฝึกลมหายใจเพื่อเดินลมปราณอย่างหนักทุกวัน ท่านผู้เฒ่าถานกับฮูหยินผู้เฒ่ากลับมานั่งทบทวนว่าตนสมควรจะเป็นผู้ฝึกตนหรือไม่ เพียงแค่บุตรชายยังยากถึงเพียงนี้ตงฟางก็ไม่เคยเกียจคร้านเลยสักวัน ในตอนเช้าเขาจะมาร่วมฝึกวรยุทธ์กับพี่หญิง หลังจากทานมื้อเย็นเขาก็มาฝึกเดินลมปราณและฝึกการหายใจร่วมกับบิดาจือหลินนางก็ให้คำแนะนำกับพวกเขาอย่างไม่หวงแหน พร้อมทั้งช่วยปรุงยาเพื่อให้บิดาของนางผ่านในช่วงแรกเริ่มไปได้เร็วขึ้นแต่ถึงจะใช้ยามากเพียงใด ป๋อฉิวก็ไม่อาจล้ำหน้าไปได้ไวเท่ากับจือหลิน นางจำต้องให้ร่างกายของบิดาปรับตัวไปได้เอง“นี่หยกพกของผู้ใดขอรับ” ตงฟางน้อยที่กำลังนั่งกินของว่างอยู่ในเรือนของจือหลินหยิบขึ้นมาดูอย่างสงสัย“สหายให้ข้ามา” จือหลินเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ นางปล่อยให้ตงฟางหยิบเล่นดูได้อย่างเต็มที่ป๋อฉิวที่เพิ่งมาจากเรือนของตน ก็เดินเข้ามาหาบุตรทั้งสองที่อยู่ในห้องโถง เขามองไปที่หยกพกในมือของตงฟางอย่างสงสัย“เจ้าเอาหยกพกมาจากที่ใด” เขาเอ่ยถามเมื่อเห็นอักษรฉีในหยกพก“ของพี่หญิงขอรับ” ตงฟางส่งหยกพกให้บิดาดู เมื่อบิดายื่นมือมาตรงหน้าของเขาป๋อฉิวตื่นตระหนกเกือบจะทำหยกพกใน
กงหลีจิ้ง เมื่อเปิดประตูเรือนออกไปแล้วพบป๋อฉิว ทั้งคู่ต่างจ้องมองกันอย่างตกตะลึง“อาฉิว เจ้ามาได้อย่างไร” “เข้าไปพูดกันในเรือนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ป๋อฉิวเอ่ยพูดเสียงเบา เพื่อมาให้ชาวบ้านที่อยู่ด้านนอกได้ยินเมื่อชาวบ้านเห็นว่าบุรุษที่มาเป็นสหายของพรานกงจริงดังว่า ต่างก็แยกตัวไปจัดการเรื่องของตนเองต่อ“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่” เมื่อเข้ามาในเรือน กงหลีจิ้งก็เอ่ยถามสหายของตนทันทีป๋อฉิวเล่าเรื่องที่เขาพบหยกพกแทนพระองค์ที่ตัวบุตรสาวของเขา เมื่อสอบถามจึงได้ความว่าทั้งสามพระองค์อยู่ที่หมู่บ้านไห่เหอ“บุตรีของเจ้า หลินเออร์นะหรือ” กงหลีจิ้งมองสหายอย่างไม่อยากเชื่อ ยิ่งได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งที่ป๋อฉิวมาตรวจสอบท่านเจ้าเมืองกว่างซีคนเดิมจนทำให้ลี่อินเสื่อมเสีย กงหลีจิ้งก็ถอนหายใจออกมา“สองแม่ลูกนั้นมีชีวิตลำบากนัก ข้าคิดไม่ถึงว่าเรื่องมันจะบังเอิญถึงเพียงนี้” ป๋อฉิวยิ่งได้ฟังเรื่องของลี่อินกับจือหลิน ความรู้สึกผิดในใจก็กลับมาอีกครั้ง“กระหม่อมแต่งนางเข้าจวนเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ต่อจากนี้จะไม่ให้พวกนางสองแม่ลูกต้องเจ็บช้ำน้ำใจอีก” “ดียิ่ง ครั้งแรกที่ข้าพบหลินเออร์ ก็คิดว่าดวงตาของ
ป๋อฉิวจึงให้ทั้งคู่กินยาเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกเสียก่อน แต่ก่อนที่จะให้ทั้งคู่ได้กิน ป๋อฉิวบอกเรื่องความทรมานที่แสนสาหัสจากยาที่จะกินเข้าไปเพื่อให้ทั้งคู่ได้เตรียมใจไว้ก่อนอ่างน้ำถูกเตรียมขึ้นอย่างรวดเร็วสองอ่าง พร้อมทั้งบอกอี้หนิงไว้เพื่อไม่ได้นางตกใจกับสิ่งร้องทรมานของสองพ่อลูกด้วยแม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ความเจ็บปวดที่เหมือนถูกแล่เนื้อเลาะกระดูก ก็ทำให้สองพ่อลูกที่พยายามอดกลั้นไม่ส่งเสียงร้องออกมา กลับร้องเสียงดังราวกับกำลังจะขาดใจอี้หนิงที่อยู่ในห้องกอดตัวบุตรชายคนเล็กไว้แน่น เพื่อไม่ให้เขาตกใจกับสิ่งที่ได้ยินองครักษ์ของป๋อฉิวยืนมองตัวสั่นสะท้านอยากไม่อยากเชื่อ ไม่รู้ว่ายาอันใดที่ทำให้คนเจ็บปวดได้มากถึงเพียงนี้ป๋อฉิวร้องเรียกทั้งสองไว้ตลอด เพื่อไม่ให้พวกเขาหมดสติไปเสียก่อน ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ทำมาทั้งหมดคงจะสูญเปล่าแล้วเกือบสองชั่วยามกว่าทั้งสองจะคลายความเจ็บปวด น้ำสีดำส่งกลิ่นเหม็นจนองครักษ์ทั้งสองที่ต้องแบกไปทิ้งทนไม่ไหว อาเจียนออกมาเสียหลายรอบในยามนี้ทั้งคู่รู้ไม่ต่างกัน ความเบาสบายของตัวกับประสาทสัมผัสที่ได้ยินเสียงต่างๆ รอบข้างอย่างชัดเจน แม้แต่ในความมืดเขาก็เห็นแมลงต่างๆ ที่
อวี่ซีเมื่อมีสหายเล่นด้วยอย่างตงหยางจากที่เคยคิดถึงบิดากับพี่ชายก็เริ่มจะคลายความคิดถึงไปเสียแล้ว ยังมีจือหลินที่นางมักจะนำของเล่นแปลกๆ มาให้ทั้งสองได้เล่นเสมออีกด้วยแต่พี่สาวที่ชอบมาหาเขาก็มักจะหายหน้าไปหลายวันแล้วกลับมาอีกครั้งพร้อมของเล่นใหม่ๆ จึงทำให้ทั้งสองมักชะเง้อคอคอยพี่สาวอย่างจือหลินเกือบทุกวัน ท่าทางของพวกเขาก็ช่วยให้ผู้อาวุโสอดที่จะขบขันไม่ได้จือหลินเมื่อรู้ว่าท่านปู่ท่านย่าไม่อาจจะเป็นผู้ฝึกตนได้ นางจึงทำยาย้อนเยาว์ตามตำราของอาจารย์ซูให้ทุกคนแทนยังดีที่นางตรวจสอบแล้ว สมุนไพรที่ใช้ทั้งหมดไม่มีชนิดใดที่เป็นพิษ ไม่เช่นนั้นนางก็ไม่กล้าให้ทุกคนใช้เช่นกันเพราะครั้งที่เขาที่นางทำยายื้อชีวิตของภพที่แล้วจนทำให้ชายชราที่นางทดลองกลายเป็นซอมบี้ภาพนั้นยังติดตานางอยู่เลยจดหมายของชิงชางที่ฝากมากับอี้หนิง จือหลินนางได้อ่านก็ทำหน้าเบ้ออกมา อายุเพียงเท่ากับสัญญาว่าจะดูแลนาง ยังไม่รู้เลยว่าใครจะดูแลใครกันแน่จือหลินนางจะอายุสิบสี่หนาวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่เพราะเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยสู้ดีในเมืองหลวงทำให้นางไม่อาจทิ้งคนในเรือนเพื่อเข้าเลื่อนขั้นไปเป็นปรมาจารย์ได้แม้ในตอนนี้ระดับจอมยุ
จือหลินนางพาชิงชางเข้าไปภายในมิติ ชิงชางเมื่อรู้ตอนนี้ตนอยู่ที่ใดเขาก็อุ้มจือหลินเข้าไปในห้องของนางนางรู้ว่าเขาต้องการทำสิ่งใดกับนางก็อดที่จะเอ่ยถามอย่างสงสัยไม่ได้“ท่านอยู่ในขั้นใด”“ข้าเร่งเดินลมปราณ เพื่อวันนี้หลินหลิน”ชิงชางไม่ยอมบอกนางแต่เขากับจุมพิตนางอย่างดูดดื่มแทน จือหลินราวกับต้องมนต์เมื่อได้รับสัมผัสที่อ่อนโยนของเขาชิงชางไล้นิ้วไปตามเรือนร่างของนาง พร้อมทั้งปลดชุดของนางอย่างรวดเร็ว“เจ้างามยิ่งนักหลินหลิน” เมื่อได้เห็นเรือนร่างที่เปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าของนาง เขาก็อดที่จะจ้องมองอย่างตกตะลึงมิได้จือหลินนางก็ไม่ได้มีท่าทีที่เขินอายเช่นหญิงสาวทั่วไป กลับใจกล้ากว่าที่เขาคิด เพียงนางช้อนสายตายั่วยวนเขา ชิงชางก็รีบปลดชุดออกด้วยมือที่สั่นเทาก่อนจะขึ้นคร่อมตัวนางพร้อมกับมอบจุมพิตที่ร้อนแรงเต็มไปด้วยไฟปรารถนา จือหลินโอบรอบคอของเขาไว้ พร้อมทั้งใช้มือที่ซุกซนของนางสัมผัสไปที่เครื่องเพศของเขาโดยตรง“หลินหลิน เจ้าช่าง ซุก ซนนัก” ชิงชางเอ่ยแสงสั่นเทาออกมาอย่างไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้จือหลินนางเงยหน้าขึ้นหัวเราะอย่างชอบใจเมื่อเห็นสีหน้าที่อดกลั้นของเขา แต่ต่อมานางก็รู้ตัวว่านางนั้นคิดผ
ภายในมิติผ่านมาได้สองปี แต่ด้านนอกเพียงผ่านไปแล้วสี่เดือนเท่านั้น ชิงชางก็คิดจะออกไปจัดการเรื่องของตนในวังหลวง แม้แต่ขั้นระดับเขาก็ไม่ให้จือหลินตรวจสอบนางก็ไม่ว่าอันใด พาเขาออกไปส่งด้านนอกอย่างที่เขาต้องการ ชิงชางมองจือหลินอย่างลึกซึ้งก่อนจะเดินจากไปโดยที่เขาไม่เอ่ยอันใดสักคำจือหลินยืนมองแผ่นหลังของเขาอย่างสะท้านในอก นางคิดว่าตัวนางไม่อยากยึดติดหรือหวังในตัวของชิงชางแล้วแต่ก็ยังอดเศร้าใจไม่ได้“ชางเออร์เจ้ากลับมาเสียที” หลีจิ้งมองบุตรชายที่รูปร่างและกลิ่นอายที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างแปลกใจ“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ลูกมีเรื่องจะพูดกับพวกท่าน”“หากเป็นเรื่องของหลินเออร์ พ่อเข้าใจ แต่เจ้าก็ต้องรู้ว่าต่อไปเจ้ามิอาจมีนางเพียงผู้เดียวได้”หลีจิ้งมองบุตรชายอย่างจริงจัง เพราะตัวเขาที่คิดจะมีเพียงอี้หนิงในวังหลังเพียงหนึ่งเดียวยังไม่อาจทำได้เขาจำต้องรับบุตรสาวของตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ทั้งผู้ที่เคยช่วยเหลือจนเขาได้นั่งในบัลลังก์ครั้งนี้ไว้อย่างเสียไม่ได้เพียงปีเดียวก็มีพระสนมมากถึงนับสิบคนแล้วชิงชางฟังคำพูดของบิดาหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด“ลูกไม่คิดจะเป็นฮ่องเต้เช่นเสด็จพ่อ ลูกต้องการออกเดิ
ชิงชางอับอายจนใบหูของเขาแดงก่ำ ตัวเขาจะเคยทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ที่ทำกับนางก็เป็นครั้งแรกของเขาเช่นกันแล้วสตรีเช่นนางกับพูดเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อย่างไม่อายบอก หรือว่านางเคยถูกผู้ใดจุมพิตมาแล้วชิงชางยิ่งคิดก็ยิ่งเกิดอาการหึงหวง เขาเดินเข้าไปจับใบหน้าของนางไว้แล้วจุมพิตนางอีกครั้งอย่างรุนแรงแต่ครั้งนี้จือหลินนางตกตะลึงอย่างแท้จริง เพราะไม่คิดว่าชิงชางจะจุมพิตนางอีกครั้ง นางคิดว่าคำพูดของนางจะทำให้เขาเกิดอยากเปลี่ยนใจจือหลินกลับเป็นฝ่ายดึงรั้งคอของชิงชางไว้ แล้วเริ่มใช้เรียวลิ้นของนางหยอกล้อกับเรียวลิ้นของชิงชางแทนในตอนแรกชิงชางก็นิ่งชะงักอย่างตกตะลึง เขาไม่คิดว่านางจะจุมพิตได้ช่ำชองเช่นนี้ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นความรัญจวนที่นางมอบให้ทั้งสองไม่รู้ว่าตนจุมพิตกันนานเพียงใด แต่เมื่อจือหลินนางถอนริมฝีปากออก ชิงชางกลับอาลัยอาวรณ์อย่างไม่สิ้นสุด“หลินเออร์ เหตุใดเจ้า”“ท่านอยากจะรู้ว่าเหตุใดข้าถึงจุมพิตเป็นใช่หรือไม่”จือหลินนางจ้องมองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างหยอกล้อ ก่อนจะเล่าเรื่องที่นางไม่ใช่คนในภพนี้ให้ชิงชางได้ฟังทั้งคู่เข้ามานั่งในห้องนั่งเล่นที่โซฟาแทนห้องทดลองของจือหลินนางบอกเล่า
บ่าวไพร่ในจวนตระกูลถานรวมทั้งองครักษ์ของชิงชางต่างแตกตื่นกันให้วุ่น เพราะเรื่องที่จือหลินและชิงชางหายตัวไปจากห้องนอนในเรือนของป๋อฉิวอย่างไร้ร่องรอยลี่อินที่ยังไม่หายดีก็ให้ตงฟางประคองตนมาที่ห้องของจือหลินอย่างร้อนใจจือหลินนางออกทันเห็นคนกำลังเข้าช่วยมารดาที่หมดสติอยู่ในห้องของนางพอดี“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเจ้าคะ” เสียงของนางทำให้ทุกคนหยุดนิ่งอยู่กับที่ คนที่มีสติที่สุดเห็นจะเป็นตงฟางที่วิ่งเข้ามากอดเอวพี่สาวไว้แน่น แล้วปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใครจือหลินต้องลูบหลังปลอบประโลมเขาอยู่พักใหญ่กว่าจะเงียบเสียงลง คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตงฟางต้องแสร้งเข้มแข็งมากเพียงใด เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับพี่สาวของตน เพราะเขาต้องดูแลมารดาที่ล้มป่วยทั้งยังน้องชายคนเล็กที่เสียขวัญอีกด้วย“หลินเออร์ เจ้ากลับมาหาแม่แล้ว” ลี่อินเมื่อได้สติก็ลุกขึ้นดึงตัวบุตรสาวเข้ามาสวมกอดอย่างหวงแหนท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อบ่าวไปแจ้งว่าพบตัวจือหลินแล้วก็รีบร้อนเดินมาทันที“หลินเออร์” ผู้เฒ่าถานมองหลานสาวด้วยดวงตาที่เออคลอไปด้วยน้ำตาส่วนฮูหยินผู้เฒ่าถานเดินเข้ามาสวมดอกนางไม่ต่างจากที่ลี่อินทำเลย“พวกท่านใจเย็นก่
ภายนอกมิติต่างวิ่งวุ่นตามหมอกันไปทั่ว เพราะหลายวันแล้วที่จือหลินนางนอนอย่างไม่ได้สติ พวกเขาที่รอเวลาให้นางตื่นก็ไม่อาจทนรอได้อีกหมอที่มาตรวจก็ไม่อาจหาสาเหตุที่ทำให้จือหลินนางหมดสติเช่นนี้ได้ เพราะร่างกายของนางเหมือนกับคนที่หลับสนิทเท่านั้นหลีจิ้งเมื่อจัดการเรื่องภายในวังหลวงเสร็จสิ้นก็มารับอี้หนิงกับอวี่ซีกลับเข้าวังหลวง เพื่อสถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้และฮองเฮาพระองค์ใหม่ป๋อฉิวถูกราชโองการแต่งตั้งเป็นเสนาบดีกรมกลาโหมทันทีที่หลีจิ้งขึ้นนั่งบัลลังก์ เขาไม่ได้รู้สึกยินดีกับตำแหน่งที่ได้จวนตระกูลถานยังไม่เปิดรับผู้คนที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดี เพราะบุตรสาวที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่ในเรือนของเขาชิงชางเมื่อช่วยบิดาจัดการเรื่องในวังหลวงเสร็จสิ้น ตัวเขาก็แทบจะอยู่ที่จวนตระกูลถานไม่ยอมขยับไปที่ใด ได้แต่นั่งเฝ้าจือหลินที่นอนหลับอยู่บนเตียงเขามักจะนำตำรา หรือเรื่องที่พบเจอมาตลอดที่ไม่ได้อยู่กับนางมาเล่าให้นางฟัง จนคนที่เข้ามาพบเห็นอกเห็นใจเขาไม่ได้ป๋อฉิวก็ไม่ทำใจไล่เข้ากลับวังไม่ลง จึงปล่อยให้เขานั่งพูดอยู่เช่นนั้น เรื่องร้านค้าของจือหลินก็ไม่มีปัญหา เพราะของที่นางทำไว้ยังมีอีกมาก ลี่อินที่
ป๋อฉิวไม่เคยเห็นด้านที่อ่อนแอเช่นนี้ของนาง เขาอดที่จะจุกในอกไม่ได้ สุดท้ายแล้วอย่างไรนางก็เป็นเด็กสาวที่ต้องการคนปลอบประโลมชิงชางกับหลีจิ้งทรุดตัวลงอย่างสิ้นแรง ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบจากการระเบิดพลังครั้งนี้ของจือหลินแต่เพียงไม่นาน ร่างกายที่ทุกคนได้รับบาดเจ็บ แม้แต่โรคที่รักษาไม่หายเมื่อถูกแสงสีขาวของจือหลินต่างก็หายราวปาฏิหาริย์ เรื่องนี้ชาวเมืองที่หนีไม่ทันจากแสงก็รับรู้ได้เช่นกันชาวชราที่เดินกลับเรือนเขาไม่อาจวิ่งหนีได้เช่นคนหนุ่มสาว เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งร่างกายที่ทรุดโทรมก็กลับแข็งแรงขึ้นอย่างน่าประหลาดใจคนขอทานที่ขาหัก ล้มอยู่ที่พื้น เพราะโดนชนจนหนีไม่ทันก็กลับมาลุกขึ้นเดินได้เมื่อแสงสีขาวหายไปกลายเป็นที่ร่ำลือไปทั่ว ชาวเมืองทั้งหมดต่างออกจากเรือนเพื่อมารอแสงสีขาวอีกครั้ง แต่ก็ไม่เคยปรากฏขึ้นอีกเลยป๋อฉิวประคองบุตรสาวขึ้น ก่อนที่ทั้งคู่จะร่ำลาสองพ่อลูกกับจวนของตนไป“หลินเออร์” ชิงชางร้องเรียกนาง“ท่านจัดการเรื่องของท่านเถิด ข้าจะกลับจวนเพื่อไปดูมารดาและน้องชาย” จือหลินนางไม่ได้หันไปมองชิงชางเลยสักนิดจือหลินพูดจบนางก็หมดสติไปทันที เพราะการระเบิดพลังและการเลื่อนขั้นที่เกิดข
ป๋อฉิวจ้องมองฉีหลีเจียวอย่างโกรธแค้น ไม่รู้ว่าเมื่อคนของเขาไปถึงจวนตระกูลถานบุตรสาวจะออกจากการกักตัวแล้วหรือยังต่อให้ใบหน้าของเขาเรียบเฉยมากเพียงใด แต่ในอกของเขากับสะท้านอย่างหวาดกลัว กลัวว่าคนในตระกูลจะเคราะห์ร้ายไปกับเขาด้วยจือหลินนางมาถึงประตูวังหลวงเพียงลำพังหลังจากที่นางใช้ปราณรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดแล้วก็ออกเดินทางมาทันที“มีป้ายคำสั่งเข้าวังหรือไม่” ทหารหน้าประตูวังเอ่ยถามจือหลินเขามองนางอย่างแปลกใจ นางไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวงหรือ จึงได้อาจหาญเข้ามาวังหลวงเช่นนี้“ไม่มี” นางเอ่ยเสียงเหยียบเย็น“กลับไปเสีย ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน” ทหารดึงกระบี่ออกมาข่มขู่จือหลินเพียงแค่นางปรายตาไปมอง ลมปราณในร่างของนางก็ทำให้ทหารที่กำลังถือกระบี่ข่มขู่นางกระเด็นถอยหลังไปกระแทกกับประตูวังจนหมดสติเสียงร้องตกใจของทหารที่อยู่รอบบริเวณนั้น วิ่งมาทางนาง เพื่อจัดการกับนางทันทีจือหลินโบกมืออย่างนึกรำคาญ นางไม่มีเวลามากพอที่จะเล่นสนุกกับพวกเขาฉีหลีเจียวดึงกระบี่ขององครักษ์ออกมาหวังจะบั่นคอป๋อฉิวอย่างมีโทสะ ก็ถูกองครักษ์ที่อยู่หน้าประตูคุกใต้ดินวิ่งเข้ามาแจ้งเรื่องผู้บุกรุก
จือหลินเดินลมปราณโดยไร้สิ่งรบกวน นางนั่งจนลืมวันลืมคืนเช่นเดิม ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด สิ่งที่จือหลินรับรู้ได้ครั้งนี้ ร่างกายของนางเลื่อนระดับได้เร็วขึ้นเพราะทนความเจ็บปวดจากลมปราณทั้งห้าที่ขยายใหญ่ขึ้นได้ ตัวนางจึงนั่งต่อไปเรื่อยๆ“หลินเออร์ บิดาเจ้าตกอยู่ในอันตราย” เสียงของชิงชางที่ออกมาจากหยกสื่อสารทำให้จือหลินนางหลุดออกจากการเลื่อนระดับดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวกับสัตว์ร้าย“บิดาข้าอยู่ที่ใด” น้ำเสียงของจือหลินที่สื่อสารกลับไปเต็มไปด้วยไอสังหาร จนชิงชางที่ถือหยกสื่อสารในมืออดสั่นสะท้านไม่ได้แรงโทสะของจือหลินเมื่อรู้ว่าบิดาของนางกำลังได้รับอันตราย ทำให้ค่ายกลที่ววางไว้ระเบิดออก เรือนของนางเสียหายไปกว่าครึ่ง ค่ายกลทั้งหมดถูกทำลายลงคนภายในจวนตระกูลถานรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือน ต่างพากันวิ่งมาที่เรือนของจือหลิน“คะ คุณหนู ท่านได้รับบาดเจ็บหรือไม่ขอรับ” พ่อบ้านถานคือคนแรกที่เขามาถามนางอย่างใจกล้า เพราะไม่มีบ่าวคนใดกล้าเดินเข้ามาใกล้นางในยามนี้นอกจากแววตาที่ลุกโชนไปด้วยโทสะของนางแล้ว ร่างกายของนางยังมีเปลวไฟแผดเผาไปทุกย่างก้าวที่นางเดิน“หลินเออร์/พี่หญิง” ลี่อินกับตงฟางเ
แต่ผู้ใดในจวนตระกูลถานจะคิด ว่าวันต่อมาดอกไม้มากมายก็ถูกส่งมาที่จวนตระกูลถาน พร้อมทั้งผู้ส่งขอไม่รับเป็นเงิน ขอแลกกับน้ำหอมเพียงหนึ่งขวดเท่านั้นผู้อาวุโสต่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมาเพียงจือหลินที่หัวเราะร่วนอย่างชอบใจ มีคนนำของมาให้เช่นนี้นางจะไม่รับไว้ได้อย่างไร แล้วก็แรกกับน้ำหอมเพียงขวดเดียวเท่านั้นจือหลินนางก็แสนจะฉลาด นำน้ำหอมจากภพของนางบรรจุลงในขวดกระเบื้องธรรมดาที่นางนำไปวางขาย มอบให้ผู้ที่ส่งดอกไม้มาให้ที่จวนกลายเป็นที่เลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง เพราะน้ำหอมที่เขาได้ ไม่มีวางขายในเมืองหลวงตอนนี้วันต่อๆ มา ดอกไม้หาอยากที่มีกลิ่นหอมก็ถูกส่งมาที่จวนตระกูลถานมากมาย จนบ่าวในจวนไม่มีเวลาได้พักหายใจ เพราะถูกคุณหนูใช้ให้ทั้งเด็ด ล้าง ตาก ดอกไม้ทั้งหมดที่ได้มาจือหลินนางก็ไม่ได้ใช้เปล่าๆ นางมอบสินน้ำใจให้อย่างเต็มที่ บ่าวในเรือนแม้จะเหนื่อยเพิ่มแต่ก็ยินยอมทำอย่างไม่ปริปากบ่นถึงแม้นางจะมีดอกไม้ไว้ทำน้ำหอมจำนวนมากแล้ว แต่น้ำหอมที่นำออกวางขายก็ยังมีเท่าเดิม ยิ่งทำให้สินค้าของนางกลายเป็นที่พูดถึง จนพ่อค้าจากต่างแคว้นและหัวเมืองอื่นๆ เดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อมาทำการค้ากับนางแต่ราคาที่จือหล