ชิงชางเดินเข้าไปบอกบิดาด้านในห้องว่าจือหลินนางมาเยี่ยม อี้หนิงก็เดินพาจือหลินเข้าไปด้านในห้องของนางเรือนของทั้งสามมีขนาดใหญ่กว่าเรือนของนางไม่มากนัก รอบเรือนทั้งด้านล้วนเก็บกวาดอย่างสะอาดเรียบร้อย ถึงข้าวของเครื่องเรือนจะมีไม่มากแต่ก็นับว่ามีครบทุกอย่างมากกว่าเรือนของนางเสียอีกจือหลินมองผ้าปักผืนใหญ่ที่อยู่ห้องโถงอย่างหลงใหล ถึงแม้จะยังไม่เสร็จนางก็ดูออกว่าหากหงส์ตัวนั้นถูกปักเสร็จเมื่อใดคงงดงามมากเป็นแน่“หากหลินเออร์ชอบจะมาให้ข้าสอนก็ได้” อี้หนิงเอ่ยขึ้นอย่างใจดี เมื่อเห็นสายตาของจือหลินมองที่ผ้าปักอย่างพอใจ“มิเป็นไรเจ้าค่ะ หากท่านสอนข้าคงเสียเวลาหลายปี”จือหลินนางไม่ถนัดทางนี้ ต่อให้เรื่องเย็บแผลนางจะทำออกมาได้ไร้ที่ติ แต่เรื่องจับเข็มเย็บผ้าหรือให้มานั่งปักผ้านางขอผ่าน นางมีความอดทนกับเรื่องนี้ได้ไม่มากพอจือหลินเดินตามอี้หนิงเข้าไปด้านในของห้อง นางทักทายพรานกงที่พยุงตัวขึ้นพิงหัวเตียง จือหลินนางเดินไปที่ปลายเตียงเพื่อตรวจดูบาดแผลของพรานกง“ข้าขอดูได้หรือไม่เจ้าคะ” นางเห็นการพันแผลของหมอยุคนี้แล้วนางอย่างจะกุมขมับ“มันใช่เรื่องที่เจ้าจะมาเล่นหรือเจ้าเด็กน้อย” ชิงชางเพิ่งจะยอมเอ
นางนั่งพักเพื่อรอให้พรานกงฟื้นขึ้นมาก่อนที่นางจะเดินออกไปเรียกอี้หนิงและชิงชางที่นั่งรออยู่ด้านนอกอย่างร้อนใจให้เข้ามาด้านในห้อง“ต่อไปท่านก็เพียงทำความสะอาดบาดแผลทุกวันก็พอเจ้าค่ะ” จือหลินไม่สนใจสายตาที่มองมาที่นางอย่างตกตะลึงของชิงชางนางหันไปพูดกับอี้หนิงเรื่องทำความสะอาดบาดแผลแทน นางให้ใช้น้ำต้มสุกล้างในรอบแรก น้ำที่สองนางให้ใช้น้ำต้มสุกผสมเกลือเล็กน้อยล้างอีกครั้ง อี้หนิงก็ตั้งใจฟังอย่างดี“ยานี่ให้ท่านลุงกินหลังมื้ออาหาร หากมีอาการปวดให้ทานเม็ดนี้ทุกสองชั่วยาม หากท่านทนได้ก็ไม่ต้องทานเจ้าค่ะ” จือหลินส่งยาหน้าตาประหลาดที่พวกเขาไม่เคยพบเห็นให้กับอี้หนิงเพราะนางเอ่ยเตือนไว้ว่าไม่ให้ถามสิ่งใดจากนาง พวกเขาจึงไม่กล้าเอ่ยถาม มีเพียงชิงชางที่อ้าปากจะเอ่ยถามหลายครั้งแต่ก็ถูกบิดามารดาถลึงตาห้ามไว้เสียก่อนชิงชางแทบไม่อยากจะเชื่อว่าจือหลินเด็กสาวที่ชอบแอบมองเด็กในหมู่บ้านเล่นกันอยู่หลังต้นไม้เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่นางเดินเข้ามาขอเล่นด้วยยังถูกเด็กคนอื่นรังแกจนร้องไห้วิ่งกลับเรือน เขาที่ช่วยต่อว่าเด็กพวกนั้นในครั้งนั้นนางกลับจำไม่ได้เสียแล้วเขาไม่รู้ว่านางพบเจอเรื่องอันใดถึงเปลี่ยนไปได้มาก
จือหลินนางเดินทางเข้าเมืองกว่างซีในวันต่อมาเพื่อหาซื้อของใช้ เสื้อผ้า และรถม้าเพื่อใช้เดินทางเข้าเมืองหลวงแต่ก่อนที่นางจะไปซื้อของ จือหลินนางไปที่ร้านขายยาเพื่อต้องการนำโสมพันปี ออกมาขายหนึ่งหัว“มาแล้วหรือแม่หนู ข้ารอเจ้าอยู่หลายวัน” เสี่ยวเอ้อต้อนรับลูกค้า เห็นจือหลินแล้วรีบเดินเข้ามาหานางทันที“มีอันใดหรือเจ้าคะ” จือหลินเอ่ยถามอย่างไม่เข้า“ท่านหมอหวงอยากพบเจ้า แต่ไม่รู้ว่าจะตามหาเจ้าจากที่ใด” ครั้งที่แล้วจือหลินนางมาขายเห็ดหลินจือ หมอหวงก็มัวแต่สนใจเพียงเห็ดจนไม่ได้ถามที่อยู่ของนางไว้จือหลินขมวดคิ้วอย่างไม่เข้า นางคิดว่าหรือท่านหมอรับซื้อเห็ดในราคาที่สูงเกินไปถึงอยากจะได้เงินจากนางคืน“หากท่านจะขอเงินคืน ข้าไม่ให้นะเจ้าคะ” จือหลินเปลี่ยนสีหน้าทันที“มิใช่ มิใช่ เจ้าตามข้ามาด้านในเสียก่อน” เสี่ยวเอ้อที่เห็นจือหลินกำลังจะเดินออกไปก็ร้องเรียกนางไว้ก่อน“ไม่เอาเงินคืนแน่นะเจ้าคะ” จือหลินเอ่ยถามย้ำ“ไม่เอาคืน ไม่เอาคืน” เสี่ยวเอ้อกวักมือเรียกให้นางเดินตามเข้าไปจือหลินเดินเข้ามาในห้องรับรองห้องเดียวกับที่นางเข้ามาในครั้งที่แล้ว เสี่ยวเอ้อออกไปตามท่านหมอหวง และหาของว่างกับน้ำชามาให้นา
ก่อนออกจากโรงหมอ จือหลินนางยังได้ที่ตั้งเรือนในเมืองหลวงของหมอหวงมาด้วย และมีจดหมายมาให้นางหนึ่งฉบับ เมื่อไปถึงเมืองหลวงให้นางไปที่ร้านยาฟาไฉ เพื่อแจ้งเรื่องที่มาดูเรือน ทางหมอหวงก็จะส่งจดหมายไปแจ้งคนของเขาไว้ด้วยเช่นกันจือหลินเมื่อเดินห่างจากสายตาของชาวบ้านแล้วนางก็เก็บตั๋วเงินสองหมื่นเจ็ดพันตำลึงทองเข้าไปไว้ในมิติ ก่อนที่จะเดินไปโรงค้าสัตว์เพื่อซื้อรถม้าภายในโรงค้าสัตว์นางเลือกม้าหนุ่มสีดำสนิทสองตัวพร้อมเทียมรถม้าคันใหญ่ ในตอนแรกนายหน้าค้าสัตว์ก็ไม่สนใจเด็กน้อยเช่นนางมากนักเพราะผู้ใดจะคิดว่าเด็กอย่างนางจะมาซื้อม้าที่มีราคาแพงเช่นนี้ถึงสองตัว พวกเขาต่างคิดว่านางมาเดินเที่ยวเล่นเสียมากกว่า“แม่หนู แล้วผู้ใดบังคับรถม้าเล่า” นายหน้าค้าสัตว์เอ่ยถามอย่างใจดี“ข้าบังคับเองเจ้าค่ะ” จือหลินเอ่ยด้วยในหน้าเรียบเฉย นายหน้าเห็นว่านางไม่ได้ล้อเล่นจึงได้ให้ลูกจ้างในร้านพานางไปเรียนรู้การบังคับรถม้าความหัวไวของจือหลินทำให้ลูกจ้างโรงค้าสัตว์ถึงกับตกตะลึง เพียงไม่นานนางก็สามารถควบคุมรถม้าได้อย่างที่ใจนางคิดนายหน้าค้าสัตว์คิดเพียงค้าม้าสองตัว หกสิบตำลึงทอง ส่วนรถม้าคันใหญ่เขายกให้นางโดยไม่คิดเงิน
“เจ้าไปที่ใดมาหรือชางเออร์” อี้หนิงเอ่ยถามบุตรชาย เมื่อเขาเดินเข้ามาในเรือน“ข้าไปที่เรือนของหลินเออร์มาขอรับ” ชิงชางเล่าเรื่องที่จือหลินนางซื้อรถม้าเพื่อจะเดินทางเข้าเมืองหลวงในอีกไม่กี่วันข้างหน้าให้มารดาฟัง“เจ้าพึงใจในตัวนางใช่หรือไม่” กงหลีจิ้งเดินออกมาจากในห้องแล้วเอ่ยถามบุตรชายเขาได้ยินทุกสิ่งที่บุตรชายพูด เรื่องที่เอ่ยเตือนจือหลินไม่ให้ออกเดินทางในช่วงนี้ เพราะกำลังจะเข้าหน้าฝนแล้ว“ท่านพ่อ ท่านพูดอันใดขอรับ” ชิงชางเอ่ยแย้ง“ชางเออร์ สิ่งที่พวกเราต้องทำหลังจากนี้ นับว่าเสี่ยงชีวิตนัก หลินเออร์มีบุญคุณกับครอบครัวของเรา พ่อไม่อยากดึงนางเข้ามาเกี่ยวข้อง เจ้าเข้าใจหรือไม่” กงหลีจิ้งพูดด้วยใบหน้าเคร่งเครียด“ท่านพี่” อี้หนิงเอ่ยเรียกสามีเสียงเบา“ข้าเข้าใจแล้วขอรับท่านพ่อ” ชิงชางมีสีหน้าที่หมองคล้ำเหตุใดเขาจะไม่เข้าใจเล่าว่าเรื่องนับจากนี้ต่อไปเส้นทางที่พวกเขาจะต้องเดินล้วนมีแต่อันตรายบิดาของเขาเพียงรอโอกาสที่ใกล้จะมาถึงอีกครั้งอยู่เท่านั้น ต่อให้เขาพึงใจในตัวนางมากเพียงใดก็ไม่อาจดึงให้นางมาร่วมเผชิญหน้ากับเรื่องเลวร้ายที่จะเกิดขึ้น โดยที่ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าฝ่ายเขาจะแพ้หรือชนะ“
“หลินเออร์ หลินเออร์” จือหลินหยุดฝีเท้าลงเมื่อนางได้ยินเสียงเรียกของนาง“มีอันใด หรือข้าลืมอันใดไว้” นางเอ่ยถามอย่างแปลกใจ“ข้าจะไปส่งเจ้าที่เรือน” ชิงชางเอ่ยขึ้น“เจ้าเป็นไข้หรือ” จือหลินเดินไปหยุดที่ตรงหน้าของชิงชาง นางเขย่งปลายเท้าขึ้นเพื่อเอามือไปคลำที่หน้าผากของเขา“หึ ข้า ข้า ไม่ได้เป็นอันใด” ชิงชางปัดมือของจือหลินออกอย่างตกใจเมื่อนางเข้ามาจับหน้าผากของเขาไว้ความใกล้ชิดของทั้งสอง ทำให้ได้กลิ่นหอมของดอกกุ้ยเหมย (กุหลาบ) ออกมาจากตัวของนาง“เหตุใดเจ้าหน้าแดงเช่นนี้” จือหลินขมวดคิ้วถามอย่างสงสัยจือหลินนางสกัดน้ำหอมเอาไว้หลายขวด ทั้งยังแบ่งให้มารดาได้ลองใช้ด้วย กลิ่นกายของนางจึงมีกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ชัดเจนกว่าแป้งน้ำในร้านเครื่องประทินโฉมทั่วไป“เดินไปได้แล้ว” ชิงชางผลักนางให้ออกเดินต่อ“แล้วนี่ พูดกับข้าได้แล้วหรือ” จือหลินเอียงคอมองชิงชางอย่างหยอกล้อ“ใครอยากจะพูดกับเจ้ากันเล่า” ชิงชางเอ่ยแย้งอย่างไม่ยินยอม“ก็เจ้าอย่างไรเล่า ที่กำลังพูดกับข้าอยู่” จือหลินเกาหัวอย่างไม่เข้าใจ ประเดี๋ยวผีเข้าผีออก เด็กน้อยช่างเอาใจยากเสียจริง“เจ้ายังไม่บอกข้าเลย ว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมพบหน้าข้า” น
ตลอดนับเดือนที่จือหลินนางยังไม่ได้ออกเดินทาง นางช่วนสอนทักษะการต่อสู้ให้ชิงชางเท่าที่นางจะสอนได้กงหลีจิ้งกับอี้หนิงยังแทบไม่อยากเชื่อว่าจือหลินนางจะมีความสามารถมากเพียงนี้ เพราะเวลาเพียงหนึ่งเดือนบุตรชายของพวกตนก็สามารถรับมือกับกงหลีจิ้ง เมื่อเขาทดสอบความสามารถหลังจากที่ฝึกกับจือหลินจือหลินกับลี่อินนางก็เก็บของเตรียมพร้อมที่จะเดินทาง ทั้งคู่ออกไปลาชาวบ้านที่มีสัมพันธ์อันดีต่อกัน ทั้งยังไปขอบคุณหัวหน้าหมู่บ้านอีกด้วยจางอู๋บอกลี่อินอย่างอาลัยอาวรณ์ เขาได้ยินเรื่องที่นางจะย้ายไปอยู่ในเมืองหลวงมาหลายเดือนแล้วก่อนหน้านี้เขาไปพบนางเพื่อขอดูแลนาง เพราะตัวเขาได้หย่าขาดกับจินฮวาแล้ว แต่ลี่อินนางไม่รับน้ำใจของเขาในครั้งนี้อี้เฉินนางได้ยินสิ่งที่บิดาพูดกับลี่อิน จึงได้แอบหนีออกจากเรือนไปที่บ้านของจินฮวาเพื่อบอกสิ่งที่นางได้ยินให้มารดาฟัง“หึ คิดหรือว่าพวกเจ้าจะสมหวัง” จินฮวาเอ่ยพูดด้วยเสียงเหยียบเย็น ทั้งแววตาท่าทางของนาง ทำให้อี้เฉินอดที่จะหวาดกลัวมารดาในยามนี้ไม่ได้วันที่สองแม่ลูกออกเดินทาง ลุงจงและป้าจงที่มาส่งทั้งคู่ยังรับปากจะช่วยดูแลเรือนให้ทั้งสองคนด้วย เผื่อวันใดที่สองกลับมาจะได้มี
จือหลินเมื่อได้ฟังคำสารภาพแล้ว ความโกรธแค้นของนางก็ปะทุขึ้นเกินจะควบคุมได้อีก นางฆ่าทั้งสามทิ้งอย่างไร้ความรู้สึก เสียงร้องขอชีวิตของทั้งสามดังจนลี่อินที่อยู่ในรถม้าต้องยกมือขึ้นปิดหูจือหลินตัดศีรษะของทั้งสามโยนเข้าไปในมิติของนาง ก่อนที่จะนำยาสลายเนื้อออกจากจากในมิติเพื่อทำลายร่างกายของทั้งสามที่เหลืออยู่จือหลินยืนมองร่างที่ไร้ศีรษะทั้งสามค่อยๆ ย่อยสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย คงเหลือไว้เพียงกองเลือดกองโตที่บอกว่าทั้งสามเคยมีชีวิตอยู่นางขึ้นบังคับรถม้าเพื่อเข้าเมืองอีกครั้งอย่างไร้ความรู้สึก ในเมื่อกล้ามาหาเรื่องนางเช่นนี้ จินฮวานางก็มีของขวัญจะมอบให้นางก่อนจะจากกันเมื่อรถม้าของจือหลินเข้ามาในเมืองกว่างซีแล้ว นางก็แวะพักที่โรงเตี๊ยมก่อนหนึ่งคืน พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางใหม่ เพราะคืนนี้นางมีเรื่องให้ไปจัดการ“เหตุใดถึงแวะพักเสียแล้วเล่า” ลี่อินที่ถูกจือหลินพาเข้ามาในโรงเตี๊ยมเอ่ยถามอย่างแปลกใจ“ข้าจะนำของขวัญไปให้จินฮวาเจ้าค่ะ” นางเอ่ยบอกมารดาตามความจริง แต่ไม่ได้บอกว่าของขวัญที่นางจะให้คือสิ่งใดเมื่อฟ้ามืดลง จือหลินนางก็เปลี่ยนเป็นชุดสีดำสนิทที่นางเพิ่งไปซื้อมาออกจากโรงเตี๊ยมไป นางควบม้
จือหลินนางพาชิงชางเข้าไปภายในมิติ ชิงชางเมื่อรู้ตอนนี้ตนอยู่ที่ใดเขาก็อุ้มจือหลินเข้าไปในห้องของนางนางรู้ว่าเขาต้องการทำสิ่งใดกับนางก็อดที่จะเอ่ยถามอย่างสงสัยไม่ได้“ท่านอยู่ในขั้นใด”“ข้าเร่งเดินลมปราณ เพื่อวันนี้หลินหลิน”ชิงชางไม่ยอมบอกนางแต่เขากับจุมพิตนางอย่างดูดดื่มแทน จือหลินราวกับต้องมนต์เมื่อได้รับสัมผัสที่อ่อนโยนของเขาชิงชางไล้นิ้วไปตามเรือนร่างของนาง พร้อมทั้งปลดชุดของนางอย่างรวดเร็ว“เจ้างามยิ่งนักหลินหลิน” เมื่อได้เห็นเรือนร่างที่เปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าของนาง เขาก็อดที่จะจ้องมองอย่างตกตะลึงมิได้จือหลินนางก็ไม่ได้มีท่าทีที่เขินอายเช่นหญิงสาวทั่วไป กลับใจกล้ากว่าที่เขาคิด เพียงนางช้อนสายตายั่วยวนเขา ชิงชางก็รีบปลดชุดออกด้วยมือที่สั่นเทาก่อนจะขึ้นคร่อมตัวนางพร้อมกับมอบจุมพิตที่ร้อนแรงเต็มไปด้วยไฟปรารถนา จือหลินโอบรอบคอของเขาไว้ พร้อมทั้งใช้มือที่ซุกซนของนางสัมผัสไปที่เครื่องเพศของเขาโดยตรง“หลินหลิน เจ้าช่าง ซุก ซนนัก” ชิงชางเอ่ยแสงสั่นเทาออกมาอย่างไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้จือหลินนางเงยหน้าขึ้นหัวเราะอย่างชอบใจเมื่อเห็นสีหน้าที่อดกลั้นของเขา แต่ต่อมานางก็รู้ตัวว่านางนั้นคิดผ
ภายในมิติผ่านมาได้สองปี แต่ด้านนอกเพียงผ่านไปแล้วสี่เดือนเท่านั้น ชิงชางก็คิดจะออกไปจัดการเรื่องของตนในวังหลวง แม้แต่ขั้นระดับเขาก็ไม่ให้จือหลินตรวจสอบนางก็ไม่ว่าอันใด พาเขาออกไปส่งด้านนอกอย่างที่เขาต้องการ ชิงชางมองจือหลินอย่างลึกซึ้งก่อนจะเดินจากไปโดยที่เขาไม่เอ่ยอันใดสักคำจือหลินยืนมองแผ่นหลังของเขาอย่างสะท้านในอก นางคิดว่าตัวนางไม่อยากยึดติดหรือหวังในตัวของชิงชางแล้วแต่ก็ยังอดเศร้าใจไม่ได้“ชางเออร์เจ้ากลับมาเสียที” หลีจิ้งมองบุตรชายที่รูปร่างและกลิ่นอายที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างแปลกใจ“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ลูกมีเรื่องจะพูดกับพวกท่าน”“หากเป็นเรื่องของหลินเออร์ พ่อเข้าใจ แต่เจ้าก็ต้องรู้ว่าต่อไปเจ้ามิอาจมีนางเพียงผู้เดียวได้”หลีจิ้งมองบุตรชายอย่างจริงจัง เพราะตัวเขาที่คิดจะมีเพียงอี้หนิงในวังหลังเพียงหนึ่งเดียวยังไม่อาจทำได้เขาจำต้องรับบุตรสาวของตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ทั้งผู้ที่เคยช่วยเหลือจนเขาได้นั่งในบัลลังก์ครั้งนี้ไว้อย่างเสียไม่ได้เพียงปีเดียวก็มีพระสนมมากถึงนับสิบคนแล้วชิงชางฟังคำพูดของบิดาหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด“ลูกไม่คิดจะเป็นฮ่องเต้เช่นเสด็จพ่อ ลูกต้องการออกเดิ
ชิงชางอับอายจนใบหูของเขาแดงก่ำ ตัวเขาจะเคยทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ที่ทำกับนางก็เป็นครั้งแรกของเขาเช่นกันแล้วสตรีเช่นนางกับพูดเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อย่างไม่อายบอก หรือว่านางเคยถูกผู้ใดจุมพิตมาแล้วชิงชางยิ่งคิดก็ยิ่งเกิดอาการหึงหวง เขาเดินเข้าไปจับใบหน้าของนางไว้แล้วจุมพิตนางอีกครั้งอย่างรุนแรงแต่ครั้งนี้จือหลินนางตกตะลึงอย่างแท้จริง เพราะไม่คิดว่าชิงชางจะจุมพิตนางอีกครั้ง นางคิดว่าคำพูดของนางจะทำให้เขาเกิดอยากเปลี่ยนใจจือหลินกลับเป็นฝ่ายดึงรั้งคอของชิงชางไว้ แล้วเริ่มใช้เรียวลิ้นของนางหยอกล้อกับเรียวลิ้นของชิงชางแทนในตอนแรกชิงชางก็นิ่งชะงักอย่างตกตะลึง เขาไม่คิดว่านางจะจุมพิตได้ช่ำชองเช่นนี้ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นความรัญจวนที่นางมอบให้ทั้งสองไม่รู้ว่าตนจุมพิตกันนานเพียงใด แต่เมื่อจือหลินนางถอนริมฝีปากออก ชิงชางกลับอาลัยอาวรณ์อย่างไม่สิ้นสุด“หลินเออร์ เหตุใดเจ้า”“ท่านอยากจะรู้ว่าเหตุใดข้าถึงจุมพิตเป็นใช่หรือไม่”จือหลินนางจ้องมองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างหยอกล้อ ก่อนจะเล่าเรื่องที่นางไม่ใช่คนในภพนี้ให้ชิงชางได้ฟังทั้งคู่เข้ามานั่งในห้องนั่งเล่นที่โซฟาแทนห้องทดลองของจือหลินนางบอกเล่า
บ่าวไพร่ในจวนตระกูลถานรวมทั้งองครักษ์ของชิงชางต่างแตกตื่นกันให้วุ่น เพราะเรื่องที่จือหลินและชิงชางหายตัวไปจากห้องนอนในเรือนของป๋อฉิวอย่างไร้ร่องรอยลี่อินที่ยังไม่หายดีก็ให้ตงฟางประคองตนมาที่ห้องของจือหลินอย่างร้อนใจจือหลินนางออกทันเห็นคนกำลังเข้าช่วยมารดาที่หมดสติอยู่ในห้องของนางพอดี“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเจ้าคะ” เสียงของนางทำให้ทุกคนหยุดนิ่งอยู่กับที่ คนที่มีสติที่สุดเห็นจะเป็นตงฟางที่วิ่งเข้ามากอดเอวพี่สาวไว้แน่น แล้วปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใครจือหลินต้องลูบหลังปลอบประโลมเขาอยู่พักใหญ่กว่าจะเงียบเสียงลง คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตงฟางต้องแสร้งเข้มแข็งมากเพียงใด เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับพี่สาวของตน เพราะเขาต้องดูแลมารดาที่ล้มป่วยทั้งยังน้องชายคนเล็กที่เสียขวัญอีกด้วย“หลินเออร์ เจ้ากลับมาหาแม่แล้ว” ลี่อินเมื่อได้สติก็ลุกขึ้นดึงตัวบุตรสาวเข้ามาสวมกอดอย่างหวงแหนท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อบ่าวไปแจ้งว่าพบตัวจือหลินแล้วก็รีบร้อนเดินมาทันที“หลินเออร์” ผู้เฒ่าถานมองหลานสาวด้วยดวงตาที่เออคลอไปด้วยน้ำตาส่วนฮูหยินผู้เฒ่าถานเดินเข้ามาสวมดอกนางไม่ต่างจากที่ลี่อินทำเลย“พวกท่านใจเย็นก่
ภายนอกมิติต่างวิ่งวุ่นตามหมอกันไปทั่ว เพราะหลายวันแล้วที่จือหลินนางนอนอย่างไม่ได้สติ พวกเขาที่รอเวลาให้นางตื่นก็ไม่อาจทนรอได้อีกหมอที่มาตรวจก็ไม่อาจหาสาเหตุที่ทำให้จือหลินนางหมดสติเช่นนี้ได้ เพราะร่างกายของนางเหมือนกับคนที่หลับสนิทเท่านั้นหลีจิ้งเมื่อจัดการเรื่องภายในวังหลวงเสร็จสิ้นก็มารับอี้หนิงกับอวี่ซีกลับเข้าวังหลวง เพื่อสถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้และฮองเฮาพระองค์ใหม่ป๋อฉิวถูกราชโองการแต่งตั้งเป็นเสนาบดีกรมกลาโหมทันทีที่หลีจิ้งขึ้นนั่งบัลลังก์ เขาไม่ได้รู้สึกยินดีกับตำแหน่งที่ได้จวนตระกูลถานยังไม่เปิดรับผู้คนที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดี เพราะบุตรสาวที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่ในเรือนของเขาชิงชางเมื่อช่วยบิดาจัดการเรื่องในวังหลวงเสร็จสิ้น ตัวเขาก็แทบจะอยู่ที่จวนตระกูลถานไม่ยอมขยับไปที่ใด ได้แต่นั่งเฝ้าจือหลินที่นอนหลับอยู่บนเตียงเขามักจะนำตำรา หรือเรื่องที่พบเจอมาตลอดที่ไม่ได้อยู่กับนางมาเล่าให้นางฟัง จนคนที่เข้ามาพบเห็นอกเห็นใจเขาไม่ได้ป๋อฉิวก็ไม่ทำใจไล่เข้ากลับวังไม่ลง จึงปล่อยให้เขานั่งพูดอยู่เช่นนั้น เรื่องร้านค้าของจือหลินก็ไม่มีปัญหา เพราะของที่นางทำไว้ยังมีอีกมาก ลี่อินที่
ป๋อฉิวไม่เคยเห็นด้านที่อ่อนแอเช่นนี้ของนาง เขาอดที่จะจุกในอกไม่ได้ สุดท้ายแล้วอย่างไรนางก็เป็นเด็กสาวที่ต้องการคนปลอบประโลมชิงชางกับหลีจิ้งทรุดตัวลงอย่างสิ้นแรง ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบจากการระเบิดพลังครั้งนี้ของจือหลินแต่เพียงไม่นาน ร่างกายที่ทุกคนได้รับบาดเจ็บ แม้แต่โรคที่รักษาไม่หายเมื่อถูกแสงสีขาวของจือหลินต่างก็หายราวปาฏิหาริย์ เรื่องนี้ชาวเมืองที่หนีไม่ทันจากแสงก็รับรู้ได้เช่นกันชาวชราที่เดินกลับเรือนเขาไม่อาจวิ่งหนีได้เช่นคนหนุ่มสาว เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งร่างกายที่ทรุดโทรมก็กลับแข็งแรงขึ้นอย่างน่าประหลาดใจคนขอทานที่ขาหัก ล้มอยู่ที่พื้น เพราะโดนชนจนหนีไม่ทันก็กลับมาลุกขึ้นเดินได้เมื่อแสงสีขาวหายไปกลายเป็นที่ร่ำลือไปทั่ว ชาวเมืองทั้งหมดต่างออกจากเรือนเพื่อมารอแสงสีขาวอีกครั้ง แต่ก็ไม่เคยปรากฏขึ้นอีกเลยป๋อฉิวประคองบุตรสาวขึ้น ก่อนที่ทั้งคู่จะร่ำลาสองพ่อลูกกับจวนของตนไป“หลินเออร์” ชิงชางร้องเรียกนาง“ท่านจัดการเรื่องของท่านเถิด ข้าจะกลับจวนเพื่อไปดูมารดาและน้องชาย” จือหลินนางไม่ได้หันไปมองชิงชางเลยสักนิดจือหลินพูดจบนางก็หมดสติไปทันที เพราะการระเบิดพลังและการเลื่อนขั้นที่เกิดข
ป๋อฉิวจ้องมองฉีหลีเจียวอย่างโกรธแค้น ไม่รู้ว่าเมื่อคนของเขาไปถึงจวนตระกูลถานบุตรสาวจะออกจากการกักตัวแล้วหรือยังต่อให้ใบหน้าของเขาเรียบเฉยมากเพียงใด แต่ในอกของเขากับสะท้านอย่างหวาดกลัว กลัวว่าคนในตระกูลจะเคราะห์ร้ายไปกับเขาด้วยจือหลินนางมาถึงประตูวังหลวงเพียงลำพังหลังจากที่นางใช้ปราณรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดแล้วก็ออกเดินทางมาทันที“มีป้ายคำสั่งเข้าวังหรือไม่” ทหารหน้าประตูวังเอ่ยถามจือหลินเขามองนางอย่างแปลกใจ นางไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวงหรือ จึงได้อาจหาญเข้ามาวังหลวงเช่นนี้“ไม่มี” นางเอ่ยเสียงเหยียบเย็น“กลับไปเสีย ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน” ทหารดึงกระบี่ออกมาข่มขู่จือหลินเพียงแค่นางปรายตาไปมอง ลมปราณในร่างของนางก็ทำให้ทหารที่กำลังถือกระบี่ข่มขู่นางกระเด็นถอยหลังไปกระแทกกับประตูวังจนหมดสติเสียงร้องตกใจของทหารที่อยู่รอบบริเวณนั้น วิ่งมาทางนาง เพื่อจัดการกับนางทันทีจือหลินโบกมืออย่างนึกรำคาญ นางไม่มีเวลามากพอที่จะเล่นสนุกกับพวกเขาฉีหลีเจียวดึงกระบี่ขององครักษ์ออกมาหวังจะบั่นคอป๋อฉิวอย่างมีโทสะ ก็ถูกองครักษ์ที่อยู่หน้าประตูคุกใต้ดินวิ่งเข้ามาแจ้งเรื่องผู้บุกรุก
จือหลินเดินลมปราณโดยไร้สิ่งรบกวน นางนั่งจนลืมวันลืมคืนเช่นเดิม ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด สิ่งที่จือหลินรับรู้ได้ครั้งนี้ ร่างกายของนางเลื่อนระดับได้เร็วขึ้นเพราะทนความเจ็บปวดจากลมปราณทั้งห้าที่ขยายใหญ่ขึ้นได้ ตัวนางจึงนั่งต่อไปเรื่อยๆ“หลินเออร์ บิดาเจ้าตกอยู่ในอันตราย” เสียงของชิงชางที่ออกมาจากหยกสื่อสารทำให้จือหลินนางหลุดออกจากการเลื่อนระดับดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวกับสัตว์ร้าย“บิดาข้าอยู่ที่ใด” น้ำเสียงของจือหลินที่สื่อสารกลับไปเต็มไปด้วยไอสังหาร จนชิงชางที่ถือหยกสื่อสารในมืออดสั่นสะท้านไม่ได้แรงโทสะของจือหลินเมื่อรู้ว่าบิดาของนางกำลังได้รับอันตราย ทำให้ค่ายกลที่ววางไว้ระเบิดออก เรือนของนางเสียหายไปกว่าครึ่ง ค่ายกลทั้งหมดถูกทำลายลงคนภายในจวนตระกูลถานรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือน ต่างพากันวิ่งมาที่เรือนของจือหลิน“คะ คุณหนู ท่านได้รับบาดเจ็บหรือไม่ขอรับ” พ่อบ้านถานคือคนแรกที่เขามาถามนางอย่างใจกล้า เพราะไม่มีบ่าวคนใดกล้าเดินเข้ามาใกล้นางในยามนี้นอกจากแววตาที่ลุกโชนไปด้วยโทสะของนางแล้ว ร่างกายของนางยังมีเปลวไฟแผดเผาไปทุกย่างก้าวที่นางเดิน“หลินเออร์/พี่หญิง” ลี่อินกับตงฟางเ
แต่ผู้ใดในจวนตระกูลถานจะคิด ว่าวันต่อมาดอกไม้มากมายก็ถูกส่งมาที่จวนตระกูลถาน พร้อมทั้งผู้ส่งขอไม่รับเป็นเงิน ขอแลกกับน้ำหอมเพียงหนึ่งขวดเท่านั้นผู้อาวุโสต่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมาเพียงจือหลินที่หัวเราะร่วนอย่างชอบใจ มีคนนำของมาให้เช่นนี้นางจะไม่รับไว้ได้อย่างไร แล้วก็แรกกับน้ำหอมเพียงขวดเดียวเท่านั้นจือหลินนางก็แสนจะฉลาด นำน้ำหอมจากภพของนางบรรจุลงในขวดกระเบื้องธรรมดาที่นางนำไปวางขาย มอบให้ผู้ที่ส่งดอกไม้มาให้ที่จวนกลายเป็นที่เลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง เพราะน้ำหอมที่เขาได้ ไม่มีวางขายในเมืองหลวงตอนนี้วันต่อๆ มา ดอกไม้หาอยากที่มีกลิ่นหอมก็ถูกส่งมาที่จวนตระกูลถานมากมาย จนบ่าวในจวนไม่มีเวลาได้พักหายใจ เพราะถูกคุณหนูใช้ให้ทั้งเด็ด ล้าง ตาก ดอกไม้ทั้งหมดที่ได้มาจือหลินนางก็ไม่ได้ใช้เปล่าๆ นางมอบสินน้ำใจให้อย่างเต็มที่ บ่าวในเรือนแม้จะเหนื่อยเพิ่มแต่ก็ยินยอมทำอย่างไม่ปริปากบ่นถึงแม้นางจะมีดอกไม้ไว้ทำน้ำหอมจำนวนมากแล้ว แต่น้ำหอมที่นำออกวางขายก็ยังมีเท่าเดิม ยิ่งทำให้สินค้าของนางกลายเป็นที่พูดถึง จนพ่อค้าจากต่างแคว้นและหัวเมืองอื่นๆ เดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อมาทำการค้ากับนางแต่ราคาที่จือหล