"หว่านหนิง"หว่านหนิงเงยหน้าจากผ้าที่กำลังเย็บให้ลี่หยางลี่หยางวิ่งมากอดหว่านหนิงแนบอกนิ่งนาน เหมือนกับกลัวว่าหว่านหนิงจะหลุดลอยไปจากมือ"องค์ชายเป็นอะไรไป"หว่านหนิงสัมผัสได้ถึงอารมณ์เศร้าสร้อยนั้น"เจ้าไม่โกรธข้าใช่ไหม"น้ำเสียงเศร้าสร้อย"หว่านหนิง เข้าใจองค์ชายดีเพคะ"กระชับออ้อมกอดแนบแน่น"เจ้าคราวหลังอย่าทำแบบนี้อีก ข้ากลัว.. กลัวเหลือเกิน"หว่านหนิงยิ้มบางๆ"องค์ชาย ทุกอย่างที่องค์ชายเผชิญเป็นสิ่งที่หว่านหนิงจะไม่แยแสไม่ได้"แววปีติเกิดขึ้นที่แววตาเฉยชานั้น"ไท่จือไม่ใช่คนที่เจ้าจะต่อกรด้วยได้ เสด็จพ่อก็ใช่คนที่อ่านใจได้เช่นกัน ถึงเสด็จพ่อจะรู้อยู่แก่ใจหรือเจ้าจะมีหลักฐานเอาผิดไท่จือ แต่ไท่จือก็คือลูกเสด็จพ่อและยังเป็นลูกที่ยอมยกตำแหน่งไท่จือให้ เจ้าคิดว่าตำแหน่งไท่จือมีไว้เพื่ออะไรกัน ไท่จือกว่าจะเป็นได้ไม่ได้ง่ายและรักษาตำแหน่งไว้ยากยิ่งกว่าสิ่งใด ฉะนั้นไม่ว่าตัวเขาเองหรือเสด็จพ่อที่เพียงจะยืนยันว่าตัดสินใจถูกในการเลือกไท่จือก็จะพยายามช่วยให้ไท่จืออยู่ในตำแหน่งให้ได้"หว่านหนิงพอจะเข้าใจ แต่คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะปกป้องไท่จือจนมองข้ามความผิดของไท่จือได้"หว่านหนิงเข้าใจแล้ว องค์ชายกั
วันนี้หว่านหนิงไม่ได้ลุกไปทำอาหารก็ในเมื่อลี่หยางกอดร่างบางไว้ในอ้อมแขนแน่น ไม่ยอมให้ลุกออกจากแท่นนอนอิงไถยกเครื่องเสวยฝีมือนางที่พอจะครูพักลักจำมาจากนายหญิงได้บ้างลี่หยางคีบผักส่งเข้าปากเคี้ยว“อีกไม่กี่วันจะถึงเทศกาลปีใหม่ ทุกปีข้าต้องอยู่ในตำหนักเพียงลำพัง ปีนี้เจ้าอยากกลับไปเยี่ยมท่านแม่ของเจ้าหรือไม่”หว่านหนิงยิ้ม“องค์ชาย อยากเจอท่านแม่ของข้าขึ้นมาแล้วหรือไร”ใบหน้าเรียบเฉยตามแบบของเขา“ความจริงข้าเสียมารยาท น่าจะไปยกน้ำชาเสียหน่อย ไหนๆก็แต่งลูกสาวของท่านมาแล้ว”“ไม่จำเป็นต้องเป็นเทศกาล เราก็ไปเยี่ยมท่านแม่ได้”หว่านหนิงออกความเห็น“หลายวันก่อนเจ้าส่งทั้งโถและแจกันไปยังตระกูลจงของเจ้า หากเราไปเยี่ยมมารดาของเจ้าต้องนำของที่มีค่ากว่านั้นไป”องค์ชายช่างรอบคอบกลัวว่าหว่านหนิงจะน้อยหน้าคนอื่น บรรดาสนมที่ฝ่าบาทโปรดปรานมีเพียงเสด็จแม่ขององค์ชายที่ได้ของพระราชทานเยอะสุดแต่องค์ชายกลับนำของเหล่านั้นเก็บไว้ในห้องเสียห้องหนึ่งในตำหนักร้อยดาว และจนป่านนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าเอาลูกกุญแจไปซ่อนไว้ไหน ในตอนนั้นคนทั้งวังหลวงต่างเกรงกลัวเรื่องเล่าในคืนเดือนมืด เรื่องวิญญาณของสนมจินเฟยที่มักจะเข้ามากล่
“ดีไม่น้อย แต่หากฮองเฮาจะช่วยเมตตาสั่งให้หยุดโบยเขาก่อน ไม่เช่นนั้นเสี่ยวกู้คงตายในตำหนักคุนหนิงนี้แน่”“เช่นไรข้าถึงต้องฟังคำพูดของเจ้า”“การทำให้ผู้อื่นได้รับทุกข์เข็ญอาจนำมาซึ่งความเคียดแค้นแสนสาหัส แม้เขาจะไม่สามารถทวงแค้นได้ ทว่าความผิดบาปในใจยังอยู่กับเราชั่วกาล”ขณะนั้นเองที่สายตาเหลือบไปเห็นปิ่นปักผมของพระมารดาของลี่หยางบนศีรษะของหว่านหนิงปิ่นปักผมของพระสนมจินเฟย ดวงตากลับเหลือกถลน“หยุดโบยรอจนกว่าฝ่าบาทจะเป็นผู้ตัดสิน”ฮองเฮาสั่งเสียงกร้าว กุ้ยอิงกับอิงไถพยุงเสี่ยวกู้ลุกขึ้น พาเดินกลับตำหนักร้อยดาว หว่านหนิงงงงันไม่น้อยเมื่อกี้ยังเสียงแข็งเรื่องที่จะโบยเสี่ยวกู้จนหมดลมหายใจ แล้วทำไมถึงเปลี่ยนใจง่ายดายหรือแค่เพียงคำพูดของหว่านหนิงก็ทำให้เปลี่ยนใจได้“พระชายา ขอบคุณพระชายาที่เมตตาเสี่ยวกู้”“หมาป่ากับลูกแกะเขาก็มักจะหาเรื่อง หากให้เจ้าผิดเจ้าก็ต้องผิด ยาที่ห้องของข้า เสี่ยวไถเจ้าไปนำมันมาทาแผลที่หลังให้เสี่ยวกู้”อิงไถรีบรุดไปทันที“พระชายาไม่จำเป็นต้องดีกับเสี่ยวกู้ขนาดนี้ก็ได้”“เราทั้งหมดลงเรือลำเดียวกันแล้ว เป็นครอบครัวเดียวกันหากข้าตายพวกเจ้าจะรอดได้อย่างไร หรือหากพวกเจ้าตายข
ตำหนักร้อยดาวหากมีดาวร้อยพันส่องสว่างกลับหามองเห็นไม่ ภายใต้ดวงตาเย็นชานั้นไม่ได้มีสิ่งใดให้ลังเลที่จะถอยห่างออกไป“องค์ชาย”ร่างใหญ่ถอยห่างนอนขดตัวชิดข้างฝา ไร้คำพูดตอบกลับพรุ่งนี้จะมีหน้าไปคุยกับใครในเมื่อคืนนี้ไร้การร่วมหออย่างที่ควรจะเป็นอย่างดีคงต้องปิดปากเงียบ หรือหากจะร้ายหน่อยก็คงถูกตราหน้า หว่านหนิงนอนนิ่งไม่กล้าแม้แต่ขยับตัว จะอย่างไรเล่าในเมื่อบุรุษผู้นี้ ไร้ผู้คนรักใคร่เอ็นดูตลอดชีวิต แทบจะไม่ยิ้มหัว มีเพียงตัวเองที่จมอยู่กับตัวเองก็เท่านั้นจะให้มีปฏิกิริยารักใคร่ชอบพอใครตอบกลับคงไม่มีทางหว่านหนิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดึงผ้าผืนใหญ่ห่มคลุมร่างกายของตัวเอง อากาศหนาวจัด อีกคนยังนอนขดตัวไม่แม้จะเฉียดใกล้ร่างบอบบางของหว่านหนิงให้ระคายเคืองค่ำคืนเหน็บหนาวผ่านไปอย่างกล้ำกลืน หว่านหนิงตื่นเช้าขึ้นมา องค์ชายห้าก็นั่งในท่าเตรียมพร้อมอาบน้ำออกมานั่งรอไร้สาวใช้หรือขันทีช่วยแต่งกาย หว่านหนิงหยิบ เสื้อคลุมและหมวก ไปยืนตรงหน้าสายตาหมางเมินจนเกือบจะเป็นเย็นชาแต่งเข้ามาในตำหนักร้อยดาว แต่เหมือนร้างไร้ซึ่งดาวมีเพียงความมืดมิด ประตูหน้าต่างถูกปิดตายฝุ่นสีเทาเกาะอยู่ไปทั่วบริเวณเหมือนไม่เคยได
“หว่านหนิง ยังไม่ทันได้มีสิ่งใดรองท้องเห็นที่ต้องอำลาเพียงแค่นี้”ตัดบทเอาเสียดื้อๆไม่จำเป็นต้องเสวนาให้มากความในเมื่อคนผู้นี้ไม่ได้มีผลต่อการใช้ชีวิตในตำหนักร้อบดาวของหว่านหนิง“เดี๋ยว” มือใหญ่ฉุดมือบางไว้ หว่านหนิงเหลือบตามองมือใหญ่ ค่อยๆแกะมันออกไป ขันทีข้างกายไท่จือกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ เกรงว่าไท่จือจะทำสิ่งใดโดยพลการจนทำให้เกิดเรื่องราววุ่นวาย ตามมาทีหลัง“ไท่จือ หว่านหนิงเพิ่งแต่งเข้าตำหนักร้อยดาว ไท่จือมีอะไรเชิญพูดตรงๆ ”เหลือบตามองมือใหญ่ที่จับอยู่ที่ข้อแขน“ข้า..กำลังต้องการใครสักคน มาเดินชมสวนเป็นเพื่อนในเช้านี้”สายตาจงใจสื่อความหมายบางอย่าง“เกรงว่าจะไม่เหมาะนักห้องหับในตำหนักร้อยดาวรกเรื้อ หว่านหนิงเห็นทีต้อง ทำความสะอาดเสียยกใหญ่เช่นนั้นคงไม่อาจซุกตัว”พูดความจริงเพื่อหลบหลีก เหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่าไม่ได้สนใจไท่จือมากไปกว่าการทำความสะอาดตำหนักร้อยดาวหรืออีกความหมายก็คือการทำงานหนักสำคัญกว่าตำแหน่งของเล่นของไท่จือหว่านหนิงพร้อมที่จะทนทุกข์ดีกว่าต้องไปเดินเล่นกับไท่จือ“ลี่หยาง...พี่ห้า ยึดครองตำหนักร้อยดาวมาแต่ต้นและไม่ยอมให้ใครเข้าออก”หว่านหนิงขมวดคิ้วจะเชื่อดีไหม“เช่นนั้นไ
บนแท่นนอนเดียวกันกลิ่นกายสาวหอมยวนใจลี่หยางใจไหวเอนแต่ยังนอนนิ่งจนเกือบจะเป็นตะคลิว ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ด้วยไม่เคยชิดใกล้หญิงใดมาก่อน หว่านหนิงก็นอนลืมตาโพลง วันนี้ก็คงหมือนคืนที่ผ่านมา ไร้ซึ่งการร่วมหอ"องค์ชาย ถ้าต้องไปยกน้ำชาให้ฮองเฮา แล้วผ้าปูก็ๆๆๆ ไม่มีรอยเลือด"อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น ในเมื่อเขาเป็นที่น่ารังเกียจแล้วยังทำให้หว่านหนิงต้องอับอาย หากใครรู้เข้าว่าไม่มีการร่วมหอมิต้อง ถูกประณามเช่นนั้นหรือ"ไม่มีใครใส่ใจ ..เพียงนั้น ไม่มีใครสนใจเรื่องราวของข้า.. จะร่วมหอกับเจ้าหรือไม่ ไม่มีใครใส่ใจ"น้ำเสียงขาดหายไปในลำคอ"แต่ ข้าแต่งเข้าตำหนักร้อยดาวสองคืนแล้ว"เหมือนจะย้ำว่าเป็นคืนที่สองแล้ว"เจ้าต้องการเช่นนั้นหรือ"คำพูดเฉยชาไร้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนกำลังพูดถึงเรื่องทั่วๆ ไปอย่างเช่นเสื้อที่จะสวมสีอะไรหรือวันนี้จะกินอะไรดี หว่านหนิงเสียอีกที่หน้าแดงไปถึงหูพลิกร่างใหญ่ขึ้นคร่อมเล็กไว้ บางอย่างในกายกระตุ้นเตือน แต่เขากลับไม่รู่ว่าจะต้องปฏิบัติตัวเช่นไรถึงจะถูกใจหว่านหนิง ตำรากามสูตรก็มีแต่เพียงรูป ไม่เคยได้ร่ำเรียนหรือเที่ยวเตร่เหมือนองค์ชายอื่นหว่านหนิงนั้นเล่าถึงจะเคยเรียนรู้
“แล้วตั้งแต่นั้นมา ก็มีเสียงร่ำลือเรื่องดึกดื่นได้ยินเสียงคร่ำครวญของ พระสนมมารดาขององค์ชาย หรือบางทีก็มักมีคนเห็นเงาวูบวาบ”กุ้ยอิงพูดที่ขึ้นด้วยท่าที หวาดกลัว หว่านหนิงขมวดคิ้วลี่หยาง ฟุบหน้าลงบนโต๊ะร่างอักษรหลับสนิท ฮ่องเต้และขันทีข้างกายฝานกงกงเดินเข้ามาพร้อมกัน“คนหนุ่มเพิ่งจะแต่งชายาเข้ามาในตำหนักเมื่อคืนคงจะอดนอน เอาเบาะมา”ฝานกงกงรีบไปหยิบเบาะมาจากแท่นบรรทม ฮองเต้ยกคอของลี่หยางขึ้นเบาๆ สอดเบาะไปรองศีรษะไว้ให้อย่างอ่อนโยน“ปล่อยเขานอนไปให้พอ ห้ามใครปลุก”ฝานกงกงยิ้ม รวบเก็บกระดาษม้วนไว้ให้อย่างเรียบร้อย ก่อนจะปิดห้องปล่อยให้ลี่หยางหลับอยู่ตรงนั้น ก็จะไม่อดนอนได้อย่างไรในเมื่อทั้งคืนใจเต้นตุมๆต่อมๆตลอดคืน ทั้งหักห้ามใจด้วยบางครั้งก็อยากจะลองแต่อีกใจก็ไม่กล้าตำหนักร้อยดาวฮองเฮาในอาภรณ์เต็มยศสวยสง่า แม้อายุจะล่วงเลยไปวัยกลางคนแล้วก็ตาม เดิน เข้ามาในเขตตำหนักร้อยดาวที่สะอาดสะอ้าน ต้นไม้ใบหญ้าผลิดอกออกใบเขียวชอุ่ม ด้วยมีคนดูแลรดน้ำใส่ปุ๋ย นางกำนัลเดินตามเข้ามาถึงแปดคนข้างละสี่คนแทบจะไม่ต้องเดินเองด้วยซ้ำไป“ฮองเฮาเสด็จจจจ” หว่านหนิง อิงไถกับกุ้ยอิง รีบเดินมาประสานมือคุกเข่าตรงห
นึกว่าวันนี้จะกล้ากว่าเมื่อวานใบหน้าที่เคยเรียบเฉยซีดขาวบัดนี้กลับมีสีแดงระเรื่อเหมือนเด็กสาว“องค์ชาย หว่านหนิงออกไปก่อนแล้วองค์ชายค่อยไปอาบน้ำ”“ข้าไม่อาบแล้ว”พาตัวเองออกจากผ้าม่านลืมเสียสนิทว่าเปลือยอยู่ พอโผล่ออกมาก็นึกได้ หว่านหนิงเขินเหมือนกันจึงหลับตาเสีย ใจลี่หยางเต้นแรงยิ่งกว่ากลองศึก หว่านหนิงพาตัวเองออกมาจากห้องน้ำคนอะไรไม่ประสาเรื่องแบบนี้บ้างเลยหรือ หว่านหนิงอมยิ้มนึกขำ“เสี่ยวกู้ดูแลองค์ชายอย่างไรกันถึงให้องค์ชายอาบน้ำเพียงลำพัง”หว่านหนิงแก้เก้อโดยการว่ากล่าวเสี่ยวกู้ที่ยืนเก้กังอยู่ตรงนั้น“องค์ชายบอกไม่คุ้นชินกับการปรนนิบัติ พระชายาโปรดอภัย”หว่านหนิงถอนหายใจ ชีวิตที่ผ่านมาคงเคยชินแต่การใช้ชีวิตลำพังลี่หยางหย่อนตัวลงในน้ำ ทอดถอนหายใจยาวเหยียด นางเป็นภรรยาทำไมเขาถึงต้องเขินอายขนาดนั้นด้วยเครื่องเสวยเย็นรสชาติถูกปากอีกตามเคย เป็นเพราะเขาไม่เคยได้กินของดีหรือว่าของที่กินมีแต่ของเหลือจากตำหนักต่างๆ ที่แอบไปหยิบมาจากห้องเครื่องค่ำคืนหนึ่งในวันครบรอบวันตายของมารดาเขาจุดธูปกลิ่นฟุ้งไปไกล ไม่มี งานครบรอบไม่มีการรำลึกถึง ฮ่องเต้ให้ฝานกงกงนำป้ายชื่อมารดามาวางไว้ในตำหนักให