“เดี่ยว นี่เธอจะไปไหน?” “ไปกับพี่ไงคะ” ณัชชาเอียงหน้าหันมามองพลขับที่หันมองมองเธอเช่นกัน “ไปกับฉันนี่นะ?” กวินมองด้วยสายตาสงสัย “ค่ะ น้ำไปไม่ได้เหรอคะ?” หญิงสาวดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดไว้ที่ตัวเองพร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้เขา “ฉันไปทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นที่ไหน วันนี้สัญญาว่าจะกลับปกติ” มือหนาจับพวงมาลัยแต่ยังไม่ยอมเคลื่อนรถไปทางไหน “น้ำอยากไปดูเวลาพี่ทำงานค่ะ” “มันร้อน ไปทำไม วันนี้ฉันต้องไปดูงานก่อสร้าง เธอยู่บ้านนี่แหละถ้าเสร็จไวเดี่ยวจะรีบกลับ” ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆเขาพยายามอธิบายอย่างใจเย็นแต่หญิงสาวข้างๆกลับไม่รับฟังอะไรเลย “น้ำเตรียมร่มกับทาครีมกันแดดมาด้วยแล้วค่ะ นะคะพี่วิน ให้น้ำไปด้วยนะ อยู่แต่บ้านน้ำเหงาๆ” “งั้นต้องทำตัวดีๆห้ามไปก่อความวุ่นวายที่ไหน แคมป์ก่อสร้างคนงานไม่ใช่คนไทยโดยส่วนใหญ่หรอกนะ” สุดท้ายเขาก็ต้องแพ้ให้กับความออดอ้อนของเธอซะเอง กวินหมุนพวงมาลัยพร้อมกับเหยียบคันเร่งเดินทางไปยังสถานที่ที่เขาต้องคุมงานซึ่งอยู่ไกลจากบ้านมากโข ตลอดเส้นทางก็มีเสียงสงสัยถามเขาตามถนนหน
“ห้างนี้ใช่ไหมนะที่เราเคยมากินตอนงานเลี้ยงปีใหม่” ศศิกานถามกวินที่เดินอยู่ข้างๆ ตอนนี้ทั้งสามเดินเรียงหน้ากระดานกันโดยมีกวินอยู่ตรงกลาง “เอ่อ ผมไม่ได้มาครับ” กวินพูดขึ้นสร้างเสียงหัวเราะคิกคักอย่างพอใจกับคนข้างๆ “อะ อ้อ พี่ลืมไปวินดูแลยายที่ป่วยพอดีนี่นา งั้นเราไปกินร้านนั้นกันไหมล่ะ เดี่ยวพี่เลี้ยงเอง” มือเรียวชี้ไปที่ร้านชาบูแห่งนั้น “น้ำไม่อยากกินชาบูค่ะ” ร่างบางเดินมาแทรกกลางก่อนจะเกี่ยวแขนกำยำเขาเอาไว้อย่างแสดงความเป็นเจ้าของ “เอ๊ะ!” ศศิกานมองอย่างไม่ชอบใจก่อนจะเดินมาอีกทางหนึ่ง “เราไปกินซูชิกันดีกว่านะคะ” เธอดึงแขนคนตัวสูงให้เดินตาม “ไม่ค่ะ พี่ไม่กิน เราไปกินชาบูกันดีกว่า” อีกคนก็คว้าแขนอีกข้างของกวินดึงไปอีกทาง “เฮ้อ” ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะยืนนิ่งเป็นหุ่นไม่ไปทางไหนสักทาง “พี่วิน ไม่กินซูชิเหรอคะ?” แววตาดูที่ดูผิดหวังมองมาที่เขาจนหัวใจแกร่งกระตุกวูบไหวไปตามเธอ “นั่นสิ พี่ก็อยากกินชาบูเหมือนกัน” อีกทางก็ไม่ยอมจะกินให้ได้ กวินมองหน้าสองสาวสลับไปมา “ไปกินอาหารข้างทางเถอะคร
หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์กวินได้ไปเขียนลาออกจากที่ทำงานในตัวจังหวัดตั้งแต่เช้า เขากะว่าพอเขียนเสร็จแล้วจะตรงดิ่งกลับมายังบ้านในเวลาไม่เกินบ่ายสามโมงแต่พอจะกลับอีกที ก็โดนกินเวลาเนื่องจากเพื่อนๆและทุกคนในที่ทำงานยึดตัวเอาไว้เสียก่อน พอร่างสูงกลับมาถึงบ้านก็ตกใจที่รถเก๋งคนเล็กไม่จอดอยู่แถมที่บ้านก็มีแค่ยายออกมานั่งทอเสื่อลานหน้าบ้านเหมือนเดิมในทุกๆวัน “ยายครับ แม่กับน้ำชาไม่อยู่เหรอ?” กวินนั่งลงข้างๆยาย “ไม่ เห็นว่าพายัยหนูไปงานแต่งของลูกเพื่อน จะกลับก็คงเป็นพรุ่งนี้ตอนดึกๆ” “พรุ่งนี้ดึกๆ! ไปที่ไหนครับ?” ชายหนุ่มรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดสายโทรหามารดาของตนที่ทำยังไงก็ไม่ยอมรับสาย “บ้านป้าสร้อย วินรู้จักอยู่ไม่ใช่เหรอลูก” คนเป็นยายนั่งมองดูท่าทางของหลานชายพักใหญ่เหมือนตอนนี้ดูกระวนกระวายชอบกล “ครับ งั้นยายรีบเข้าบ้านเลยนะ เผื่อผมกลับมาดึก” “เออน่า ไม่ต้องห่วงยายหรอก” พอคนเป็นยายให้ท้ายก็รีบกระโดดขึ้นรถกระบะคันใหญ่ขับไปยังอำเภอที่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ กวินทราบดีว่าสร้อยสนเป็นเพื่อนสนิทของแม่ตนตั้งแต่สมันม
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นทำให้น่างบางที่ตั้งไวงัวเงียลุกขึ้นมาปิดมันก่อนจะมองเวลา ตีห้าครึ่ง ถึงเวลาที่เธอต้องลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปบ้านงาน “หือออ เปิดไฟทำไม” คนตัวสูงรีบเอาผ้าห่มปิดตาเมื่อเจอแสงไฟจ้ารบกวนการหลับไหล “ขอโทษนะคะพี่วิน น้ำต้องรีบแต่งหน้าเดี่ยวไม่ทัน” ณัชชารีบวิ่งเข้าไปอาบน้ำก่อนอีกครั้ง ครั้งนี้เธออาบไม่ถึงสิบนาทีก็วิ่งออกมาเปลี่ยนชุด ลอบมองคนที่เอาผ้าห่มปิดหน้านอนต่อ กลัวว่าเขาจะเปิดผ้าที่คุมโปงมาเห็นสภาพที่ล่อแหลมของเธอเอาตอนนี้ หลังจากที่สวมชุดไทยที่วาววาเลือกมาให้ร่างบางก็รีบเคลื่อนตัวเองมหน้ากระจกก่อนจะลากกระเป๋าที่อัดแน่นไปด้วยเครื่องสำอางออกมาวางเรียงหน้ากระจก ณัชชาพิจารณาสีชุดก่อนจะลงมือแต่งหน้าด้วยความถนัดตั้งแต่สมัยมหาลัย พร้อมกับลอบมองคนที่ไม่ยอมเปิดหน้าออกมาเป็นระยะ กลัวว่าเขาจะตื่นเอา พอแต่งหน้าตนเองเสร็จเรียบร้อย เธอก็ได้จัดแต่งทรงผมดดยการใช้โรลม้วนผมมาจัดทำทรงอย่างชำนาญ มองนาฬิกาอีกทีก็หกโมงกว่าๆเข้าไปแล้ว พิธีตักบาตรเริ่มเจ็ดโมงครึ่ง ส่วนคนที่นอนอยู่ไม่มีท่าทีจะตื่นจะเธอต้องหันมาปลุกเขาก่อน
(ขอบคุณนะเพื่อนรัก ที่อุตส่าห์ไปหาที่อยู่เขามาให้) นิ้วมือเรียวยาวกดแป้นพิมพ์ในมือถือเครื่องหรูด้วยความว่องไวพร้อมกับกดส่งหาเพื่อนสุดเลิฟที่อยู่ยังอีกที่หนึ่งติ๊ง (ใครได้รู้ว่ากูน่ะยิ่งกว่าทะเบียนราษฎร ขอให้มึงเจอผู้ แล้วเอามาอวดพวกกูด้วยนะ อิอิ) เสียงข้อความเด้งหลังจากที่เธอกดส่งไป ณัชชายิ้มแก้มปริ ใช่แล้วจุดมุ่งหมายที่มาต่างจังหวัดในโซนภาคอีสานครั้งนี้ก็คือ ตามหารักแรกของเธอ!!!จังหวัดขอนแก่น "วิน งานเป็นยังไงบ้างลูก" กนกหญิงวัยกลางคนสอบถามบุตรชายเพียงคนเดียวที่นั่งหน้าจอโน๊ตบุ๊คเครื่องเก่งทำงานตั้งแต่เย็นเมื่อวานจนเช้าวันนี้ "เดี๋ยวจะเสร็จแล้วครับ รอลูกค้าตัดสินใจก่อน" กวินชายหนุ่มลูกครึ่งที่มีแม่เลี้ยงมาแต่เด็กหันมามองหน้าบุพการีก่อนจะก้มลงที่หน้าจอ "มาแมะๆ ยายสิออกไปนาแล้ว" ยายจ่อยผู้ช่วยเลี้ยงกวินมาตั้งแต่เด็กจนโตกวักมือเรียกหลานชาย "แม่ เฮาไปกันสองกะได้ ให้บักวินมันเฮ็ดงานของมัน" ผู้เป็นแม่หันมาคุยภาษาท้องถิ่นกับยาย "เอ้า ปะคั่น" คนแก่หิ้วตะกร้าหมากพูใบเล็กพร้อมกับไม้เท้าที่หลานชายซื้อมา
ร่างบางผิวขาวผ่องตามสไตล์เชื้อสายจีน สวมกระโปรงนักศึกษายาวไม่กี่คืบ พร้อมกับสวมส้นสูงยาวเกือบสี่นิ้วเดินสะบัดเจ้ามหาลัยหลังจากจอดรถ สายตากลมโตหันมองหากลุ่มเพื่อนสนิทที่นัดกันไว้ในคาเฟ่เล็กๆที่มหาลัย ขณะที่ขาเรียวสวยก้าวย่างเข้าไป ทั้งชายหญิงต่างก็หันมามองเป็นตาเดียว "ไฮ~ มาแล้วจ้า" ณัชชาวางกระเป๋าแบรนด์เนมรุ่นลิมิเต็ดลงตรงโต๊ะที่เพื่อนนั่งรออยู่"ช้ามาก ช้าจนอาจารย์จะเข้าสอนอยู่แล้วย่ะ" ปิ่นมนัสสาวสวยผมลอนสีแดงกรอกตามองบนไปมาเมื่อนั่งรอเพื่อนสาวมาซะนาน"แหม๋ แกก็พึ่งมาก่อนมันไม่ถึงห้านาทีหรอก ทำเป็นบ่น"พิมปภาสาวสวยกุลสตรีที่ใครต่างหมายปองหันมาเอ็ดเพื่อนสาว"เอาล่ะๆ พวกมึงอย่าทะเลาะกันไปเลย เดี่ยววันนี้เจ๊เลี้ยงข้าวเอง โอเค๊?" ณัชชาหาข้อแลกเปลี่ยนเพื่อไถ่โทษ"เออ อย่างงี้สิค่อยสมกับเป็นเพื่อนกู ปะ ไปเรียนกันเถอะ!" ปิ่นมนัสลุกขึ้นยืนเต็มความสูงร้อยเจ็ดสิบ"อุ้ย อาจารย์บอกว่าเช้านี้งดเรียน" พิมปภาหันมองเพื่อนสาวที่หน้าเหว๋อสลับไปมา"โอ้ย ฉันจะถ่อมาทำไมกันล่ะเนี่ย บ้านก็ไกล บ่ายก็ไม่มีเรียนอีก" ณัชชาชักสีหน้าหงุดหงิดขึ้นพลางกอดอกจนผู้ชายที่นั่งโต๊ะข้างๆชำเลืองมองหน้าอกที่แทบจะปริออกจากกร
"นี่ ยัยปิ่น ผ่านมาจะอาทิตย์นึงแล้ว ทำไมพี่เขายังไม่ติดต่อมาวะ" ณัชชามองเพื่อนสนิทที่เอาแต่จิ้มนิ้วคุยเล่นกับเตชินอยู่"อ๋อ กูถามพี่เตให้แล้ว เขาบอกว่า พี่วินยังไม่ได้ซื้อโทรศัพท์เลย เงินเก็บอาจจะยังไม่พอ แถมไม่ยืมใครด้วย บอกว่าเอามาก็ไม่ได้ใช้ไร" ปิ่นมนัสร่ายยาวถึง สาเหตุ "ดี! งั้นมึงแวะไปห้างกับกูหน่อย" ณัชชาลุกขึ้นก่อนจะถามปิ่นมนัสอีกครั้งนึง "ยัยพิมล่ะ ทำไมวันนี้ยัยนั่นถึงไม่มากเรียน?" ณัชชามองหน้าเพื่อนสนิทที่เหลือกันแค่สองคนเมื่ออีกคนนึงหายไป "มันไม่ได้บอกกูค่า บอกมึงไหมละ?" ปิ่นมนัสเก็บมือถือเข้ากระเป๋าหลังจากบอกลาผู้ชายที่คุยตั้งแต่เช้า"ไม่บอกอะไรกูเหมือนกัน แต่ก็ไปเหอะ" สองสาวเดินตรงมายังรถมินิคูเปอร์คันเล็กของณัชชาพร้อมกับออกตัวไปอย่างรวดเร็วคอนโดพิมปภา"อ๊าา พี่ภูคะ พิมเสียว" พิมปภาเม้มปากแน่นเมื่อกายแกร่งของภูเมฆขยับเข้าออกร่องสวาทของตนอยู่เนิ่นนาน"พี่ก็เสียว" ภูเมฆบีบหน้าอกนิ่มของหญิงสาวที่นอนอยู่ใต้ร่างอย่างเมามันส์ไม่สนเสียงสั่นของโทรศัพท์ที่ดังถี่ตั้งแต่เมื่อคืน ไม่นานนักสองหนุ่มสาวก็ได้เสร็จภารกิจที่มองความสุขให้กัน "พี่ภูจะไปไหนคะ?" พิมปภาลุกขึ้นมองชายหนุ่มที่
ดวงตากลมโตที่ตอนนี้เบิกโพลงกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชินบอกกับเสื้อยืดตัวใหญ่แถมเธอก็ไม่ได้ใส่กางเกงขาสั้นเหมือนเมื่อคืน ณัชชารีบลุกขึ้นสำรวจตัวเองอย่างตกใจ "ห้องใครกันล่ะเนี้ย!" เมื่อรับรู้ว่าสภาพชุดชั้นในยังคงอยู่ก็เบาใจไปเปราะนึงก่อนจะกวาดสายตามองพร้อมยีหัวที่ปวดหนึบของตนเอง "ตื่นแล้วเหรอ?" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามขณะถือแก้วน้ำและยาแก้ปวดมาให้พร้อมกับโจ๊กกระป๋องที่พึ่งไปซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อใต้หอด้านล่าง "พะ พี่วิน" ณัชชายิ่งทำตัวไม่ถูกไปใหญ่ บ้าไปแล้วนะเมื่อคืนเธอไม่ได้กลับกับใคร แต่เป็นพี่กวิน และนี่คือห้องของเขางั้นเหรอ...? "อื้ม เห็นเมามาก หลับตลอดทางไม่บอกว่าบ้านอยู่ไหนฉันเลยพาเธอมาที่นี่ กินโจ๊กแล้วก็ยาซะจะได้ไม่ปวดหัว" เขาพยักหน้าก่อนจะวางของทั้งหมดลงที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ข้างเตียงเหล็กที่มีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดเมื่อขยับตัว "พี่วินไม่ได้อยู่กับเพื่อนหรอกเหรอคะ?" ณัชชาขยับลุกขึ้นเมื่อรู้ว่าเสื้อยืดสีครามของเขาตัวใหญ่พอที่จะปกปิดท่อนขาขาวไว้เกือบถึงเข่า "ไม่ เธอกินเสร็จก็กลับบ้านได้แล้ว พ่อเธอโทรตามเป็นสิบๆสาย" ชายหนุ่มบอกด้วยสีหน้ายากจะคาดเดาความรู้สึก
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นทำให้น่างบางที่ตั้งไวงัวเงียลุกขึ้นมาปิดมันก่อนจะมองเวลา ตีห้าครึ่ง ถึงเวลาที่เธอต้องลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปบ้านงาน “หือออ เปิดไฟทำไม” คนตัวสูงรีบเอาผ้าห่มปิดตาเมื่อเจอแสงไฟจ้ารบกวนการหลับไหล “ขอโทษนะคะพี่วิน น้ำต้องรีบแต่งหน้าเดี่ยวไม่ทัน” ณัชชารีบวิ่งเข้าไปอาบน้ำก่อนอีกครั้ง ครั้งนี้เธออาบไม่ถึงสิบนาทีก็วิ่งออกมาเปลี่ยนชุด ลอบมองคนที่เอาผ้าห่มปิดหน้านอนต่อ กลัวว่าเขาจะเปิดผ้าที่คุมโปงมาเห็นสภาพที่ล่อแหลมของเธอเอาตอนนี้ หลังจากที่สวมชุดไทยที่วาววาเลือกมาให้ร่างบางก็รีบเคลื่อนตัวเองมหน้ากระจกก่อนจะลากกระเป๋าที่อัดแน่นไปด้วยเครื่องสำอางออกมาวางเรียงหน้ากระจก ณัชชาพิจารณาสีชุดก่อนจะลงมือแต่งหน้าด้วยความถนัดตั้งแต่สมัยมหาลัย พร้อมกับลอบมองคนที่ไม่ยอมเปิดหน้าออกมาเป็นระยะ กลัวว่าเขาจะตื่นเอา พอแต่งหน้าตนเองเสร็จเรียบร้อย เธอก็ได้จัดแต่งทรงผมดดยการใช้โรลม้วนผมมาจัดทำทรงอย่างชำนาญ มองนาฬิกาอีกทีก็หกโมงกว่าๆเข้าไปแล้ว พิธีตักบาตรเริ่มเจ็ดโมงครึ่ง ส่วนคนที่นอนอยู่ไม่มีท่าทีจะตื่นจะเธอต้องหันมาปลุกเขาก่อน
หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์กวินได้ไปเขียนลาออกจากที่ทำงานในตัวจังหวัดตั้งแต่เช้า เขากะว่าพอเขียนเสร็จแล้วจะตรงดิ่งกลับมายังบ้านในเวลาไม่เกินบ่ายสามโมงแต่พอจะกลับอีกที ก็โดนกินเวลาเนื่องจากเพื่อนๆและทุกคนในที่ทำงานยึดตัวเอาไว้เสียก่อน พอร่างสูงกลับมาถึงบ้านก็ตกใจที่รถเก๋งคนเล็กไม่จอดอยู่แถมที่บ้านก็มีแค่ยายออกมานั่งทอเสื่อลานหน้าบ้านเหมือนเดิมในทุกๆวัน “ยายครับ แม่กับน้ำชาไม่อยู่เหรอ?” กวินนั่งลงข้างๆยาย “ไม่ เห็นว่าพายัยหนูไปงานแต่งของลูกเพื่อน จะกลับก็คงเป็นพรุ่งนี้ตอนดึกๆ” “พรุ่งนี้ดึกๆ! ไปที่ไหนครับ?” ชายหนุ่มรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดสายโทรหามารดาของตนที่ทำยังไงก็ไม่ยอมรับสาย “บ้านป้าสร้อย วินรู้จักอยู่ไม่ใช่เหรอลูก” คนเป็นยายนั่งมองดูท่าทางของหลานชายพักใหญ่เหมือนตอนนี้ดูกระวนกระวายชอบกล “ครับ งั้นยายรีบเข้าบ้านเลยนะ เผื่อผมกลับมาดึก” “เออน่า ไม่ต้องห่วงยายหรอก” พอคนเป็นยายให้ท้ายก็รีบกระโดดขึ้นรถกระบะคันใหญ่ขับไปยังอำเภอที่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ กวินทราบดีว่าสร้อยสนเป็นเพื่อนสนิทของแม่ตนตั้งแต่สมันม
“ห้างนี้ใช่ไหมนะที่เราเคยมากินตอนงานเลี้ยงปีใหม่” ศศิกานถามกวินที่เดินอยู่ข้างๆ ตอนนี้ทั้งสามเดินเรียงหน้ากระดานกันโดยมีกวินอยู่ตรงกลาง “เอ่อ ผมไม่ได้มาครับ” กวินพูดขึ้นสร้างเสียงหัวเราะคิกคักอย่างพอใจกับคนข้างๆ “อะ อ้อ พี่ลืมไปวินดูแลยายที่ป่วยพอดีนี่นา งั้นเราไปกินร้านนั้นกันไหมล่ะ เดี่ยวพี่เลี้ยงเอง” มือเรียวชี้ไปที่ร้านชาบูแห่งนั้น “น้ำไม่อยากกินชาบูค่ะ” ร่างบางเดินมาแทรกกลางก่อนจะเกี่ยวแขนกำยำเขาเอาไว้อย่างแสดงความเป็นเจ้าของ “เอ๊ะ!” ศศิกานมองอย่างไม่ชอบใจก่อนจะเดินมาอีกทางหนึ่ง “เราไปกินซูชิกันดีกว่านะคะ” เธอดึงแขนคนตัวสูงให้เดินตาม “ไม่ค่ะ พี่ไม่กิน เราไปกินชาบูกันดีกว่า” อีกคนก็คว้าแขนอีกข้างของกวินดึงไปอีกทาง “เฮ้อ” ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะยืนนิ่งเป็นหุ่นไม่ไปทางไหนสักทาง “พี่วิน ไม่กินซูชิเหรอคะ?” แววตาดูที่ดูผิดหวังมองมาที่เขาจนหัวใจแกร่งกระตุกวูบไหวไปตามเธอ “นั่นสิ พี่ก็อยากกินชาบูเหมือนกัน” อีกทางก็ไม่ยอมจะกินให้ได้ กวินมองหน้าสองสาวสลับไปมา “ไปกินอาหารข้างทางเถอะคร
“เดี่ยว นี่เธอจะไปไหน?” “ไปกับพี่ไงคะ” ณัชชาเอียงหน้าหันมามองพลขับที่หันมองมองเธอเช่นกัน “ไปกับฉันนี่นะ?” กวินมองด้วยสายตาสงสัย “ค่ะ น้ำไปไม่ได้เหรอคะ?” หญิงสาวดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดไว้ที่ตัวเองพร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้เขา “ฉันไปทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นที่ไหน วันนี้สัญญาว่าจะกลับปกติ” มือหนาจับพวงมาลัยแต่ยังไม่ยอมเคลื่อนรถไปทางไหน “น้ำอยากไปดูเวลาพี่ทำงานค่ะ” “มันร้อน ไปทำไม วันนี้ฉันต้องไปดูงานก่อสร้าง เธอยู่บ้านนี่แหละถ้าเสร็จไวเดี่ยวจะรีบกลับ” ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆเขาพยายามอธิบายอย่างใจเย็นแต่หญิงสาวข้างๆกลับไม่รับฟังอะไรเลย “น้ำเตรียมร่มกับทาครีมกันแดดมาด้วยแล้วค่ะ นะคะพี่วิน ให้น้ำไปด้วยนะ อยู่แต่บ้านน้ำเหงาๆ” “งั้นต้องทำตัวดีๆห้ามไปก่อความวุ่นวายที่ไหน แคมป์ก่อสร้างคนงานไม่ใช่คนไทยโดยส่วนใหญ่หรอกนะ” สุดท้ายเขาก็ต้องแพ้ให้กับความออดอ้อนของเธอซะเอง กวินหมุนพวงมาลัยพร้อมกับเหยียบคันเร่งเดินทางไปยังสถานที่ที่เขาต้องคุมงานซึ่งอยู่ไกลจากบ้านมากโข ตลอดเส้นทางก็มีเสียงสงสัยถามเขาตามถนนหน
“วิน แม่บอกให้เลิกตามสักที พอได้ไหมลูก!?” เสียงดังจากแม่ทำให้กวินนิ่งเงียบ เมื่อเวลาเขาถามอะไรเกี่ยวกับพ่อไปแม่ของเขามักจะเบี่ยงบ่ายหรือมีอารมณ์โกรธเกรี้ยวแทนจะอธิบายความจริง “แม่บอกผมได้ไหม นี่ผมจะสามสิบแล้วพ่อที่แท้จริงเป็นใครผมไม่มีสิทธิรู้เลยงั้นเหรอครับ” สายตาคมที่ดูดุดันตอนนี้ดูเหมือนคลอน้ำตา ความฝันที่อยากมีพ่อเหมือนคนอื่น ไม่เคยที่จะได้รับรู้ว่าพ่อที่แท้จริงนั้นเป็นใคร “วิน ที่แม่เลี้ยงดูแกมา ให้ความรักความอบอุ่นแกไม่มีขาดเหลืออะไรเลย แกยังจะคิดถึงคนที่แกไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าเลยงั้นเหรอ?” สองแม่ลูกมองตากัน สายตาของแม่อ่อนยวบลงทันตาเมื่อเห็นน้ำตาของลูกชาย “ถ้าแม่บอกว่าพ่อตายแล้ว ผมจะยอมที่จะไม่ตามหา ผมแค่อยากรู้ว่าหน้าตาพ่อผมเป็นแบบไหน แค่อยากรู้ว่าผมเป็นลูกไม่มีพ่อเหมือนที่ใครๆเขาหาว่าแม่รึเปล่า!” คำพูดของกวินทำให้กนกสะอึก จริงๆตั้งแต่ที่เธอไปทำงานยังต่างเมือง แต่พอทำได้แค่สองปีกลับท้องโตขึ้นมา เมื่อหาที่พักพิงไม่ได้ก็เดินทางกลับมายังบ้านที่มีแม่คอยรอซ้ำเติมอยู่ เรื่องตอนนั้นใครๆก็ต่างคิดว่าเธอไปขายตัว พอลูกคลอดออกมาหน้าตาน่ารักเหมือนเ
ณัชชาเดินตามมายังสวนไร่มันสัมปะหลังที่คนภาคอีสานจะชอบปลูกเพื่อผลกำไร หากที่ดินผืนไหนว่างเปล่าจากการปลูกข้าว หรือดินอาจไม่ดีพอทำให้ข้าวงาม คนส่วนใหญ่ก็เลือกปลูกมันสัมปะหลังและอ้อยเพื่อสร้างรายได้เสริมจากการปลูกข้าว “ให้น้ำทำอะไรคะ?” หญิงสาวถามเมื่อเห็นชายหนุ่มยืนมองแต่ไร่ที่อยู่ตรงหน้า “เห็นไหมว่าแม่ทำอะไร?” เขาชี้ไปที่มารดาและยายที่นั่งเหมือนถอนหญ้าอยู่ภายในไร่มัน “เห็นค่ะ แต่น้ำไม่เข้าใจว่าทำไม่ไม่ใช่ยาไปเลย?” ณัชชาหันไปถามมืออีกข้างที่ว่างก็เอาขึ้นมาบังแดด “ไม่ได้หรอก มันอายุแค่หนึ่งเดือน ถ้าฉีดยาไปตอนนี้จะทำให้รากตายได้ เพราะฉะนั้นช่วงนี้ถ้ามีหญ้าเกิดขึ้นเป็นย่อมๆก็ต้องมาช่วยกันถอนแบบนี้แหละ” เขาเดินนำหน้าก่อนจะเลือกที่เหมาะๆนั่งลงจัดการกับหญ้า “แบบนี้ก็น่าจะหาคนมาช่วยเยอะๆนี่นาจะได้เสร็จเร็วๆ” หญิงสาวเดินตามเข้าไปในไร่อย่างทุลักทุเล “ต้องให้สอนไหม?” กวินหันมาถามหมวกฟางที่ใส่อยู่ตอนนี้ปิดหน้าเขาไปครึ่งนึงเห็นแต่ช่วงล่างของใบหน้าที่โดดเด่นออกมา “ไม่ต้องค่ะ น้ำทำได้” ณัชชาคนรั้นเมื่อนั่งลงได้ที่มือเล็กที
“กลับบ้าน!” “ไม่กลับ!!” คนตัวเล็กยืนเท้าสะเอวอย่างเอาเรื่อง เธอรอคอยเขามาตั้งสามปีแต่สิ่งที่ได้คือไล่กันไปเนี่ยนะ “อะไรกันลูก” กนกเดินเข้ามาถามเมื่อเห็นกวินยืนถกเถียงกันในห้องนอนของเธอ “เปล่าครับ ผมมีเรื่องจะเคลียร์กับน้ำชานิดหน่อย ตามฉันมานี่เลยนะ” ร่างสูงเดินนำขึ้นไปบนห้องเหมือนเดิม “แหะๆ” ณัชชาเกาหัวก่อนจะก้มเดินตามไปอย่างว่าง่าย ทิ้งให้คนแก่มองอย่างงง “ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย กลับไปซะ” ครั้งนี้ดูเหมือนเขาจะโกรธจริงๆซะด้วยสิ “น้ำอุตส่าห์รอพี่คนเดียวนะคะ วิ่งมาหาทิ้งความเป็นตัวเองมาก็เพราะพี่ พี่ไม่เคยจะติดต่อหาน้ำสักครั้งเดียว น้ำก็เสียใจนะ” น้ำตาคลอเบ้าจนทำให้คนที่ตั้งใจจะดุต้องเปลี่ยนสีหน้า “ต่อไปนี้ฉันจะติดต่อหา เธอกลับไปมีชีวิตที่ดีเถอะนะ อย่ามาทิ้งอนาคตกับคนแบบฉันเลย” “หยุด! ถ้าพี่พูดออกมาว่าไม่ชอบน้ำสักนิด น้ำจะเดินไปเอง แต่ถ้าพี่ใจตรงกัน ขอร้องอย่ามาไล่ให้น้ำไปหาคนอื่น!” หญิงสาวกอดอกมองปาดน้ำตาที่หยดทิ้ง เท่าที่รู้เขาฝังใจกับรักครั้งเก่าแค่ไหนเธอรู้ดี แต่นี่เล่นไม่เปิดใจให้เธอได้แสดงตัวตนเลยสักนิด “ฉัน..” เขานิ่งเงียบ หันหน้าหล่อๆนั้นหน
3 ปีผ่านไป ร่างอรชรที่ตอนนี้เดินตามทางลูกรังปาดเหงื่อไปด้วยความร้อน โชคดีนะที่เธอไม่ขับรถมาเพราะไม่ชินทางไม่งั้นจะไปทางไหนได้ รอบข้างก็มีแต่ทุ่งนาป่าไม้ “พี่วินนะพี่วิน ไม่ตอบมาเลยตั้งแต่กลับบ้าน ทิ้งโทรศัพท์ไปแล้วรึยังไงกัน” ร่างบางบ่นอุบอิบพร้อมกับเดินไปตามทางที่ลุงขับสามล้อบอก กางเกงยีนส์เข้ารูปกับรองเท้าผ้าใบหลุยส์วิตตองสีขาวตอนนี้เลอะเทอะไปด้วยคาบดินโคลนสีแดง “หนูลูก จะไปไหน?” อยู่ดีๆก็เหมือนมีเสียงสวรรค์ดังขึ้นณัชชาหันขวับไปมองอย่างไวก่อนใบหน้าสวยจะคลี่ยิ้มออกดีใจ “หนูจะไปบ้านพี่กวินค่ะคุณป้าพอรู้จักไหมคะ?” น้ำเสียงหอบถามป้าที่ขับรถจักรยานยนต์มาเทียบเธอ “อ้อ บ้านของกวินมาสิ ป้ารู้จัก” คุณป้าพยักหน้าเข้าใจ “ขอบคุณค่ะ” ณัชชารีบก้าวขาขึ้นช้อนท้ายรถอย่างเก้ๆกังๆตั้งแต่เกิดมาวินยังไม่เคยจะนั่ง นี่คงเป็นการเปิดประสบการณ์เธอหลายอย่างตั้งแต่ลงเครื่องบินนั่งต่อสองแถว แถมได้ขึ้นสามล้ออีก “หนูเป็นแฟนของวินเหรอ?” ป้าขับรถให้ ถามเธอ “เอ่อ หนูเป็นรุ่นน้องที่มหาลัยค่ะ พึ่งเรียนจบเลยอยากมาท่องเที่ยวต่างจังหวัด” “อ
“อ้าว สวัสดีค่ะน้องน้ำชา วันนี้ไม่มีเรียนเหรอคะ?” กุ้งนางผู้จัดการทักทายลูกสาวเจ้าของร้านอย่างไวเมื่อเห็นร่างเล็กเดินเข้ามา “ไม่ค่ะ วันนี้เป็นวันหยุด ป๊าอยู่สาขานี้เหรอคะ?” หญิงสาวเดินเข้าไปยังด้านในก่อนจะหยุดเท้าแล้วถาม “เฮียตี๋กำลังจะเอาเงินไปเข้าธนาคารค่ะ สงสัยกำลังนับอยู่ด้านบน” กุ้งนางชี้บอก ก่อนจะหันมาสนใจลูกค้าที่เดินเข้ามาชมลวดลายของทองคำ “ขอบคุณนะคะพี่กุ้ง” ณัชชาเดินเข้าไปยังประตูกระจกด้านหลัง ภายในตึกนี้จะเป็นตึกสามชั้น ชั้นแรกจะเป็นหน้าร้านสาขาหลัก ส่วนชั้นสองจะเป็นห้องพักพนักงาน และสามจะเป็นห้องส่วนตัวและห้องเก็บทองและเงินต่างๆของสาขาเอาไว้ ณัชชาเดินขึ้นไปยังชั้นบนสุดอย่างรู้ดีกว่าใคร มือเล้กหมุนลูกบิดประตูโดยไม่มีการเคาะก่อน ซึ่งค่อยในห้องก็รู้ได้เลยว่าใครมา “ยัยหนู เมื่อคืนไปไหนมาป๊าโทรไม่รับเลย” เฮียตี๋บิดาผู้ให้กำเนิดถามบุตรสาวที่เดินเข้ามาหาเขา “ป๊าคะ บ้านเรารวยแค่ไหนคะ?” เธอทิ้งตัวลงนั่งโซฟากำมะหยีสีแดงตัวยาวก่อนจะถอนหายใจ “เป็นอะไรลูก?” เฮียตี๋หันหน้าจากกองเงินที่เป็นปึกๆมองมายังลูกสาวที่นอนแผ่อยู่