เธอชอบร้องเพลง ชอบเล่นดนตรี เพราะนอกจากมันจะทำให้เธอรู้สึกว่าดนตรีคือมิตรแท้แล้ว มันยังทำให้เธอได้พบกับพี่สาวที่น่ารักอีกสองคนซึ่งอยู่ชมรมดนตรีด้วยกัน แต่ตอนนี้พี่สาวทั้งสองต่างก็ไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ กันหมดแล้ว เหลือแต่เพียงเธอที่เพิ่งเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่หก
ด้วยความรักในเสียงดนตรี และคิดว่าตัวเองถนัดทางนี้มากที่สุด คณะวิจิตรศิลป์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังประจำจังหวัด จึงเป็นคณะที่เธอเลือกสอบโควตาเพื่อเรียนต่อในระดับปริญญาตรี ซึ่งเธอก็สามารถสอบผ่านทั้งข้อเขียนและสัมภาษณ์ โดยใช้ความสามารถทางด้านดนตรีเป็นตัวผลักดัน ข่าวดีนี้ถูกบอกกล่าวแก่พ่อและคนในบ้านเมื่อหลายเดือนก่อน แต่เธอกลับได้รับเพียงคำถามจากคนในครอบครัวใหม่ ว่าจบแล้วจะทำงานอะไร
จันทริกาหยุดความคิดและความน้อยใจของตัวเองเอาไว้แค่นั้น ตาคู่สวยเหลือบมองเค้กที่อยู่ในมือ นี่เป็นของขวัญวันเกิดเพียงชิ้นเดียวในปีนี้ โดยพี่ชายใจดีคนนั้นเป็นผู้ซื้อให้ พี่ชายที่มีแววตาอบอุ่นแต่แฝงเร้นไว้ด้วยประกายบางอย่าง เขาได้หยิบยื่นน้ำใจเล็กๆ นี้ให้แก่เธอ ซึ่งมันสามารถชดเชยความว่างโหวงในหัวใจจนเกือบกลายเป็นเติมเต็ม
ความสุขเล็กๆ แล่นซ่านเข้ามาในหัวใจ ทำให้มือเรียวบางหยิบเอาช้อนพลาสติกในถุงออกมา แล้วค่อยๆ บรรจงตักเค้กชิ้นนั้นใส่ปาก เป็นการฉลองวันเกิดแบบเหงาๆ ให้ตัวเอง
เมี้ยวว! เมี้ยวว!
โฮ่ง! โฮ่ง!
เสียงแห่งความเหงาของจันทริกาถูกกระชากทิ้งไปทันควัน พร้อมกับที่มันถูกแทนที่ด้วยเสียงเสียงใหม่ซึ่งฟังดูน่าระทึกหลายเท่า
สิ่งมีชีวิตสองสิ่งที่ชื่อว่าหมากับแมว ไล่ฟัดกันผ่านหน้าจันทริกาไปอย่างรวดเร็ว ฝ่ายเสียเปรียบคือแมว ที่แม้ใจจะสู้แค่ไหน แต่คู่ต่อสู้ก็เป็นถึงสุนัขพันธุ์บางแก้วซึ่งตัวใหญ่กว่าหลายเท่า และดูเหมือนเจ้าเหมียวจะหมดทางหนีเมื่อถูกไล่บี้ไปจนถึงขอบตลิ่ง เบื้องหน้าเป็นสายน้ำที่มันไม่เคยหัดว่ายมาก่อน ทว่าตอนนี้สถานการณ์มาถึงทางตันเสียแล้ว เจ้าแมวเหมียวกำลังเจอภาวะ ‘แมวจนตรอก’ เข้าอย่างจัง
ยอมตายซะดีกว่ายอมให้ไอ้หมาบ้านั่นขย้ำ!
แมวเหมียวมีเวลาตัดสินใจแค่ไม่กี่เสี้ยววินาที มันก็กระโดดจ๋อมลงไปในน้ำ หลังจากนั้นเหตุการณ์เป็นอย่างไรมันก็ไม่รับรู้ เพราะสี่ขามัวแต่ตะเกียกตะกายเพื่อจะไม่ให้ตัวเองจมไปในน้ำใสๆ ที่ตัวเองไม่คุ้นและไม่เคยแม้แต่จะเฉียดเข้าใกล้
“อย่านะ! ไปได้แล้ว” เสียงใสๆ ซึ่งแทบจะไม่เคยด่าว่าใครตวาดใส่สุนัขพันธุ์บางแก้วที่ยังอารมณ์ค้าง
สุนัขตัวโตกว่าสิบกิโลหันมามองเจ้าของเสียง สลับกับมองคู่อริที่ตอนนี้กำลังตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ
“ไปเถอะนะ พี่ขอร้อง น้องเค้าตกน้ำไปแล้ว” จันทริกาลดน้ำเสียงตัวเองลงและพูดจากับมันดีๆ ราวกับมันฟังภาษาคนรู้เรื่อง
บางแก้วตัวนั้นมองหน้าสวยๆ และแววตาที่เต็มไปด้วยการอ้อนวอน ก่อนที่มันจะหันหลังและวิ่งกลับไปทางเดิมที่มันมา
เมื่อสุนัขตัวโตยอมล่าถอย จันทริกาก็รีบก้าวลงไปในลำธารทั้งที่ยังไม่ได้ถอดรองเท้าและไม่กลัวว่าชุดนักเรียนของตัวเองจะสกปรก
มือเล็กวาดไปตวัดเอาร่างเล็กๆ ของแมวที่น่าจะอายุได้ปีกว่าตัวนั้นขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน สัญชาตญาณของการปกป้อง ทำให้จันทริกากอดมันแนบอก พลางเอ่ยปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน
“หนาวมากมั้ย ไม่เป็นไรแล้วนะ กลับบ้านกับพี่นะ เดี๋ยวพี่จะพาไปเป่าขนจะได้ไม่หนาว”
แมวตัวนั้นไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ตอนนี้ตัวมันสั่นเทาเพราะความหนาว จันทริกาจึงรีบอุ้มมันกลับไปยังจักรยาน มือหนึ่งใช้จับแฮนด์จักรยาน ส่วนอีกมืออุ้มแมวที่ตัวเองเพิ่งช่วยชีวิต สองขาออกแรงถีบอย่างเร่งรีบเพื่อให้ถึงบ้านเร็วที่สุด
“ยัยจันทร์นี่แกไปไหนมาฮะ แกมีหน้าที่ต้องล้างจานทำกับข้าวรอพ่อแกกับแม่ฉันไม่ใช่เหรอ คอยดูเถอะถ้าทำไม่ทันฉันจะฟ้องแม่ให้ลงโทษแก” เสียงแวดลั่นของศศิประภาตวาดใส่ทันทีที่เห็นจันทริกาเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับอุ้มแมวในสภาพเปียกปอนมาด้วย
“เดี๋ยวจันทร์มาทำค่ะ” จันทริกาตอบพี่สาวซึ่งไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใด เธอเป็นลูกติดพ่อ ส่วนศศิประภาเป็นลูกติดแม่ หลังจากที่พ่อเธอกับแม่ของศศิประภาแต่งงานกัน ทำให้เธอต้องมาอยู่ร่วมบ้านกับสองแม่ลูก แม้บ้านหลังนี้จะเป็นบ้านที่พ่อของเธอใช้เงินส่วนหนึ่งที่ได้จากการขายบ้านที่กรุงเทพฯ มาซื้อไว้ หากสิทธิ์ขาดในบ้านกลับตกไปอยู่กับภรรยาใหม่ของพ่อ
“แล้วนั่นแกไปเอาแมวสกปรกมาจากไหน แกไม่รู้หรือไงว่าฉันไม่ชอบแมว เอามันออกไปจากบ้านเดี๋ยวนี้นะ”
จันทริกาไม่ฟังเสียงแว้ดๆ ของศศิประภา รีบอุ้มแมวเดินตรงเข้าไปในห้องนอนของตัวเองที่อยู่ชั้นล่างเพียงห้องเดียว ส่วนห้องชั้นบนเป็นห้องของพ่อกับภรรยาใหม่ และอีกห้องเป็นของศศิประภา
แม้ประตูจะไม่สามารถปิดเสียงแว้ดของศศิประภาได้สนิทนัก แต่ความสนใจของจันทริกาตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่ศศิประภา สิ่งที่เธอทำทันทีหลังจากพาแมวตัวนั้นเข้าห้องก็คือ หยิบผ้าเช็ดตัวมาเช็ดขนซับน้ำออกให้จนหมาด จากนั้นก็จัดการไดร์ขนให้มัน กระทั่งอาการสั่นเทาของมันค่อยๆ สงบลงและเป็นปกติในที่สุด
บทที่ 4“เมี้ยว...เมี้ยว...” มันร้องพลางเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่ช่วยชีวิตตัวเองด้วยแววตาเปล่งประกายซาบซึ้งและภักดี ทำให้จันทริกายิ้มบางๆ ออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวมันเบาๆ “ไง...หายหนาวแล้วเนอะ” แมวเหมียวไม่ตอบด้วยภาษาปาก แต่ตอบด้วยภาษากาย โดยการเอาหน้ามาถูข้างลำตัวของเธอ จากแมวจอมซ่าที่ถูกหมาฟัดจนตกน้ำป๋อมแป๋ม ตอนนี้มันกลายเป็นแมวขี้อ้อน ช่างคลอเคลีย แบบนี้เจ้าของมันคงจะหลงน่าดู จันทริกาชอบแมว เธออยากเลี้ยงแมวมานานแล้ว เคยขอพ่อเรื่องนี้ แต่น้าสิริมากับศศิประภาคัดค้าน เพราะศศิประภาไม่ชอบสัตว์และสิริมากลัวว่ามันจะทำให้บ้านสกปรก ซึ่งพ่อของเธอก็ไม่กล้าขัดใจภรรยาใหม่ เธอจึงไม่เคยมีสัตว์เลี้ยงเป็นของตัวเองเลย แต่ก็ช่างเถอะเมื่อไหร่ที่เธอโตพอจะทำงานหาเงิน และมีบ้านเป็นของตัวเอง เธอจะเลี้ยงแมวให้เต็มบ้านเลย เอาสักห้าหกตัวจะได้ไม่เหงา “ชื่ออะไรเหรอเรา ทำไมซ่านัก ไปฟัดกับบางแก้วตัวโตๆ แบบนั้นได้ยังไง” จันทริกาอุ้มเจ้าแมวเหมียวที่หนักราวๆ ห้ากิโลขึ้นมาวางบนตักแล้วถามมัน “…”เงียบ มันไม่ตอบเช่นเดิม เ
บทที่ 5“อ้าว...เรานั่นเอง เจอกันอีกแล้วนะ บ้านเราอยู่นี่เองเหรอ” รังสิมันต์เอ่ยทักขึ้นอย่างดีใจ เมื่อได้เจอหน้าเด็กผู้หญิงที่สั่นคลอนความรู้สึกของเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกันนั้นอีกครั้ง “ค่ะ...” จันทริกาตอบสั้นๆ อย่างคนพูดน้อยเช่นเดิม “พอดีแมวพี่มันหายออกมาจากบ้านน่ะ ไอ้นี่มันซ่าไล่ฟัดกับหมา โชคดีได้พี่สาวของเราช่วยเอาไว้ ไม่งั้นคงจะเตลิดไปไกลเลย” จันทริกางงคำพูดของรังสิมันต์เล็กน้อย ศศิประภาบอกว่าเป็นคนช่วยแมวตัวนี้เอาไว้อย่างนั้นเหรอ ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังแว้ดๆ ใส่เธออยู่เลย “นี่เรามายืนทำอะไรอยู่ฮะยัยจันทร์ มีงานต้องทำไม่ใช่เหรอ ไปซะสิ ที่นี่ไม่มีธุระของเรา” ศศิประภารีบเอ่ยปากไล่ ก่อนที่ความจะแตกว่าแท้จริงแล้ว คนที่ช่วยเหลือแมวของรังสิมันต์คือจันทริกา ไม่ใช่ตัวเองอย่างที่แอบอ้างไปหยกๆ จันทริกามองแมวตัวซึ่งตัวเองเป็นคนช่วยชีวิต มันเองก็มองมายังเธอสายตาละห้อย หากสุดท้ายเธอก็จำต้องหมุนตัวกลับเข้าไปในบ้านเงียบๆ ตามที่ศศิประภาบอก เพราะคร้านจะมีเรื่องกับพี่สาวต่างพ่อต่างแม่ อย่างน้อยเจ้าแมวตัวนั้นก็ได้เจอก
บทที่ 1“พี่คะๆ พี่ทำกระเป๋าเงินหล่นค่ะ”เสียงหวานใสที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้ร่างสูงซึ่งเพิ่งกดวางสายโทรศัพท์หยุดชะงักอย่างเป็นอัตโนมัติ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเสียงเสียงนั้นกำลังเอ่ยเรียกใคร ทว่าความกังวานหวานใสนั้นกลับสามารถสะกดเขาให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ไปชั่วขณะ ก่อนจะค่อยๆ หันมามอง เพราะภายในใจร้องบอกและอยากรู้เหลือเกิน ว่าหน้าตาเจ้าของเสียงอันแสนไพเราะนั้นเป็นอย่างไรและคำตอบที่ได้รับก็ทำให้หัวใจของรังสิมันต์เกิดอาการกระตุกอย่างไร้เหตุผล ภาพเด็กสาวรูปร่างเพรียวระหงที่มัดผมหางม้าเป็นพวงไว้ด้านหลัง อวดใบหน้ารูปไข่อันหวานสมตัว จนเขาอดไม่ได้ที่จะต้องสำรวจมองทุกรายละเอียดบนใบหน้านั้นอย่างไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน‘เธอ’ อยู่ในชุดนักเรียนมัธยมปลาย บนหน้าอกปักอักษรย่อชื่อโรงเรียนแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ ผิวหน้าใสละมุนเหมือนผิวเด็ก ไร้เครื่องสำอางใดๆ ปกปิดความงดงาม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้รังสิมันต์พอใจไม่น้อย คิ้วเรียวได้รูปรับกับดวงตาที่สวยดั่งนางกวางสาว ตาคู่นั้นเปล่งประกายแต่เจือไว้ด้วยความเศร้าบางอย่างที่ชวนให้อยากค้นหา จมูกโด่งรับกับเครื่องหน้า และสิ่งที่ทำให้จังหวะการหายใจของเขาผิดปก
บทที่ 2“ขอบคุณพี่อีกครั้งนะคะ นี่เป็นของขวัญวันเกิดชิ้นแรกในปีนี้ของหนูเลย” จันทริกาบอกเสียงสั่น เช่นเดียวกับแววตาที่เจือความเศร้าเอาไว้นิดๆ แต่ก็เพียงแวบเดียวเธอก็คลี่ยิ้มให้เขาเห็นเป็นครั้งแรก“วันนี้วันเกิดเราเหรอ”“ค่ะ...หนูต้องไปแล้วนะคะ ขอบคุณพี่จริงๆ พี่ใจดีมากค่ะ”จันทริกายกมือขึ้นไหว้ผู้ชายที่รูปร่างสูงเกือบหกฟุตนั้นอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากร้านเค้ก รังสิมันต์รีบขยับตามออกมาติดๆ อยากจะเดินตามไปอีกแต่ก็ทำได้แค่ยืนมอง จนกระทั่งเขาเห็นว่าเธอเดินผ่านประตูหน้าห้างออกไปแล้ว เขาจึงได้รำพึงกับตัวเองในใจเด็กอะไรวะน่ารักชะมัด หน้าสวย ยิ้มหวาน ฟันก็ขาวเป็นระเบียบราวกับเม็ดไข่มุก ปากนิดจมูกหน่อยรับกันลงตัวไปหมด โดยเฉพาะปากสีชมพูอิ่มเอิบอย่างคนสุขภาพดีกับแก้มใสๆ นั้น มันชวนให้คิดว่า หากเขากดจมูกลงไปสูดเอาความหอมและรสชาติความละมุนจากผิวขาวๆ นั้น มันจะให้ความรู้สึกที่วิเศษสักแค่ไหนคิดบ้าอะไรวะตะวัน! เด็กนั่นอย่างมากก็น่าจะอายุแค่สิบแปด ส่วนเขาปีนี้ก็เกือบจะสามสิบแล้ว อายุห่างกันเป็นรอบได้มั้ง แถมเขายังมีสาวๆ สวยๆ หมวยๆ ขาวๆ เอ็กซ์ๆ อึ๋มๆ เข้าแถวมาให้เลือกเยอะแยะเป็นหางว่าว แต่เสือกคิดอกุ
บทที่ 5“อ้าว...เรานั่นเอง เจอกันอีกแล้วนะ บ้านเราอยู่นี่เองเหรอ” รังสิมันต์เอ่ยทักขึ้นอย่างดีใจ เมื่อได้เจอหน้าเด็กผู้หญิงที่สั่นคลอนความรู้สึกของเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกันนั้นอีกครั้ง “ค่ะ...” จันทริกาตอบสั้นๆ อย่างคนพูดน้อยเช่นเดิม “พอดีแมวพี่มันหายออกมาจากบ้านน่ะ ไอ้นี่มันซ่าไล่ฟัดกับหมา โชคดีได้พี่สาวของเราช่วยเอาไว้ ไม่งั้นคงจะเตลิดไปไกลเลย” จันทริกางงคำพูดของรังสิมันต์เล็กน้อย ศศิประภาบอกว่าเป็นคนช่วยแมวตัวนี้เอาไว้อย่างนั้นเหรอ ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังแว้ดๆ ใส่เธออยู่เลย “นี่เรามายืนทำอะไรอยู่ฮะยัยจันทร์ มีงานต้องทำไม่ใช่เหรอ ไปซะสิ ที่นี่ไม่มีธุระของเรา” ศศิประภารีบเอ่ยปากไล่ ก่อนที่ความจะแตกว่าแท้จริงแล้ว คนที่ช่วยเหลือแมวของรังสิมันต์คือจันทริกา ไม่ใช่ตัวเองอย่างที่แอบอ้างไปหยกๆ จันทริกามองแมวตัวซึ่งตัวเองเป็นคนช่วยชีวิต มันเองก็มองมายังเธอสายตาละห้อย หากสุดท้ายเธอก็จำต้องหมุนตัวกลับเข้าไปในบ้านเงียบๆ ตามที่ศศิประภาบอก เพราะคร้านจะมีเรื่องกับพี่สาวต่างพ่อต่างแม่ อย่างน้อยเจ้าแมวตัวนั้นก็ได้เจอก
บทที่ 4“เมี้ยว...เมี้ยว...” มันร้องพลางเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่ช่วยชีวิตตัวเองด้วยแววตาเปล่งประกายซาบซึ้งและภักดี ทำให้จันทริกายิ้มบางๆ ออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวมันเบาๆ “ไง...หายหนาวแล้วเนอะ” แมวเหมียวไม่ตอบด้วยภาษาปาก แต่ตอบด้วยภาษากาย โดยการเอาหน้ามาถูข้างลำตัวของเธอ จากแมวจอมซ่าที่ถูกหมาฟัดจนตกน้ำป๋อมแป๋ม ตอนนี้มันกลายเป็นแมวขี้อ้อน ช่างคลอเคลีย แบบนี้เจ้าของมันคงจะหลงน่าดู จันทริกาชอบแมว เธออยากเลี้ยงแมวมานานแล้ว เคยขอพ่อเรื่องนี้ แต่น้าสิริมากับศศิประภาคัดค้าน เพราะศศิประภาไม่ชอบสัตว์และสิริมากลัวว่ามันจะทำให้บ้านสกปรก ซึ่งพ่อของเธอก็ไม่กล้าขัดใจภรรยาใหม่ เธอจึงไม่เคยมีสัตว์เลี้ยงเป็นของตัวเองเลย แต่ก็ช่างเถอะเมื่อไหร่ที่เธอโตพอจะทำงานหาเงิน และมีบ้านเป็นของตัวเอง เธอจะเลี้ยงแมวให้เต็มบ้านเลย เอาสักห้าหกตัวจะได้ไม่เหงา “ชื่ออะไรเหรอเรา ทำไมซ่านัก ไปฟัดกับบางแก้วตัวโตๆ แบบนั้นได้ยังไง” จันทริกาอุ้มเจ้าแมวเหมียวที่หนักราวๆ ห้ากิโลขึ้นมาวางบนตักแล้วถามมัน “…”เงียบ มันไม่ตอบเช่นเดิม เ
บทที่ 3เธอชอบร้องเพลง ชอบเล่นดนตรี เพราะนอกจากมันจะทำให้เธอรู้สึกว่าดนตรีคือมิตรแท้แล้ว มันยังทำให้เธอได้พบกับพี่สาวที่น่ารักอีกสองคนซึ่งอยู่ชมรมดนตรีด้วยกัน แต่ตอนนี้พี่สาวทั้งสองต่างก็ไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ กันหมดแล้ว เหลือแต่เพียงเธอที่เพิ่งเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่หก ด้วยความรักในเสียงดนตรี และคิดว่าตัวเองถนัดทางนี้มากที่สุด คณะวิจิตรศิลป์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังประจำจังหวัด จึงเป็นคณะที่เธอเลือกสอบโควตาเพื่อเรียนต่อในระดับปริญญาตรี ซึ่งเธอก็สามารถสอบผ่านทั้งข้อเขียนและสัมภาษณ์ โดยใช้ความสามารถทางด้านดนตรีเป็นตัวผลักดัน ข่าวดีนี้ถูกบอกกล่าวแก่พ่อและคนในบ้านเมื่อหลายเดือนก่อน แต่เธอกลับได้รับเพียงคำถามจากคนในครอบครัวใหม่ ว่าจบแล้วจะทำงานอะไร จันทริกาหยุดความคิดและความน้อยใจของตัวเองเอาไว้แค่นั้น ตาคู่สวยเหลือบมองเค้กที่อยู่ในมือ นี่เป็นของขวัญวันเกิดเพียงชิ้นเดียวในปีนี้ โดยพี่ชายใจดีคนนั้นเป็นผู้ซื้อให้ พี่ชายที่มีแววตาอบอุ่นแต่แฝงเร้นไว้ด้วยประกายบางอย่าง เขาได้หยิบยื่นน้ำใจเล็กๆ นี้ให้แก่เธอ ซึ่งมันสามารถชดเชยความว่างโหวงในหัวใจจนเกือบกลายเป็นเติมเต็ม
บทที่ 2“ขอบคุณพี่อีกครั้งนะคะ นี่เป็นของขวัญวันเกิดชิ้นแรกในปีนี้ของหนูเลย” จันทริกาบอกเสียงสั่น เช่นเดียวกับแววตาที่เจือความเศร้าเอาไว้นิดๆ แต่ก็เพียงแวบเดียวเธอก็คลี่ยิ้มให้เขาเห็นเป็นครั้งแรก“วันนี้วันเกิดเราเหรอ”“ค่ะ...หนูต้องไปแล้วนะคะ ขอบคุณพี่จริงๆ พี่ใจดีมากค่ะ”จันทริกายกมือขึ้นไหว้ผู้ชายที่รูปร่างสูงเกือบหกฟุตนั้นอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากร้านเค้ก รังสิมันต์รีบขยับตามออกมาติดๆ อยากจะเดินตามไปอีกแต่ก็ทำได้แค่ยืนมอง จนกระทั่งเขาเห็นว่าเธอเดินผ่านประตูหน้าห้างออกไปแล้ว เขาจึงได้รำพึงกับตัวเองในใจเด็กอะไรวะน่ารักชะมัด หน้าสวย ยิ้มหวาน ฟันก็ขาวเป็นระเบียบราวกับเม็ดไข่มุก ปากนิดจมูกหน่อยรับกันลงตัวไปหมด โดยเฉพาะปากสีชมพูอิ่มเอิบอย่างคนสุขภาพดีกับแก้มใสๆ นั้น มันชวนให้คิดว่า หากเขากดจมูกลงไปสูดเอาความหอมและรสชาติความละมุนจากผิวขาวๆ นั้น มันจะให้ความรู้สึกที่วิเศษสักแค่ไหนคิดบ้าอะไรวะตะวัน! เด็กนั่นอย่างมากก็น่าจะอายุแค่สิบแปด ส่วนเขาปีนี้ก็เกือบจะสามสิบแล้ว อายุห่างกันเป็นรอบได้มั้ง แถมเขายังมีสาวๆ สวยๆ หมวยๆ ขาวๆ เอ็กซ์ๆ อึ๋มๆ เข้าแถวมาให้เลือกเยอะแยะเป็นหางว่าว แต่เสือกคิดอกุ
บทที่ 1“พี่คะๆ พี่ทำกระเป๋าเงินหล่นค่ะ”เสียงหวานใสที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้ร่างสูงซึ่งเพิ่งกดวางสายโทรศัพท์หยุดชะงักอย่างเป็นอัตโนมัติ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเสียงเสียงนั้นกำลังเอ่ยเรียกใคร ทว่าความกังวานหวานใสนั้นกลับสามารถสะกดเขาให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ไปชั่วขณะ ก่อนจะค่อยๆ หันมามอง เพราะภายในใจร้องบอกและอยากรู้เหลือเกิน ว่าหน้าตาเจ้าของเสียงอันแสนไพเราะนั้นเป็นอย่างไรและคำตอบที่ได้รับก็ทำให้หัวใจของรังสิมันต์เกิดอาการกระตุกอย่างไร้เหตุผล ภาพเด็กสาวรูปร่างเพรียวระหงที่มัดผมหางม้าเป็นพวงไว้ด้านหลัง อวดใบหน้ารูปไข่อันหวานสมตัว จนเขาอดไม่ได้ที่จะต้องสำรวจมองทุกรายละเอียดบนใบหน้านั้นอย่างไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน‘เธอ’ อยู่ในชุดนักเรียนมัธยมปลาย บนหน้าอกปักอักษรย่อชื่อโรงเรียนแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ ผิวหน้าใสละมุนเหมือนผิวเด็ก ไร้เครื่องสำอางใดๆ ปกปิดความงดงาม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้รังสิมันต์พอใจไม่น้อย คิ้วเรียวได้รูปรับกับดวงตาที่สวยดั่งนางกวางสาว ตาคู่นั้นเปล่งประกายแต่เจือไว้ด้วยความเศร้าบางอย่างที่ชวนให้อยากค้นหา จมูกโด่งรับกับเครื่องหน้า และสิ่งที่ทำให้จังหวะการหายใจของเขาผิดปก