“อ้าว...เรานั่นเอง เจอกันอีกแล้วนะ บ้านเราอยู่นี่เองเหรอ” รังสิมันต์เอ่ยทักขึ้นอย่างดีใจ เมื่อได้เจอหน้าเด็กผู้หญิงที่สั่นคลอนความรู้สึกของเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกันนั้นอีกครั้ง
“ค่ะ...” จันทริกาตอบสั้นๆ อย่างคนพูดน้อยเช่นเดิม
“พอดีแมวพี่มันหายออกมาจากบ้านน่ะ ไอ้นี่มันซ่าไล่ฟัดกับหมา โชคดีได้พี่สาวของเราช่วยเอาไว้ ไม่งั้นคงจะเตลิดไปไกลเลย”
จันทริกางงคำพูดของรังสิมันต์เล็กน้อย ศศิประภาบอกว่าเป็นคนช่วยแมวตัวนี้เอาไว้อย่างนั้นเหรอ ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังแว้ดๆ ใส่เธออยู่เลย
“นี่เรามายืนทำอะไรอยู่ฮะยัยจันทร์ มีงานต้องทำไม่ใช่เหรอ ไปซะสิ ที่นี่ไม่มีธุระของเรา” ศศิประภารีบเอ่ยปากไล่ ก่อนที่ความจะแตกว่าแท้จริงแล้ว คนที่ช่วยเหลือแมวของรังสิมันต์คือจันทริกา ไม่ใช่ตัวเองอย่างที่แอบอ้างไปหยกๆ
จันทริกามองแมวตัวซึ่งตัวเองเป็นคนช่วยชีวิต มันเองก็มองมายังเธอสายตาละห้อย หากสุดท้ายเธอก็จำต้องหมุนตัวกลับเข้าไปในบ้านเงียบๆ ตามที่ศศิประภาบอก เพราะคร้านจะมีเรื่องกับพี่สาวต่างพ่อต่างแม่ อย่างน้อยเจ้าแมวตัวนั้นก็ได้เจอกับเจ้าของที่แท้จริงแล้ว แม้ความจริงจะถูกบิดเบือน แต่ก็ช่างเถอะ เธอชินเสียแล้วกับการโดนสวมรอยและแอบอ้างเอาผลงานแบบนี้
รังสิมันต์แอบมองตามร่างบางของเด็กสาวนั้นไปพลางลอบถอนหายใจเบาๆ จะว่าไปลูกสาวบ้านนี้ก็ล้วนหน้าตาดีและจิตใจดีทั้งคู่ เพียงแต่ผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่า ‘ศศิ’ ดูร่าเริงสดใสและอ่อนหวานมีจริตจะก้านกว่า ส่วนเด็กผู้หญิงที่เขาเพิ่งรู้ว่าเธอชื่อ จันทร์... ไม่ค่อยพูด แววตาเศร้าๆ แต่เพราะอย่างนี้แหละมั้ง ถึงทำให้เขาอยากควานหาความเศร้าในใจเธอ และนึกอยากกอดปลอบประโลมให้หายเศร้า
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอยากเห็นหน้าสวยๆ ของพี่สาว หรืออยากเห็นหน้าหวานปนเศร้าของคนเป็นน้องกันแน่ รังสิมันต์จึงได้พาตัวเองมาบ้านหลังนี้อยู่บ่อยครั้ง เป็นเวลาเกือบสองเดือนแล้วนับตั้งแต่วันที่เขามาตามหาเจ้าเมสซี่ เขาก็มักจะพาตัวเองมาที่นี่เป็นประจำ แต่ไม่ว่าเจตนาของเขาจะมาเพื่อต้องการเห็นหน้าใครก็ตาม เหตุการณ์มันก็ดูเหมือนว่าจะมีคนเลือกให้เขาแล้ว ว่าต้องเห็นหน้าใคร เพราะทุกครั้งที่มาบ้านหลังนี้ คนที่เขาเจอเป็นประจำคือศศิประภา ซึ่งคอยต้อนรับขับสู้และชวนคุยอย่างสนิทสนม ส่วนจันทริกานั้นเขาแทบจะไม่เคยเห็นเธอเลยด้วยซ้ำ
รังสิมันต์เคยเจอพ่อกับแม่ของทั้งคู่ ซึ่งคุณเมธาและคุณสิริมาก็ให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดีเช่นกัน แน่ละ...เขาเชื่อว่าต่อให้เขาเดินเข้าบ้านหลังไหน ก็คงไม่มีใครรังเกียจหรือไม่ต้อนรับ ในเมื่อเขาออกจะเพียบพร้อมซะขนาดนี้ แต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยคิดจะทำตัวอวดรวยกับเพื่อนบ้านที่ดีแต่อย่างใด จะมีบ้างที่แสดงน้ำใจ ด้วยการซื้อของฝากติดไม้ติดมือมาให้
วันนี้ก็เช่นเคย เขามาพร้อมกับถุงของฝากสองถุง ถุงหนึ่งซื้อมาให้ทั้งครอบครัว แต่อีกถุงตั้งใจจะให้จันทริกาโดยเฉพาะ คิดเอาไว้ว่าถึงจะไม่ได้เจอตัว แต่ได้ฝากขนมให้กินก็ยังดี
“ทำไมช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้เจอจันทร์เลยล่ะครับ น้องเค้าไปไหนเสียล่ะ” รังสิมันต์ถามกับศศิประภาที่ตอนนี้ยังอยู่ในชุดฟอร์มของโชว์รูมรถยี่ห้อดัง ซึ่งชุดนั้นเป็นชุดเดรสกระโปรงสั้น ทำให้คนใส่ได้มีโอกาสอวดเรียวขาและหุ่นอันสมส่วนอย่างมั่นใจ
“ช่วงนี้ยัยจันทร์มีสอบน่ะค่ะ ศศิก็เลยให้อ่านหนังสืออย่างเดียว พวกงานบ้านต่างๆ ศศิก็ทำแทนหมด”
“ศศินี่ใจดีกับน้องจริงๆ เลยนะครับ”
“ทำไงได้ล่ะคะ ถึงแม้ว่าศศิกับจันทร์จะไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ แต่ก็โตมาด้วยกัน ศศิเลยอดไม่ได้ที่จะรักจันทร์เหมือนน้องสาวแท้ๆ”
“ศศิกับจันทร์ไม่ได้เป็นพี่น้องแท้ๆ กันเหรอครับ”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ยัยจันทร์เป็นลูกของลุงเมธาส่วนศศิเป็นลูกแม่น่ะค่ะ”
นั่นเป็นเรื่องใหม่ที่รังสิมันต์เพิ่งได้รู้ ตอนแรกเขาไม่เคยนึกแคลงใจเลย เพราะทั้งจันทริกาและศศิประภาต่างก็สวยชวนมองไปคนละแบบ จนเขาคิดว่าเป็นลูกพ่อแม่เดียวกันเสียอีก แต่ความเศร้าในดวงตาคู่นั้นของจันทริกาเกิดจากอะไรล่ะ ในเมื่อพี่สาวต่างบิดามารดาที่อยู่ร่วมบ้านเดียวกันก็ดูรักเธอดี
ขณะที่ความคิดกำลังว้าวุ่น สายตาพลันเหลือบไปเห็นคนที่ตัวเองกำลังคิดถึง และปากก็เร็วกว่าสมอง รีบเอ่ยเรียกชื่อเจ้าตัวอย่างไม่ลังเลแม้แต่วินาที
“จันทร์...”
แม้นั่นจะเป็นการเรียกเพียงครั้งเดียว แต่น้ำเสียงก็หนักแน่นและดังกังวาน จนคนเป็นเจ้าของชื่อที่กำลังจะเดินออกจากครัวเพื่อหลบเข้าห้องตัวเองต้องหันมา
“มาหาพี่หน่อยสิ พี่ซื้อขนมมาฝาก”
จันทริกาเหมือนจะหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง หากสุดท้ายก็เดินมาตามเสียงเรียก และหยุดอยู่ตรงหน้าพี่ชายใจดี ซึ่งนับตั้งแต่วันที่เขามาตามหาแมว เธอก็ถูกศศิประภาและสิริมาสั่งห้ามไม่ให้ปรากฏตัว ซึ่งเช่นเคยพ่อของเธอก็ไม่มีปากมีเสียงหรือเอ่ยคัดค้านใดๆ
“พี่มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“พี่ซื้อขนมมาฝากน่ะ เห็นว่าช่วงนี้เราอ่านหนังสือหนักเหรอ” รังสิมันต์เอ่ยถามพลางยื่นถุงขนมที่ตัวเองตั้งใจเอามาฝากให้กับเด็กดีของเขา
“ค่ะ”
“งั้นก็สู้ๆ นะพี่เป็นกำลังใจให้”
“ขอบคุณค่ะ” เสียงหวานเอ่ยออกมาเบาๆ ขณะยื่นมือไปรับถุงขนมจาก ‘พี่ตะวัน’ ซึ่งเธอแอบรู้ชื่อเขาเพราะได้ยินศศิประภาคุยกับแม่
“ได้แล้วก็ไปอ่านหนังสือสอบต่อซะสิยัยจันทร์ จะอยู่กวนใจคุณตะวันทำไม”
เสียงของศศิประภาดังขึ้น ทำลายบรรยากาศการพูดคุยระหว่างคนสองคนที่เพิ่งจะได้เจอกัน จันทริกาจึงแค่ยิ้มบางๆ แล้วหมุนตัวกลับห้องตัวเองอย่างที่ตั้งใจเอาไว้
บทที่ 1“พี่คะๆ พี่ทำกระเป๋าเงินหล่นค่ะ”เสียงหวานใสที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้ร่างสูงซึ่งเพิ่งกดวางสายโทรศัพท์หยุดชะงักอย่างเป็นอัตโนมัติ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเสียงเสียงนั้นกำลังเอ่ยเรียกใคร ทว่าความกังวานหวานใสนั้นกลับสามารถสะกดเขาให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ไปชั่วขณะ ก่อนจะค่อยๆ หันมามอง เพราะภายในใจร้องบอกและอยากรู้เหลือเกิน ว่าหน้าตาเจ้าของเสียงอันแสนไพเราะนั้นเป็นอย่างไรและคำตอบที่ได้รับก็ทำให้หัวใจของรังสิมันต์เกิดอาการกระตุกอย่างไร้เหตุผล ภาพเด็กสาวรูปร่างเพรียวระหงที่มัดผมหางม้าเป็นพวงไว้ด้านหลัง อวดใบหน้ารูปไข่อันหวานสมตัว จนเขาอดไม่ได้ที่จะต้องสำรวจมองทุกรายละเอียดบนใบหน้านั้นอย่างไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน‘เธอ’ อยู่ในชุดนักเรียนมัธยมปลาย บนหน้าอกปักอักษรย่อชื่อโรงเรียนแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ ผิวหน้าใสละมุนเหมือนผิวเด็ก ไร้เครื่องสำอางใดๆ ปกปิดความงดงาม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้รังสิมันต์พอใจไม่น้อย คิ้วเรียวได้รูปรับกับดวงตาที่สวยดั่งนางกวางสาว ตาคู่นั้นเปล่งประกายแต่เจือไว้ด้วยความเศร้าบางอย่างที่ชวนให้อยากค้นหา จมูกโด่งรับกับเครื่องหน้า และสิ่งที่ทำให้จังหวะการหายใจของเขาผิดปก
บทที่ 2“ขอบคุณพี่อีกครั้งนะคะ นี่เป็นของขวัญวันเกิดชิ้นแรกในปีนี้ของหนูเลย” จันทริกาบอกเสียงสั่น เช่นเดียวกับแววตาที่เจือความเศร้าเอาไว้นิดๆ แต่ก็เพียงแวบเดียวเธอก็คลี่ยิ้มให้เขาเห็นเป็นครั้งแรก“วันนี้วันเกิดเราเหรอ”“ค่ะ...หนูต้องไปแล้วนะคะ ขอบคุณพี่จริงๆ พี่ใจดีมากค่ะ”จันทริกายกมือขึ้นไหว้ผู้ชายที่รูปร่างสูงเกือบหกฟุตนั้นอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากร้านเค้ก รังสิมันต์รีบขยับตามออกมาติดๆ อยากจะเดินตามไปอีกแต่ก็ทำได้แค่ยืนมอง จนกระทั่งเขาเห็นว่าเธอเดินผ่านประตูหน้าห้างออกไปแล้ว เขาจึงได้รำพึงกับตัวเองในใจเด็กอะไรวะน่ารักชะมัด หน้าสวย ยิ้มหวาน ฟันก็ขาวเป็นระเบียบราวกับเม็ดไข่มุก ปากนิดจมูกหน่อยรับกันลงตัวไปหมด โดยเฉพาะปากสีชมพูอิ่มเอิบอย่างคนสุขภาพดีกับแก้มใสๆ นั้น มันชวนให้คิดว่า หากเขากดจมูกลงไปสูดเอาความหอมและรสชาติความละมุนจากผิวขาวๆ นั้น มันจะให้ความรู้สึกที่วิเศษสักแค่ไหนคิดบ้าอะไรวะตะวัน! เด็กนั่นอย่างมากก็น่าจะอายุแค่สิบแปด ส่วนเขาปีนี้ก็เกือบจะสามสิบแล้ว อายุห่างกันเป็นรอบได้มั้ง แถมเขายังมีสาวๆ สวยๆ หมวยๆ ขาวๆ เอ็กซ์ๆ อึ๋มๆ เข้าแถวมาให้เลือกเยอะแยะเป็นหางว่าว แต่เสือกคิดอกุ
บทที่ 3เธอชอบร้องเพลง ชอบเล่นดนตรี เพราะนอกจากมันจะทำให้เธอรู้สึกว่าดนตรีคือมิตรแท้แล้ว มันยังทำให้เธอได้พบกับพี่สาวที่น่ารักอีกสองคนซึ่งอยู่ชมรมดนตรีด้วยกัน แต่ตอนนี้พี่สาวทั้งสองต่างก็ไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ กันหมดแล้ว เหลือแต่เพียงเธอที่เพิ่งเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่หก ด้วยความรักในเสียงดนตรี และคิดว่าตัวเองถนัดทางนี้มากที่สุด คณะวิจิตรศิลป์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังประจำจังหวัด จึงเป็นคณะที่เธอเลือกสอบโควตาเพื่อเรียนต่อในระดับปริญญาตรี ซึ่งเธอก็สามารถสอบผ่านทั้งข้อเขียนและสัมภาษณ์ โดยใช้ความสามารถทางด้านดนตรีเป็นตัวผลักดัน ข่าวดีนี้ถูกบอกกล่าวแก่พ่อและคนในบ้านเมื่อหลายเดือนก่อน แต่เธอกลับได้รับเพียงคำถามจากคนในครอบครัวใหม่ ว่าจบแล้วจะทำงานอะไร จันทริกาหยุดความคิดและความน้อยใจของตัวเองเอาไว้แค่นั้น ตาคู่สวยเหลือบมองเค้กที่อยู่ในมือ นี่เป็นของขวัญวันเกิดเพียงชิ้นเดียวในปีนี้ โดยพี่ชายใจดีคนนั้นเป็นผู้ซื้อให้ พี่ชายที่มีแววตาอบอุ่นแต่แฝงเร้นไว้ด้วยประกายบางอย่าง เขาได้หยิบยื่นน้ำใจเล็กๆ นี้ให้แก่เธอ ซึ่งมันสามารถชดเชยความว่างโหวงในหัวใจจนเกือบกลายเป็นเติมเต็ม
บทที่ 4“เมี้ยว...เมี้ยว...” มันร้องพลางเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่ช่วยชีวิตตัวเองด้วยแววตาเปล่งประกายซาบซึ้งและภักดี ทำให้จันทริกายิ้มบางๆ ออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวมันเบาๆ “ไง...หายหนาวแล้วเนอะ” แมวเหมียวไม่ตอบด้วยภาษาปาก แต่ตอบด้วยภาษากาย โดยการเอาหน้ามาถูข้างลำตัวของเธอ จากแมวจอมซ่าที่ถูกหมาฟัดจนตกน้ำป๋อมแป๋ม ตอนนี้มันกลายเป็นแมวขี้อ้อน ช่างคลอเคลีย แบบนี้เจ้าของมันคงจะหลงน่าดู จันทริกาชอบแมว เธออยากเลี้ยงแมวมานานแล้ว เคยขอพ่อเรื่องนี้ แต่น้าสิริมากับศศิประภาคัดค้าน เพราะศศิประภาไม่ชอบสัตว์และสิริมากลัวว่ามันจะทำให้บ้านสกปรก ซึ่งพ่อของเธอก็ไม่กล้าขัดใจภรรยาใหม่ เธอจึงไม่เคยมีสัตว์เลี้ยงเป็นของตัวเองเลย แต่ก็ช่างเถอะเมื่อไหร่ที่เธอโตพอจะทำงานหาเงิน และมีบ้านเป็นของตัวเอง เธอจะเลี้ยงแมวให้เต็มบ้านเลย เอาสักห้าหกตัวจะได้ไม่เหงา “ชื่ออะไรเหรอเรา ทำไมซ่านัก ไปฟัดกับบางแก้วตัวโตๆ แบบนั้นได้ยังไง” จันทริกาอุ้มเจ้าแมวเหมียวที่หนักราวๆ ห้ากิโลขึ้นมาวางบนตักแล้วถามมัน “…”เงียบ มันไม่ตอบเช่นเดิม เ
บทที่ 5“อ้าว...เรานั่นเอง เจอกันอีกแล้วนะ บ้านเราอยู่นี่เองเหรอ” รังสิมันต์เอ่ยทักขึ้นอย่างดีใจ เมื่อได้เจอหน้าเด็กผู้หญิงที่สั่นคลอนความรู้สึกของเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกันนั้นอีกครั้ง “ค่ะ...” จันทริกาตอบสั้นๆ อย่างคนพูดน้อยเช่นเดิม “พอดีแมวพี่มันหายออกมาจากบ้านน่ะ ไอ้นี่มันซ่าไล่ฟัดกับหมา โชคดีได้พี่สาวของเราช่วยเอาไว้ ไม่งั้นคงจะเตลิดไปไกลเลย” จันทริกางงคำพูดของรังสิมันต์เล็กน้อย ศศิประภาบอกว่าเป็นคนช่วยแมวตัวนี้เอาไว้อย่างนั้นเหรอ ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังแว้ดๆ ใส่เธออยู่เลย “นี่เรามายืนทำอะไรอยู่ฮะยัยจันทร์ มีงานต้องทำไม่ใช่เหรอ ไปซะสิ ที่นี่ไม่มีธุระของเรา” ศศิประภารีบเอ่ยปากไล่ ก่อนที่ความจะแตกว่าแท้จริงแล้ว คนที่ช่วยเหลือแมวของรังสิมันต์คือจันทริกา ไม่ใช่ตัวเองอย่างที่แอบอ้างไปหยกๆ จันทริกามองแมวตัวซึ่งตัวเองเป็นคนช่วยชีวิต มันเองก็มองมายังเธอสายตาละห้อย หากสุดท้ายเธอก็จำต้องหมุนตัวกลับเข้าไปในบ้านเงียบๆ ตามที่ศศิประภาบอก เพราะคร้านจะมีเรื่องกับพี่สาวต่างพ่อต่างแม่ อย่างน้อยเจ้าแมวตัวนั้นก็ได้เจอก
บทที่ 4“เมี้ยว...เมี้ยว...” มันร้องพลางเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่ช่วยชีวิตตัวเองด้วยแววตาเปล่งประกายซาบซึ้งและภักดี ทำให้จันทริกายิ้มบางๆ ออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวมันเบาๆ “ไง...หายหนาวแล้วเนอะ” แมวเหมียวไม่ตอบด้วยภาษาปาก แต่ตอบด้วยภาษากาย โดยการเอาหน้ามาถูข้างลำตัวของเธอ จากแมวจอมซ่าที่ถูกหมาฟัดจนตกน้ำป๋อมแป๋ม ตอนนี้มันกลายเป็นแมวขี้อ้อน ช่างคลอเคลีย แบบนี้เจ้าของมันคงจะหลงน่าดู จันทริกาชอบแมว เธออยากเลี้ยงแมวมานานแล้ว เคยขอพ่อเรื่องนี้ แต่น้าสิริมากับศศิประภาคัดค้าน เพราะศศิประภาไม่ชอบสัตว์และสิริมากลัวว่ามันจะทำให้บ้านสกปรก ซึ่งพ่อของเธอก็ไม่กล้าขัดใจภรรยาใหม่ เธอจึงไม่เคยมีสัตว์เลี้ยงเป็นของตัวเองเลย แต่ก็ช่างเถอะเมื่อไหร่ที่เธอโตพอจะทำงานหาเงิน และมีบ้านเป็นของตัวเอง เธอจะเลี้ยงแมวให้เต็มบ้านเลย เอาสักห้าหกตัวจะได้ไม่เหงา “ชื่ออะไรเหรอเรา ทำไมซ่านัก ไปฟัดกับบางแก้วตัวโตๆ แบบนั้นได้ยังไง” จันทริกาอุ้มเจ้าแมวเหมียวที่หนักราวๆ ห้ากิโลขึ้นมาวางบนตักแล้วถามมัน “…”เงียบ มันไม่ตอบเช่นเดิม เ
บทที่ 3เธอชอบร้องเพลง ชอบเล่นดนตรี เพราะนอกจากมันจะทำให้เธอรู้สึกว่าดนตรีคือมิตรแท้แล้ว มันยังทำให้เธอได้พบกับพี่สาวที่น่ารักอีกสองคนซึ่งอยู่ชมรมดนตรีด้วยกัน แต่ตอนนี้พี่สาวทั้งสองต่างก็ไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ กันหมดแล้ว เหลือแต่เพียงเธอที่เพิ่งเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่หก ด้วยความรักในเสียงดนตรี และคิดว่าตัวเองถนัดทางนี้มากที่สุด คณะวิจิตรศิลป์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังประจำจังหวัด จึงเป็นคณะที่เธอเลือกสอบโควตาเพื่อเรียนต่อในระดับปริญญาตรี ซึ่งเธอก็สามารถสอบผ่านทั้งข้อเขียนและสัมภาษณ์ โดยใช้ความสามารถทางด้านดนตรีเป็นตัวผลักดัน ข่าวดีนี้ถูกบอกกล่าวแก่พ่อและคนในบ้านเมื่อหลายเดือนก่อน แต่เธอกลับได้รับเพียงคำถามจากคนในครอบครัวใหม่ ว่าจบแล้วจะทำงานอะไร จันทริกาหยุดความคิดและความน้อยใจของตัวเองเอาไว้แค่นั้น ตาคู่สวยเหลือบมองเค้กที่อยู่ในมือ นี่เป็นของขวัญวันเกิดเพียงชิ้นเดียวในปีนี้ โดยพี่ชายใจดีคนนั้นเป็นผู้ซื้อให้ พี่ชายที่มีแววตาอบอุ่นแต่แฝงเร้นไว้ด้วยประกายบางอย่าง เขาได้หยิบยื่นน้ำใจเล็กๆ นี้ให้แก่เธอ ซึ่งมันสามารถชดเชยความว่างโหวงในหัวใจจนเกือบกลายเป็นเติมเต็ม
บทที่ 2“ขอบคุณพี่อีกครั้งนะคะ นี่เป็นของขวัญวันเกิดชิ้นแรกในปีนี้ของหนูเลย” จันทริกาบอกเสียงสั่น เช่นเดียวกับแววตาที่เจือความเศร้าเอาไว้นิดๆ แต่ก็เพียงแวบเดียวเธอก็คลี่ยิ้มให้เขาเห็นเป็นครั้งแรก“วันนี้วันเกิดเราเหรอ”“ค่ะ...หนูต้องไปแล้วนะคะ ขอบคุณพี่จริงๆ พี่ใจดีมากค่ะ”จันทริกายกมือขึ้นไหว้ผู้ชายที่รูปร่างสูงเกือบหกฟุตนั้นอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากร้านเค้ก รังสิมันต์รีบขยับตามออกมาติดๆ อยากจะเดินตามไปอีกแต่ก็ทำได้แค่ยืนมอง จนกระทั่งเขาเห็นว่าเธอเดินผ่านประตูหน้าห้างออกไปแล้ว เขาจึงได้รำพึงกับตัวเองในใจเด็กอะไรวะน่ารักชะมัด หน้าสวย ยิ้มหวาน ฟันก็ขาวเป็นระเบียบราวกับเม็ดไข่มุก ปากนิดจมูกหน่อยรับกันลงตัวไปหมด โดยเฉพาะปากสีชมพูอิ่มเอิบอย่างคนสุขภาพดีกับแก้มใสๆ นั้น มันชวนให้คิดว่า หากเขากดจมูกลงไปสูดเอาความหอมและรสชาติความละมุนจากผิวขาวๆ นั้น มันจะให้ความรู้สึกที่วิเศษสักแค่ไหนคิดบ้าอะไรวะตะวัน! เด็กนั่นอย่างมากก็น่าจะอายุแค่สิบแปด ส่วนเขาปีนี้ก็เกือบจะสามสิบแล้ว อายุห่างกันเป็นรอบได้มั้ง แถมเขายังมีสาวๆ สวยๆ หมวยๆ ขาวๆ เอ็กซ์ๆ อึ๋มๆ เข้าแถวมาให้เลือกเยอะแยะเป็นหางว่าว แต่เสือกคิดอกุ
บทที่ 1“พี่คะๆ พี่ทำกระเป๋าเงินหล่นค่ะ”เสียงหวานใสที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้ร่างสูงซึ่งเพิ่งกดวางสายโทรศัพท์หยุดชะงักอย่างเป็นอัตโนมัติ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเสียงเสียงนั้นกำลังเอ่ยเรียกใคร ทว่าความกังวานหวานใสนั้นกลับสามารถสะกดเขาให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ไปชั่วขณะ ก่อนจะค่อยๆ หันมามอง เพราะภายในใจร้องบอกและอยากรู้เหลือเกิน ว่าหน้าตาเจ้าของเสียงอันแสนไพเราะนั้นเป็นอย่างไรและคำตอบที่ได้รับก็ทำให้หัวใจของรังสิมันต์เกิดอาการกระตุกอย่างไร้เหตุผล ภาพเด็กสาวรูปร่างเพรียวระหงที่มัดผมหางม้าเป็นพวงไว้ด้านหลัง อวดใบหน้ารูปไข่อันหวานสมตัว จนเขาอดไม่ได้ที่จะต้องสำรวจมองทุกรายละเอียดบนใบหน้านั้นอย่างไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน‘เธอ’ อยู่ในชุดนักเรียนมัธยมปลาย บนหน้าอกปักอักษรย่อชื่อโรงเรียนแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ ผิวหน้าใสละมุนเหมือนผิวเด็ก ไร้เครื่องสำอางใดๆ ปกปิดความงดงาม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้รังสิมันต์พอใจไม่น้อย คิ้วเรียวได้รูปรับกับดวงตาที่สวยดั่งนางกวางสาว ตาคู่นั้นเปล่งประกายแต่เจือไว้ด้วยความเศร้าบางอย่างที่ชวนให้อยากค้นหา จมูกโด่งรับกับเครื่องหน้า และสิ่งที่ทำให้จังหวะการหายใจของเขาผิดปก