อาจารย์ซูเห็นจือหลินนางสามารถปรุงยาตามที่เขาสอนไว้ได้อย่างดี เขาจึงได้มอบตำราปรุงยาไว้ให้นาง ต่อไปให้นางฝึกทำด้วยตนเองเพราะจือหลินนางยังมีสมุนไพรไม่ครบตามที่ตำราระบุไว้จือหลินนางจึงต้องหันมาฝึกวรยุทธ์อย่างหนักหลังจากที่ลมปราณของนางกลับมาเต็มเช่นเดิม อาจารย์ซูเมื่อเห็นกระบวนท่าของจือหลินนางสามารถควบคุมได้ตามใจแล้วเขาก็เริ่มสอนการโจมตีที่ใส่พลังปราณต่างๆ เข้าไปด้วย แต่ละครั้งที่นางออกกระบวนท่า จือหลินนางจึงรู้ว่ามันรุนแรงมากเพียงใด หากยังฝึกในมิติของนาง ห้องต่างๆ คงได้พังลงมาแน่ๆ“อาจารย์ซู ข้าคิดว่าจะออกไปฝึกด้านนอกดีหรือไม่เจ้าคะ” จือหลินเอ่ยขอความเห็นจากอาจารย์“โง่เขลานัก หากเจ้ากังวลว่าพลังปราณของเจ้าจะสร้างความเสียหายให้ห้วงมิติ ข้าย่อมมีวิธี” อาจารย์ซูมองค้อนจือหลินเขาเดินไปที่ลานกว้างก่อนจะสร้างค่ายกลเพื่อให้จือหลินนางฝึกปล่อยพลังได้เต็มที เพื่อไม่ให้ส่วนนอกที่ไม่ได้สร้างค่ายกลได้รับความเสียหาย“ท่านมีวิธีก็ไม่บอกข้า”“แล้วเจ้าเคยถามหรือไม่เล่า” เขาเอ่ยเสียดสีจือหลิน ก่อนที่ทั้งสองจะเข้าไปภายในค่ายกลที่เขาสร้างขึ้นแล้วเริ่มสอนนางอีกครั้งหลังจากที่จือหลินนางรู้ว่าอาจารย์ซูรู
จือหลินนางยืนนิ่งอย่างตกตะลึง นางเข้าไปนานเพียงใด มารดาถึงกับตั้งครรภ์แล้วกำลังคลอดน้องของนางด้วย“หลินเออร์ เจ้ามาแล้ว” ป๋อฉิวเอ่ยเรียกสติของบุตรสาว“ท่านพ่อ ข้าเก็บตัวนานเพียงใดเจ้าคะ” นางเอ่ยถามบิดา“หลินเออร์ เจ้าเก็บตัวเกือบสองปี” สิ้นคำของป๋อฉิว ลี่อินนางก็กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดอีกครั้งจือหลินนางเลิกสนใจว่าเวลาจะผ่านมานานเพียงใด นางพุ่งเข้าไปในห้องที่มารดานอนรอคลอดอยู่อย่างรวดเร็วเมื่อเห็นมารดาร้องอย่างเจ็บปวด และกำลังจะหมดแรงเบ่งแล้ว จือหลินนางก็เดินไปหยุดอยู่ที่ข้างเตียงมองมารดาอย่างกังวล“ออกไปให้หมด” นางร้องสั่งทุกคนที่อยู่ในห้องให้ออกไปหมอตำแยสองคนกับสาวใช้มองหน้าจือหลินอย่างไม่เข้าใจ“ข้าบอกให้ออกไป” นางหันไปเอ่ยเสียงเย็นเพราะความกังวลเรื่องมารดา ทำให้จือหลินนางเผลอปล่อยลมปราณออกมาจนแจกันลายครามที่อยู่ในห้องตกลงมาแตกกระจายเต็มพื้นป๋อฉิวรีบวิ่งเข้ามาดูว่าภายในห้องเกิดเรื่องใดขึ้น เมื่อเห็นใบหน้าของจือหลินที่มองทุกคนอย่างไม่สบอารมณ์ เขาก็เอ่ยถามทันที“เกิดเรื่องใดขึ้นหลินเออร์”“ให้พวกนางรีบออกไปเจ้าคะ” จือหลินเอ่ยบอกบิดา“พวกเจ้าออกไปเสียก่อน” ป๋อฉิวหันไปบอกสาวใช้กั
จือหลินนางจึงบอกเรื่องที่จะสอนวิธีฝึกตนให้ทุกคน แต่นางต้องไปปรุงยาเพื่อเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกเสียก่อนนายท่านผู้เฒ่าถานจึงเรียกพ่อบ้านแล้วให้เขาไปจัดการเรื่องสมุนไพรที่จือหลินนางต้องใช้ปรุงยาทุกคนเมื่อพูดคุยกับเรียบร้อยต่างก็แยกย้ายไปพักผ่อน เสื้อผ้าชุดใหม่ของจือหลินก็ถูกมาที่เรือนของนางเรียบร้อยแล้วจือหลินนางจึงนำบางส่วนเข้าไปเก็บไว้ในมิติ แล้วไปหามารดาที่เรือนของนางนางยังนำยาบำรุงเลือดและยาบำรุงร่างกายไปให้มารดากินบุตรชายคนเล็กของตระกูลถาน นามตงหยาง ป๋อฉิวเป็นผู้ตั้งให้เขา ในตอนนี้เนื้อตัวของตงหยางอวบอิ่มน่าฟัดยิ่งนักตงฟางก็เป็นอีกคนที่หลงน้องชาย เมื่อเขากลับมาจากสำนักศึกษาเขาก็จะมาอยู่ที่เรือนของบิดาเพื่อนั่งดูน้องชายนอนจือหลินเมื่อพ่อบ้านนำสมุนไพรมาส่งให้นางแล้ว นางก็กลับเรือนตัวเองเพื่อเข้าไปปรุงยาให้กับทุกคนจือหลินนางคิดจะให้บิดากินยาถ่ายไขกระดูกก่อน ส่วนคนอื่นต้องบำรุงร่างให้ดีเพื่อเตรียมพร้อมในการฝึกตนเพราะนางไม่รู้ว่าพวกเขาจะทนรับความเจ็บปวดจากการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกได้หรือไม่จือหลินนางปรุงยาเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกครั้งนี้ได้เกือบสิบเม็ด เมื่อเก็บที่เหลือเข้าตู้ยาเรียบร้อย น
นับจากนั้นมา ป๋อฉิวก็เริ่มฝึกลมหายใจเพื่อเดินลมปราณอย่างหนักทุกวัน ท่านผู้เฒ่าถานกับฮูหยินผู้เฒ่ากลับมานั่งทบทวนว่าตนสมควรจะเป็นผู้ฝึกตนหรือไม่ เพียงแค่บุตรชายยังยากถึงเพียงนี้ตงฟางก็ไม่เคยเกียจคร้านเลยสักวัน ในตอนเช้าเขาจะมาร่วมฝึกวรยุทธ์กับพี่หญิง หลังจากทานมื้อเย็นเขาก็มาฝึกเดินลมปราณและฝึกการหายใจร่วมกับบิดาจือหลินนางก็ให้คำแนะนำกับพวกเขาอย่างไม่หวงแหน พร้อมทั้งช่วยปรุงยาเพื่อให้บิดาของนางผ่านในช่วงแรกเริ่มไปได้เร็วขึ้นแต่ถึงจะใช้ยามากเพียงใด ป๋อฉิวก็ไม่อาจล้ำหน้าไปได้ไวเท่ากับจือหลิน นางจำต้องให้ร่างกายของบิดาปรับตัวไปได้เอง“นี่หยกพกของผู้ใดขอรับ” ตงฟางน้อยที่กำลังนั่งกินของว่างอยู่ในเรือนของจือหลินหยิบขึ้นมาดูอย่างสงสัย“สหายให้ข้ามา” จือหลินเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ นางปล่อยให้ตงฟางหยิบเล่นดูได้อย่างเต็มที่ป๋อฉิวที่เพิ่งมาจากเรือนของตน ก็เดินเข้ามาหาบุตรทั้งสองที่อยู่ในห้องโถง เขามองไปที่หยกพกในมือของตงฟางอย่างสงสัย“เจ้าเอาหยกพกมาจากที่ใด” เขาเอ่ยถามเมื่อเห็นอักษรฉีในหยกพก“ของพี่หญิงขอรับ” ตงฟางส่งหยกพกให้บิดาดู เมื่อบิดายื่นมือมาตรงหน้าของเขาป๋อฉิวตื่นตระหนกเกือบจะทำหยกพกใน
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้นครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตายจือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้นนับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วยเมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขายิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันทีนานวั
จือหลินลุกขึ้นเพื่อเดินกลับไปที่บ้านของเจ้าของร่างตามความทรงจำเดิม เพราะตัวนางในยามนี้เป็นเพียงเด็กน้อยวัยสิบขวบเท่านั้นและที่ที่อยู่ก็ไม่รู้ว่าคือที่ไหน ต้องทำอย่างไร จึงได้เลือกที่จะกลับไปที่บ้านของฟู่จือหลินเสียก่อนใช่แล้ว เด็กน้อยที่วิญญาณของจือหลินนางมาอยู่ร่างคือ ฟู่จือหลิน ที่มีชื่อเดียวกับเธอ เด็กน้อยจบชีวิตลงเพราะถูกคนผลักลงมาจากเขา ทำให้หัวไปกระแทกก้อนหินจนจบชีวิตในตอนนี้ความเจ็บปวดที่ศีรษะจือหลินเธอยังรู้สึกได้ เสียงตะโกนเรียกชื่อของจือหลินดังไปทั่วป่า ตอนนี้เธอจึงเรียกเดินไปตามเสียงเรียกก็พบชาวบ้านหลายคนกำลังร้องเรียกและวิ่งมาทางเธอ“โอวโยว หลินเออร์เหตุใดเจ้าถึงเป็นเช่นนี้” เสียงสตรีวัยกลางคนร้องขึ้นอย่างตกใจ เมื่อเห็นว่าจือหลินมีเลือดไหลเปื้อนไปตามเสื้อผ้าจือหลินมองไปที่กลุ่มคนอย่างมึนงง ทั้งเสื้อผ้าและการพูดไม่ใช่คนยุคเดียวกันกับเธอแน่นอน ตอนที่ยังไม่หายมึนงงก็มีสตรีนางหนึ่งวิ่งเข้ามาสวมกอดแล้วร้องไห้เสียงดังจือหลินรู้ได้ทันทีว่านี้คือมารดาของเจ้าของร่างเดิม ฟู่ลี่อิน หญิงหม้ายที่เลี้ยงดูนางมาแต่เพียงผู้เดียวเจ้าของร่างเดิมไม่รู้แม้กระทั่งว่าบิดาเป็นผู้ใด เพราะมาร
ลี่อินประคองจือหลินให้นอนลงก่อนที่นางจะช่วยห่มผ้าให้อย่างใส่ใจ แม้รู้ดีว่าบุตรสาวมีท่าทางที่ต่อต้านนางอย่างประหลาดแต่ก็คิดว่านางยังคงหวาดกลัวกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันต่อมาจือหลินนางก็ไม่ได้พักผ่อนอย่างที่ควรจะทำ เพราะนางรู้สึกว่าไม่ได้เป็นอันใดมาก และอีกอย่างร่างกายของมารดาก็ไม่อาจจะทำงานหนักได้เมื่อรู้มาจากความทรงจำเดิมเมื่อคืนนี้ตอนที่จือหลินนางหลับไปยังฝันถึงจือหลินเจ้าของร่างเดิมอีกด้วย จือหลินร้องไห้อย่างน่าสงสารแล้วบอกให้นางช่วยดูแลมารดาแทนด้วยจือหลินไม่รู้จะทำเช่นไรจะให้นางกลับเข้าร่างก็ไม่อาจจะทำได้ จึงได้รับปากจือหลินคนเดิมไปเพื่อให้นางวางใจอย่างน้อยชาตินี้ก็มีมารดากับเขาบ้างแล้ว เพียงแค่สตรีอ่อนแอคนหนึ่งนางคงไม่ลำบากมากนักที่ต้องคอยดูแลแต่ร่างนี้ก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อยวัยสิบหนาวนางจะไปทำอันใดได้มากก็ยังไม่รู้จือหลินเดินไปที่ห้องครัวตามความทรงจำเดิม ก่อนที่จะเห็นลี่อินนางจุดไปอยู่“ข้าทำเองเจ้าค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปแย่งตะบันไฟและฟืนในมือของลี่อินมาก่อนที่จะทำทุกอย่างอย่างคล่องแคร่วไม่ใช่ว่านางเก่งแต่อย่างใด ถ้าไม่มีความทรงจำเดิมของจือหลินคนก่อน การจุดไฟเช่นนี้นางก็คงทำไม่
จือหลินไม่มีเวลาให้โทษฟ้าดิน นางจำต้องลงมือเก็บกวาดทั้งในเรือนและนอกเรือน ส่วนเรื่องห้องน้ำไว้ค่อยจัดการในภายหลัง นางต้องไปคิดหาหนทางเสียก่อนทำได้ไม่ถึงครึ่งนางก็ทิ้งตัวลงนอนที่พื้นห้องโถงอย่างหมดแรง จะใช้เวลาแค่วันเดียวอย่างที่คิดไว้ไม่ได้เสียแล้วยิ่งอาหารในห้องครัวตอนนี้ก็เหลือไม่มาก พรุ่งนี้นางคงต้องขึ้นเขาเพื่อหาอาหารมาเพิ่มเสียก่อน หากไม่มีอะไรตกถึงท้องก็ไม่อาจจะทำงานหนักได้เช่นกันจือหลินจึงเดินเข้าไปในครัวเพื่อหาสิ่งที่จะนำมาทำเป็นอาวุธได้บ้าง แต่ก็พบเพียงมีดทำครัวเท่านั้นนางจึงเริ่มมองหาสิ่งอื่นที่ใช้ล่าสัตว์ได้บ้าง แต่ก็ไม่พบสิ่งใดที่ดูเข้าตาในตอนกินอาหารมื้อเย็นนางจึงได้เอ่ยถามมารดาจึงได้รู้ว่า ท่านตาของนางทิ้งธนูกับมีดพร้าไว้ด้วย ลี่อินจึงไปนำออกมาให้บุตรสาว ถึงแม้จะยังไม่เชื่อว่าจือหลินสามารถล่าสัตว์ได้อย่างที่นางพูดแต่เมื่อเห็นแววตาที่มองมาอย่างมุ่งมั่นของนาง ลี่อินก็ไม่กล้าจะเอ่ยสิ่งใดออกมา“ท่านแม่ ท่านมีอาการป่วยช่วยใดบ้าง” จือหลินถามสิ่งที่นางสงสัยเพราะจากสิ่งที่นางดูภายนอกโดยที่ยังไม่ได้ลงมือตรวจ นางคิดว่าลี่อินต้องป่วยเป็นโรคโลหิตจางอย่างแน่นอนลี่อินจึงบอกอาก
นับจากนั้นมา ป๋อฉิวก็เริ่มฝึกลมหายใจเพื่อเดินลมปราณอย่างหนักทุกวัน ท่านผู้เฒ่าถานกับฮูหยินผู้เฒ่ากลับมานั่งทบทวนว่าตนสมควรจะเป็นผู้ฝึกตนหรือไม่ เพียงแค่บุตรชายยังยากถึงเพียงนี้ตงฟางก็ไม่เคยเกียจคร้านเลยสักวัน ในตอนเช้าเขาจะมาร่วมฝึกวรยุทธ์กับพี่หญิง หลังจากทานมื้อเย็นเขาก็มาฝึกเดินลมปราณและฝึกการหายใจร่วมกับบิดาจือหลินนางก็ให้คำแนะนำกับพวกเขาอย่างไม่หวงแหน พร้อมทั้งช่วยปรุงยาเพื่อให้บิดาของนางผ่านในช่วงแรกเริ่มไปได้เร็วขึ้นแต่ถึงจะใช้ยามากเพียงใด ป๋อฉิวก็ไม่อาจล้ำหน้าไปได้ไวเท่ากับจือหลิน นางจำต้องให้ร่างกายของบิดาปรับตัวไปได้เอง“นี่หยกพกของผู้ใดขอรับ” ตงฟางน้อยที่กำลังนั่งกินของว่างอยู่ในเรือนของจือหลินหยิบขึ้นมาดูอย่างสงสัย“สหายให้ข้ามา” จือหลินเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ นางปล่อยให้ตงฟางหยิบเล่นดูได้อย่างเต็มที่ป๋อฉิวที่เพิ่งมาจากเรือนของตน ก็เดินเข้ามาหาบุตรทั้งสองที่อยู่ในห้องโถง เขามองไปที่หยกพกในมือของตงฟางอย่างสงสัย“เจ้าเอาหยกพกมาจากที่ใด” เขาเอ่ยถามเมื่อเห็นอักษรฉีในหยกพก“ของพี่หญิงขอรับ” ตงฟางส่งหยกพกให้บิดาดู เมื่อบิดายื่นมือมาตรงหน้าของเขาป๋อฉิวตื่นตระหนกเกือบจะทำหยกพกใน
จือหลินนางจึงบอกเรื่องที่จะสอนวิธีฝึกตนให้ทุกคน แต่นางต้องไปปรุงยาเพื่อเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกเสียก่อนนายท่านผู้เฒ่าถานจึงเรียกพ่อบ้านแล้วให้เขาไปจัดการเรื่องสมุนไพรที่จือหลินนางต้องใช้ปรุงยาทุกคนเมื่อพูดคุยกับเรียบร้อยต่างก็แยกย้ายไปพักผ่อน เสื้อผ้าชุดใหม่ของจือหลินก็ถูกมาที่เรือนของนางเรียบร้อยแล้วจือหลินนางจึงนำบางส่วนเข้าไปเก็บไว้ในมิติ แล้วไปหามารดาที่เรือนของนางนางยังนำยาบำรุงเลือดและยาบำรุงร่างกายไปให้มารดากินบุตรชายคนเล็กของตระกูลถาน นามตงหยาง ป๋อฉิวเป็นผู้ตั้งให้เขา ในตอนนี้เนื้อตัวของตงหยางอวบอิ่มน่าฟัดยิ่งนักตงฟางก็เป็นอีกคนที่หลงน้องชาย เมื่อเขากลับมาจากสำนักศึกษาเขาก็จะมาอยู่ที่เรือนของบิดาเพื่อนั่งดูน้องชายนอนจือหลินเมื่อพ่อบ้านนำสมุนไพรมาส่งให้นางแล้ว นางก็กลับเรือนตัวเองเพื่อเข้าไปปรุงยาให้กับทุกคนจือหลินนางคิดจะให้บิดากินยาถ่ายไขกระดูกก่อน ส่วนคนอื่นต้องบำรุงร่างให้ดีเพื่อเตรียมพร้อมในการฝึกตนเพราะนางไม่รู้ว่าพวกเขาจะทนรับความเจ็บปวดจากการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกได้หรือไม่จือหลินนางปรุงยาเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกครั้งนี้ได้เกือบสิบเม็ด เมื่อเก็บที่เหลือเข้าตู้ยาเรียบร้อย น
จือหลินนางยืนนิ่งอย่างตกตะลึง นางเข้าไปนานเพียงใด มารดาถึงกับตั้งครรภ์แล้วกำลังคลอดน้องของนางด้วย“หลินเออร์ เจ้ามาแล้ว” ป๋อฉิวเอ่ยเรียกสติของบุตรสาว“ท่านพ่อ ข้าเก็บตัวนานเพียงใดเจ้าคะ” นางเอ่ยถามบิดา“หลินเออร์ เจ้าเก็บตัวเกือบสองปี” สิ้นคำของป๋อฉิว ลี่อินนางก็กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดอีกครั้งจือหลินนางเลิกสนใจว่าเวลาจะผ่านมานานเพียงใด นางพุ่งเข้าไปในห้องที่มารดานอนรอคลอดอยู่อย่างรวดเร็วเมื่อเห็นมารดาร้องอย่างเจ็บปวด และกำลังจะหมดแรงเบ่งแล้ว จือหลินนางก็เดินไปหยุดอยู่ที่ข้างเตียงมองมารดาอย่างกังวล“ออกไปให้หมด” นางร้องสั่งทุกคนที่อยู่ในห้องให้ออกไปหมอตำแยสองคนกับสาวใช้มองหน้าจือหลินอย่างไม่เข้าใจ“ข้าบอกให้ออกไป” นางหันไปเอ่ยเสียงเย็นเพราะความกังวลเรื่องมารดา ทำให้จือหลินนางเผลอปล่อยลมปราณออกมาจนแจกันลายครามที่อยู่ในห้องตกลงมาแตกกระจายเต็มพื้นป๋อฉิวรีบวิ่งเข้ามาดูว่าภายในห้องเกิดเรื่องใดขึ้น เมื่อเห็นใบหน้าของจือหลินที่มองทุกคนอย่างไม่สบอารมณ์ เขาก็เอ่ยถามทันที“เกิดเรื่องใดขึ้นหลินเออร์”“ให้พวกนางรีบออกไปเจ้าคะ” จือหลินเอ่ยบอกบิดา“พวกเจ้าออกไปเสียก่อน” ป๋อฉิวหันไปบอกสาวใช้กั
อาจารย์ซูเห็นจือหลินนางสามารถปรุงยาตามที่เขาสอนไว้ได้อย่างดี เขาจึงได้มอบตำราปรุงยาไว้ให้นาง ต่อไปให้นางฝึกทำด้วยตนเองเพราะจือหลินนางยังมีสมุนไพรไม่ครบตามที่ตำราระบุไว้จือหลินนางจึงต้องหันมาฝึกวรยุทธ์อย่างหนักหลังจากที่ลมปราณของนางกลับมาเต็มเช่นเดิม อาจารย์ซูเมื่อเห็นกระบวนท่าของจือหลินนางสามารถควบคุมได้ตามใจแล้วเขาก็เริ่มสอนการโจมตีที่ใส่พลังปราณต่างๆ เข้าไปด้วย แต่ละครั้งที่นางออกกระบวนท่า จือหลินนางจึงรู้ว่ามันรุนแรงมากเพียงใด หากยังฝึกในมิติของนาง ห้องต่างๆ คงได้พังลงมาแน่ๆ“อาจารย์ซู ข้าคิดว่าจะออกไปฝึกด้านนอกดีหรือไม่เจ้าคะ” จือหลินเอ่ยขอความเห็นจากอาจารย์“โง่เขลานัก หากเจ้ากังวลว่าพลังปราณของเจ้าจะสร้างความเสียหายให้ห้วงมิติ ข้าย่อมมีวิธี” อาจารย์ซูมองค้อนจือหลินเขาเดินไปที่ลานกว้างก่อนจะสร้างค่ายกลเพื่อให้จือหลินนางฝึกปล่อยพลังได้เต็มที เพื่อไม่ให้ส่วนนอกที่ไม่ได้สร้างค่ายกลได้รับความเสียหาย“ท่านมีวิธีก็ไม่บอกข้า”“แล้วเจ้าเคยถามหรือไม่เล่า” เขาเอ่ยเสียดสีจือหลิน ก่อนที่ทั้งสองจะเข้าไปภายในค่ายกลที่เขาสร้างขึ้นแล้วเริ่มสอนนางอีกครั้งหลังจากที่จือหลินนางรู้ว่าอาจารย์ซูรู
จือหลินนางเสียใจจนพอแล้วก็ออกจากมิติ เพื่อหาหีบใส่ท้องทั้งสิบก้อนที่นางทำขึ้น ก่อนจะขอให้ป๋อฉิวให้คนนำไปแลกเปลี่ยนเป็นทองที่ใช้ในปัจจุบันให้นางป๋อฉิวมิได้ถามว่านางได้มาจากไหนหรือจะเปลี่ยนเป็นทองก้อนเพื่อใช้เรื่องใด เขาเรียกพ่อบ้านให้นำทองของจือหลินไปที่ร้านรับฝากเงินทันทีพ่อบ้านหายไปเพียงหนึ่งชั่วยามก็กลับมาพร้อมทองก้อนที่แลกมาได้ถึงสิบหีบ นางเปิดออกดูอย่างพอใจ ก่อนจะส่งทองให้พ่อบ้านหนึ่งก้อน และคนอื่นที่ช่วยยกมาอีกคนละก้อนอย่างใจกว้างบ่าวคนอื่นที่เห็นเช่นนี้ก็อดจะอิจฉาไม่ได้ หากเปลี่ยนเป็นพวกตนไปยกมาแทนจะคงได้เช่นกันพ่อบ้านกับบ่าวที่ได้ทองก้อนไปไม่อยากจะเชื่อว่าคุณหนูจะใจกว้างกับพวกเขาเช่นนี้ทองคำหนึ่งก้อนที่ให้ไปมีค่าเท่ากับสิบตำลึงทอง เพราะทองแต่ละก้อนหนักหนึ่งจิน (1จิน=500กรัม) เงินมากเช่นนี้ บ่าวบางคนสามารถไถ่ถอนตัวออกไปได้เลยจือหลินนางไม่ได้คิดมากเช่นนั้น เพราะทองทั้งสิบหีบที่ได้มานางล้วนได้มาอย่างง่ายดาย หรือจะเรียกว่าไม่ง่าย เพราะต้องแลกกับลมปราณที่นางฝึกมาทั้งหมดไปก่อนจะถึงวันงานจือหลินนางกลับเข้าไปในมิติ เพื่อนั่งสมาธิรวบรวมลมปราณอีกครั้งสองวันต่อมาเมื่อนางออกมาจากใน
จือหลินหยุดมองใบหน้าของป๋อฉิว นางเลิกคิ้วขึ้นเพื่อขอฟังคำตอบจากปากของเขา“พ่อไม่คิดจะมีผู้ใดอีกแล้ว หากอยากจะรับอนุคงไม่รอมาจนถึงบัดนี้” ป๋อฉิวที่เงียบไปนานไม่ใช่เขาไม่รู้จะตอบคำถามของจือหลินอย่างไรแต่เป็นเพราะตกตะลึงกับคำเรียกของนาง ที่เรียกเขาว่าท่านพ่ออย่างเต็มใจ“หลินเออร์ เจ้ายอมรับพ่อแล้วใช่หรือไม่” จือหลินนางก็เหมือนได้สติว่าเมื่อครู่นางเรียกป๋อฉิวว่าท่านพ่อ“ก็พวกท่านจะแต่งกันอยู่แล้ว หรือจะให้ข้าเรียกท่านว่า นายท่านถานเช่นเดิมเล่าเจ้าคะ” จือหลินเอ่ยตอบอย่างตะกุกตะกัก“ไม่ ไม่ เช่นนี้ดีแล้ว” ป๋อฉิวไม่รู้ว่าเขาดีใจมากเพียงใด เมื่อถูกจือหลินนางยอมรับรู้เพียงว่าภายในอกของเขา ราวกับมีนกกำลังโบยบินอย่างมีความสุข เขายิ้มกว้างออกมาจนสุดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้น ภายในดวงตายังมีน้ำตาที่เออคลออยู่ด้วยฮูหยินผู้เฒ่าถานก็หัวเราะอย่างยินดี การที่ได้เห็นจือหลินนางยอมรับป๋อฉิวเป็นบิดาย่อมดีสำหรับทุกคนเรื่องเมื่อสามเดือนที่แล้วที่จือหลินนางเข้าไปในมิติแล้วไม่ได้รับรู้ก็ถูกทุกคนบอกเล่าอย่างออกรสชาติตงฟางขอเป็นผู้เล่าเอง วันที่ถานเฟิงถูกผู้เฒ่าถานส่งตัวไปอยู่ที่เรือนตระกูลถานที่นอกเมืองกับมารด
จือหลินเมื่อพูดคุยกับอาจารย์ซูเรื่องที่นางต้องอยู่ฝึกวรยุทธ์ในมิติหลายวัน ให้นางไปแจ้งเรื่องนี้ให้มารดารับรู้จะได้ไม่เป็นห่วง จือหลินนางก็ออกจากมิติเพื่อไปหามารดาเมื่อนางออกมาด้านนอกก็ตกตะลึง เพราะทุกคนอยู่ภายในเรือนนางอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา“พวกท่านมีเรื่องอะไรหรือไม่เจ้าคะ” จือหลินเอ่ยถามอย่างแปลกใจ“หลินเออร์ เหตุใดเจ้าถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้” ทุกคนมองนางอย่างตกตะลึงนางบอกเรื่องที่นางเป็นผู้ฝึกตนเช่นเดียวกับอาจารย์ซู และตอนนี้นางก็กำลังอยู่ในช่วงการฝึก อย่างที่ทุกคนได้เห็นความเปลี่ยนแปลง เพราะนางเพิ่งจะเลื่อนระดับมาแต่นางไม่ได้บอกว่าในตอนนี้นางอยู่ในระดับที่เท่าไหร่ ถึงบอกไปพวกเขาก็ไม่รู้เมื่อทุกคนหายสงสัยแล้ว นางจึงบอกเรื่องที่นางจะเก็บตัวอีกหลายวันเพื่อฝึกวรยุทธ์ พวกเขาก็เข้าใจ สายตาของป๋อฉิวกับตงฟางที่มองมาทางนางอย่างเป็นประกาย นางก็รู้แล้วว่าพวกเขาคิดเช่นใด“ให้ข้าฝึกสำเร็จแล้วจะสอนให้ท่านเจ้าค่ะ เจ้าด้วย” จือหลินนางบอกป๋อฉิวและตงฟางทั้งคู่ยิ้มกว้างอย่างยินดี ก่อนที่ทั้งหมดจะแยกย้ายไปจัดการเรื่องของตน คงมีแต่ตงฟางที่ไม่รู้จะทำอันใดก็เดินตามจือหลินทั้งวันจนนางต้องหลบเข้าไปอยู่ใน
เมื่อพูดคุยเรื่องต่างๆ อีกไม่กี่ประโยคทั้งหมดก็กลับเรือนเพื่อไปพักผ่อน ป๋อฉิวก็เดินนำสองแม่ลูกเพื่อพาไปส่งที่เรือน พร้อมทั้งตงฟางที่จับมือของลี่อินไม่ยอมห่างบ่าวไพร่ ลงมือเก็บกวาดได้อย่างเรียบร้อย เรือนของลี่อินกับจือหลินอยู่ติดกับเรือนของป๋อฉิว ตงฟางก็เข้ามาจับจองห้องพักภายในเรือนด้วย โดยเขาสั่งบ่าวของตนให้ไปเก็บของมาไว้ที่เรือนของลี่อินทันทีจือหลินแทบอยากจะบ้า นางสลัดเด็กนี่ไม่หลุดเสียที แล้วยังจะเข้ามานอนในห้องของมารดานางอีก ในเมื่อลี่อินเอ่ยอนุญาตนางจึงเดินเข้าไปดูห้องของตนเองภายในห้องของนางพ่อบ้านถานตกแต่งอย่างงดงาม ราวกับห้องของคุณหนูผู้อ่อนหวาน จือหลินได้แต่ส่ายหัวเมื่อเห็นผ้าม่าน มุ้งเป็นสีชมพูหวานมันขัดกับนางเสียจริงจือหลินนางนำที่นอนเข้ามาเปลี่ยนแทนอันที่จัดเตรียมไว้ให้ หมอน ผ้าห่มล้วนแต่เอาในมิติออกมาทั้งสิ้น ส่วนผ้าม่าน นางคิดว่าเมื่อมีเวลาค่อยไปเดินดูที่ร้านเพื่อซื้อมาเปลี่ยนใหม่ป่อฉิวเมื่อเห็นว่าที่พักของสองแม่ลูกถูกจัดเตรียมอย่างดีแล้ว เขาก็ไปจัดการเรื่องคนร้ายที่วางยาบิดาต่อทันทีโดยไม่หยุดพักจือหลินนางจึงได้เข้าไปในมิติ เพื่อฝึกวิชากับท่านอาจารย์ต่อนางเล่าเรื่อง
จือหลินเมื่อเข้ามาในมิตินางก็เริ่มทดสอบพิษทันที เพราะเรื่องพิษนางทดลองและทำขึ้นมาเพื่อไว้ใช้หลายชนิด นางจึงต้องทำยาถอนพิษที่ครอบจักรวาลไว้ด้วย เผื่อวันใดเกิดนางถูกพิษขนาดทดลองจะได้แก้ไขได้ทันนางสามารถนำยาถอนพิษของนางออกไปรักษาได้เลย แต่นางอยากจะรู้ว่าเป็นพิษชนิดใด เพื่อที่จะได้ตามหาคนร้ายได้ถูกต้องเพียงไม่นานผลทดสอบก็ออกมา ยังดีที่เพียงนำเลือดของผู้ถูกพิษเข้าเครื่องตรวจของนาง ก็สามารถปรากฏผลได้เลยว่าผู้ป่วยเป็นโรคอันใดหรือถูกพิษชนิดใด‘พิษฟู่จื่อ’ โหราเดือยไก่ เป็นสมุนไพรที่ต้องทำลายพิษเสียถึงจะนำมาใช้ได้ และส่วนมากใช้ภายนอก เพื่อไม่ให้ผู้ที่ใช้ยาใช้ไม่ถูกวิธีจนกลายเป็นยาพิษได้อีกชนิดคือ ‘เจี๋ยจู๋เถา’ หรือยี่โถ ชาวบ้านมักนำลำต้นกิ่งก้านมาตากแดดแล้วนำไปวางไว้ตามมุมเรือนเพื่อไล่หนูหรือแมลง แต่คนร้ายคงนำยางสีขาวของมันมาผสมลงในกำยานที่ใช้จุดภายในห้องของผู้เฒ่าถานจึงทำให้เขาหมดสติเช่นนี้จือหลินเมื่อรู้ว่าเป็นพิษชนิดใดแล้วถูกนำเข้าร่างกายของผู้เฒ่าถานเช่นไร นางก็ออกมาด้านนอกทันที ซูเว่ยมองตามหลังนางแล้วส่ายหัว เพราะนางเข้าห้องอย่างเร่งรีบโดยไม่ทักทายอาจารย์สักคำเมื่อจือหลินกลับเข้ามาอย