สายตาที่สบกันนิ่งนั้นดั่งเวลาหยุดนิ่งเคลื่อนไหว อารัทธาเข้าใจในตอนนี้เองว่า “ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ” นั้นเป็นอย่างไร สายตาต่างฉายแววพอใจในกันและกัน เครื่องหน้าอื่นภายใต้ผ้าบางปกบิดนั้นเล่าจะงดงามเพียงใด เขาคงไม่มีวันได้แลเห็นเพราะสตรีที่นี่ถือธรรมเนียมเคร่งครัดนัก จะไม่มีชายใดได้เห็นใบหน้าของเธอนอกจากสามีและคนในครอบครัวเท่านั้น ขนาดดวงตาของเธอยังงดงามเช่นเพียงนี้แล้วใบหน้าหวานละมุนนั้นจะงดงามแค่ไหน
ฮาน่าเองก็รู้สึกเก้อเขินในสายตาของบุรุษตรงหน้ายิ่งนัก แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องหลบดวงตาคมเข้มที่สบมา เพราะหากหันหลังจากกันไปคงจะไม่มีโอกาสได้เห็นเจ้าของดวงตาที่คมเข้มทรงอำนาจนั้นได้อีกเป็นแน่
ในฐานะท่านหญิงแห่งอารันดาคงไม่มีชายใดจะได้ยลโฉมหรือแม้เฉียดกายเข้าใกล้แน่นอน แล้วเวลานี้จะต้องกลัวอะไรเล่า ไม่มีใครรู้ว่าหญิงสาวที่แต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองนี้คือท่านหญิงของพวกเขา ขนบธรรมเนียมเห็นจะใช้ไม่ได้ในเวลานี้เสียแล้ว อะไรบางอย่างทำให้ฮาน่าบอกตนเองว่า
“ชายต่างชาติผู้นี้ คือ คนที่ถูกส่งมาเพื่อเธอโดยแท้”
“สวัสดีครับ มิสเตอร์อารัทธา... คุณอารมณ์ให้ผมมารับครับ”
น้ำเสียงทักทายใกล้ตัวทำให้อารัทธาตื่นจากภวังค์ในทันที ดวงตาคมเข้มจำต้องละสายตาจากเจ้าของดวงตางดงามนั้นมามองที่ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ใกล้แค่เอื้อม
ชายวัยกลางคนสีผิวเข้มจัดดั่งเมล็ดกาแฟคั่ว เสื้อผ้ายูนิฟอร์มบริษัทวางแท่นขุดเจาะน้ำมันที่คุณอารมณ์น้าชายของเขาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บอกสถานะของเจ้าของได้ชัดเจน คงเป็นคนที่น้าชายส่งมารับเป็นแน่
ด้วยความสูงที่มากกว่าเกือบฝ่ามือทำให้รอฮีมต้องเงยหน้ามองชายหนุ่มตรงหน้า อารัทธาทักทายผู้ที่น้าชายให้มารับพอเป็นพิธีแต่ก็อดที่จะแปลกใจกับบทสนทนาภาษาอังกฤษระหว่างตนเองกับผู้มารับไม่ได้ ชายผู้นี้ใช้ภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียวถึงสำเนียงจะไม่ชัดเจนเท่าไรแต่ก็ดีในระดับที่สื่อสารกันได้เข้าใจ
อารัทธาก้าวเท้าเดินตามผู้มารับแต่ก็อดที่จะชำเลืองมองมายังเจ้าของดวงตางดงามนั้นไม่ได้ และคิดไม่ผิดเลยเธอเองก็มองมาที่เขาเช่นกัน หัวใจสองดวงหวามไหวกับการจากลา เขาก้มศีรษะลงนิดนึงแทนคำอำลา
ทว่าดวงตาคู่สวยกลับเข้มขึ้นด้วยความไม่พอใจในทันที หล่อนรีบสะบัดหน้าหันหนีไปทางอื่นแต่ก็ไม่ทัน สายตาของผู้คนนับสิบคู่ที่อยู่บริเวณนั้นจ้องมองมาที่เธอเพียงคนเดียว สายตาดูหมิ่น ดูแคลน ตำหนิ ที่สัมผัสได้นั้นทำให้แก้มนวลเนียนร้อนวูบวาบด้วยความโกรธ ความอาย แค้นเคือง
ฮาน่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความไม่พอใจ เป็นเพราะนายนั่นแท้ๆ ก็หล่อดูดีไปซะทุกอย่าง ดูเด่นอยู่คนเดียวทั้งเรือนพักผู้โดยสาร แค่เขาก้มศีรษะให้เธอ สายตาทุกคู่ก็เพ่งมาที่เธอในทันที
“เด่นจนได้เรื่อง” สายตาหวานละมุนนั้นบัดนี้ขุ่นมัวด้วยความไม่พอใจ โทสะพุ่งขึ้นริ้วๆ สายตาพิฆาตจึงส่งเข้าหาเขาด้วยความถือดีด้วยบังอาจทำให้ท่านหญิงแห่งรัฐอารันดาต้องอับอายผู้คนของเธอเองขนาดนี้.. แม้ไม่รู้ว่าเธอเป็นท่านหญิงของพวกเขาก็ตาม
อารัทธาชะงักฝีเท้าในทันทีที่ได้เห็นว่าเจ้าของดวงตาคู่สวยนั้นตวัดตอบมาด้วยความไม่พอใจ ความโกรธกรุ่นแผ่ซ่านไปทั่วดวงตาหวานงดงาม
รอฮีมหยุดรอเมื่อเห็นว่านายหนุ่มนั้นไม่ได้เดินตามมาและพอจะเดาเหตุการณ์ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงรีบเข้ามาสะกิดที่สีข้างของชายหนุ่มและเร่งเร้าให้ออกจากที่นี่อย่างรวดเร็ว
“ชายชาวเมืองเราจะปฏิบัติอันใดกับสตรีที่มีใช่ภรรยาหรือคนในครอบครัวไม่ได้ แม้จะเป็นแค่การทักทายก็ไม่ได้จะทำให้เธอมัวหมอง รีบไปกันเถอะครับ ท่าจะไม่ดีแล้ว”
แววไหววูบสลดขึ้นมาในทันที นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอไม่พอใจเป็นแน่ อารัทธาสบสายตาคู่สวยนั้นอีกครั้งด้วยแววตาลุแก่โทษที่ทำให้เธอต้องอับอาย สวมแว่นตายี่ห้อดังพร้อมกระชับแจ็คเก็ตเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเผชิญไอแดดด้านนอกเรือนพักผู้โดยสาร
สายตางดงามอ่อนหวานภายใต้แพขนตางอนหนาลอบมองด้านหลังแข็งแกร่งนั้นที่ห่างออกไปผ่านผ้าคลุมหน้าบางเบาด้วยไม่อยากเป็นจุดสนใจมากไปกว่านี้
.
.
รถตรวจการปิดกระจกมิดชิดด้วยกลัวไอแดดและละอองจากฝุ่นทรายเม็ดละเอียดที่อาจลอดผ่านเข้ามาได้ ทั้งยังกรุผ้าม่านสีเขียวอ่อนเพื่อช่วยสะท้อนแสงอาทิตย์สาดส่อง เขารีบผลุบร่างสูงเข้าสู่ตัวรถคันโตโดยเร็วเพราะผิวกายนั้นเริ่มที่จะแสบคันขึ้นมาตั้งแต่ส่วนที่โผล่พ้นเสื้อผ้าลามขึ้นมาถึงต้นแขนแกร่ง แก้มสากไปด้วยไรหนวดเขียวจางนั้นเริ่มมีสีชมพูระเรื่อมากยิ่งขึ้น
อารัทธาทิ้งร่างใหญ่พิงเบาะรถในทันทีที่เข้าสู่ตัวรถ คนขับพื้นเมืองเหลือบสายตาดูนายหนุ่มคนใหม่จากกระจกมองหลัง คนร่างใหญ่โตดุจยักษ์นั้นนอนหมดสภาพกองอยู่กับเบาะหลังเสียแล้ว สายตาขบขันฉายขึ้นเพียงชั่วครู่แล้วจึงปรับให้เป็นปกติ พลางเอ่ยเจรจา
“มิสเตอร์ครับ ท่าจะเมาแดดนะ พักสักสองสามวันคงจะดีขึ้น นอนสักพักก็ได้ครับอีกประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าจะถึงแค้มป์ มิสเตอร์คงต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศที่นี่ให้ได้”
“อืม.. 3 ชั่วโมง ไกลเหมือนกัน งั้นผมขอตัวนอนสักครู่ละกัน”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาอย่างอ่อนแรง หัวใจแกร่งภายใต้ร่างสูงใหญ่ให้หวนคิดไปถึงเจ้าของดวงตาหวานละมุนนั้น
“ดีนะไม่หมดสภาพต่อหน้า...”
“ฮาน่า! น้องกลับมาเองได้ยังไง ทำไมไม่บอกพี่ พี่จะให้คนไปรับ ทำแบบนี้.. ฮึ่ม... น้องนี่แย่มาก ไม่ห่วงเลยหรือว่า หากน้องไปพบกับพวก... พี่จะทำยังไง น้องนี่มัน..มัน..” น้ำเสียงกราดเกรี้ยวจากเจ้าของเรือนกายสูงใหญ่ที่วิ่งเข้ามาในตัวตึกฝ่ายในอย่างร้อนรน แววตากราดเกรี้ยวเจือไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แม้ว่าคำพูดที่เอ่ยจะดูเหมือนตำหนิติเตียน แต่เจ้าของร่างบางที่สั่นสะท้านขึ้นลงด้วยแรงสะอื้นกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มนั้น ทำให้ผู้เป็นพี่หัวใจอ่อนยวบลงในทันที ความคิดที่จะเข้ามาต่อว่าต่อขานมากมายที่คิดมาระหว่างทางที่วิ่งจากตึกหน้าเข้ามาที่ฝ่ายในนี้ ต้องกลืนหายเข้าไปในลำคอแห้งผากเมื่อคิดว่าจักต้องเสียน้องสาวเพียงคนเดียวไปเสียแล้วกับนิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจของสตรีผู้งดงามหมดจดตรงหน้านี้ น้ำตาไหลอาบแก้มนวลที่ส่งมาพร้อมสายตาที่คิดถึงสุดชีวิตที่พี่น้องถ่ายทอดให้แก่กัน ทำให้ร่างบางโผเข้าหาอ้อมอกอบอุ่นและพี่ชายก็กางแขนโอบกอดน้องนั้นแนบอกอุ่นเช่นเดียวกัน “ฮาน่า.. ทำไมทำอย่างนี้ น้องไม่ห่วงความปลอดภัยของตนเองเลยรึไง” “ห่วงสิคะ ถึงทำอย่างนี้ ถ้าน
“พี่คะ.. เรื่องนั้น พี่จะจัดการยังไงคะ” “รอเวลาก่อนฮาน่า ตอนนี้เรายังคงทำอะไรไม่ได้หรอก ต้องรอให้วิศวกรที่คุมแท่นขุดเจาะนั้นเข้ามาแจ้งแผนและความคืบหน้าของการวางท่อน้ำมันก่อน พี่ถึงจะเตรียมการทำอะไรได้ เพราะคงต้องอาศัยความร่วมมือจากเขามากๆ เพราะเป้าหมายตอนนี้ที่ต้องระวังไม่ใช่เราแต่เป็นเขา และพี่ก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะรู้เรื่องปัญหาภายในอารันดาแค่ไหน” “อ้าว! อย่างนี้เราก็ทำอะไรไม่ได้เลยสิคะ ต้องรอเขาอย่างเดียว” หน้างามง้ำลงไม่พอใจที่ทำไมต้องรอคอยคนคนนั้นด้วย ทั้งที่ชี้คฟีรอสน่าจะเร่งรีบดำเนินการเพื่อตัดไฟเสียแต่ต้นลม “พรุ่งนี้เขาจะเข้ามา เห็นว่าเป็นไข้แดดน่ะ คนต่างที่ต่างถิ่นมาอยู่บ้านเราก็ย่อมจะไม่ชิน ยิ่งอากาศกลางทะเลทรายนั่นสูงกว่า 50 องศา ปรับตัวได้ไวแบบนี้ก็นับว่าอึดแล้ว” “เชอะ! ผู้ชายเสียเปล่าเป็นไข้ได้ไง จะมาทำงานที่นี่ก็ต้องศึกษาเรื่องของอารันดามาแล้วสิคะ เขาก็น่าจะรู้ว่าบ้านเราน่ะร้อน มาถึงก็ไม่สบายแล้วยังงี้จะทนอยู่ไหวหรือคะ มีหวังเราจะแห้วน่ะสิ” ชี้คฟีรอสขยี้เรือนผมนุ่มของน้องสาวช่างเจรจาไปมา เอ็นดูกับความช่า
อารัทธาเดินออกจากห้องสมุดส่วนตัวแห่งชี้คอารันดาด้วยความรู้สึกหนักศีรษะกับเรื่องราวที่ได้รับรู้ สายตาคมเข้มมุ่งมั่นทอดมองสู่เบื้องหน้าทางเดินที่ปูด้วยหินอ่อนลดหลั่นเข้าสู่สวนสวย พลันสายตาก็ต้องชะงักกับภาพที่เคลื่อนไหวเบื้องหน้า สตรีผู้หนึ่งผู้มีดวงตาที่งดงามดุจเดือนดารา นัยน์ตาสีทรายทองคู่นั้น ภายใต้ชุดประจำชาติที่ปกคลุมร่างบอบบางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแต่ทว่ายังคงเว้นช่วงดวงตาหวานนั้นไว้ ดวงตาหวานที่ตราตรึงหัวใจแกร่งตั้งแต่เมื่อแรกสัมผัสเห็น ไม่ต่างไปจากเจ้าของดวงตาหวาน หัวใจดวงน้อยตื่นตะลึงกับบุรุษสูงใหญ่ที่ยืนเด่นอยู่เบื้องหน้านี้ จวบจนฝ่ามือแข็งแกร่งนั้นแตะสัมผัสแก้มนวลที่กั้นไว้เพียงแพรผ้าบางเบาก็ทำให้ร่างบางสะดุ้งสุดตัว ฮาน่ามัวแต่ตื่นตะลึงจ้องมองบุรุษนั้น โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่าร่างสูงนั้นเคลื่อนกายเข้าหาตั้งแต่เมื่อใด ด้วยความตกใจที่ถูกชายแปลกหน้าสัมผัสทำให้ท่านหญิงแห่งอารันดาเบี่ยงตัวและหันกลับในทันที แต่ทว่ายังช้าไปกว่าร่างสูงที่เข้าประชิดตัว “ปะ..ปล่อยนะ ปล่อยเราเดี๋ยวนี้” ฮาน่าสะบัดข้อมือที่ถูกยื้อยุดให้เดินตามอย่าง
ไอความร้อนแรกสัมผัสกระทบผิวกาย เมื่อแรกก้าวออกจากตัวเครื่องบินโดยสารจากประเทศไทยถึงรัฐอารันดา ทำให้ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแสบร้อนบริเวณผิวกายที่โผล่พ้นเสื้อผ้าที่ปกปิดเรือนกายสมส่วนแห่งบุรุษเพศ เรียวขาแข็งแกร่งดูทรงพลังเร่งฝีเท้าให้เข้าถึงตัวอาคารสนามบินอย่างรวดเร็ว ด้วยส่วนสูงกว่า 180 เซนติเมตร ทำให้ชายหนุ่มตกเป็นเป้าสายตาของผู้โดยสารใกล้เคียงในทันที รูปร่างแข็งแกร่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์อยู่ในชุดกางเกงยีนส์และเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนพับแขนแค่ศอก สาบเสื้อที่ปลดค้างไว้ด้วยต้องการระบายความร้อนจากอากาศที่ได้รับเผยให้เห็นแผงอกบึกบึนที่มีขนอ่อนสีน้ำตาลทองขึ้นอยู่รำไร ผมสีน้ำตาลเข้มยาวประบ่าถูกรวบไว้หลวมๆ แนวคิ้วคมเข้มเฉียงขึ้นเล็กน้อยอย่างชายหยิ่งยโสไม่กลัวใคร จมูกโด่งงุ้มดั่งพญาเหยี่ยวกุมอำนาจ ริมฝีปากบางเฉียบแดงระเรื่อ ดื้อรั้น เอาแต่ใจ ทุกเครื่องหน้าที่เปิดเผยนั้นบอกได้คำเดียวว่า “หมอนี่หล่อได้ร้ายกาจมาก” ฮาน่าบอกตนเองในใจ หลังลอบแอบมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะด้านหน้าเธอมาตลอด 12 ชั่วโมงการบินจากประเทศไทยม
อารัทธาเดินออกจากห้องสมุดส่วนตัวแห่งชี้คอารันดาด้วยความรู้สึกหนักศีรษะกับเรื่องราวที่ได้รับรู้ สายตาคมเข้มมุ่งมั่นทอดมองสู่เบื้องหน้าทางเดินที่ปูด้วยหินอ่อนลดหลั่นเข้าสู่สวนสวย พลันสายตาก็ต้องชะงักกับภาพที่เคลื่อนไหวเบื้องหน้า สตรีผู้หนึ่งผู้มีดวงตาที่งดงามดุจเดือนดารา นัยน์ตาสีทรายทองคู่นั้น ภายใต้ชุดประจำชาติที่ปกคลุมร่างบอบบางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแต่ทว่ายังคงเว้นช่วงดวงตาหวานนั้นไว้ ดวงตาหวานที่ตราตรึงหัวใจแกร่งตั้งแต่เมื่อแรกสัมผัสเห็น ไม่ต่างไปจากเจ้าของดวงตาหวาน หัวใจดวงน้อยตื่นตะลึงกับบุรุษสูงใหญ่ที่ยืนเด่นอยู่เบื้องหน้านี้ จวบจนฝ่ามือแข็งแกร่งนั้นแตะสัมผัสแก้มนวลที่กั้นไว้เพียงแพรผ้าบางเบาก็ทำให้ร่างบางสะดุ้งสุดตัว ฮาน่ามัวแต่ตื่นตะลึงจ้องมองบุรุษนั้น โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่าร่างสูงนั้นเคลื่อนกายเข้าหาตั้งแต่เมื่อใด ด้วยความตกใจที่ถูกชายแปลกหน้าสัมผัสทำให้ท่านหญิงแห่งอารันดาเบี่ยงตัวและหันกลับในทันที แต่ทว่ายังช้าไปกว่าร่างสูงที่เข้าประชิดตัว “ปะ..ปล่อยนะ ปล่อยเราเดี๋ยวนี้” ฮาน่าสะบัดข้อมือที่ถูกยื้อยุดให้เดินตามอย่าง
“พี่คะ.. เรื่องนั้น พี่จะจัดการยังไงคะ” “รอเวลาก่อนฮาน่า ตอนนี้เรายังคงทำอะไรไม่ได้หรอก ต้องรอให้วิศวกรที่คุมแท่นขุดเจาะนั้นเข้ามาแจ้งแผนและความคืบหน้าของการวางท่อน้ำมันก่อน พี่ถึงจะเตรียมการทำอะไรได้ เพราะคงต้องอาศัยความร่วมมือจากเขามากๆ เพราะเป้าหมายตอนนี้ที่ต้องระวังไม่ใช่เราแต่เป็นเขา และพี่ก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะรู้เรื่องปัญหาภายในอารันดาแค่ไหน” “อ้าว! อย่างนี้เราก็ทำอะไรไม่ได้เลยสิคะ ต้องรอเขาอย่างเดียว” หน้างามง้ำลงไม่พอใจที่ทำไมต้องรอคอยคนคนนั้นด้วย ทั้งที่ชี้คฟีรอสน่าจะเร่งรีบดำเนินการเพื่อตัดไฟเสียแต่ต้นลม “พรุ่งนี้เขาจะเข้ามา เห็นว่าเป็นไข้แดดน่ะ คนต่างที่ต่างถิ่นมาอยู่บ้านเราก็ย่อมจะไม่ชิน ยิ่งอากาศกลางทะเลทรายนั่นสูงกว่า 50 องศา ปรับตัวได้ไวแบบนี้ก็นับว่าอึดแล้ว” “เชอะ! ผู้ชายเสียเปล่าเป็นไข้ได้ไง จะมาทำงานที่นี่ก็ต้องศึกษาเรื่องของอารันดามาแล้วสิคะ เขาก็น่าจะรู้ว่าบ้านเราน่ะร้อน มาถึงก็ไม่สบายแล้วยังงี้จะทนอยู่ไหวหรือคะ มีหวังเราจะแห้วน่ะสิ” ชี้คฟีรอสขยี้เรือนผมนุ่มของน้องสาวช่างเจรจาไปมา เอ็นดูกับความช่า
“ฮาน่า! น้องกลับมาเองได้ยังไง ทำไมไม่บอกพี่ พี่จะให้คนไปรับ ทำแบบนี้.. ฮึ่ม... น้องนี่แย่มาก ไม่ห่วงเลยหรือว่า หากน้องไปพบกับพวก... พี่จะทำยังไง น้องนี่มัน..มัน..” น้ำเสียงกราดเกรี้ยวจากเจ้าของเรือนกายสูงใหญ่ที่วิ่งเข้ามาในตัวตึกฝ่ายในอย่างร้อนรน แววตากราดเกรี้ยวเจือไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แม้ว่าคำพูดที่เอ่ยจะดูเหมือนตำหนิติเตียน แต่เจ้าของร่างบางที่สั่นสะท้านขึ้นลงด้วยแรงสะอื้นกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มนั้น ทำให้ผู้เป็นพี่หัวใจอ่อนยวบลงในทันที ความคิดที่จะเข้ามาต่อว่าต่อขานมากมายที่คิดมาระหว่างทางที่วิ่งจากตึกหน้าเข้ามาที่ฝ่ายในนี้ ต้องกลืนหายเข้าไปในลำคอแห้งผากเมื่อคิดว่าจักต้องเสียน้องสาวเพียงคนเดียวไปเสียแล้วกับนิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจของสตรีผู้งดงามหมดจดตรงหน้านี้ น้ำตาไหลอาบแก้มนวลที่ส่งมาพร้อมสายตาที่คิดถึงสุดชีวิตที่พี่น้องถ่ายทอดให้แก่กัน ทำให้ร่างบางโผเข้าหาอ้อมอกอบอุ่นและพี่ชายก็กางแขนโอบกอดน้องนั้นแนบอกอุ่นเช่นเดียวกัน “ฮาน่า.. ทำไมทำอย่างนี้ น้องไม่ห่วงความปลอดภัยของตนเองเลยรึไง” “ห่วงสิคะ ถึงทำอย่างนี้ ถ้าน
สายตาที่สบกันนิ่งนั้นดั่งเวลาหยุดนิ่งเคลื่อนไหว อารัทธาเข้าใจในตอนนี้เองว่า “ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ” นั้นเป็นอย่างไร สายตาต่างฉายแววพอใจในกันและกัน เครื่องหน้าอื่นภายใต้ผ้าบางปกบิดนั้นเล่าจะงดงามเพียงใด เขาคงไม่มีวันได้แลเห็นเพราะสตรีที่นี่ถือธรรมเนียมเคร่งครัดนัก จะไม่มีชายใดได้เห็นใบหน้าของเธอนอกจากสามีและคนในครอบครัวเท่านั้น ขนาดดวงตาของเธอยังงดงามเช่นเพียงนี้แล้วใบหน้าหวานละมุนนั้นจะงดงามแค่ไหน ฮาน่าเองก็รู้สึกเก้อเขินในสายตาของบุรุษตรงหน้ายิ่งนัก แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องหลบดวงตาคมเข้มที่สบมา เพราะหากหันหลังจากกันไปคงจะไม่มีโอกาสได้เห็นเจ้าของดวงตาที่คมเข้มทรงอำนาจนั้นได้อีกเป็นแน่ ในฐานะท่านหญิงแห่งอารันดาคงไม่มีชายใดจะได้ยลโฉมหรือแม้เฉียดกายเข้าใกล้แน่นอน แล้วเวลานี้จะต้องกลัวอะไรเล่า ไม่มีใครรู้ว่าหญิงสาวที่แต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองนี้คือท่านหญิงของพวกเขา ขนบธรรมเนียมเห็นจะใช้ไม่ได้ในเวลานี้เสียแล้ว อะไรบางอย่างทำให้ฮาน่าบอกตนเองว่า “ชายต่างชาติผู้นี้ คือ คนที่ถูกส่งมาเพื่อเธอโดยแท้” “สวัสดีครับ มิสเตอร์อารัทธา... คุณอารมณ์ให้ผมม
ไอความร้อนแรกสัมผัสกระทบผิวกาย เมื่อแรกก้าวออกจากตัวเครื่องบินโดยสารจากประเทศไทยถึงรัฐอารันดา ทำให้ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแสบร้อนบริเวณผิวกายที่โผล่พ้นเสื้อผ้าที่ปกปิดเรือนกายสมส่วนแห่งบุรุษเพศ เรียวขาแข็งแกร่งดูทรงพลังเร่งฝีเท้าให้เข้าถึงตัวอาคารสนามบินอย่างรวดเร็ว ด้วยส่วนสูงกว่า 180 เซนติเมตร ทำให้ชายหนุ่มตกเป็นเป้าสายตาของผู้โดยสารใกล้เคียงในทันที รูปร่างแข็งแกร่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์อยู่ในชุดกางเกงยีนส์และเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนพับแขนแค่ศอก สาบเสื้อที่ปลดค้างไว้ด้วยต้องการระบายความร้อนจากอากาศที่ได้รับเผยให้เห็นแผงอกบึกบึนที่มีขนอ่อนสีน้ำตาลทองขึ้นอยู่รำไร ผมสีน้ำตาลเข้มยาวประบ่าถูกรวบไว้หลวมๆ แนวคิ้วคมเข้มเฉียงขึ้นเล็กน้อยอย่างชายหยิ่งยโสไม่กลัวใคร จมูกโด่งงุ้มดั่งพญาเหยี่ยวกุมอำนาจ ริมฝีปากบางเฉียบแดงระเรื่อ ดื้อรั้น เอาแต่ใจ ทุกเครื่องหน้าที่เปิดเผยนั้นบอกได้คำเดียวว่า “หมอนี่หล่อได้ร้ายกาจมาก” ฮาน่าบอกตนเองในใจ หลังลอบแอบมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะด้านหน้าเธอมาตลอด 12 ชั่วโมงการบินจากประเทศไทยม