“โธ่เว้ยย อัก แค่กๆ ไอ้ตัวกลายพันธุ์บัดซบ!!!” ฮั่วหมิงเค้นเสียงอย่างแค้นเคือง เขาหอบร่างบาดเจ็บหนักของตัวเองเดินไปตามทาง ระหว่างทางเขาได้ประมือกับผีดิบตาสีแดง มันว่องไว ทั้งยังมีถึงสองตัว จึงพลาดโดนมันโจมตีซ้ำรอยเดิม
ผลัก โครม
“อึก บ้าชิบ” เขาสะดุดเท้าของใครบางคนจนล้ม สายตาเหลือบไปมองดวงตาเบิกโพลง
“กุนซืออู๋หยาง!” เขาครางชื่อแผ่วเบาอย่างไม่เชื่อสายตา อีกฝ่ายอยู่ในสภาพที่เครื่องในโดนกัดกินจนไม่เหลือ ไม่ไกลกันพบร่างคนรับใช้สนิทของท่านอาจารย์นอนตายอยู่ คาดว่าพวกเขากำลังจะหนีแต่ไปไม่รอด ตาเหลือกอย่างคนตายตาไม่หลับ
ย้อนกลับไปในคืนก่อนหน้า
“เสียงดังเอะอะโวยวายอะไรกัน” ฮั่วหมิงที่นั่งให้พวกสาวๆนวดตัวอยู่นั้นเอ่ยถามอย่างหงุดหงิดที่มีคนมาเสียงดังขัดจังหวะ
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ พวกผีดิบกำลังอาระวาด”
“มันจะเป็นไปได้อย่างไร มันถูกขะ...”
แฮร่ กรร
<
“องค์ชาย พวกเราจะไปไหนพะย่ะค่ะ” ตงฉางถามชายหนุ่มที่โตขึ้นจากเมื่อ 7 ปีก่อน มองแผ่นหลังที่เดินนำอย่างไม่หวั่นกลัว ทุกย่างก้าวช่างเต็มไปด้วยความหนักแน่น เด็ดเดี่ยว และน่าเกรงขามเขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นถึงองค์ชายด้วยความบังเอิญเมื่อสองปีที่แล้ว ไม่คิดจะเปิดเผย เพราะอีกฝ่ายคงมีเหตุผลให้ปกปิดตัวตน เขาจึงยังพูดคุยอย่างปกติ แต่ก็แอบเกร็งๆอยู่บ้างตอนแรกคิดว่าชีวิตของเขาและองครักษ์จะต้องมาจบลงในที่แห่งนี้ เขาเห็นพวกตัวประหลาดที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนจู่ๆพยายามเข้ามาโจมตีกรงขัง อาจเป็นความโชคดีที่พวกมันยังเข้ามาไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะยื้อไว้ได้นานแค่ไหน เสียงกรี๊ดร้องทั้งด้านในและด้านนอกดังไปทั่วจนถอดใจระหว่างสถานการณ์เริ่มสิ้นหวังกลับได้ยินเสียงอันคุ้นเคยเอ่ยเรียก ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเสียงพระองค์ก่อนตาย ทว่าพอเงยหน้ากลับพบองค์ชายตัวเป็นๆมายืนอยู่ตรงหน้า เป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกเหมือนเห็นแสงสว่างในความมืดมิด“ท่าเรือ” หยางหลงตอบสั้นๆ เขาจำทางไปยังท่าเรือได้ สายตามองรอบๆ เละเทะไม่ต่างกัน มีรอยคราบเลือดเต็มไปหมด
“ท่านแม่ทัพ แล้วเราควรทำอย่างไรกับคนพวกนี้ดี” เจียหมิงถามขึ้น“เหลียนเอ๋อร์ เจ้าว่าอย่างไร” ทุกคนนั่งประชุมกันอยู่ โดยเป่ยหวงได้ให้เหลียนฮวาเข้าร่วมด้วย เพราะนางเป็นคนมาบอกเรื่องราวครั้งนี้“ข้าคิดว่าควรให้พวกเขากลับไปด้วยเจ้าค่ะ อย่างน้อยก็ฐานะเชลยศึก เพราะหากให้กลับไปไม่รู้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดหรือไม่” เหลียนฮวาครุ่นคิด“ข้าเห็นด้วยกับความคิดเหลียนเอ๋อร์ขอรับ” อี้ฟ่านกล่าว“ข้าด้วย”“ข้าด้วยขอรับ” เสียงกู้หาน เฟยจิน ก่อนคนอื่นๆจะเริ่มออกความคิดเห็น“เอาล่ะๆ ข้าจะส่งจดหมายไปบอกทางฝั่งแม่ทัพใหญ่ หลังจากนี้เราจะเก็บของเตรียมตัวกลับไปรวมกับทุกคน” เป่ยหวงกล่าวสรุป เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเมื่อตอนดึกระหว่างแคว้นลั่วโจมตี จู่ๆเหลียนเอ๋อร์นางก็เข้ามาร่วมต่อสู้เพื่อคุยกับเขาให้ได้ เขาจึงปลีกตัวออกมาคุยนางบอกเล่าถึงเรื่องราวที่เจอมีทั้งคำพูดและคำเตือนจากชายแปลกหน้าคนนั้น เขาคิดว่ามันประจวบเหมาะกับเมื่อ 9 ปีก่อนพอดี ตอนที่รู้ว่าพวกมัน
พระราชวังแคว้นลั่ว“อะ อ๊ากกกก ปะ ปีศาจ” เสียงกรี๊ดร้องดังลั่นไปทั่วทุกหนแห่ง เมื่อมีปีศาจบุกเข้ามายังเมืองหลวง ทหาร องครักษ์ไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้เลย เมื่อปีศาจที่พวกเขาพูดถึงมาเยือน พื้นที่นั้นจะเต็มไปด้วยเลือด เสียงร้องขอความช่วยเหลือจากทั่วทุกสารทิศ นางกำนัล ข้ารับใช้หญิงชายต่างหนีอลม่าน พระราชวังลุกเป็นไฟแฮร่ กรร“ยะ อย่าเข้ามานะ กรี๊ดดดด”“แงงง แงงง ข้ากลัว” เหล่าองค์ชาย องค์หญิงส่งเรียกร้องไห้จ้าด้วยความหวาดกลัว สถานการณ์ต่างตกอยู่ในความโกลาหล เมื่อมีศพของพวกทหารนางกำนัลที่ตายไปแล้วลุกขึ้นมากัดกินคนอื่นต่อ“จะ เจ้าต้องการอะไร” ลั่วฮ่องเต้กล่าวด้วยท่าทีสั่นกลัว เหลือบมองทหารองครักษ์ที่แปรเปลี่ยนเป็นพวกมันอย่างตื่นตระหนก ในหัวเต็มไปด้วยคำถามพวกมันหลุดออกมาจากกรงขังได้อย่างไร พวกหมอผีและแม่ทัพฮั่วหมิงมัวทำอะไรกันอยู่ สายตาสบเข้ากับดวงตาของตัวประหลาด เยว่เล่อแสยะยิ้มก่อนเอ่ย“บัลลังก์” พูดสั้นๆทว่าเ
‘จะกลับไปชายแดนอีกดีไหม’ หยางหลงสวมชุดคลุมปิดบังใบหน้าครุ่นคิดมาหลายชั่วยาม หลังจากแยกกันกับเจ้าสำนักตงฉางและคนอื่นๆ เขาเดินไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมายเหง่ง เหง่ง เหง่ง เสียงฆ้องดังลั่นทั่วบริเวณ หยางหลงชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดิน ตามความหมายเท่าที่เขาพอทราบ การตีสามครั้งน่าจะเพื่อแจ้งข่าว ฉับพลันความสงสัยได้ไขกระจ่างเมื่อมีเสียงคนส่งข่าวตะโกนแจ้งแก่ชาวบ้าน“มีประกาศให้ทุกคนรีบอพยพโดยด่วน!!!” ทุกคนที่ได้ยินต่างตื่นตระหนก ตกอยู่ในความสับสน“ดะ เดี๋ยวก่อนพ่อหนุ่ม เกิดเหตุอันใดขึ้น” แม่ค้าคนหนึ่งดักหน้าถามผู้ส่งข่าว“แคว้นลั่วจะบุกมาอีกในไม่ช้า ทางการจึงมีคำสั่งให้ชาวบ้านทุกคนในแถบชายแดนอพยพไปยังค่ายอพยพที่จัดไว้ให้ ฝากท่านป้าแจ้งข่าวแก่ทุกคนด้วยนะขอรับ” ชายผู้แจ้งข่าวพูดอย่างรีบเร่ง พูดเสร็จก็รีบวิ่งร้องประกาศไปทั่วต่อ“มีประกาศขอรับ ให้ทุกคนรีบอพยพโดยด่วน”หยางหลงได้ยินอย่างนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าเด็กสาวผู้นั้นเชื่อคำพูดของเขา และนำเรื่องไปบอกกล่าว ชื่
“ขอทราบชื่อ”“หยางหลง”“เหตุใดต้องสวมผ้าคลุม” เจ้าหน้าที่หน้าประตูเอ่ยถามอย่างสงสัย ด้วยกลิ่นอายที่แผ่ออกมาของคนผู้นี้มองอย่างไรก็ไม่น่าใช่ชาวบ้านธรรมดา“พอดีข้าไม่เหมือนคนอื่นหน่ะ” ว่าจบหยางหลงก็เปิดผ้าคลุมออกแม้จะเพียงครู่เดียว เจ้าหน้าที่ชะงักงันยามสบตากับอีกฝ่าย“ขะ เข้าไปได้” เหมือนต้องมนต์สะกดเจ้าหน้าที่คนนั้นตอบรับอย่างรวดเร็ว ไม่เคยเห็นคนที่มีดวงตาสีแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน พอคิดว่านี่คงเป็นเหตุผลที่เขาปกปิดใบหน้าเอาไว้จึงปล่อยผ่าน ชายหนุ่มผู้นี้คงใช้ชีวิตลำบากน่าดูเมื่อเข้ามายังค่าย หยางหลงมองซ้ายมองขวา คนไม่ได้เยอะอย่างที่คิด น่าจะเป็นเพราะระหว่างทางมานี้เขาเห็นชาวบ้านบางคนยังเลือกที่จะอยู่บ้าน ไม่ได้สนใจประกาศ“ต่อแถวเข้ามารับอาหารได้เลยเจ้าค่ะ” พลันได้ยินเสียงเล็กอันคุ้นเคยดังอยู่ไม่ไกล หยางหลงหันมองตามเสียง พบกับใบหน้าสดใสที่ยังทาบางอย่างเพื่อเปลี่ยนสีผิวไว้เหมือนเดิม ตรงนั้นเป็นที่แจกจ่ายอาหารมีหลายแถ
“เหลียนเอ๋อร์ เจ้าจะไปกับพวกทหารด้วยหรือ” เจียหมิงถามบุตรสาวเสียงอ่อน เนื่องจากเขาได้รับหน้าที่ให้ช่วยพี่ใหญ่สร้างกำแพงจึงไม่ได้ไปกับอีกกลุ่มด้วย“เจ้าค่ะ ข้าจะไปช่วยพูดกับพวกชาวบ้าน อย่างน้อยหากเห็นว่าเป็นผู้หญิงไปด้วยอาจจะช่วยลดความระแวงลงได้บ้าง” เหลียนฮวาบอกกับผู้เป็นพ่อ“กับเจ้าหนุ่มนั่นด้วยหรือ” เจียหมิงบุ้ยปากไปทางหยางหลงที่ยืนอยู่ไม่ไกล หน้าตาท่าทางบ่งบอกว่าไม่ใช่คนธรรมดา เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้“ละ แล้วแต่เขาสิเจ้าคะ ว่าอยากหรือไม่อยากไป” เหลียนฮวาพูดตะกุกตะกัก เพราะตั้งแต่ประชุมเสร็จ ชายหนุ่มคนนั้นก็ทำตัวติดกับนาง จนหลายคนเอ่ยแซว“เอาล่ะ ดูแลตัวเองด้วยนะลูก” ลูบหัวบุตรสาวอย่างแสนรักตัดใจกล่าวลาตาละห้อย บุตรสาวเขายังไม่พ้นวัยปักปิ่นด้วยซ้ำ เหตุใดเขาถึงมีลางสังหรณ์ว่ามีคนกำลังมาชิงนางไปจากอ้อมอกเขาในไม่ช้า“เจ้าค่ะ ท่านพ่อก็ด้วย”“เจ้าเป็นคนแคว้นใด” ระหว่างทางเหลียนฮวาชวนคุยท่ามกลางความเงียบ&ldqu
“ไปซะ ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!!” หญิงอ้วนตะโกนบอกเสียงดังลั่น“แต่ว่า...” เหลียนฮวาพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ“เด็กน้อย พ่อแม่เจ้าคงรับสินบนจากพวกทางการให้มาชักจูงชาวบ้านออกไปจากที่ดิน แล้วพวกมันก็จะฮุบที่ดินไว้เองสินะ” หญิงคนเดิมพูดจาเสียดสี สายตาเต็มไปด้วยความดูถูก“นี่ป้าเล่นคิดเองเป็นตุเป็นตะ อย่าดูโรงละครให้มาก ข้าแค่มาแจ้งข่าวเท่านั้น” เหลียนฮวาอดไม่ไหวเท้าสะเอวสวนกลับ เอ่ยถึงโรงละครที่ชาวบ้านชอบเข้าไปดูเพื่อความบันเทิง คราแรกคิดว่าเข้าใจได้เพราะคนที่นี่ล้วนผูกพันกับบ้านของตน แต่เล่นพูดจาดูถูกถึงพ่อแม่เลยขอสวนกลับหน่อยเถอะ“จะแจ้งข่าวหรืออะไรก็แล้วแต่ กลับไปซะข้าไม่ยอมออกไปจากบ้านข้าหรอก” นางยังคงยืนกราน“ถือเสียว่าได้มาแจ้งแล้ว ข้าไปล่ะ” ในเมื่อดื้อดึงไม่ฟังคำเตือน ก็ขอปล่อยเลยตามเลยแล้วกัน“พักก่อนดีหรือไม่” หยางหลงเอ่ยถามหญิงสาวที่มีเหงื่อผุดพราย ทว่ายังวนเวียนเคาะประตูตามบ้านอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แม้บางบ้านจะไม่ให้การต้อน
“หยางหลง ข้าเอาไม้มาให้เพิ่ม” เจียวลู่เอ่ยบอกเพื่อนใหม่ที่เขาได้มีโอกาสรู้จักหลังจากที่เข้ามาช่วยสร้างรั้ว นึกชมอีกฝ่ายที่หัวไวมาก แค่มองคนอื่นทำไม่นานก็เข้าใจโครงสร้างทั้งหมด ลงมือทำได้อย่างไม่ติดขัด ตอนนี้เพื่อนใหม่ของเขาถอดผ้าคลุมออกแล้ว แม้ตอนแรกจะชะงักกับสีตาอีกฝ่ายไปนิดแต่ไม่นานก็คุ้นชิน และมองว่ามันสวยแปลกตา หรือต้องเรียกว่าอะไรนะที่หลานสาวเขาชอบบอก เท่ระเบิดละมั้ง คนในค่ายก็คงคิดแบบเดียวกับเขา เริ่มเป็นมิตรกับชายหนุ่มมากกว่าเดิม ยกเว้นก็แต่พี่รองที่ยังตั้งแง่กับเพื่อบใหม่ของเขา“ขอบใจ” แม้หยางหลงจะอายุน้อยกว่า ทว่าเจียวลู่กลับไม่ยอมให้อีกฝ่ายเรียกพี่ เขาบอกว่าอายุห่างกันไม่เท่าไหร่ ไม่ต้องเรียกก็ได้ ทั้งสองจึงได้พูดคุยเป็นกันเอง“เจ้าพักสักหน่อยดีไหม ช่วยงานตั้งแต่เช้าไม่พัก” เจียวลู่นั่งลงบนพื้น หยิบชามะนาวผสมน้ำผึ้งที่หลานสาวทำไว้หลายสิบกระบองขึ้นมาเทดื่ม พอดื่มเสร็จรู้สึกร่างกายสดชื่น ชายหนุ่มนั่งรับลมเย็นๆ คิดอะไรเพลินๆ หากไม่มีสงครามก็คงดีเมื่อครึ่งชั่วยามเหลียนเอ๋อร์บอกว่าเจอน้ำผึ้งป่าจากชาวบ้านคนหนึ่งจึงขอซื้อต่อ แล้วท
“อุแว้ อุแว้”“ที่รักเหนื่อยไหม ขอบคุณที่คลอดบุตรให้พี่อีกคนนะ” หยางหลงเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากให้คนรักที่หน้าซีดเซียว“ไม่เลยเจ้าค่ะ แค่เห็นหน้าลูกๆกับพี่ ข้าก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง” เหลียนฮวาที่มีประสบการณ์จากการคลออบุตรครั้งแรกถึงสองคน ครั้งนี้จึงคลอดง่ายมาก หมอหลวงที่เดินทางจากแคว้นเว่ยโดยเฉพาะอุ้มเด็กน้อยตัวอวบอ้วนเข้ามา“ขอแสดงความยินดีกับชินอ๋องและพระชายา เป็นเด็กทารกเพศชาย ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์เพคะ” หมอหญิงส่งเด็กทารกให้แก่ชินอ๋อง หยางหลงรับมาด้วยความทะนุถนอม“อีกแล้ว ข้าอุ้มท้องเขามา 9 เดือนนะเจ้าคะ” เหลียนฮวาพูดอย่างน้อยใจ เมื่อบุตรลายคนที่สามไม่มีส่วนไหนเหมือนนางเช่นเดียวกัน นี่น้ำเชื้อเขาแรงมากเลยหรือ ลูกออกมาสามคน หน้าตาเหมือนเขาทุกคน“ฮ่าๆ คนที่สี่ต้องเหมือนเจ้าอย่างแน่นอน” หยางหลงพูดด้วยรอยยิ้ม เหลียนฮวาได้แต่อ้าปาก
แคว้นฉินพระราชวัง“ฮื่อ ฮื่อ” เสียงเด็กน้อยร่ำไห้อยู่ข้างเตียงของหญิงนางหนึ่ง“แค่ก ๆ ขะ ข้าไม่น่า คะ คลอดเด็กอย่างเจ้าออกมาเลย” องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยใบหน้าโกรธแค้น ตัวนางซูบผอมเหลือแต่กระดูก อันเนื่องจากคลอดเด็กลูกครึ่งผีดิบที่กัดกินชีวิตนางตั้งแต่อยู่ในครรภ์ นางหวังให้ลูกของนางเติบโตมาแข็งแกร่งเหมือนพ่อ ทว่าเด็กออกมากลับเป็นผู้หญิง นอกจากอ่อนแอแถมยังไร้ประโยชน์ทำไมกันนะ ชีวิตของนางถึงไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง ตั้งแต่มีพระสวามี เขาก็ทิ้งนางให้อยู่ท่ามกลางผีดิบ ดีที่ยังมีคนรับใช้หลงเหลือไว้ให้อยู่ แต่รอบตัวก็เต็มไปด้วยผีดิบ ไม่มีใครสามารถออกจากแคว้นได้เลย มีครั้งหนึ่งที่แม่ทัพของเคยคิดออกจากแคว้น ทว่ายังไปได้ไม่ไกล ต่างโดนเหล่าผีดิบเข้ามากัดกินทั้งเป็น หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าออกไปนอกแคว้นอีกเลย“ท่างแม่…”“ยะ อย่า แ
4 ปีต่อมา“เสี่ยวชุน เสี่ยวเฉินลงมาจากต้นไม้เดี๋ยวนี้!!” เหลียนฮวาตะโกนบอกบุตรชายตัวแสบวัยสามขวบทั้งสอง อุ้มท้องมา 9 เดือน แต่ไม่มีส่วนใดได้นางมาเลย เด็กๆถอดแบบพี่หยางมาทั้งหมด ชอบปีนต้นไม้เหมือนใครก็ไม่รู้? แถมยังหลบหนีพี่เลี้ยงเก่งเป็นที่หนึ่ง“ปี้ชายลงไปก่อนซี่” เสี่ยวชุนหรือเว่ยชุนหวงเอ่ยบอกพี่ชายที่คลอดก่อนตนเพียง 5 วินาที ร่างกลมป้อมอวบอัด ทว่ากลับว่องไวกว่าคนเป็นพี่บุ้ยปากให้พี่ชายลงจากต้นไม้ก่อน“เจ้าเปงน้องก็ต้องลงก่อง” เสี่ยวเฉินหรือเว่ยเฉินอี้กล่าวบอกผู้เป็นน้อง ทั้งสองเกี่ยงกันลงก่อนเนื่องจากยังดูพวกท่านตาฝึกซ้อมยังไม่เสร็จ“ลง มา พร้อม กัน” เหลียนฮวาจำต้องเน้นเสียงทีล่ะคำบอกบุตรชาย ไม่งั้นก็ยังเกี่ยงกันไม่เลิก บุตรชายของนางทั้งสองชื่นชอบการต่อสู้เป็นพิเศษ หากเห็นทหารหรือบรรดาตาๆตัวเองฝึกก็จะรีบขอตามไปดูอย่างไวพวกเด็กๆจะเรียกพ่อของนางว่าต
“เหนื่อยหรือไม่” หยางหลงเอ่ยถามเจ้าสาวของตนหลังคืนแต่งงานผ่านพ้นไป คนรักที่กลายมาเป็นภรรยาและคู่ชีวิตของเขานับแต่นี้เหลียนฮวานั่งตัวเกร็งอย่างทำอะไรไม่ถูก นางกำลังเผชิญกับคืนเข้าหอเป็นครั้งแรก“…”“เหตุใดไม่คุยกับพี่้เล่า” หยางหลงค่อยๆเปิดผ้าคลุมเจ้าสาวเชยคางมนมาสบตา ทั้งสองสบตากันอย่างลึกซึ้ง“ตะ ต้องดื่มเหล้าก่อนมงคลเจ้าค่ะ” เหลียนฮวาที่ไม่รู้จะหาข้ออ้างอันใดมาเอ่ยจึงมองไปที่กาใส่เหล้ามงคลเอาไว้“จริงสิ เป็นขนบธรรมเนียมของที่นี่” หยางหลงยิ้มกริ่มก่อนจะค่อยๆเทเหล้ามงคลจากกาน้ำสองจอดและยกขึ้นมาถือไว้“ดื่มเถิด” เขายื่นให้คนรักหนึ่งแก้วและถือไว้เองหนึ่งแก้ว ทั้งสองคล้องแขนกันก่อนจะยกขึ้นดื่มพร้อมกัน ทั้งกลิ่นทั้งรสชาติของเหล้ามีความแรงจนเหลียนฮวาต้องนิ่วหน้า นางรีบกลืนภายในอึกเดียว ไม่นานหน้
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ” ฮ่องเต้สวรรค์มองบุตรสาวด้วยสายตาไม่พอใจนัก“เจ้ารู้ความผิดที่ก่อหรือไม่เทพธิดาเหมยลี่” น้ำเสียงดังก้องกังวาลไปทั่วชั้นฟ้า“ไม่เพคะ” เทพธิดาเหมยลี่เชิดหน้าไม่ยอมแพ้“เจ้า!!!”“ลูกไม่คิดว่าการที่พวกเรารักกันจะผิดตรงไหน”“แม้จะไม่มีบัญญัติว่าห้ามรักต่างฐานันดร แต่เจ้าก็ทำผิดกฎสวรรค์ เจ้ากำลังตั้งครรภ์!!!” ฮ่องเต้สวรรค์แทบลมจับ สั่งให้ทูตสวรรค์หรือที่เรียกทหารในโลกมนุษย์พาธิดากลับมาและนำไอ้ชายที่มันล่อลวงบุตรสาวของเขามารับโทษ“ตั้งครรภ์ จริงสิ เสด็จพ่อทรงมีหลานแล้วเพคะ นางจะเป็นเทพธิดาตนใดมาเกิดกันนะ” เหมยลี่พูดไปยิ้มไป สายใยแม่ลูกทำให้รู้ว่าในครรภ์ของนางเป็นเพศหญิง พลางลูบหน้าท้องแบนราบของตน“ช่างเรื่องนั้นก่อน เจ้าต้องได้รับโทษ” ฮ่องเต้สวร
“พี่หยาง ผักที่เราปลูกงอกแล้วเจ้าค่ะ” เหลียนฮวากล่าวอย่างตื่นเต้น เป็นล็อตสองที่ทดลองปลูก แถมผักที่ปลูกยังเป็นชนิดใหม่“หืม งอกเร็วมาก ยังไม่ถึงเดือน” หยางหลงรีบเข้ามาดูต้นผักตามคนรักชี้บอก วันนี้พ่อตาและคนอื่นไม่อยู่ต้องไปทำภารกิจ“เพราะดินที่เราหมั่นบำรุงมั้งเจ้าคะ”ฟอดดด“เพราะเราช่วยกันปลูกต่างหาก” ขายหนุ่มแอบหอมแก้มแฟนสาวเร็วๆ แล้วส่งยิ้มกระชากใจหลังจากกลับจากแคว้นเว่ยมีประกาศอย่างเป็นทางการเรื่องว่าที่พระชายาองค์ชายห้า เล่นเป็นข่าวดัง พูดถึงกันอยู่พักใหญ่เพราะว่าที่พระชายาเป็นคนต่างแคว้นแถมยังเป็นสามัญชน ทว่าทั้งคู่กลับไม่มีใครสนใจ พากันเดินทางไปแคว้นจ้าวสลับกับแคว้นเว่ย ไปๆมาๆระหว่างสองแคว้น แถมยังหวานกันยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากไม่ต้องปกปิดตัวตนอีกต่อไป“ครั้งหน้าหากผักในโรงปลูกผักโตกว่า
“อื้มม พะ พอก่อนเจ้าค่ะ แฮ่กๆ” เหลียนฮวาหลบชายคนรักที่ตะบมจูบอย่างหื่นกระหาย“เราไม่ได้สกินชิพกันมาหลายวันแล้วนะ” หยางหลงเอ่ยอย่างงอนๆ ไม่ว่าจะเดินไปไหนระหว่างพวกเขามักมีสายตาจับจ้อง ทั้งยังส่งเสียงทักทายมาให้ตลอด พอจะอยู่กันสองคนก็จะมีสายตาจับผิดของพ่อตามองมาอยู่เสมอ ทำให้เขาแทบปลีกตัวอยู่กันสองต่อสองไม่ได้เลย“ก็ใครใช้ให้พี่เป็นคนดังล่ะเจ้าคะ” เหล่าทหารหลายคนที่อยากขับรถแบบเขา จึงพากันเข้ามาพูดคุยขอให้เขาช่วยสอนขับรถ ทั้งยังพูดถึงแต่เรื่องรถ ความชอบของพวกผู้ชายหนีไม่พ้นพวกนี้เลยจริงๆ“พี่สอนพ่อตากับลุงแม่ทัพขับแล้ว พวกเขาไม่ไปถามทั้งสองบ้าง” หยางหลงพูดน้องใจอย่างไม่จริงจังนัก“คิกคิก ก็ไม่มีใครขับได้ผาดโผนเท่าพี่นี่นา” เหลียนฮวาหัวเราะขำ พวกทหารติดใจความเร็วของรถเครื่อง พอกลับไปนั่งรถม้าเริ่มพากันบ่นว่าช้าบ้าง อืดบ้าง ทั้งที่พอนั่งรถเครื่องก็พากัน
ณ พระราชวัง“พวกเจ้าจะทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้!!!” จ้าวฮ่องเต้ตะโกนลั่นอย่างไม่พอพระทัย เหล่าแม่ทัพต่างพากันจับกุมเขาและขุนนางฝ่ายสนับสนุน ใช้สายตาไม่พอใจมองไปทางแม่ทัพเลี่ยงจินที่เดิมทีมีหน้าที่ปกป้องเขา แต่กลับเข้าร่วมกับแม่ทัพคนอื่น“ฮ่องเต้ที่ละทิ้งประชาชน มิอาจดำรงอยู่ต่อไปได้หรอกพะย่ะค่ะ” เลี่ยงจินเป็นคนตอบ เขาตัดสินใจได้ทันทีหลังจากได้พูดคุยกับแม่ทัพเป่ยหวงและลู่จือ สิ่งที่แม่ทัพลู่จือพบเจอไม่สมควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง“คะ ใคร ใครรายงานพวกเจ้า ข้าปิดประตูเมืองเพียงแค่รอสถานการณ์คลี่คลายเท่านั้น หากดีขึ้น...”“ฝ่าบาทมั่นใจว่าเป็นเช่นนั้นหรือพะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางที่ส่งจดหมายแจ้งแก่แม่ทัพเป่ยหวง พร้อมทั้งถือหลักฐานเดินเข้ามายังท้องพระโรง“พวกเจ้า ไม่จริง ข้าเพียงแค่ทำตามคำแนะนำของราชครู!!” จ้าวฮ่องเต้ที่เห็นหลักฐานในมือขุนนางกลับทำตาโตกล่าวถึ
“นะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ออกไป” เยว่เล่อกล่าวออกมาอย่างสับสนพร้อมสั่งพวกมัน เขามองผีดิบที่พากันรุมเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่สนคำสั่งของเขา“เป็นอะไรไหมขอรับท่านแม่ทัพ”“ฮะ ฮุ่ยหมิง แค่กๆ” เป่ยหวงตื่นตะลึงกับภาพที่เห็น ฮุ่ยหมิงตัวเป็นๆยืนอยู่ตรงหน้า หรือเป็นเพียงภาพความฝันกันแน่ ทว่าสีตาของเขากลับเหมือนพวกคนคลั่ง“ข้าเองขอรับ” ฮุ่ยหมิงพยุงร่างของแม่ทัพขึ้น คิดว่าจะหนักแต่ผิดคาดตัวของท่านแม่ทัพเบากว่าที่คิด“จะ เจ้าจริงๆหรือ” เป่ยหวงถามขึ้นดวงตาพร่ามัวที่ใกล้จะปิด เขากลัวจะเป็นแค่ความฝันเท่านั้น หากเฟยจินมาอยู่ตรงนี้ด้วยอีกฝ่ายคงดีใจไม่น้อย“ขอรับ” สิ้นสุดคำตอบของเขา เป่ยหวงสลบไปทันที ฮุ่ยหมิงใช้มือเช็คลมหายใจแล้วเป่าปากอย่างโล่งอก โชคดีที่ท่านแม่ทัพสลบไปเท่านั้นผลักก