ยิ่งนานวันเข้า อาการของฉินหลงเจ๋อก็ทรุดหนักลงมากกว่าเดิม หากโชคยังดีที่หมอผู้เชี่ยวชาญเรื่องมะเร็งชื่อดังจากปักกิ่งตอบรับให้การรักษา ฉินหลงเจ๋อและหวังซู่หลินจึงต้องรีบเดินทางไปเมืองปักกิ่งทันที ทำให้พิธีแต่งงานของป๋อหลินและเหว่ยเฟิงต้องถูกจัดขึ้นอย่างเร่งด่วนก่อนถึงวันสำคัญไม่กี่วัน ทั้งคู่ต้องไปลองชุดแต่งงานด้วยกัน ซึ่งเหว่ยเฟิงรู้สึกประหม่าและกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก แม้ปากจะบอกว่าไม่อยากแต่งงาน หากในใจลึก ๆ แล้วผู้หญิงทุกคนก็ต้องดีใจอยู่แล้วที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้แต่งงานระหว่างที่เหว่ยเฟิงลองชุดแต่งงานอยู่นั้น เธอพยายามทำใจให้สงบ แต่เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ก็ดันดังขึ้นมาเมื่อเห็นชื่อ 'หลิวกู้หย่ง' ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามาในใจของเหว่ยเฟิง เธอตัดสินใจไม่รับสายนั้น เพราะต้องการหลีกเลี่ยงความวุ่นวายใจ อีกอย่างเธอก็เกรงใจฉินป๋อหลินที่นั่งอยู่ตรงหน้าเช่นกัน ทว่าโชคชะตากลับเล่นตลก สายตาของฉินป๋อหลินเหลือบไปเห็นชื่อนั้นบนหน้าจอโทรศัพท์ของเธอพอดีทำให้บรรยากาศภายในห้องลองชุดแต่งงานหรูหรานั้นเย็นยะเยือกราวกับติดลบ หวั่นไหวไปด้วยคลื่นความไม่พอใจที่แผ่ออกมาจากว่
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการ บรรยากาศระหว่างฉินป๋อหลินและเหว่ยเฟิงกลับเย็นชาลงยิ่งกว่าเดิม ราวกับว่าคำสาบานรักที่เพิ่งเอ่ยออกไปเมื่อครู่เป็นเพียงมายาภาพเมื่อทั้งคู่กลับมาถึงคฤหาสน์ของตระกูลฉิน หวังซู่หลินต้อนรับลูกสะใภ้คนใหม่ด้วยรอยยิ้มที่ฝืนทน ขณะที่เหว่ยเซินกลับมองลูกสาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงซึ่งตอนนี้พ่อแม่ของบ่าวสาวก็มาส่งทั้งคู่ที่ห้องหอ พอผู้ให้ออกจากห้องไปแล้ว จึงมีเพียงฉินป๋อหลินและเหว่ยเฟิงเท่านั้น“ผมว่าเราแยกห้องนอนกันเถอะ” ฉินป๋อหลินเอ่ยขึ้นในที่สุด เสียงของเขาเรียบนิ่ง ไร้ซึ่งความอบอุ่นใด ๆเหว่ยเฟิงพยักหน้ารับ ไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับคำขอนี้ เธอรู้ดีว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นเพียงพันธะสัญญา ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของความรัก“ค่ะ” เธอตอบรับสั้น ๆ ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ป๋อหลินยืนอยู่เพียงลำพังในห้องหออันว่างเปล่ารุ่งเช้า หวังซู่หลินรีบร้อนเก็บข้าวของเตรียมตัวเดินทางไปปักกิ่งเพื่อดูแลสามีที่ป่วย แต่ก่อนจะจากไป เธอไม่ลืมที่จะให้คนงานไปเรียกลูกชายมาพบเพื่อกำชับเรื่องสำคัญ“แม่ให้คนไปตามผมมีอะไรหรือเปล่าครับ”“แม่ต้องไปดูแลพ่อที่ปักกิ่ง ระหว่างที่แม่ไม่อยู่ ลูกต้องดูแลไร่องุ่
แสงไฟนีออนจากโคมไฟสุดหรูส่องสว่างบนโต๊ะอาหารที่จัดเตรียมอย่างหรูหรา ทว่าบรรยากาศกลับเย็นยะเยือกและเงียบงัน ไม่มีแม้แต่เสียงพูดคุยของใคร เหว่ยเฟิงนั่งมองจานอาหารตรงหน้าอย่างเหม่อลอย เธอพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้างเอาไว้อย่างลึกสุดหัวใจส่วนสามีนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาจดจ่ออยู่กับอาหารตรงหน้า ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองเธอด้วยซ้ำ“วันนี้คุณเหนื่อยไหมคะ” เหว่ยเฟิงเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา พยายามทำลายความเงียบ“อืม” ฉินป๋อหลินตอบรับสั้น ๆ โดยไม่เงยหน้าขึ้นจากจานเหว่ยเฟิงถอนหายใจ เธอพยายามชวนเขาคุยอีกหลายครั้ง แต่ก็ได้คำตอบกลับมาเพียงไม่กี่คำ รู้สึกเหมือนว่าตัวเองนั้นกำลังคุยกับกำแพงเมื่อทานอาหารเสร็จ เหว่ยเฟิงลุกขึ้นเก็บจาน “ฉันไปล้างจานนะคะ”“ไม่ต้อง” ฉินป๋อหลินพูดเสียงเรียบ “ให้คนรับใช้ทำ”“งั้น...ฉันขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะคะ” เธอพูดเสียงแผ่วเบา ไม่รอให้สามีตอบรับหรือปฏิเสธ หญิงสาวก็เดินออกจากห้องอาหารไปก่อนความแตกต่างระหว่างโลกของคนสองคนเริ่มปรากฏชัดขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงหลังจากแต่งงาน ชีวิตที่เคยหรูหราของฉินป๋อหลินในคฤหาสน์ใหญ่โต บัดนี้ต้องแบ่งปันกับเหว่ยเฟิง หญิงสาวที่เติบโต
แต่ถึงแม้จะมีปัญหา เหว่ยเฟิงก็ยังคงพยายามปรับตัวเข้าหาฉินป๋อหลิน เธอพยายามทำความเข้าใจเขา และพยายามหาจุดกึ่งกลางที่ทั้งคู่จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขและได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่ง ฉินป๋อหลินจะเปิดใจให้เธอ และสามารถสร้างครอบครัวที่อบอุ่นร่วมกันได้ หรือไม่อย่างน้อยก็อยู่ร่วมกันอย่างราบรื่น ไม่ใช่ทะเลาะหรือผิดใจกันทุกวันแบบนี้แสงแดดแผดกล้าส่องลงมาบนไร่องุ่นหยางกวง เหว่ยเฟิงยืนอยู่ท่ามกลางเถาองุ่นที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา แม้ว่าวันนี้หญิงสาวจะรู้สึกปวดหัวและครั่นเนื่อครั่นตัวมากเพียงใด แต่เหว่ยเฟิงก็ยังมิวายสังเกตเห็นปัญหาบางอย่างที่เกิดกับต้นองุ่นหลายต้นในไร่ และรีบไปรายงานให้ฉินป๋อหลินทราบถึงเรื่องนี้“คุณป๋อหลินคะ เรื่องปัญหาของต้นองุ่น ฉันคิดว่าเราควรจะ...”“ผมตัดสินใจแล้ว” ฉินป๋อหลินพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ “ไม่ต้องมายุ่ง”เหว่ยเฟิงหน้าเสีย เธอพยายามอธิบายเหตุผลของเธอ แต่ฉินป๋อหลินกลับไม่รับฟัง เขาเดินจากไป ทิ้งให้เหว่ยเฟิงยืนอยู่คนเดียวด้วยความรู้สึกผิดหวังและเจ็บปวดคนงานในไร่ที่เห็นเหตุการณ์ต่างพากันส่ายหน้า พวกเขาสงสารเหว่ยเฟิงที่ต้องทนกับท่าทีเย็นชาและเอาแต่ใจของฉินป
“ขอบคุณนะคะ” เธอพูดเสียงแผ่วเบาฉินป๋อหลินคลี่ยิ้มอ่อน ๆ ให้ “ไม่เป็นไร พักผ่อนเยอะ ๆ นะ”เขาเฝ้าดูแลเหว่ยเฟิงจนเธอหลับไป พอเห็นว่าหญิงสาวไข้ลดแล้ว ชายหนุ่มก็เดินออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ เขาไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร แต่รู้ว่าเขาไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไปว่าเขาอาจจะกำลังมีใจให้กับเหว่ยเฟิงหลังจากวันที่เหว่ยเฟิงหายป่วย ฉินป๋อหลินก็พบว่าตัวเองอดไม่ได้ที่จะคอยแอบมองเธออยู่ห่าง ๆ เขาแอบเฝ้ามองเธอทำงาน เฝ้ามองเธอหัวเราะ เฝ้ามองเธอขมวดคิ้วเมื่อพบเจอปัญหาวันหนึ่ง ขณะที่หญิงสาวกำลังง่วนอยู่กับงานจนลืมเวลา ฉินป๋อหลินสังเกตเห็นว่าแก้มของเธอเริ่มแดงระเรื่อ หน้าผากมีเหงื่อซึมเล็กน้อย เขาจึงตัดสินใจเดินไปหยิบขวดน้ำเย็นจากตู้แล้วเดินไปหาเธออย่างเงียบ ๆ“นี่ครับ” เขาพูดเสียงเบาพลางยื่นขวดน้ำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะยิ้มออกมาบาง ๆ“ขอบคุณค่ะ” เธอรับขวดน้ำจากเขา แล้วเปิดดื่มทันทีเหว่ยเฟิงเองก็เริ่มสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในท่าทีของฉินป๋อหลิน จากที่เคยหาเรื่องชวนทะเลาะ หรือแกล้งต่อว่าเธอเรื่องงานอยู่เสมอ บัดนี้กลับกลายเป็นความเอาใจใส่ที่เธ
เช้าวันต่อมา เหว่ยเฟิงตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า เธอพยายามทำตัวให้เป็นปกติ แต่ก็ไม่อาจสลัดความคิดเกี่ยวกับฉินป๋อหลินออกไปได้ เธอเริ่มสังเกตเห็นท่าทีของเขาที่มีต่อเธอมากขึ้น และยิ่งทำให้เธอสับสนมากขึ้นไปอีกเหว่ยเฟิงรู้ว่าเธอต้องหาคำตอบให้กับความรู้สึกของตัวเอง ได้แต่หวังว่าเวลาจะช่วยให้เธอเข้าใจความรู้สึกพวกนี้มากขึ้นหวังว่า คงจะมีความสุขในสักวัน...แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องเข้ามาทางหน้าต่าง สาดส่องไปทั่วเคาน์เตอร์ที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบสดใหม่ เหว่ยเฟิงในชุดผ้ากันเปื้อนสีฟ้าอ่อน กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารเย็น กลิ่นหอมของเครื่องเทศลอยฟุ้งไปทั่วห้อง บ่งบอกถึงความตั้งใจและความรักที่เธอใส่ลงไปในทุกขั้นตอนวันนี้เหว่ยเฟิงตั้งใจจะทำอาหารจานโปรดของฉินป๋อหลิน อย่าง 'เป็ดพริกไทยดำ' ซึ่งเป็นสูตรลับเฉพาะของตระกูลเหว่ย ที่ใครกินบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า หอม นุ่มลิ้น ไม่มีกลิ่นคาว และไม่ได้แม้แต่กลิ่นเหม็นสาบเหว่ยเฟิงจำได้ว่าครั้งหนึ่ง หวังซู่หลินเคยพูดให้ฟังว่านี่คืออาหารที่ลูกชายของเธอโปรดปรานที่สุด เหว่ยเฟิงจึงอยากจะใช้โอกาสนี้แสดงความขอบคุณต่อเขา แม้จะเป็นเพียงการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เธ
ทุกเย็น ทั้งคู่จะนั่งทานอาหารด้วยกันบนโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ด้วยกันทุกวัน คล้ายกับว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำ อีกทั้งบรรยากาศที่เคยเย็นชาเริ่มอบอุ่นขึ้นทีละน้อย ฉินป๋อหลินเริ่มเปิดใจคุยกับเหว่ยเฟิงมากขึ้น เขาเล่าเรื่องการทำงานให้เธอฟัง ถามไถ่ถึงความเป็นไปในไร่องุ่น และบางครั้งก็แชร์เรื่องราวของเขาให้เธอฟังบ้าง ซึ่งตรงนี้เขาไม่เคยเอ่ยปากพูดกับใครมาก่อน อย่างพ่อแม่เขาก็ไม่เคยเล่าเรื่องราวในที่ชีวิตในต่างประเทศให้ท่านฟังเหว่ยเฟิงรับฟังเขาอย่างตั้งใจ เธอพยายามทำความเข้าใจในตัวเขา และมองเห็นความอ่อนแอที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีแข็งกร้าว เธอรู้ว่าเขาแบกรับความกดดันไว้มากมาย ทั้งจากธุรกิจของครอบครัว และจากความคาดหวังของคนรอบข้างยิ่งใช้เวลาร่วมกันมากขึ้นเท่าไหร่ ฉินป๋อหลินก็ยิ่งมองเห็นความดีและความจริงใจของเหว่ยเฟิงมากขึ้นเท่านั้น เขาเริ่มรู้สึกขอบคุณเธอที่คอยอยู่เคียงข้างเขา คอยดูแลเขา และคอยทำให้เขายิ้มได้วันหนึ่ง ขณะที่ทั้งคู่นั่งทานอาหารเย็นด้วยกัน ฉินป๋อหลินเงยหน้าขึ้นมองเหว่ยเฟิงด้วยแววตาอ่อนแสง“ขอบคุณนะครับ สำหรับทุกอย่าง” เขาพูดเสียงเบาเหว่ยเฟิงยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่น “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเต็มใจทำให้คุ
และแล้วไร่องุ่นที่มีข่าวว่าถูกวางยาพิษก็แพร่กระจายไปทั่วบริเวณราวกับไฟลามทุ่ง ฉินป๋อหลินยืนมองต้นองุ่นที่เคยเขียวขจี กลับเหี่ยวเฉาและแห้งตายเป็นจำนวนมาก“ใครกันที่ทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้!” ชายคำรามเสียงดัง ความเครียดและความกดดันถาโถมเข้าใส่อย่างหนัก หยางกวงไม่ใช่แค่ธุรกิจของครอบครัว แต่มันคือทั้งชีวิตของพ่อ เขาไม่สามารถปล่อยให้ใครมาทำลายมันได้ทางด้านเหว่ยเฟิงก็รีบวิ่งมาหาฉินป๋อหลินทันที เมื่อได้ยินข่าวการวางยาในไร่องุ่น เธอเห็นใบหน้าซีดเผือดของเขา และรับรู้ได้ถึงความทุกข์ในใจของเขาเช่นกัน“ป๋อหลิน” เธอเอ่ยเรียกเขาเบา ๆ พร้อมกับวางมือบนไหล่หนา “ใจเย็น ๆ นะคะ เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน”ฉินป๋อหลินหันมามองเธอ ดวงตาของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธและความสิ้นหวัง“ผมจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายไร่องุ่นของเรา ผมจะต้องหาตัวคนร้ายให้ได้”เหว่ยเฟิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ค่ะ ฉันจะช่วยคุณเอง เราจะร่วมมือกันหาทางแก้ไขปัญหาครั้งนี้ผ่านไปให้ได้นะคะ”“ขอบคุณนะ เหว่ยเฟิง” ฉินป๋อหลินพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาหลังจากเหว่ยเฟิงแยกจากสามี หญิงสาวก็เริ่มต้นการสืบสวนด้วยการตรวจสอบอย่างละเอียดในไร่องุ่น เธอใช้ความรู้ด้านพืชผลแล
ณ โรงพยาบาล บรรยากาศรอบตัวเธอราวกับหยุดนิ่ง ขณะที่เธอรอฟังผลวินิจฉัยจากแพทย์ และคำพูดของหมอเหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจ“คุณพ่อของคุณเป็นโรคหัวใจครับ เขาเป็นมานานแล้ว” หมอบอกอย่างใจเย็น แต่เหว่ยเฟิงรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มลงมา “เราแนะนำให้คุณเหว่ยทำบอลลูนหัวใจเพื่อเปิดเส้นเลือดที่ตีบมาหลายครั้งแล้ว แต่คนไข้กลับบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด”เหว่ยเซินปฏิเสธการรักษาอย่างหนักแน่น แม้แพทย์จะอธิบายถึงความจำเป็น เขาก็ยังคงยืนกรานว่าแค่เหนื่อยเกินไปและอยากพักผ่อนเท่านั้น เบื้องหลังท่าทีดื้อดึงนั้นคือความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายด้วยไม่อยากให้ลูก ๆ ต้องลำบากเรื่องค่ารักษาพยาบาล แม้แต่ประกันชีวิตเขาก็ไม่เคยทำ เพราะคิดว่าเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ชายผู้นี้รักและห่วงใยทุกสิ่งทุกอย่าง ยกเว้นก็แต่สุขภาพของตนเองเมื่อเหว่ยเฟิงรู้ความจริงว่าพ่อป่วยหนัก เธอรู้สึกเหมือนถูกทุบด้วยค้อนขนาดใหญ่ ความเสียใจและความกลัวถาโถมเข้ามาในใจ เธอไม่สามารถจินตนาการถึงชีวิตที่ไม่มีพ่อได้เลย“พ่อคะ ทำไมพ่อไม่บอกหนูเลย ถ้าพ่อบอกหนูสักคำ หนูจะคอยมาดูแลพ่อ หนูขอโทษนะคะที่ลูกคนนี้ไม่เอาไหนเลย พ่อป่วยเป็นอะไรก็ไม่ได้สนใจหรือใส่ใจ พ่อช่ว
ฉินป๋อหลินทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงาน ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธเกรี้ยว หลักฐานการยักยอกเงินที่เขาเพิ่งตรวจพบในบัญชีรายรับรายจ่าย ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกทรยศหักหลัง“ใครกันที่กล้าทำแบบนี้!” เขาคำรามลั่น ความโกรธทำให้ห้องทำงานที่เคยเงียบสงบสั่นสะเทือนขึ้นมาทันทีความเงียบในห้องทำงานของฉินป๋อหลินถูกทำลายลงด้วยเสียงเคาะประตูแผ่วเบา หวังหลิงเฟย พนักงานบัญชีที่เขาไว้ใจที่สุด ก้าวเข้ามาในห้องด้วยสีหน้ากังวล“นายท่าน” หวังหลิงเฟยพูดเสียงสั่น “ผมมีเรื่องสำคัญจะรายงานครับ”“ว่ามา” ป๋อหลินตอบ น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่ง แต่แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเครียด“ผมตรวจสอบบัญชีตามที่นายท่านสั่ง...แล้วพบว่ามีเงินจำนวนหนึ่งหายไปครับ” หวังหลิงเฟยพูดเสียงเบา “และหลักฐานทั้งหมดชี้ไปที่...คุณนายเหว่ยเฟิงครับ”คำพูดของหวังหลิงเฟยเหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจของฉินป๋อหลิน เขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เหว่ยเฟิง ภรรยาที่เขารักและเชื่อใจ จะทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร“หลักฐานอะไร?” เขาถามเสียงเครียดหวังหลิงเฟยยื่นเอกสารให้ฉินป๋อหลินดู เป็นสำเนาใบเสร็จและรายการโอนเงินที่ถูกแก้ไขอย่างแนบเนียน ฉินป๋อหลินตรวจสอบเอกสารเหล
ดูเหมือนว่าบรรยากาศภายในบ้านเช้านี้ ดูเย็นชาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งทั้งสองคนที่มีประเด็นกันต่างเก็บตัวเงียบ ไม่พูดคุยกันแม้แต่คำเดียว และความเงียบงันนี้เป็นเหมือนกำแพงหนาที่กั้นกลางระหว่างพวกเขาเอาไว้อย่างชัดเจน ทั้งยังสวนทางกับม่านชิงชิงที่รู้สึกยินดีกับความบาดหมางของคนทั้งคู่ยิ่งนักพอทานข้าวเช้ากับพ่อแม่แล้ว ฉินป๋อหลินก็มาเดินตรวจงานอยู่ที่ไร่คนเดียว เพราะวันนี้เหว่ยเฟิงยืนกรานว่าจะไม่ออกไปทำงานพร้อมกันกับเขา ทว่าขณะที่ฉินป๋อหลินดูองุ่นอยู่นั้นก็ได้ยินคนงานในไร่พูดคุยกันถึงเรื่องที่ม่านชิงชิงจ้างคนงานคนหนึ่งให้เข้าใกล้เหว่ยเฟิง เช่นนั้นแล้วเจ้าตัวจึงหยุดยืนฟัง“ฉันบอกแกแล้วไง ว่าอย่าไปยุ่งกับเมียของนายท่าน เดี๋ยวนายท่านก็เพ่งเล็งจนทำงานที่นี่ไม่ได้พอดี” เสียงคนงานคนหนึ่งดังขึ้น“แต่คุณหนูชิงชิงให้เงินฉันเยอะนี่นา ถึงออกจากที่นี่ไปก็สามารถตั้งตัวได้สบาย ๆ” คนงานที่ชื่อหลี่หมิงตอบกลับฉินป๋อหลินได้ยินอย่างนั้นก็กำหมัดแน่น เขาไม่รอช้า รีบไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดในบริเวณนั้นทันที ภาพที่เขาเห็นทำให้เขาแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ม่านชิงชิงกำลังพูดคุยกับคนงานที่ชื่อว่าหลี่หมิง และยื่
หลังจากร่วมทานข้าวเย็นกับพ่อแม่ และแขกอย่างม่านชิงชิงเสร็จแล้ว เหว่ยเฟิงและป๋อหลินก็เข้าห้องส่วนตัวที่ใช้หลับนอนด้วยกันมาแรมปี“เฟิงเอ๋อร์” เขาเรียกเธอด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้อ่อนโยนที่สุด “เมื่อวานซืน คุณออกไปไหนมาเหรอ”เหว่ยเฟิงเงยหน้าจากหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ เธอรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังถามถึงเรื่องอะไร แววตาของเธอฉายแววลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดความจริง“ฉันไปเจอหลิวกู้หย่งมาค่ะ” เธอตอบเสียงเบาหัวใจของป๋อหลินกระตุกวูบ แต่เขาก็ยังคงรักษาสีหน้าเรียบเฉย “ทำไมล่ะ”“เขาขอพบฉันค่ะ” เหว่ยเฟิงอธิบาย “ฉันจึงไปเพื่อบอกกับเขาว่าฉันแต่งงานแล้ว และขอให้เขาเลิกติดต่อฉัน ไม่ต้องมาพบกันอีก”ฉินป๋อหลินเงียบไปครู่หนึ่ง เขาจ้องมองดวงตาของหญิงสาวอย่างพินิจพิจารณา ซึ่งเหว่ยเฟิงไม่ได้มีแววตาที่โกหกแต่อย่างใด“ผมเชื่อใจคุณนะ เฟิงเอ๋อร์”เหว่ยเฟิงถอนหายใจอย่างโล่งอก พลางเดินเข้าไปกอดเขาแน่น“ขอบคุณนะคะ ป๋อหลิน”ฉินป๋อหลินโอบกอดเธอตอบ ความรู้สึกผิดที่เคยกัดกินใจเขาเริ่มจางหายไป เขาคิดถึงรูปถ่ายที่ได้รับมา มันก็ตรงกับสิ่งที่เหว่ยเฟิงเล่าทุกอย่าง เขาเริ่มรู้สึกโง่เขลาที่เคยสงสัยในตัวเธอ“อะไรกัน
ความรักของเขาที่มีต่อเธอนั้นมั่นคง แต่เขาก็ช่างไม่ใส่ใจความรู้สึกของเธอเลยแม้แต่น้อย เขาคิดว่าแค่การให้คำมั่นสัญญาว่าเธอจะเป็นภรรยาคนเดียวของเขาก็เพียงพอแล้ว แต่เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอต้องการมากกว่านั้น เธอต้องการให้เขาเข้าใจเธอ ให้เขารับฟังเธอ ให้เขาอยู่เคียงข้างเธอและแล้วค่ำคืนนั้น เหว่ยเฟิงก็พยายามอย่างหนักเพื่อข่มตาให้หลับ แต่ภาพของม่านชิงชิงและคำพูดไร้เยื่อใยของป๋อหลินยังคงตามหลอกหลอน เธอเฝ้าหวังว่าสักวันเขาจะเข้าใจความรู้สึกของเธออย่างแท้จริง ว่าสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุดไม่ใช่แค่คำสัญญาว่าเธอจะเป็นภรรยาคนเดียวของเขา แต่คือการปกป้องและความเข้าใจจากเขาต่างหากเหว่ยเฟิงเดินเข้ามาในร้านกาแฟมีชื่อในเมืองต้าหลี่ ซึ่งตกแต่งด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น พลางมองหาคนที่นัดเธอมาพบในวันนี้ พอเห็นแล้วว่านั่งตรงไหน จึงเดินตรงไปยังโต๊ะที่ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งรออยู่ พร้อมกับเอ่ยทักทาย“กู้หย่ง ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรให้ฉันต้องมาพบกับนายอีกงั้นเหรอ” “ผมอยากจะมาขอบคุณเหว่ยเฟิง ที่ให้คำแนะนำเรื่องการลงทุนเมื่อครั้งก่อน ตอนนี้ผมสามารถจัดการปัญหาทางการเงินได้แล้วนะ” ไม่สิต้องบอกว่ามีคนเสนอเงินก้อนโตให้เขาต่า
บ้านพักคนงานที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากคฤหาสน์ตระกูลฉินราวกับเป็นโลกคนละใบ กลายเป็นที่พักพิงใจของเหว่ยเฟิงในยามนี้ น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ตลอดทาง พรั่งพรูออกมาทันทีที่เธอก้าวเข้าไปในห้องเล็ก ๆ ที่คุ้นเคย เสียงสะอื้นของเธอทำให้เหว่ยเซินที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงสะดุ้ง“เฟิงเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นลูก?” เหว่ยเซินรีบซ่อนขวดยาที่อยู่ในมือลงใต้เตียงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นไปประคองลูกสาวที่กำลังร้องไห้โฮเหว่ยเฟิงโผเข้ากอดบิดาแน่น ราวกับเด็กน้อยที่ต้องการหาที่ปลอดภัยเธอเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนเช้าให้พ่อฟัง เสียงสะอื้นของเธอทำให้เหว่ยเซินรู้สึกเจ็บปวดไปด้วย เขาไม่เคยเห็นลูกสาวอ่อนแอเช่นนี้มาก่อน“ไม่เป็นไรนะลูก พ่ออยู่ตรงนี้” เหว่ยเซินลูบผมลูกสาวแผ่วเบา พยายามปลอบโยนเธอด้วยคำพูดที่อบอุ่น“หนูไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกแล้วค่ะพ่อ” เหว่ยเฟิงพูดเสียงสั่นเครือเหว่ยเซินถอนหายใจ เขาเข้าใจความรู้สึกของลูกสาวดีว่าคนในตระกูลฉินนั้นไม่ใช่ว่าทุกคนจะยอมรับลูกสาวของเขา“เฟิงเอ๋อร์ พ่อรู้ว่ามันยากสำหรับลูก แต่ลูกต้องเข้มแข็งไว้นะ” เหว่ยเซินพูดอย่างหนัก“พ่อจะอยู่ข้าง ๆ ลูกเสมอนะ” เหว่ยเซินยิ้มให้ลูกสาวอย่างอ
พอสองสามีภรรยาพยุงฉินหลงเจ๋อเข้าบ้านก็เห็นว่าหวังซู่หลินกำลังนั่งพูดคุยกับแขกสาวอย่างเป็นกันเองเหว่ยเฟิงเองมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เธออดกังวลไม่ได้ว่าการมาของม่านชิงชิงรอบนี้จะนำพาปัญหาอะไรมาสู่ไร่องุ่นแห่งนี้บ้างและความกังวลของเหว่ยเฟิงก็เป็นจริงอย่างรวดเร็ว เมื่อม่านชิงชิงเริ่มแสดงธาตุแท้ออกมาทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในไร่องุ่นในเวลาแค่ไม่กี่วัน โดยที่เธอทำตัวราวกับเป็นเจ้าของที่แห่งนี้ สั่งคนงานไปทั่วราวกับเป็นนางพญา และที่ร้ายไปกว่านั้น เธอผูกมิตรกับแม่ของฉินป๋อหลินอย่างรวดเร็ว ซึ่งทั้งสองร่วมมือกันกลั่นแกล้งเหว่ยเฟิงสารพัด หากหญิงสาวก็ไม่ได้ปริปากบ่นหรือเล่าให้ฉินป๋อหลินฟัง เพราะแค่งานในไร่ก็ปวดหัวมากพอแล้ว เธอจึงพยายามเก็บความรู้สึกอึดอัดเอาไว้ในใจเฮ้อ ไม่รู้ว่าจะทนได้อีกนานแค่ไหนวันหนึ่ง ขณะที่เหว่ยเฟิงกำลังเก็บองุ่นอยู่ ม่านชิงชิงก็เดินเข้ามาพร้อมกับแม่ของฉินป๋อหลิน“นี่เธอ ทำงานให้มันดี ๆ หน่อยสิ เก็บองุ่นแบบนี้เดี๋ยวก็ทำองุ่นเสียหายหมดหรอก” ม่านชิงชิงพูดเสียงดัง ทำให้คนงานคนอื่น ๆ หันมามองเหว่ยเฟิงรู้สึกโกรธ แต่พยายามข่มอารมณ์ไว้ “ฉันทำอย่างระมัดระวั
เวลาผ่านไปเกือบปี นับตั้งแต่วันที่เขาแต่งงานกับเหว่ยเฟิง ฉินป๋อหลินได้ใช้เวลากับเหว่ยเฟิงมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาได้เห็นด้านต่าง ๆ ของเธอที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเหว่ยเฟิงไม่ใช่แค่หญิงสาวที่ฉลาดและมีไหวพริบ เธอเป็นคนจริงใจ ตรงไปตรงมา และมีความเข้มแข็งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทางอ่อนโยนยิ่งเขาได้รู้จักเธอมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ใกล้เธอ เหว่ยเฟิงเป็นคนที่หัวแข็งก็จริงแต่เธอเป็นคนว่าง่าย ไม่เคยเรียกร้องความสนใจจากเขา ไม่งี่เง่าโดยไร้เหตุผล และนั่นทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเมื่ออยู่กับเธอ“ผมมีความสุขที่สุดเลย”แสงจันทร์สาดผ่านม่านโปร่งบางเข้ามาในห้องนอน สาดส่องผิวเนื้อเปลือยเปล่าของฉินป๋อหลินและเหว่ยเฟิงที่กำลังนอนกอดกันกลมบนเตียงกว้าง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสบู่และไออุ่นจากร่างกายของทั้งคู่ผสมผสานกันจนอบอวลไปทั่วทั้งห้อง“ฉันก็รู้สึกมีความสุขอย่างที่คุณกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ค่ะ”เหว่ยเฟิงซบหน้าลงบนแผ่นอกกว้างของฉินป๋อหลิน ฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นและปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน มือเรียวลูบไล้แผ่นหลังเปลือยเปล่าของเขาอย่างแผ่วเบาฉินป๋อหลินกระชับอ
วันหนึ่ง ขณะที่ป๋อหลินกำลังตรวจดูผลผลิตในไร่องุ่น ร่างบอบบางหนึ่งที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าคนคนนั้นคือม่านชิงชิง อดีตคนรักที่ทิ้งเขาไปอย่างไร้เยื่อใยเมื่อหลายปีก่อนม่านชิงชิงยังคงสวยสง่าราวกับภาพวาด เธอสวมชุดเดรสสีขาวที่พลิ้วไหวไปตามสายลม ผมยาวสลวยถูกรวบขึ้นอย่างหลวม ๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามหมดจด ดวงตากลมโตยังคงเป็นประกายสดใส แต่แฝงไปด้วยความเศร้าสร้อยบางอย่าง“หลินหลิน” เธอเอ่ยชื่อเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาป๋อหลินรู้สึกเหมือนเวลาหยุดนิ่ง เขาไม่เคยคิดว่าจะได้พบเธออีกครั้ง“ชิงชิง” เขาตอบรับเสียงแหบพร่า “คุณมาที่นี่ได้ยังไง?”ม่านชิงชิงเดินเข้ามาใกล้ “ฉันมาเพื่อขอโทษคุณ สำหรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต”ป๋อหลินมองเธออย่างไม่เข้าใจ “ทำไมคุณถึงมาขอโทษผมเอาตอนนี้?”“ฉันรู้ว่ามันสายเกินไป” ม่านชิงชิงก้มหน้าลง “แต่ฉันอยากให้คุณรู้ว่า ฉันเสียใจจริง ๆ นะ หลินหลิน”ฉินป๋อหลินไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี เขาเคยโกรธเธอที่ทิ้งเขาไป แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังคงฝันถึงเธออยู่บ่อย ๆ“ไม่หรอก ผมขอไม่เชื่อในสิ่งพูดเหรอ” ฉินป๋อหลินคล้ายกับพูดกับตัวเอง “ผมขอตัวก่อนนะ”“ยังไงคุณก็หนีฉันไปไหนไม่ได้หรอก ห