ดวงตาคู่หวานนอนมองเพดานน้ำตากลิ้งลงข้างแก้มเธอตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงทำให้หมดสติไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีก็มานอนอยู่ในห้องนี้แล้ว
“กุน เป็นยังไงบ้างลูกเจ็บตรงไหนไหม”
หญิงสูงวัยหากประเมินด้วยสายตาอายุคงเกินหกสิบแล้วเดินเข้ามาหาโดยมีตวิศาพยุงเข้ามา
“แม่ครู”
ปีกุนเท้าศอกพยุงร่างกายตัวเองลุกขึ้นนั่งด้วยความยากลำบากเพราะเธอก็ได้รับบาดเจ็บจากการหกล้มเหมือนกัน
รำไพเป็นแม่ครูดูแลสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าเติมรักซึ่งท่านเป็นคนดูแลเด็ก ๆ ทุกคนกว่าร้อยชีวิต ด้วยความที่ท่านมีความเมตตาจึงเลี้ยงกลุ่มเด็กถูกทอดทิ้งเหล่านี้ให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ทำงานหลายคนแล้ว
แต่ไม่มีกี่คนหรอกที่จะไม่ลืมบุญคุณและยังกลับมาช่วยเหลือสถานชุบเลี้ยงแห่งนี้และหนึ่งในนั้นก็คือปีกุนและตวิศา
“โธ่ ลูกคงตกใจแย่เลยใช่ไหม” มือเหี่ยวย่นยกขึ้นลูบหัว
เมื่อรับรู้เรื่องราวจากตวิศาเธอก็รีบติดสอยห้อยตามมาด้วยความเป็นห่วง ความโล่งใจผุดขึ้นมาในอกเมื่อเห็นว่าปีกุนไม่ได้เป็นอะไรมากก็ถือว่าเป็นการฟาดเคราะห์ไปก็แล้วกัน
“แล้วเรื่องมันเป็นมายังไงแกถึงได้มาอยู่ในสภาพนี้”
ตวิศากวาดตามองดูสภาพเพื่อนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าแม้ว่าจะไม่ได้โดนรถชนแต่เนื้อตัวก็ถลอกปอกเปิกอยู่ไม่น้อย
“ฮึก ฉัน...ฮึก”
ภาพเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อฉายซ้ำเข้ามาในหัว หยดน้ำใสพรั่งพรูผ่านดวงตา หัวไหล่เริ่มสั่นสะท้านจากแรงสะอื้น
“ฉันเป็นต้นเหตุให้คุณอรกมลต้องตายอ่าตาล ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ”
มืออวบเอื้อมไปเขย่าแขนเพื่อน ความเสียใจหลั่งไหลออกมาผ่านดวงตา
“ไม่ได้ตั้งใจแล้วเธอจะไปยืนอยู่กลางถนนทำไม!”
เสียงทุ้มเกรี้ยวกราดนั้นทำเอาสามสาวและผู้คนในห้องนั้นหันกลับไปมองเป็นตาเดียว แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียวร่างสูงกำยำก็พุ่งเข้ามาหา เขาคว้าเอาต้นแขนทั้งสองข้างออกแรงบีบจนเธอมีสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บ
“คุณธามคะ ฉันเจ็บ”
“เจ็บเหรอ มันไม่เจ็บเท่าฉันหรอก ฮึก เธอรู้ไหมว่าฉันต้อง...ต้อง”ดวงตาคู่คมรื้นไปด้วยหยาดน้ำใส
“ฉันต้องเสียทั้งคู่ชีวิตแล้วก็ลูกไป”
เหมือนฟ้าฟาดลงมากลางกระหม่อมของปีกุนแรงบีบอัดนวดเค้นก้อนเนื้อหัวใจข้างซ้าย ปากอ้าพะงาบขึ้นเพื่อเอาอากาศเข้าไปหายใจ
‘ลูก’ อย่างนั้นเหรอ
“คุณอรกมลท้องอย่างนั้นเหรอคะ”
“ใช่ เพราะเธอคนเดียวทำไมไม่ตาย ๆ ไปซะ ทำไมต้องมาพรากลูกพรากเมียฉันไปด้วย”
ครั้งนี้ไม่ได้แค่พูดเปล่าทว่าชายหนุ่มเปลี่ยนจากบีบหัวไหล่เป็นบีบคอขาวนั้นแทน ทุกคนต่างปรี่เข้าไปห้ามกันวุ่นวายเพราะว่าเป็นโรงพยาบาล
ปีกุนปล่อยมือร่วงลงพื้นและหลับตาลงเพื่อรอรับความตายจากเขา
ชีวิตมันต้องแลกด้วยชีวิตเท่านั้นมันถึงจะคู่ควร
“คุณธามครับ พอได้แล้วที่นี่มันเป็นโรงพยาบาล” บดินทร์ซึ่งเพิ่งมาถึงห้องฉุกเฉินรีบวิ่งเข้ามาดึงคนเป็นเจ้านายออก
กว่าจะดึงธามวัฒน์ออกมาได้ ลมหายใจเธอก็ขาดห้วงไปหลายครั้ง
แม่ครูรำไพรีบวิ่งเข้าไปดูปีกุนทันที ส่วนตวิศาก็รีบเดินมาคั่นกลางเอาไว้
ปีกุนก้าวเท้าลงจากเตียงแล้วทรุดตัวนั่งลงพนมมือขึ้น เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับจะขาดใจไม่ต่างกัน ยิ่งรู้ว่าผู้หญิงคนหนึ่งตั้งท้องและกำลังจะแต่งงานต้องมาตายเพราะเธอเป็นต้นเหตุมันเหมือนมีแผลลึกเกิดขึ้นในหัวใจ
“กุนขอโทษค่ะ กุนไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นอุบัติเหตุ” ก้มลงกราบแทบเท้าเขาเพื่อขอโทษ แต่ผู้กำลังสูญเสียกลับชักเท้าออก
ผู้หญิงคนนี้อ้างมาได้อย่างไรว่ามันเป็นอุบัติเหตุ หากเธอไม่ทะเล่อทะล่าไปยืนอยู่กลางถนน อรกมลคงไม่ต้องเข้าไปช่วยชีวิตอย่างนั้น
“คำก็ไม่ตั้งใจ สองคำก็ไม่ตั้งใจ ถ้าเธอรู้จักคิดและวิเคราะห์มากกว่านี้คงไม่ต้องมาเกิดเรื่องแบบนี้หรอก กี่ครั้งแล้วที่เธอใช้ชีวิตอยู่บนความประมาทจนต้องทำให้คนอื่นต้องเจ็บตัว”
เขาตะโกนลั่นใส่หน้าอีกครั้งและมันก็เป็นคำตอบให้ปีกุนรู้ว่าเขาจดจำเธอได้ตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาเองก็เคยช่วยชีวิตเธอเอาไว้เหมือนกันและสองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมันเกิดเพราะคำว่า ‘เงิน’ แค่คำเดียว
“กุนขอโทษค่ะ ขอโทษจริงๆ” ร้องไห้หนักจนร่างกายสั่นเทิ้ม
ธามวัฒน์เกลียดสีหน้านั้นมากที่สุด ยิ่งผู้หญิงคนนี้ทำตัวให้น่าสงสารมากเท่าไรเขายิ่งเกลียดเธอมากเท่านั้น
“เธอคิดว่าคำขอโทษพวกนั้นมันจะช่วยเยียวยาหัวใจคนอื่นได้หรือไง ถ้าทำผิดแล้วขอโทษก็หาย บ้านเมืองเราคงไม่ต้องมีกฎหมายเอาไว้ลงโทษคนทำผิดหรอก…นับจากนี้ไปเธอรอรับผลกรรมได้เลย”
เปลวไฟแห่งโทศะแผดเผาในหัวใจน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเดือดดาลแววตานั้นเชือดเฉือนราวกับคมมีด
“จำเอาไว้ฉันเกลียดเธอและฉันจะทำทุกอย่างทุกทางให้เธอไม่มีความสุข” น้ำเสียงเย็นชาเข้มขึ้นแล้วยกมือขึ้นบีบคางเข้าหากัน
แม้จะเจ็บสักเท่าไรปีกุนก็ไม่ร้องขอให้เขาปล่อยเหมือนเมื่อครู่ บดินทร์ทนดูไม่ได้กำลังจะเข้าไปห้ามอีกครั้งทว่ากลับช้ากว่าหญิงสูงวัย
“คุณธาม” เอื้อมไปแตะแขน
“แม่ครูขอได้ไหม อย่าทำอะไรปีกุนเลย”
ธามวัฒน์หันขวับไปมองแววตาอ่อนลงก่อนจะปล่อยมือ เขาข่มอารมณ์พุ่งพล่านเอาไว้ แล้วก็เดินออกจากห้องนั้น
ร่างอวบแทบทรุดลงกับพื้นโชคยังดีตวิศาเข้าไปพยุงเอาไว้ได้ทัน หายใจหอบถี่จากการร้องไห้อย่างยาวนาน แม่ครูรำไพได้แค่ดึงเธอเข้ามากอดแล้วปล่อยให้ร้องไห้อยู่อย่างนั้น
เธอไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ไม่ได้อยากให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้
‘เตรียมแต่งแล้วจ้า...ไฮโซธามวัตฒ์เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของประเทศกับครูสาวที่หมั้นหมายกันมานานหลายปี ในที่สุดก็ได้ฤกษ์งามยามดีสั่นระฆังวิวาห์’นิ้วมืออวบเลื่อนอ่านข่าวบันเทิงในสมาร์ตโฟนพรางกดดูรูปของว่าที่เจ้าบ่าวดู มุมปากโค้งขึ้นนิดหนึ่งจนมองแทบไม่ทันแล้วก็หุบลงเจ้าของร่างอวบหนักเจ็ดสิบ สูงเพียงแค่ร้อยหกสิบห้าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองอกหักอีกครั้ง ครั้งแรกคือวันที่รู้ว่าผู้ชายที่เคยช่วยชีวิตไว้มีคนรักและหมั้นกันแล้ว ส่วนครั้งที่สองก็คือตอนนี้ที่พวกเขาประกาศว่ากำลังจะแต่งงานกันใบหน้ากลมเนียนใสซึ่งแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบาสะบัดหัวไล่ความคิดของตัวเองออกไป หากเธอแอบชอบคนที่ฐานะใกล้เคียงกันป่านนี้คงลงเอยด้วยการมีแฟนไปนานแล้ว ตอนนี้จึงเป็นแค่หมามองเครื่องบินเท่านั้น“อ่านข่าวคุณทามอยู่เหรอกุน”สาวสวยหน้าตาดีซึ่งอยู่ในชุดยูนิฟอร์มเดียวกันชะโงกมองหน้าจอมือถือเพื่อนรักและก็เห็นว่าเป็นจริงอย่างที่คิดเอาไว้ ไม่มีผิด‘ตวิศา’เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของ ‘ปีกุน’ ซึ่งทั้งคู่เป็นเด็กกำพร้าถูกทอดทิ้งไว้ในสถานสงเคราะห์เด็กบ้านเติมรัก เมื่อเรียนจบมัธยมปลายสองสาวจึงตัดส
“เกิดอะไรขึ้นอ่ากุน”“ลูกค้าจะเอากระเป๋ามาคืนน่ะ บอกว่าสินค้ามีปัญหา เราถามหาใบเสร็จไปแล้วแต่ลูกค้าไม่มี” ปีกุนอธิบายปัญหาให้เพื่อนฟังอย่างใจเย็นแน่นอนว่าลูกค้าเจ้าปัญหาไม่ได้ใจเย็นอย่างที่คิดเอาไว้ เสียงแหลมปรี๊ดตะโกนขึ้นอีกครั้ง “ฉันจะคุยกับผู้จัดการเท่านั้น ไปตามมา!”“ฉันนี่แหละค่ะผู้จัดการแล้วก็เป็นคนขายกระเป๋าใบนี้ให้กับคุณ เมื่อสามสัปดาห์ก่อน”ดวงตาเหี่ยวเบิกขึ้นเมื่อนึกหน้าพนักงานขายได้ ตวิศาเดินไปหยิบถุงกระดาษใบนั้นแล้วล้วงเอากระเป๋าออกมาดูซึ่งมีรอยขีดข่วนอยู่หลายที่ แน่นอนว่ามันไม่ได้เกิดจากทางร้าน เพราะก่อนหน้านี้เธอเป็นคนตรวจดูเองกับมือ“เจอก็ดีแล้ว กระเป๋าร้านเธอมีปัญหาฉันต้องการเปลี่ยน” พูดไม่เต็มเสียงทั้งยังไม่กล้าสบตาอีกต่างหาก“ดิฉันคงทำเรื่องคืนกระเป๋าให้กับคุณลูกค้าไม่ได้ค่ะเพราะกระเป๋าใบนี้ซื้อไปเกือบเดือนแล้วและคุณลูกค้าเองก็ไม่มีใบเสร็จมายืนยันด้วย”ตวิศาปฏิเสธเสียงนุ่ม“พวกแกจะโกงฉันใช่ไหม ทุกคนดูเอาไว้นะคะอย่ามาซื้อร้านนี้เด็ดขาดสินค้าไม่ได้คุณภาพแถมยังคืนไม่ได้ด้วยไม่เห็นเหมือนโฆษณาเอาไว้เลย”ชี้นิ้วด่ากราดไปทั่วอีกทั้งปัดกระเป๋าตั้งโชว์ตกลงพื้นหลายใบปีกุนพยา
เวลาเลื่อนมาจนกระทั่งใกล้ร้านปิดปีกุนพยายามชะเง้อคอมองไปยังโต๊ะสามริมระเบียงอีกครั้ง รอบนี้สองหนุ่มสาวไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว ไม่รู้ว่าทั้งคู่เช็คบิลออกไปตั้งแต่ตอนไหนเพราะช่วงเวลาตีหนึ่งกว่า ๆ เธอยังเห็นพวกเขาอยู่เลย“ทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว กลับบ้านได้“ผู้จัดการตะโกนบอกพนักงานในร้านทุกคนต่างรีบตรงไปยังล็อคเกอร์ด้วยสีหน้าอิดโรยจากความเหนื่อยล้า วันนี้เป็นวันศุกร์สิ้นเดือนลูกค้าจึงค่อนข้างเยอะทำให้ทุกรายการของร้านขายดีจนเด็กเสิร์ฟเดินขาขวิดกันเลยทีเดียวเวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งตีสองปีกุนจึงเดินลัดเลาะออกมาด้านหลังซอย ซึ่งเชื่อมกันกับถนนเส้นหลักของย่านอโศก ตรงนั้นมีรถเมล์สายหลักวิ่งอยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงถึงแม้นาน ๆ จะวิ่งมาครั้งหนึ่งก็ตามกว่าจะเดินมาถึงป้ายรถเมล์ก็ล่วงเลยมาเกือบจะตีสอง บริเวณนั้นมีไฟส่องสว่างตลอดทั้งแนวเธอจึงมั่นใจเรื่องความปลอดภัยขึ้นมานิดหน่อยถัดจากป้ายรถเมล์ไปไม่ไกลมีรถหรูคันหนึ่งจอดอยู่แต่เธอเลือกไม่สนใจเพราะเห็นจนชินตาแล้ว เมื่อร้านปิดนักดื่มมักจะมาจอดพ้อตรักกันอยู่เป็นประจำหญิงสาวพ่นลมหายใจออกมาอีกครั้ง แล้วล้วงกระเป๋าใบเล็กออกมาในนั้นไม่มีแบงค์ให้เลือกใช้จ่า
ดวงตาคู่หวานนอนมองเพดานน้ำตากลิ้งลงข้างแก้มเธอตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงทำให้หมดสติไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีก็มานอนอยู่ในห้องนี้แล้ว“กุน เป็นยังไงบ้างลูกเจ็บตรงไหนไหม”หญิงสูงวัยหากประเมินด้วยสายตาอายุคงเกินหกสิบแล้วเดินเข้ามาหาโดยมีตวิศาพยุงเข้ามา“แม่ครู”ปีกุนเท้าศอกพยุงร่างกายตัวเองลุกขึ้นนั่งด้วยความยากลำบากเพราะเธอก็ได้รับบาดเจ็บจากการหกล้มเหมือนกันรำไพเป็นแม่ครูดูแลสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าเติมรักซึ่งท่านเป็นคนดูแลเด็ก ๆ ทุกคนกว่าร้อยชีวิต ด้วยความที่ท่านมีความเมตตาจึงเลี้ยงกลุ่มเด็กถูกทอดทิ้งเหล่านี้ให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ทำงานหลายคนแล้วแต่ไม่มีกี่คนหรอกที่จะไม่ลืมบุญคุณและยังกลับมาช่วยเหลือสถานชุบเลี้ยงแห่งนี้และหนึ่งในนั้นก็คือปีกุนและตวิศา“โธ่ ลูกคงตกใจแย่เลยใช่ไหม” มือเหี่ยวย่นยกขึ้นลูบหัวเมื่อรับรู้เรื่องราวจากตวิศาเธอก็รีบติดสอยห้อยตามมาด้วยความเป็นห่วง ความโล่งใจผุดขึ้นมาในอกเมื่อเห็นว่าปีกุนไม่ได้เป็นอะไรมากก็ถือว่าเป็นการฟาดเคราะห์ไปก็แล้วกัน“แล้วเรื่องมันเป็นมายังไงแกถึงได้มาอยู่ในสภาพนี้”ตวิศากวาดตามองดูสภาพเพื่อนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าแม้ว่าจะไม่ได้โดนรถชนแต่เนื้
เวลาเลื่อนมาจนกระทั่งใกล้ร้านปิดปีกุนพยายามชะเง้อคอมองไปยังโต๊ะสามริมระเบียงอีกครั้ง รอบนี้สองหนุ่มสาวไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว ไม่รู้ว่าทั้งคู่เช็คบิลออกไปตั้งแต่ตอนไหนเพราะช่วงเวลาตีหนึ่งกว่า ๆ เธอยังเห็นพวกเขาอยู่เลย“ทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว กลับบ้านได้“ผู้จัดการตะโกนบอกพนักงานในร้านทุกคนต่างรีบตรงไปยังล็อคเกอร์ด้วยสีหน้าอิดโรยจากความเหนื่อยล้า วันนี้เป็นวันศุกร์สิ้นเดือนลูกค้าจึงค่อนข้างเยอะทำให้ทุกรายการของร้านขายดีจนเด็กเสิร์ฟเดินขาขวิดกันเลยทีเดียวเวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งตีสองปีกุนจึงเดินลัดเลาะออกมาด้านหลังซอย ซึ่งเชื่อมกันกับถนนเส้นหลักของย่านอโศก ตรงนั้นมีรถเมล์สายหลักวิ่งอยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงถึงแม้นาน ๆ จะวิ่งมาครั้งหนึ่งก็ตามกว่าจะเดินมาถึงป้ายรถเมล์ก็ล่วงเลยมาเกือบจะตีสอง บริเวณนั้นมีไฟส่องสว่างตลอดทั้งแนวเธอจึงมั่นใจเรื่องความปลอดภัยขึ้นมานิดหน่อยถัดจากป้ายรถเมล์ไปไม่ไกลมีรถหรูคันหนึ่งจอดอยู่แต่เธอเลือกไม่สนใจเพราะเห็นจนชินตาแล้ว เมื่อร้านปิดนักดื่มมักจะมาจอดพ้อตรักกันอยู่เป็นประจำหญิงสาวพ่นลมหายใจออกมาอีกครั้ง แล้วล้วงกระเป๋าใบเล็กออกมาในนั้นไม่มีแบงค์ให้เลือกใช้จ่า
“เกิดอะไรขึ้นอ่ากุน”“ลูกค้าจะเอากระเป๋ามาคืนน่ะ บอกว่าสินค้ามีปัญหา เราถามหาใบเสร็จไปแล้วแต่ลูกค้าไม่มี” ปีกุนอธิบายปัญหาให้เพื่อนฟังอย่างใจเย็นแน่นอนว่าลูกค้าเจ้าปัญหาไม่ได้ใจเย็นอย่างที่คิดเอาไว้ เสียงแหลมปรี๊ดตะโกนขึ้นอีกครั้ง “ฉันจะคุยกับผู้จัดการเท่านั้น ไปตามมา!”“ฉันนี่แหละค่ะผู้จัดการแล้วก็เป็นคนขายกระเป๋าใบนี้ให้กับคุณ เมื่อสามสัปดาห์ก่อน”ดวงตาเหี่ยวเบิกขึ้นเมื่อนึกหน้าพนักงานขายได้ ตวิศาเดินไปหยิบถุงกระดาษใบนั้นแล้วล้วงเอากระเป๋าออกมาดูซึ่งมีรอยขีดข่วนอยู่หลายที่ แน่นอนว่ามันไม่ได้เกิดจากทางร้าน เพราะก่อนหน้านี้เธอเป็นคนตรวจดูเองกับมือ“เจอก็ดีแล้ว กระเป๋าร้านเธอมีปัญหาฉันต้องการเปลี่ยน” พูดไม่เต็มเสียงทั้งยังไม่กล้าสบตาอีกต่างหาก“ดิฉันคงทำเรื่องคืนกระเป๋าให้กับคุณลูกค้าไม่ได้ค่ะเพราะกระเป๋าใบนี้ซื้อไปเกือบเดือนแล้วและคุณลูกค้าเองก็ไม่มีใบเสร็จมายืนยันด้วย”ตวิศาปฏิเสธเสียงนุ่ม“พวกแกจะโกงฉันใช่ไหม ทุกคนดูเอาไว้นะคะอย่ามาซื้อร้านนี้เด็ดขาดสินค้าไม่ได้คุณภาพแถมยังคืนไม่ได้ด้วยไม่เห็นเหมือนโฆษณาเอาไว้เลย”ชี้นิ้วด่ากราดไปทั่วอีกทั้งปัดกระเป๋าตั้งโชว์ตกลงพื้นหลายใบปีกุนพยา
‘เตรียมแต่งแล้วจ้า...ไฮโซธามวัตฒ์เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของประเทศกับครูสาวที่หมั้นหมายกันมานานหลายปี ในที่สุดก็ได้ฤกษ์งามยามดีสั่นระฆังวิวาห์’นิ้วมืออวบเลื่อนอ่านข่าวบันเทิงในสมาร์ตโฟนพรางกดดูรูปของว่าที่เจ้าบ่าวดู มุมปากโค้งขึ้นนิดหนึ่งจนมองแทบไม่ทันแล้วก็หุบลงเจ้าของร่างอวบหนักเจ็ดสิบ สูงเพียงแค่ร้อยหกสิบห้าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองอกหักอีกครั้ง ครั้งแรกคือวันที่รู้ว่าผู้ชายที่เคยช่วยชีวิตไว้มีคนรักและหมั้นกันแล้ว ส่วนครั้งที่สองก็คือตอนนี้ที่พวกเขาประกาศว่ากำลังจะแต่งงานกันใบหน้ากลมเนียนใสซึ่งแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบาสะบัดหัวไล่ความคิดของตัวเองออกไป หากเธอแอบชอบคนที่ฐานะใกล้เคียงกันป่านนี้คงลงเอยด้วยการมีแฟนไปนานแล้ว ตอนนี้จึงเป็นแค่หมามองเครื่องบินเท่านั้น“อ่านข่าวคุณทามอยู่เหรอกุน”สาวสวยหน้าตาดีซึ่งอยู่ในชุดยูนิฟอร์มเดียวกันชะโงกมองหน้าจอมือถือเพื่อนรักและก็เห็นว่าเป็นจริงอย่างที่คิดเอาไว้ ไม่มีผิด‘ตวิศา’เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของ ‘ปีกุน’ ซึ่งทั้งคู่เป็นเด็กกำพร้าถูกทอดทิ้งไว้ในสถานสงเคราะห์เด็กบ้านเติมรัก เมื่อเรียนจบมัธยมปลายสองสาวจึงตัดส