ก่อนที่เฉินเฟิ่นอี้จะล้มป่วยหล่อนมีร่างกายที่แข็งแรงมาก ถึงขนาดที่ว่าทำงานเก็บแต้มที่หนัก ตื่นเช้ามาหล่อนก็ยังไปเรียนได้อย่างปกติ พอเลิกเรียนก็ทำแบบเดิมซ้ำๆ มีเพียงช่วงเวลาก่อนเรียนจบมัธยมศึกษาตอนต้นที่ร่างกายของหล่อนเปลี่ยนไป
ช่วงแรกเป็นการเวียนหัวแต่หล่อนคิดว่าเป็นเพราะทำงานหนักและไม่ได้บอกใคร เคยเป็นลมหมดสติตอนทำงานเก็บแต้มก็ยังคิดว่าแค่ป่วย แต่หลังจากนั้นหล่อนก็อาเจียน เวลาไปโรงเรียนหล่อนก็เป็นแบบนี้ประจำจนขาดเรียนบ่อยครั้ง แต่พอขาดเรียนอาการกลับดีขึ้นมาก เฉินเฟิ่นอี้จึงไม่ยอมลาออกจากโรงเรียน จนลุงสามของหล่อนกลับมาและได้ยื่นคำขาด
เฉินเฟิ่นอี้ชะงักเมื่อมองย้อนกลับไปช่วงเวลานั้นว่าเกิดอะไรขึ้น อี้เหม่ยเฟิ่งทำการบ้านที่ครูสั่งไม่ได้จึงให้เฉินเฟิ่นอี้ช่วยสอน แต่สอนไปสอนมา กลับเป็นหล่อนที่ต้องทำการบ้านให้อี้เหม่ยเฟิ่ง และเป็นช่วงเดียวกันที่อี้เหม่ยเฟิ่งกับหมิงหลานฮุ่ยชอบออกไปซื้อของกินนอกโรงเรียน
เฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะเห็นว่าอี้เหม่ยเฟิ่งเป็นญาติผู้พี่ที่ไม่มีเพื่อน เพราะเพื่อนสนิทคนอื่นไม่ได้เรียนต่อในระดับมัธยม แม่ของหล่อนจึงให้หล่อนดูแลญาติผู้พี่ เฉิ
สมาชิกบ้านเฉินหลังจากพักหายเหนื่อยก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำ เฉินไห่หลิว เฉินตง เฉินจาง และรวมถึงผู้ชายบ้านเฉินพากันไปยกตะกร้าผ้ากลับมา เหล่าสะใภ้ต่างช่วยกันตากผ้า ส่วนเฉินเฟิ่นอี้ เฉินเหม่ยเย่กลับไปทำอาหารมื้อเย็นเฉินเฟิ่นอี้จัดการอาหารเสร็จก็ตักใส่ชาม รอให้คนมายกออกไปก็ได้เวลารับประทานอาหาร ข้าวก็สุกพร้อมรับประทาน เฉินเหม่ยเย่จึงอาสาออกไปเรียกคนมาช่วยยกถ้วย จาน และช้อนถูกเฉินเฟิ่นอี้ยกออกไปก่อน ส่วนข้าวและกับข้าวจะให้คนอื่นยก ระหว่างรอทุกคนเข้ามาในห้องโถงเธอจึงใช้โอกาสนี้เข้าไปหยิบซองจดหมายแจ้งคะแนนในห้องที่ถูกเปิดแล้ว เฉินไห่หลิวกับเฉินตงก็หยิบออกมาเช่นเดียวกัน เพียงแค่ของพวกเขายังไม่ได้เปิด“วันนี้เด็กๆ สอบผ่านทุกคน ต้องฉลองกันแล้วสิ เจ้าใหญ่ไปเอาเหล้าในห้องแม่มา ถึงจะหาเนื้อไม่ทันแต่ก็ดื่มเหล้าได้ แม่จะให้หลานทำกับแกล้มเพิ่ม” ย่าเฉินบอกลูกชาย ก่อนหน้านี้ลืมถามเด็กๆ ว่าสอบผ่านไหม จึงไม่ได้ให้เงินไปซื้อเนื้อไว้ แต่อาหารวันนี้ก็พอจะทดแทนได้บ้างพี่ใหญ่เฉินรีบพยักหน้าลุกขึ้นไปหยิบเหล้าที่ว่าทันที ปกติผู้ชายบ้านเฉินไม่ค่อยดื่มเหล้า จะดื่มก็ตอนงานม
ในที่สุดวันที่เฉินเฟิ่นอี้รอก็มาถึง วันที่เธอจะได้เข้าไปในอำเภออีกครั้ง หลายวันก่อนลุงสามส่งจดหมายมาให้บ้านเฉิน ในจดหมายกล่าวว่าเพื่อนของลุงสามเจอบ้านพักที่ต้องการแล้ว ราคาเดือนละห้าหยวน มีทั้งหมดสี่ห้องนอนซึ่งเช่าบ้านหลังหนึ่งในราคาไม่ถึงสิบหยวนเป็นราคาที่ถูกมาก ที่ได้มาเป็นเพราะลุงสามเป็นคนจัดการให้ หากเป็นคนอื่นราคาจะสูงกว่านี้อีกเท่าตัว ได้ยินว่าเป็นบ้านพักของคนรู้จักที่ไม่ได้เปิดให้เช่า แต่เพราะลุงสามหาบ้านเช่าให้หลานๆ จึงได้มันมาอันที่จริงก็ไม่ใช่ว่าต้องพักบ้านหลังนั้น พวกเธอยังสามารถเลือกได้ว่าจะพักบ้านหลังนี้หรือหาหลังอื่นๆ อีก ซึ่งเฉินเฟิ่นอี้เห็นด้วยกับเรื่องนี้ พวกเธอที่ต้องเข้าไปอยู่จึงต้องไปดู โดยมีลุงใหญ่เป็นคนพาเข้าไปในอำเภอเงินที่ได้จากการขายคูปองตอนนั้นหมดแล้ว เหลือแค่เงินที่ได้รับจากระบบสองร้อยหยวน เฉินเฟิ่นอี้จะให้เฉินตงเอาคูปองไปขายให้อีกครั้ง คราวนี้เธอจะไม่เสี่ยงไปเอง ไม่อย่างนั้นลุงใหญ่คงสงสัย เฉินตงเป็นคนที่จัดการอะไรเร็วกว่าเฉินไห่หลิว เฉินเฟิ่นอี้จึงสะดวกใจกับเขามากกว่าคนอื่นอีกไม่ถึงสิบวันโรงเรียนในอำเภอก็จะเปิดเทอมแล้ว เด็กๆ บ้านเฉินจึงควรที่จะเข้าไปอยู
สุดท้ายเฉินตงก็ปฏิเสธพี่สาวไม่ได้ เขาเดินนำเข้าตลาดมืดอย่างคุ้นเคย เฉินเฟิ่นอี้เดินตามหลังไปโดยไม่ได้สนใจสีหน้าที่กระอักกระอ่วนของเขา หากเฉินไห่หลิวคุยง่ายเธอจะให้เขามาแทนเฉินเฟิ่นอี้เตรียมพร้อมอย่างดี หมวกไม้ไผ่สานถูกมัดแน่น ยากที่จะแกะออกหากไม่ใช่เธอที่แกะเอง มือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหยิบสบู่หอมออกมาหนึ่งก้อน รอบนี้เธอไม่สามารถแยกจากเฉินตงได้เลย เขาตามติดเฉินเฟิ่นอี้ตลอดไม่ละสายตาวันนี้บรรยากาศภายในตลาดมืดยังเป็นเหมือนเดิม แต่รู้สึกว่าการเข้ามาในตลาดมืดมันง่ายกว่าครั้งแรกที่มา อาจเป็นเพราะเธอเคยมาแล้วจึงไม่ได้เกร็ง เฉินเฟิ่นอี้เดินตามแผงขายของไปเรื่อยๆ เธอไม่ได้เลือกร้านค้า แต่กำลังมองหาลูกค้าที่เหมาะกับสินค้าของเธอผู้หญิงหากถูกใจแล้วไม่ว่าต้องแลกกับอะไรก็ต้องได้ของสิ่งนั้น สบู่ที่เฉินเฟิ่นอี้กดแลกมามันมีกลิ่นที่หอมมาก เธอมั่นใจได้ว่ามันจะขายได้ในราคาที่สูง ระหว่างเดินทางมาที่ตลาดมืดเฉินเฟิ่นอี้ถามราคาสบู่ในสหกรณ์กับเฉินตง เขาบอกว่ามันราคาสี่หยวนต่อหนึ่งก้อน และในความทรงจำของเธอสบู่มันไม่ได้หอมติดผิวกาย ซึ่งถ้าขายในตลาดมืดราคาต้องมากกว่าเดิมเกือบเท่าตัวเพราะไม่ได้ใช้คูปองเฉินเ
อีกแปดวันโรงเรียนประจำอำเภอจะเปิดการเรียนการสอน เด็กๆ บ้านเฉินทำการยื่นเรื่องขอเข้าเรียนต่อแล้ว อีกทั้งวันไปรับใบจบเฉินเฟิ่นอี้ยังได้รับหนังสือกลับมาหลายเล่ม ทางโรงเรียนไม่ได้มีเงินมากพอที่จะสนับสนุนนักเรียน นี่จึงถือว่าเป็นทุนการศึกษาให้คนที่ได้คะแนนสูงในการสอบเฉินเฟิ่นอี้เก็บเสื้ิอผ้าและของใส่กล่องอย่างเป็นระเบียบ ที่หมู่บ้านเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จพอดี วันนี้จึงไม่ได้ไปทำงานและรอรับส่วนแบ่ง ย่าเฉินจึงให้ลุงใหญ่ไปตามคนที่มีรถใหญ่ในตำบลมา ค่าจ้างเท่าไรก็ยอมเพราะต้องขนของไปเยอะอีกอย่างวันนี้ได้ยินว่าเด็กที่เรียนต่อมัธยมปลายเริ่มเดินทางไปทำเอกสารกันแล้ว โชคดีที่เฉินเฟิ่นอี้ไม่ต้องการต่อแถวทำเอกสารจึงรีบยื่นตั้งแต่ได้รับใบจบมา เฉินเฟิ่นอี้ เฉินไห่หลิว เฉินตงเรียนมัธยมปลาย และเฉินเหม่ยเย่กับเฉินจางเรียนมัธยมต้น[ภารกิจที่ 72 : ไปรับส่วนแบ่งกับบ้านเฉินเพื่อรับ 10 แต้ม]เฉินเฟิ่นอี้ชะงัก ทั้งๆ ที่อีกไม่นานก็ต้องขนของขึ้นรถ ระบบเพิ่งจะมาแจ้งเตือนเธอ เธอถอนหายใจก่อนจะหันไปหยิบกระเป๋าและเดินออกจากห้องนอนเพื่อตามไปที่แบ่งอาหารของเธอมีแค่ไม่กี่อย่างและมันก็ถูกเก็บตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ส่วนมากของท
ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเรื่องหลานสาวบ้านเฉินซื้อธัญพืชไปในราคาสามสิบกว่าหยวนก็ถูกพูดต่อๆ กัน มีหลายคนที่ส่ายหน้าให้กับความสิ้นเปลืองของบ้านเฉินแต่บ้านเฉินไม่ได้สนใจแม้จะตกใจก็ตาม ย่าเฉินทำการตักแบ่งธัญพืชให้หลานๆ และเฉินเฟิ่นอี้มีข้อแม้ว่าพวกเธอจะนำไปทุกอย่างยกเว้นข้าวขาว ทุกคนไม่เห็นด้วยเพราะเฉินเฟิ่นอี้เป็นคนซื้อมา ไม่มีใครถามว่าได้เงินมาจากไหน แต่ย่าเฉินเคยบอกเอาไว้ว่าลูกชายคนที่สามของนางเอาเงินให้หลานสาวใช้เฉินเฟิ่นอี้ลงจากรถยนต์ที่ลุงใหญ่ไปหาเช่ามา โชคดีที่เป็นรถของคนรู้จักบ้านของสามีพี่สาวใหญ่ พี่เขยของเธอจึงไปยืมมาให้โดยไม่ต้องเช่า และเป็นคนขับรถพาพวกเธอมายังบ้านพักรถไม่ได้คันใหญ่ คนที่มาด้วยได้จึงมีเพียงลุงใหญ่ แม้กระทั่งย่าเฉินที่ควรมาด้วยยังไม่ได้มา ลุงใหญ่เดินทางสะดวกและเป็นคนติดต่อบ้านพักกับเพื่อนลุงสามเพื่อนของลุงสามยืนรอที่หน้าบ้านพร้อมผู้ชายที่ดูมีฐานะคนหนึ่ง ลุงใหญ่เดินเข้าไปทักทายเขาเหมือนจะรู้จัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะครั้งก่อนก็เคยเจอกันแล้ว พี่เขยใหญ่ช่วยเด็กชายบ้านเฉินยกของลงจากรถ ส่วนเฉินเฟิ่นอี้กับเฉินเหม่ยเย่ยืนอยู่เฉยๆ ไม่มีใครยอมให้ช่วยเฉินเฟิ่นอี้ที่เห็น
เฉินไห่หลิว เฉินจาง และเฉินเหม่ยเย่ออกไปที่ร้านหนังสือหลังรับประทานอาหารมื้อเช้าเสร็จ เฉินเฟิ่นอี้จึงให้เงินเฉินไห่หลิวไปจำนวนสิบหยวน หากเด็กๆ ต้องการหนังสือก็อนุญาตให้ซื้อ และบางทีเธอกับเฉินตงอาจกลับช้า ถ้าหิวก็สามารถเอาอาหารในตู้เย็นมาทำรับประทานได้เลยเพราะเฉินเหม่ยเย่ก็ทำอาหารเป็น หรือหากเงินเหลือก็ไปซื้ออาหารรับประทานในร้านค้ารัฐได้เฉินเฟิ่นอี้กัดฟันแลกแต้มคะแนนสะสมจำนวนหนึ่งร้อยแต้มกับคูปองอาหารเพียงสิบใบ แต่ก็นับว่าคุ้ม หากเด็กๆ ไม่ต้องการทำอาหารเอง อีกทั้งเธอยังให้เงินเฉินไห่หลิวแยกต่างหากเพื่อให้เขานำไปซื้อเนื้อมาทำอาหารเงินที่เหลือมีเพียงหนึ่งร้อยกว่าหยวน และคำนวณดูแล้วเฉินเฟิ่นอี้คิดว่ามันจะอยู่ได้อีกไม่นาน วันนี้จึงแลกสบู่หอมออกมาหนึ่งโหล รวมกับที่เหลือไว้อีกสามก้อนก็เป็นสิบห้าก้อน เพราะเธอจะนำออกมาใช้ เฉินเฟิ่นอี้จะเข้าตลาดมืดแค่สัปดาห์ละครั้งป้องกันความเสี่ยง คาดว่าเข้าตลาดมืดวันนี้คงได้ไม่ต่ำกว่าร้อยหยวนเฉินตงถอนหายใจ เมื่อคืนนี้เฉินไห่หลิวมากดดันเขาเรื่องที่จะไปตลาดมืด แต่ถึงกดดันอย่างไรก็ต้องไปอยู่ดี หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จเขาจึงต้องรีบแต่งตัว ไม่อย่างนั้นพี่
เฉินตงเดินถือกระสอบกล่องข้าวสามช่องกลับบ้านด้วยร่างไร้วิญญาณ คงจะพูดไม่ออกที่อยู่ๆ ก็เห็นของโผล่ออกมาจากในอากาศที่ไม่คิดว่ามันจะมี นอกจะกระสอบกล่องข้าวแล้วยังมีไข่จำนวนสิบชั่งที่แลกออกมาในคะแนนสะสมห้าสิบแต้ม ส่วนของอย่างอื่นเธอจะทยอยแลกออกมาหลังจากแลกของในระบบเสร็จเฉินเฟิ่นอี้ก็ลากน้องชายออกจากตลาดมืดทั้งที่มีอาการเหม่อลอย คงเป็นเรื่องที่ทำใจยากพอสมควรเธอจึงไม่ได้ทักท้วงเขาที่ไม่พูดระหว่างเดินกลับเฉินเฟิ่นอี้นับเงินดูแล้วตอนนี้เธอมีตั๋วเงินสามร้อยหกสิบหยวน ซึ่งยังไม่รวมกับเงินอื่นๆ ที่ไม่ใช่ตั๋วเงินและเงินที่เหลือจากย่าเฉิน คูปองมีรวมๆ กันห้าสิบใบจากการแลกมาและใช้ไปบางส่วน แต้มสะสมเหลือสามพันกว่าแต้มซึ่งเธอต้องนำของออกมาอีกจำนวนหนึ่ง คาดว่าคงหายไปเป็นพันๆ คะแนนพอเดินถึงบ้านก็รีบนำของเข้าไปเก็บในครัว ยังดีที่ก่อนหน้านี้พวกเธอนำโหลที่มีในบ้านมาด้วยจึงไม่ได้ซื้อและแลกในระบบ เฉินเฟิ่นอี้รีบนำไข่ไก่ลงเก็บในโหลสะอาด เครื่องปรุงต่างๆ ถูกบรรจุใส่โหลเล็ก โดยมีเฉินตงคอยช่วยเหลือเฉินไห่หลิว เฉินจาง และเฉินเหม่ยเย่ยังไม่กลับ ตอนนี้คงใกล้เที่ยงแล้ว เฉินเฟิ่นอี้จึงทำอาหารรอน้องๆ เธอรู้ว่ายังไงเ
ตลอดหนึ่งสัปดาห์ก่อนเปิดเทอมเฉินเฟิ่นอี้ยุ่งมาก เธอกำลังคิดว่าจะทำอะไรระหว่างเรียน จะให้ขายของในตลาดมืดไปตลอดก็ไม่ได้ มันสามารถขายได้ก็จริงแต่ค่าใช้จ่ายก็ยังไม่พออยู่ดีที่บ้านคงให้เงินพวกเธอเดือนละสิบหยวนต่อเดือน ทั้งค่าอาหารมื้อกลางวันและค่าใช้จ่ายอื่นๆ สำหรับเฉินเฟิ่นอี้ที่คิดจะทำอาหารไปรับประทานระหว่างวันแค่นี้มันไม่พอ ถึงค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นแต่ถ้าได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนย่อมดีกว่าในหนึ่งเดือนเธอต้องทำเงินให้ได้ไม่ต่ำกว่าสองร้อยหยวน ได้มากเท่าไรยิ่งดี เพราะจากที่คำนวณคร่าวๆ ทั้งเงินไปโรงเรียน ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายยิบย่อยแต่ละคน เฉินเฟิ่นอี้ตั้งไว้คนละสิบหยวน ไม่มากและไม่น้อยเกินไปวันนี้โรงเรียนเปิดเทอม เฉินเฟิ่นอี้จึงลุกมาทำอาหารตั้งแต่เช้ามืด ต้องไปถึงโรงเรียนก่อนเจ็ดโมงเช้า และเวลากลับบ้านคือห้าโมงเย็น ข้าวกล่องวันนี้เฉินเฟิ่นอี้ผัดหมูใส่หัวหอมและแครอท รับประทานคู่กับข้าวขาวและไข่หนึ่งฟอง ไม่พอยังมีสาลี่และแอปเปิลอย่างละสองซีก ซึ่งเธอทำให้แต่ละคนไม่เท่ากันเฉินไห่หลิว เฉินตง เป็นบุรุษที่ถึงจะไม่ได้ออกแรงแต่พวกเขากระเพาะใหญ่มาก เฉินเฟิ่นอี้จึงเพิ่มปริมาณให้พวกเขาเป็นพิเศษ ส่ว
เหตุการณ์กลับมาเป็นปกติ ตัวแทนของโรงเรียนในมณฑลถูกตัดสิทธิ์การแข่งขัน และครูที่ปรึกษาของโรงเรียนอำเภอจวี่ไม่สามารถเข้าห้องแข่งขันวิชาการได้ตามคำเรียกร้องของเฉินเฟิ่นอี้ ต้องบอกว่าการแข่งขันที่เฉินเฟิ่นอี้เป็นกังวลตอนนี้เธอโล่งอกเป็นอย่างมาก เพราะมันไม่ได้ยากอย่างที่คิด ทั้งบางส่วนยังอยู่ในข้อมูลที่ซ้อม ๆ กันมา และที่สำคัญคะแนนของโรงเรียนนำโด่งเต็มหนึ่งร้อยคะแนนเฉินเฟิ่นอี้ที่แข่งเสร็จก็ขอแยกตัวจากคนอื่นเพื่อไปรับประทานอาหารกลางวันโดยมีเฉินเหม่ยเย่ โอวหยางจิง และจินหม่าซินตามติด ตัวสำรองไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน มีเพียงการจัดเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เท่านั้น และคาดว่าคงไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้แน่"เกิดอะไรขึ้นครับ เห็นว่าโรงเรียนมณฑลถูกตัดสิทธิ์การแข่งขันวิชาการหมวดภาษาต่างประเทศ" เฉินตงถามด้วยความสนใจ เมื่อครู่เขาเพิ่งซื้อของกินกลับมาที่ห้องพักและได้ยินคนอื่นพูด"พี่สาวสามทำเอกสารคู่มือขาดค่ะ ตัวแทนของที่นี่เลยเอาของตัวเองมาให้ แล้วพี่สาวสามหิวน้ำเลยให้พี่ลู่เสียนเอาน้ำมาให้ดื่ม แต่เป็นช่วงที่ครูตัดสินมาถึงที่ห้องพอดีโรงเรียนเราจึงถูกหักคะแนน..." เฉินเหม่ยเย่เล่าตั้งแต่เริ่มให้ท
แก้วน้ำที่แย่งกันไปมาสุดท้ายหกลงบนโต๊ะทั้งยังกระเด็นไปโต๊ะข้าง ๆ กันอีก เฉินเฟิ่นอี้หน้าเสียรีบหยิบเอกสารคู่มือออกจากน้ำพร้อมพัดไปมาด้วยความกังวล หลายคนเริ่มมองมาอย่างเอือมระอาเพราะโรงเรียนอำเภอจวี่เพิ่งจะเปลี่ยนเอกสารรายละเอียดไปเมื่อครู่"เอ๊ะ! นั่นอะไร"ระหว่างความวุ่นวายมีคนสังเกตเห็นอะไรบางอย่างในเอกสาร เฉินเฟิ่นอี้ยืนนิ่งมองของในมือที่ปรากฏตัวหนังสือขึ้น เธอเปิดมันให้คนอื่นดูก่อนทำหน้าตกใจ ตัวหนังสือที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีกลับเต็มไปด้วยคำตอบในหน้าสุดท้าย เฉินเฟิ่นอี้ยกมือขึ้นปิดปากอย่างไม่เชื่อสายตา(พวกเธอจะทุจริตเหรอ!)ครูต่างประเทศอ่านข้อความที่ีเขียนในแผ่นกระดาษ มันเป็นคำตอบที่ถูกต้อง เขาหันมามองเฉินเฟิ่นอี้ที่ยืนหน้าซีดอยู่ด้วยความไม่พอใจ ตอนนี้จะแข่งอยู่แล้ว นอกจากจะนำน้ำเข้ามาในห้องแล้วยังทุจริตการแข่งขันอีก ซึ่งกฎข้อห้ามหากมีการทุจริตสามารถปรับแพ้ได้"ฉัน... ฉันไม่รู้นะคะ เป็นเธอ เธอที่เอาเอกสารมาเปลี่ยนให้ค่ะ" เฉินเฟิ่นอี้ชี้ไปยังคนที่นำเอกสารมาเปลี่ยนให้ หล่อนใจดียอมเปลี่ยนมันให้เธอ แต่ก็ต้องทำตามกฎ พวกเขาทำผิด"ใช่ค่ะ พี่สาวฉันทำเอกสารมีปัญหา ผู้หญิงคนนั้นเลยนำมาเปลี่ย
ในที่สุดวันที่หลายคนรอคอยก็มาถึง พิธีเปิดการแข่งขันจัดขึ้นในตอนเช้า นักเรียนที่อยู่ใกล้มณฑลเพิ่งเดินทางมาถึงเช่นเดียวกัน การแข่งขันจะเริ่มเวลาเก้านาฬิกา เพราะฉะนั้นหลังพิธีเปิดจึงมีเวลาเหลือเป็นชั่วโมง ตัวแทนการแข่งขันวิชาการโรงเรียนจวี่ต่างรวมตัวกันที่หน้าอาคารที่พัก"เอาล่ะ วันนี้ขอให้ทุกคนเต็มที่ แต่ถ้าจะให้ดีควรได้เหรียญทอง" ครูใหญ่รับหน้าที่กำชับเด็ก ๆ แทนผู้อำนวยการ ที่ตอนนี้อยู่รวมกลุ่มกับบรรดาผู้อำนวยการโรงเรียนอื่น ๆ"ถ้าแข่งเสร็จกลับเลยใช่ไหมครับ""ในกรณีที่ตกรอบจะมีครูที่พานักเรียนกลับจ้ะ ถ้าชนะก็ต้องไปแข่งในวันพรุ่งนี้ ส่วนรางวัลจะรับวันสุดท้ายเลย เพราะฉะนั้นใครที่แข่งแล้วก็กลับได้" ครูที่ปรึกษาหมวดคณิตศาสตร์อธิบายและหวังว่าจะไม่มีนักเรียนได้กลับบ้านในวันนี้เฉินเฟิ่นอี้พยักหน้าฟังครูแต่ละท่านทวนอีกครั้งว่ามีการแข่งขันอะไรบ้าง และเกณฑ์การนับคะแนนเป็นแบบไหน อะไรที่ควรทำและไม่ควรทำซึ่งถ้าพลาดขึ้นมาบางโรงเรียนอาจไม่มีสิทธิ์ส่งเด็กเข้าร่วมการแข่งขัน ไม่แปลกที่ครูจะเข้มงวดอย่างเมื่อวานที่รีบเดินมาแยก"ในหมวดภาษาต่างประเทศจะมีครูต่างชาติเป็นคนตัดสิน จะมีแข่งต่อบทสนทหาและเขียนตอบ
วันที่ 6 เดือน 10 อากาศเริ่มหนาวและมีน้ำค้างแข็ง ผู้อำนวยการประกาศหยุดโรงเรียนสามวันเพื่อพาตัวแทนไปแข่งขันวิชาการในมณฑล สมาคมผู้ปกครองออกเงินจ้างรถคันใหญ่พานักเรียนไปแข่งขัน ซึ่งมีจำนวนหลายสิบคนทั้งตัวจริงและตัวสำรอง รวมถึงครูอีกหลายคนที่เฉินเฟิ่นอี้รู้จักบ้างไม่รู้จักบ้างจริง ๆ การแข่งขันจะเริ่มขึ้นพรุ่งนี้ แต่ทางโรงเรียนไม่ต้องการให้นักเรียนเหนื่อยเกินไปจึงพามาก่อนเวลาแข่งขัน ส่วนห้องพัก ทุกคนได้นอนพักที่โรงเรียนทางด้านที่ไม่ได้จัดการแข่งขัน พอมาถึงที่พักเฉินเฟิ่นอี้ก็รู้ว่าไม่ใช่แค่โรงเรียนของเธอที่มาก่อนวันแข่งขัน ยังมีโรงเรียนอื่นอีกหลายโรงเรียนที่มาถึงแล้ว ตอนมัธยมต้นโรงเรียนในตำบลไม่ได้มีเงินมากพอที่จะพามาแข่งขันจึงไม่แปลกที่เฉินเฟิ่นอี้จะไม่เคยมาทางโรงเรียนได้ห้องพักมาเพียงสองห้องเพราะต้องแบ่งกับโรงเรียนอื่นด้วยทำให้ต้องแบ่งห้องออกเป็นฝั่งผู้ชายและฝั่งผู้หญิง เฉินเฟิ่นอี้นับ ๆ ดูแล้วตัวแทนผู้หญิงมีทั้งหมดสามสิบแปดคน ซึ่งเธอก็จำไม่ได้ว่ามีการแข่งขันอะไรบ้าง การแข่งขันมีสิบกว่ารายการ เธอซ้อมอยู่ตลอดไม่แปลกที่จะลืมไปบ้างเด็กบ้านเฉินต่างได้เป็นตัวแทนทั้งหมด เฉินเฟิ่นอี้ เฉินเหม
เฉินเฟิ่นอี้มองตัวแทนตัวจริงและตัวสำรองที่เดินมารวมกลุ่มกัน รุ่นพี่ลู่ที่เอ่ยค้านครูด้วยความไม่พอใจก่อนหน้านี้ได้เป็นตัวสำรองของเธอ ตัวแทนมีสองระดับชั้นคือมัธยมต้นและมัธยมปลาย แบ่งเป็นผู้ชายหนึ่งและผู้หญิงหนึ่ง ตอนนี้จึงมีตัวจริงและตัวสำรองอย่างละสี่คน"สวัสดีจ้ะ ครูชื่อเหอหนี่ จะเป็นครูที่ปรึกษาสำหรับการแข่งวิชาการภาษาต่างประเทศ""ส่วนครู จูไห่หลิวเป็นครูที่ปรึกษาเหมือนกันครับ"สองครูผู้ดูแลการแข่งขันวิชาภาษาต่างประเทศเอ่ยแนะนำตัวท่ามกลางตัวแทน นับว่าตัวแทนครั้งนี้เป็นที่น่าพึงพอใจสำหรับคุณครูที่มาคัดเลือก แต่ละคนล้วนผ่านการเรียนมากับเฉินเฟิ่นอี้แทบจะทุกวันที่มาสอน พวกเขาเชื่อว่าการแข่งขันครั้งนี้จะชนะแน่นอน"โอวหยางจิง เฉินเฟิ่นอี้ เกาชิงเฉิน และเฉินเหม่ยเย่จะเป็นตัวแทนการแข่งขันนะคะ พรุ่งนี้จะเริ่มซ้อมกัน ช่วงบ่ายมาเจอกันที่นี่ได้เลย วันนี้ทำความรู้จักกันไปก่อน ส่วนตัวแทนก็ต้องซ้อมเหมือนกัน แต่มาแค่ช่วงเวลาว่างเท่านั้น" ครูเหอหนี่อธิบาย"ช่วงเวลาว่างเท่านั้นเหรอ อย่างนี้ก็เหมือนเป็นตัวแทนไปงั้น ๆ" ลู่เสียนรู้สึกว่าหล่อนเสียเปรียบไปทุกอย่าง ทั้งที่ปกติต่อให้เป็นตัวจริงหรือตัวสำรองก็
"ฉันไปให้ได้ค่ะ หากเฉินเหม่ยเย่ได้เป็นตัวแทนระดับมัธยมต้น" เฉินเฟิ่นอี้ต่อรองวันที่ 7 เดือน 10 จะมีการแข่งขันวิชาการในมณฑลสำหรับตัวแทนที่จะไปแข่งในปักกิ่ง เฉินเฟิ่นอี้ถูกทาบทามเป็นตัวแทนการแข่งขันภาษาต่างประเทศ เนื่องจากเธอเป็นครูสอนพิเศษให้กับเด็กนักเรียนหลายคนไม่แปลกจะถูกครูเสนอ และเฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้ต้องการไปแข่งอะไรแต่ว่าเฉินเหม่ยเย่มีสิทธิ์สูงมากที่จะได้เป็นตัวแทนมัธยมต้นของฝ่ายหญิงที่จะไปแข่ง เฉินเฟิ่นอี้อยากให้หล่อนลองแข่งครั้งนี้ดูแต่ก็ไม่กล้าพอจะปล่อยหล่อนไปคนเดียว เฉินไห่หลิวกับเฉินตงถูกครูเรียกไปแข่งขันวิชาการไม่ต่างกันและยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด พอ ๆ กับเฉินจางที่คาดว่าจะลงวิชาคณิตศาสตร์แน่นอนว่าเด็กบ้านเฉินต่างได้รับเสนอในการไปแข่งขันและขึ้นอยู่ว่าต้องการไปหรือไม่ สำหรับเฉินเฟิ่นอี้เธอไม่ต้องการที่จะเข้าร่วมการแข่งขันอะไรทั้งสิ้น แต่มันก็เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการสร้างชื่อเสียงหากชนะการแข่งขัน มีเวลาอีกเป็นเดือนสำหรับการฝึกซ้อม"เฉินเหม่ยเย่หล่อนก็ถูกครูที่ปรึกษาของหล่อนเรียกพบ" ครูที่ปรึกษาจูไห่หลิวบอกตอนนี้เขาเป็นครูที่ปรึกษาคนเดียวของห้องเรียนเธอ ส่วนครูเซี่ยอันลี่ได้
เฉินเฟิ่นอี้ผงกหัวทักทายรุ่นพี่โอวหยางจิงหรือที่เธอเรียกว่า พี่หยางจิง ในตอนนี้ เหตุการณ์ในวันนั้นผ่านมาเป็นเดือนแล้วเธอยังไม่ได้กลับไปดูหนังเรื่องที่ดูค้างคาเอาไว้ เห็นว่าจอพังต้องส่งซ่อมหลายเดือน พี่หยางจิงจึงขอเลี้ยงข้าวทดแทนที่ดูไม่จบและวันนี้ก็เป็นครั้งที่สิบ ที่เขาชวนเธอไปรับประทานอาหารนอกบ้านหลังเรียนพิเศษภาษาต่างประเทศในวันหยุดเสร็จแล้ว ส่วนคนอื่น ๆ ไม่ได้ชวน ทั้งมีนัดกันหมดความสัมพันธ์ของเธอกับรุ่นพี่คนนี้เรียกว่าไปได้ดี แต่เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้ตกลงเป็นคนรักกับเขา รวมถึงเขาก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะขอเธอเป็นแฟนด้วย จะให้ว่ายังไงดีล่ะ พวกเธอเป็นเพียงรุ่นพี่รุ่นน้องกันก็เท่านั้น เพื่อนร่วมชั้นเรียนก็รู้ถึงความสัมพันธ์ของเธอกับรุ่นพี่ดีที่จะไม่เอ่ยถึงไม่ได้ก็คือเว่ยฟ่งคบหาดูใจกับเจียวซีแล้ว แถมคนในบ้านเว่ยยังเจอเจียวซีแล้วอีกด้วย เป็นเว่ยฟ่งที่โป๊ะแตกพาหล่อนไปเช่าห้องแถวของที่บ้านด้วยการลดราคาให้หลายหยวน จี้หลันเล่าให้ฟังว่าพ่อแม่เค้นถามว่าทำไมถึงลดราคาให้เพื่อนร่วมห้อง เว่ยฟ่งหลุดปากออกไปกำลังตามจีบเจียวซีอยู่ ดีที่บ้านของเว่ยฟ่งไม่กีดกันแต่ขอให้คิดให้ดี ตอนนี้ทุกคนยังเรียนอยู่“มาเร
"ขอบคุณค่ะ"เฉินเฟิ่นอี้รับแก้วน้ำจากโอวหยางจิงที่ไปซื้อมาให้ สุดท้ายเธอก็ยอมมาดูหนังกับเขาท่ามกลางการเอาใจช่วยของคนอื่น ยกเว้นเฉินไห่หลิวที่อยากจะปฏิเสธแต่ยังปากหนักอยู่ เฉินเฟิ่นอี้ตามใจเขา เมื่อไหร่อยากคุยก็คุย ก็แล้วกัน"เธออยากไปเดินเล่นก่อนไหม น่าจะต้องรออีกครึ่งชั่วโมง"เพราะคำนวณเวลาผิดพลาดทำให้ต้องรอรอบฉายที่จะมาถึง โอวหยางจิงจึงพาเด็กสาวมานั่งรอใต้ต้นไม้ที่ไม่มีแดด รอบข้างก็มีคนมานั่งรอรอบฉาย ซึ่งยังดีที่อากาศไม่ได้ร้อนถึงกับนั่งไม่ได้ แต่โอวหยางจิงก็รีบไปซื้อน้ำมาให้เด็กสาวระหว่างนั่งรอพร้อมขนม"ฉันไม่มีที่อยากไปเลยค่ะ" เฉินเฟิ่นอี้ปฏิเสธ"อ้อ แล้วชอบดูหนังไหม เห็นน้องชายของเธอชอบนักแสดงเฉินหาน” ระหว่างนั่งรอเขาก็ชวนเด็กสาวคุยไปด้วยเพื่อทำลายความเงียบ"ฉันไม่ค่อยดูหนังหรอกค่ะรุ่นพี่โอวหยาง ส่วนมากจะพาน้องชายน้องสาวมาดูมากกว่า" เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้พูดเล่นส่วนมากจะพาน้องชายน้องสาวมาดูมากกว่า ส่วนเธอมีหน้าที่ดูแลน้อง ๆ อีกที อย่างเช่นการแกะเปลือกเม็ดแตงโมให้ทั้งสี่คน"น่าเสียดายนะ ไว้วันหลังพวกเราค่อยมาใหม่อีกก็ได้""ค่ะ"เฉินเฟิ่นอี้ยิ้มเล็กน้อยมองโอวหยางจิงที่ชวนพูดคุยทั้งที่เ
นักเรียนมัธยมปลายชั้นปีที่หนึ่งห้องเรียนอันดับสามย้ายออกไปยี่สิบคน ผู้ชายย้ายไปห้องเรียนอันดับต้นสิบคน ส่วนผู้หญิงก็ย้ายออกไปสิบเอ็ดคน เฉินเฟิ่นอี้เข้าใจพวกหล่อนดี ลูกหลานผู้หญิงกดดันกว่าลูกหลานผู้ชายมาก ที่สำคัญไม่มีใครได้ย้ายมาห้องเรียนอันดับสามสักคน ตามข้อตกลงที่เฉินเฟิ่นอี้ไปตกลงกับทางโรงเรียนหลายวันก่อนแต่ของเธอมันอยู่บนความถูกต้องที่ว่าหากนักเรียนคนที่ีไม่ผ่านการสอบหรือไม่มีสิทธิ์เลือกห้องให้อยู่ห้องอันดับสอง ส่วนใครอยากย้ายออกห้องอันดับสามหรือย้ายเข้าก็แล้วแต่เธอไม่สามารถห้ามได้ ทำให้ห้องเรียนของเธอเหลือเพียงยี่สิบเจ็ดคน แบ่งเป็นผู้ชายยี่สิบคนผู้หญิงเจ็ดคน ซึ่งส่วนมากจะเป็นกลุ่มที่สนิทกันสุด ๆถ้าถามว่าทำไมเฉินเฟิ่นอี้ถึงไม่ยอมย้ายไปห้องเรียนอันดับต้นหรือห้องเรียนอันดับสอง เพราะเธอไม่ต้องการความวุ่นวาย ตอนสอบเลือกห้องทั้งที่เฉินเฟิ่นอี้ตั้งใจตอบผิดกลับได้คะแนนเต็ม มันก็เป็นที่จับตาของคณะครู แถมวันนั้นผู้อำนวยการโรงเรียนคนใหม่ยังมองเธอด้วยสายตาแปลก ๆ อีกเฉินเฟิ่นอี้กับกลุ่มเพื่อนผู้หญิงนั่งมองผู้ชายในห้องที่กำลังจัดโต๊ะที่นั่งใหม่ ด้วยจำนวนที่น้อยลงและนำโต๊ะไปให้ห้องที่ไม่พอใช