“ซีฮันไปดักทางนั้น!”
“ได้ มันผ่านข้าไม่ได้แน่”
“พี่ชายหลวนล่อมันมาทางนี้เจ้าค่ะ” เหลียนฮวาตะโกนบอกชายอายุเยอะมากสุด
อู๊ด อู๊ด
“เหลียนเอ๋อร์ระวังด้วย” เจียวลู่ที่ทำหน้าที่ดักมันไว้อีกทางตะโกนบอกด้วยความเป็นห่วง
ฟ้าวววว ฉึกก
อิ๊ดดดดดดดดด ตุ้บ เสียงหมูป่ากรี๊ดร้องด้วยความเจ็บปวด หลังจากถูกเหลียนฮวาใช้หน้าไม้ที่มีศรเป็นแท่งเหล็กยิงเข้าที่ขาข้างหนึ่งไม่ให้มันวิ่งหนี
“มันยังไม่ตาย” ทหารในกลุ่มอีกคนตะโกน
“โจมตีที่หัวมันเจ้าค่ะ” ที่นางไม่ลงมือเองเพราะจะฝึกให้พวกเขาทำงานกันเป็นทีม
ฉึก อู๊ดด
“เฉียดไปนิด” เหล่าหลวนขว้างมีดสั้นออกไป ทว่ากลับไม่โดนจุดตาย แต่เจ้าหมูป่าก็บาดเจ็บไม่น้อย
“ข้าขอลองขอรับ” เจียวลู่ถือดาบยาวที่เหลียนฮวามอบให้วิ่งเข้าไป
“ระวังนะท่านอา” เหลียนฮวาตะโกนบอกเนื่องจากมันยังไม่ตายดี อาจจะยังมีแรงเหลืออยู่
ขวับบบ ฉึก
อิ๊ดดดดดดด ไม่
“เฮ้อ ถึงสักที” และแล้วก็ถึงที่หมาย ทุกคนทยอยเดินลงจากเรือ สาวใช้บ่นด้วยความเหน็ดเหนื่อย ใช้เวลาเกือบวันกว่าจะมาถึง นางหิ้วของใช้ กำลังเอ่ยปากชวนองค์หญิงไปหาที่พัก ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ย กลับต้องเปลี่ยนเป็นถามสิ่งที่สงสัยแทน “องค์หญิง องค์หญิงจะไปไหนเจ้าคะ”“เรียนคุณชายท่านนี้ ไม่คิดว่าเราจะเป็นเพื่อนกันได้หรือเจ้าคะ” ซิงเหยียนพูดเสียงหวาน คราวนี้นางเปิดผ้าคลุมให้เห็นหน้า ใบหน้างดงามของนางปรากฎสู่สายตา นางเชื่อว่าไม่ว่าใครก็ไม่อาจปฏิเสธได้“พูดจบหรือยัง หลีกทาง” ทว่ากลับโดนเสียงเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ตอกกลับจนนางเกือบหน้าหงายอีกรอบ หน้าสวยหวานชะงักงัน นางทำผิดตรงไหน ใบหน้าเช่นนี้เสด็จพ่อมักชมบ่อยๆว่าใครต่างก็ต้องตกหลุมรัก เหตุใดถึงไม่ได้ผลกับคนผู้นี้“ขะ ข้า…”“ว้าว ใบหน้างดงามภายใต้ผ้าคลุมเป็นเช่นนี้เองหรือ” เสียงชายหนึ่งในสามคนก่อนหน้าพูดอย่างเพ้อฝัน“มากับเราดีกว่าไหมจ๊ะน้องสาว พวกเราจะพาชมรอบเมือง หึหึ”&l
“เดี๋ยว เจ้าไม่ได้ตัวคนมารึ” ทหารหน้าค่ายถามขึ้น“ขะ ขอ แค่กๆ ขออภัยขอรับ แค่กๆ” หยางหลงแสร้งไอเพื่อให้ดูเหมือนว่าตัวเองป่วย คนที่นายทหารคนนี้พูดถึงน่าจะหมายถึงชายหนุ่มหรือหญิงสาว“ไปๆ จะไปไหนก็ไป” นายทหารไล่อีกฝ่ายอย่างตัดรำคาญ ไม่ใช่คนแรกที่ป่วยกระออดกระแอดเช่นนี้ เพียงแต่พวกป่วยบ่อยมักจะอยู่ในค่ายไม่ได้นาน เดี๋ยวก็มีเจ้าหน้าที่คนอื่นมาพาตัวมันไป หยางหลงเดินก้มหน้าเข้ามายังค่าย สายตาแอบสำรวจรอบๆ มีทหารเดินขวักไขว่ แต่สิ่งที่น่าแปลกอีกอย่างคือภายในค่ายมีกระโจมขนาดใหญ่ตั้งอยู่หลายจุดด้วยกัน ทั้งที่ปกติค่ายหทารจะเคลียร์พื้นที่ให้ว่างเพื่อใช้ในการฝึก หรือรวมตัว“มาทำอะไรที่นี่” เขากำลังก้าวเดินเข้าไปยังกระโจมหลังหนึ่ง กลับถูกเรียกตัวไว้“เอ่อ...”“กระโจมนี้ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะเข้าไปได้ กลับไปทำหน้าที่ต่อได้แล้ว” พูดบอกเสียงเข้ม เขาต้องคอยเฝ้าไว้ เพราะกันการสอดรู้สอดเห็นของพวกทหารในค่ายแบบนี้“ขะ ขอรับ” หยางหลงแส
“อ้าว แค่กๆ เจ้ากลับมาแล้วหรือ” นายทหารที่นอนพักรวมกันเอ่ยทัก“ใช่ นอนต่อเถอะ” หยางหลงบอกทหารที่ดูป่วยเมื่อเห็นอีกฝ่ายตื่นมาพอดี เขาตัดสินใจกลับมาตั้งหลักก่อน เพราะมันเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายของเขา ไม่คาดว่าแคว้นลั่วกำลังเลี้ยงดูซอมบี้เช่นนี้ พวกมันอาจคิดว่าสามารถควบคุมได้ แต่เชื่อได้เลยว่าอีกไม่นานจะต้องแพ้ภัยตัวเอง ขนาดมนุษย์หรือสัตว์ยังมีวิวัฒนาการ แล้วคิดว่าไอ้พวกสัตว์ประหลาดพวกนี้มันจะไม่วิวัฒนาการหรือ หากมันหลุดรอดออกสู่ภายนอก ทั่วทั้งผืนแผ่นดินนี้จะต้องลุกเป็นไฟ ไม่เว้นแม้แต่แคว้นเว่ยที่อยู่ห่างไกลออกไป เขานอนคิดทั้งคืนเช้าต่อมาหยางหลงตื่นเช้าเพื่อออกมาสำรวจอีกรอบ คราวนี้จะลองเข้าไปกระโจมอื่นดู แต่ช่วงกลางวันคนพลุกพล่านอาจจะไม่เหมาะจะเข้าไปสำรวจเท่าไหร่ เขาต้องรอโอกาส“หทารคนนั้น ยะ หยุดก่อน!” หยางหลงหันมองนายทหารที่เอ่ยเรียกเขาไว้ ในมือมีโซ่ล่ามชายหญิงสองคนที่กำลังสั่นกลัวเหมือนว่าโอกาสนั้นจะมาเร็วกกว่าที่คิด“ขอรับ” หยางหลงก้
“ท่านพ่อ ท่านลุงปลอดภัยกลับมานะเจ้าคะ” เหลียนฮวากล่าวบอกทั้งสอง หลังได้รับข่าวจากท่านลุงหมวกสานว่าพวกศัตรูกำลังเคลื่อนพลเข้ามาคาดว่าน่าจะโจมตีคืนนี้ ทุกคนจึงเตรียมตัวตั้งรับกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด“ขอบใจลูก”“ลุงจะระวังตัวอย่างดี ไม่ต้องเป็นห่วงหลานรัก” เหยาฉือลูบหัวบุตรสาวอย่างเอ็นดู หลังทุกคนเตรียมตัวเข้าสู่สนามรบ“ฝากดูแลน้องด้วยล่ะเจียวลู่” ที่บอกว่าฝากดูแล หมายถึงดูแลไม่ให้บุตรสาวของเขาไปเข้าร่วมสนามรบด้วยนะสิ จากที่ได้ยินพวกทหารแอบคุยกันเห็นว่าบุตรสาวเขาเข้าร่วมหลายครั้งแล้ว นางก็ช่างฉลาดเสียจริงเลือกพื้นที่ตรงที่ไม่มีเขาหรือพี่ใหญ่อยู่ สงสัยจะกลัวโดนพากลับไปยังที่ปลอดภัย“เจียวลู่จะดูแลอย่างดีขอรับ” ชายหนุ่มตอบกลับน้ำเสียงหนักแน่น“เหลียนเอ๋อร์ เจ้าก็รออยู่ตรงนี้” เจียวลู่เอ่ยบอกหลานสาวที่ชะเง้อมองหลังเห็นพี่ใหญ่พี่รองเดินไปพ้นสายตา พลางทำท่าจะเดินออกไปจากที่ซ่อน“ท่านอา ข้าอยากตามไปช่วยพวกเขา” เหลียนฮวาหันมาทำส
“คราวนี้ได้มากี่ร่าง” ฮั่วหมิงถามทหารที่ตามไปเก็บร่างผู้เสียชีวิต“ราวๆ สามสิบขอรับ”“เหตุใดจึงได้มาแค่นั้น?” ฮั่วหมิงขมวดคิ้วสงสัย จำนวนเท่านี้ยังไม่พอสำหรับอาหารผีดิบหนึ่งอาทิตย์เลยด้วยซ้ำ“เพราะจู่ๆไอ้พวกแคว้นจ้าวก็หยุดโจมตีแล้วเปลี่ยนเป็นจับทหารของเราเป็นเชลยแทนขอรับ”“ว่าอย่างไรนะ!!”กรอดดดแม่ทัพฮั่วหมิงกำหมัดแน่น แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับหยามหน้ากัน สู้ให้พวกมันฆ่ากันเองให้ตายเสียยังดีกว่า อย่างน้อยก็ยังนำศพพวกมันกลับมาทำประโยชน์ต่อได้“เรียนท่านแม่ทัพ ท่านหมอผีมาขอพบขอรับ”“ให้อาจารย์เข้ามา” ฮั่วหมิงสะบัดมือไล่พวกทหารที่เหลือออกไปทั้งหมด“คาราวะท่านอาจารย์” ฮั่วหมิงมองอาจารย์ตัวเองที่แก่ลงหลายสิบปี“ฮะ ฮั่วหมิง แค่กๆ” ชายชราเดินเข้ามาช้าๆ“เชิญนั่งขอรับ”“อีกไม่นาน กะ กองทัพผีดิบ แค่ก ของเราก็พร้อมแล้ว” เสียงสั่นเครือจากการแก่ชราของหมอผีฮั่วเฉิงกล่าวขึ้น ใบหน้าเหี่ยวย่นฉีกยิ้มอย่างยินดี“จริงหรือขอรับท่านอาจารย์ แผนเราใกล้...” ฮั่วหมิงดีใจไม่แพ้กัน อีกไม่ช้
“โธ่เว้ยย อัก แค่กๆ ไอ้ตัวกลายพันธุ์บัดซบ!!!” ฮั่วหมิงเค้นเสียงอย่างแค้นเคือง เขาหอบร่างบาดเจ็บหนักของตัวเองเดินไปตามทาง ระหว่างทางเขาได้ประมือกับผีดิบตาสีแดง มันว่องไว ทั้งยังมีถึงสองตัว จึงพลาดโดนมันโจมตีซ้ำรอยเดิมผลัก โครม“อึก บ้าชิบ” เขาสะดุดเท้าของใครบางคนจนล้ม สายตาเหลือบไปมองดวงตาเบิกโพลง“กุนซืออู๋หยาง!” เขาครางชื่อแผ่วเบาอย่างไม่เชื่อสายตา อีกฝ่ายอยู่ในสภาพที่เครื่องในโดนกัดกินจนไม่เหลือ ไม่ไกลกันพบร่างคนรับใช้สนิทของท่านอาจารย์นอนตายอยู่ คาดว่าพวกเขากำลังจะหนีแต่ไปไม่รอด ตาเหลือกอย่างคนตายตาไม่หลับย้อนกลับไปในคืนก่อนหน้า“เสียงดังเอะอะโวยวายอะไรกัน” ฮั่วหมิงที่นั่งให้พวกสาวๆนวดตัวอยู่นั้นเอ่ยถามอย่างหงุดหงิดที่มีคนมาเสียงดังขัดจังหวะ “เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ พวกผีดิบกำลังอาระวาด”“มันจะเป็นไปได้อย่างไร มันถูกขะ...”แฮร่ กรร
“องค์ชาย พวกเราจะไปไหนพะย่ะค่ะ” ตงฉางถามชายหนุ่มที่โตขึ้นจากเมื่อ 7 ปีก่อน มองแผ่นหลังที่เดินนำอย่างไม่หวั่นกลัว ทุกย่างก้าวช่างเต็มไปด้วยความหนักแน่น เด็ดเดี่ยว และน่าเกรงขามเขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นถึงองค์ชายด้วยความบังเอิญเมื่อสองปีที่แล้ว ไม่คิดจะเปิดเผย เพราะอีกฝ่ายคงมีเหตุผลให้ปกปิดตัวตน เขาจึงยังพูดคุยอย่างปกติ แต่ก็แอบเกร็งๆอยู่บ้างตอนแรกคิดว่าชีวิตของเขาและองครักษ์จะต้องมาจบลงในที่แห่งนี้ เขาเห็นพวกตัวประหลาดที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนจู่ๆพยายามเข้ามาโจมตีกรงขัง อาจเป็นความโชคดีที่พวกมันยังเข้ามาไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะยื้อไว้ได้นานแค่ไหน เสียงกรี๊ดร้องทั้งด้านในและด้านนอกดังไปทั่วจนถอดใจระหว่างสถานการณ์เริ่มสิ้นหวังกลับได้ยินเสียงอันคุ้นเคยเอ่ยเรียก ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเสียงพระองค์ก่อนตาย ทว่าพอเงยหน้ากลับพบองค์ชายตัวเป็นๆมายืนอยู่ตรงหน้า เป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกเหมือนเห็นแสงสว่างในความมืดมิด“ท่าเรือ” หยางหลงตอบสั้นๆ เขาจำทางไปยังท่าเรือได้ สายตามองรอบๆ เละเทะไม่ต่างกัน มีรอยคราบเลือดเต็มไปหมด
“ท่านแม่ทัพ แล้วเราควรทำอย่างไรกับคนพวกนี้ดี” เจียหมิงถามขึ้น“เหลียนเอ๋อร์ เจ้าว่าอย่างไร” ทุกคนนั่งประชุมกันอยู่ โดยเป่ยหวงได้ให้เหลียนฮวาเข้าร่วมด้วย เพราะนางเป็นคนมาบอกเรื่องราวครั้งนี้“ข้าคิดว่าควรให้พวกเขากลับไปด้วยเจ้าค่ะ อย่างน้อยก็ฐานะเชลยศึก เพราะหากให้กลับไปไม่รู้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดหรือไม่” เหลียนฮวาครุ่นคิด“ข้าเห็นด้วยกับความคิดเหลียนเอ๋อร์ขอรับ” อี้ฟ่านกล่าว“ข้าด้วย”“ข้าด้วยขอรับ” เสียงกู้หาน เฟยจิน ก่อนคนอื่นๆจะเริ่มออกความคิดเห็น“เอาล่ะๆ ข้าจะส่งจดหมายไปบอกทางฝั่งแม่ทัพใหญ่ หลังจากนี้เราจะเก็บของเตรียมตัวกลับไปรวมกับทุกคน” เป่ยหวงกล่าวสรุป เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเมื่อตอนดึกระหว่างแคว้นลั่วโจมตี จู่ๆเหลียนเอ๋อร์นางก็เข้ามาร่วมต่อสู้เพื่อคุยกับเขาให้ได้ เขาจึงปลีกตัวออกมาคุยนางบอกเล่าถึงเรื่องราวที่เจอมีทั้งคำพูดและคำเตือนจากชายแปลกหน้าคนนั้น เขาคิดว่ามันประจวบเหมาะกับเมื่อ 9 ปีก่อนพอดี ตอนที่รู้ว่าพวกมัน
“อุแว้ อุแว้”“ที่รักเหนื่อยไหม ขอบคุณที่คลอดบุตรให้พี่อีกคนนะ” หยางหลงเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากให้คนรักที่หน้าซีดเซียว“ไม่เลยเจ้าค่ะ แค่เห็นหน้าลูกๆกับพี่ ข้าก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง” เหลียนฮวาที่มีประสบการณ์จากการคลออบุตรครั้งแรกถึงสองคน ครั้งนี้จึงคลอดง่ายมาก หมอหลวงที่เดินทางจากแคว้นเว่ยโดยเฉพาะอุ้มเด็กน้อยตัวอวบอ้วนเข้ามา“ขอแสดงความยินดีกับชินอ๋องและพระชายา เป็นเด็กทารกเพศชาย ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์เพคะ” หมอหญิงส่งเด็กทารกให้แก่ชินอ๋อง หยางหลงรับมาด้วยความทะนุถนอม“อีกแล้ว ข้าอุ้มท้องเขามา 9 เดือนนะเจ้าคะ” เหลียนฮวาพูดอย่างน้อยใจ เมื่อบุตรลายคนที่สามไม่มีส่วนไหนเหมือนนางเช่นเดียวกัน นี่น้ำเชื้อเขาแรงมากเลยหรือ ลูกออกมาสามคน หน้าตาเหมือนเขาทุกคน“ฮ่าๆ คนที่สี่ต้องเหมือนเจ้าอย่างแน่นอน” หยางหลงพูดด้วยรอยยิ้ม เหลียนฮวาได้แต่อ้าปาก
แคว้นฉินพระราชวัง“ฮื่อ ฮื่อ” เสียงเด็กน้อยร่ำไห้อยู่ข้างเตียงของหญิงนางหนึ่ง“แค่ก ๆ ขะ ข้าไม่น่า คะ คลอดเด็กอย่างเจ้าออกมาเลย” องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยใบหน้าโกรธแค้น ตัวนางซูบผอมเหลือแต่กระดูก อันเนื่องจากคลอดเด็กลูกครึ่งผีดิบที่กัดกินชีวิตนางตั้งแต่อยู่ในครรภ์ นางหวังให้ลูกของนางเติบโตมาแข็งแกร่งเหมือนพ่อ ทว่าเด็กออกมากลับเป็นผู้หญิง นอกจากอ่อนแอแถมยังไร้ประโยชน์ทำไมกันนะ ชีวิตของนางถึงไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง ตั้งแต่มีพระสวามี เขาก็ทิ้งนางให้อยู่ท่ามกลางผีดิบ ดีที่ยังมีคนรับใช้หลงเหลือไว้ให้อยู่ แต่รอบตัวก็เต็มไปด้วยผีดิบ ไม่มีใครสามารถออกจากแคว้นได้เลย มีครั้งหนึ่งที่แม่ทัพของเคยคิดออกจากแคว้น ทว่ายังไปได้ไม่ไกล ต่างโดนเหล่าผีดิบเข้ามากัดกินทั้งเป็น หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าออกไปนอกแคว้นอีกเลย“ท่างแม่…”“ยะ อย่า แ
4 ปีต่อมา“เสี่ยวชุน เสี่ยวเฉินลงมาจากต้นไม้เดี๋ยวนี้!!” เหลียนฮวาตะโกนบอกบุตรชายตัวแสบวัยสามขวบทั้งสอง อุ้มท้องมา 9 เดือน แต่ไม่มีส่วนใดได้นางมาเลย เด็กๆถอดแบบพี่หยางมาทั้งหมด ชอบปีนต้นไม้เหมือนใครก็ไม่รู้? แถมยังหลบหนีพี่เลี้ยงเก่งเป็นที่หนึ่ง“ปี้ชายลงไปก่อนซี่” เสี่ยวชุนหรือเว่ยชุนหวงเอ่ยบอกพี่ชายที่คลอดก่อนตนเพียง 5 วินาที ร่างกลมป้อมอวบอัด ทว่ากลับว่องไวกว่าคนเป็นพี่บุ้ยปากให้พี่ชายลงจากต้นไม้ก่อน“เจ้าเปงน้องก็ต้องลงก่อง” เสี่ยวเฉินหรือเว่ยเฉินอี้กล่าวบอกผู้เป็นน้อง ทั้งสองเกี่ยงกันลงก่อนเนื่องจากยังดูพวกท่านตาฝึกซ้อมยังไม่เสร็จ“ลง มา พร้อม กัน” เหลียนฮวาจำต้องเน้นเสียงทีล่ะคำบอกบุตรชาย ไม่งั้นก็ยังเกี่ยงกันไม่เลิก บุตรชายของนางทั้งสองชื่นชอบการต่อสู้เป็นพิเศษ หากเห็นทหารหรือบรรดาตาๆตัวเองฝึกก็จะรีบขอตามไปดูอย่างไวพวกเด็กๆจะเรียกพ่อของนางว่าต
“เหนื่อยหรือไม่” หยางหลงเอ่ยถามเจ้าสาวของตนหลังคืนแต่งงานผ่านพ้นไป คนรักที่กลายมาเป็นภรรยาและคู่ชีวิตของเขานับแต่นี้เหลียนฮวานั่งตัวเกร็งอย่างทำอะไรไม่ถูก นางกำลังเผชิญกับคืนเข้าหอเป็นครั้งแรก“…”“เหตุใดไม่คุยกับพี่้เล่า” หยางหลงค่อยๆเปิดผ้าคลุมเจ้าสาวเชยคางมนมาสบตา ทั้งสองสบตากันอย่างลึกซึ้ง“ตะ ต้องดื่มเหล้าก่อนมงคลเจ้าค่ะ” เหลียนฮวาที่ไม่รู้จะหาข้ออ้างอันใดมาเอ่ยจึงมองไปที่กาใส่เหล้ามงคลเอาไว้“จริงสิ เป็นขนบธรรมเนียมของที่นี่” หยางหลงยิ้มกริ่มก่อนจะค่อยๆเทเหล้ามงคลจากกาน้ำสองจอดและยกขึ้นมาถือไว้“ดื่มเถิด” เขายื่นให้คนรักหนึ่งแก้วและถือไว้เองหนึ่งแก้ว ทั้งสองคล้องแขนกันก่อนจะยกขึ้นดื่มพร้อมกัน ทั้งกลิ่นทั้งรสชาติของเหล้ามีความแรงจนเหลียนฮวาต้องนิ่วหน้า นางรีบกลืนภายในอึกเดียว ไม่นานหน้
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ” ฮ่องเต้สวรรค์มองบุตรสาวด้วยสายตาไม่พอใจนัก“เจ้ารู้ความผิดที่ก่อหรือไม่เทพธิดาเหมยลี่” น้ำเสียงดังก้องกังวาลไปทั่วชั้นฟ้า“ไม่เพคะ” เทพธิดาเหมยลี่เชิดหน้าไม่ยอมแพ้“เจ้า!!!”“ลูกไม่คิดว่าการที่พวกเรารักกันจะผิดตรงไหน”“แม้จะไม่มีบัญญัติว่าห้ามรักต่างฐานันดร แต่เจ้าก็ทำผิดกฎสวรรค์ เจ้ากำลังตั้งครรภ์!!!” ฮ่องเต้สวรรค์แทบลมจับ สั่งให้ทูตสวรรค์หรือที่เรียกทหารในโลกมนุษย์พาธิดากลับมาและนำไอ้ชายที่มันล่อลวงบุตรสาวของเขามารับโทษ“ตั้งครรภ์ จริงสิ เสด็จพ่อทรงมีหลานแล้วเพคะ นางจะเป็นเทพธิดาตนใดมาเกิดกันนะ” เหมยลี่พูดไปยิ้มไป สายใยแม่ลูกทำให้รู้ว่าในครรภ์ของนางเป็นเพศหญิง พลางลูบหน้าท้องแบนราบของตน“ช่างเรื่องนั้นก่อน เจ้าต้องได้รับโทษ” ฮ่องเต้สวร
“พี่หยาง ผักที่เราปลูกงอกแล้วเจ้าค่ะ” เหลียนฮวากล่าวอย่างตื่นเต้น เป็นล็อตสองที่ทดลองปลูก แถมผักที่ปลูกยังเป็นชนิดใหม่“หืม งอกเร็วมาก ยังไม่ถึงเดือน” หยางหลงรีบเข้ามาดูต้นผักตามคนรักชี้บอก วันนี้พ่อตาและคนอื่นไม่อยู่ต้องไปทำภารกิจ“เพราะดินที่เราหมั่นบำรุงมั้งเจ้าคะ”ฟอดดด“เพราะเราช่วยกันปลูกต่างหาก” ขายหนุ่มแอบหอมแก้มแฟนสาวเร็วๆ แล้วส่งยิ้มกระชากใจหลังจากกลับจากแคว้นเว่ยมีประกาศอย่างเป็นทางการเรื่องว่าที่พระชายาองค์ชายห้า เล่นเป็นข่าวดัง พูดถึงกันอยู่พักใหญ่เพราะว่าที่พระชายาเป็นคนต่างแคว้นแถมยังเป็นสามัญชน ทว่าทั้งคู่กลับไม่มีใครสนใจ พากันเดินทางไปแคว้นจ้าวสลับกับแคว้นเว่ย ไปๆมาๆระหว่างสองแคว้น แถมยังหวานกันยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากไม่ต้องปกปิดตัวตนอีกต่อไป“ครั้งหน้าหากผักในโรงปลูกผักโตกว่า
“อื้มม พะ พอก่อนเจ้าค่ะ แฮ่กๆ” เหลียนฮวาหลบชายคนรักที่ตะบมจูบอย่างหื่นกระหาย“เราไม่ได้สกินชิพกันมาหลายวันแล้วนะ” หยางหลงเอ่ยอย่างงอนๆ ไม่ว่าจะเดินไปไหนระหว่างพวกเขามักมีสายตาจับจ้อง ทั้งยังส่งเสียงทักทายมาให้ตลอด พอจะอยู่กันสองคนก็จะมีสายตาจับผิดของพ่อตามองมาอยู่เสมอ ทำให้เขาแทบปลีกตัวอยู่กันสองต่อสองไม่ได้เลย“ก็ใครใช้ให้พี่เป็นคนดังล่ะเจ้าคะ” เหล่าทหารหลายคนที่อยากขับรถแบบเขา จึงพากันเข้ามาพูดคุยขอให้เขาช่วยสอนขับรถ ทั้งยังพูดถึงแต่เรื่องรถ ความชอบของพวกผู้ชายหนีไม่พ้นพวกนี้เลยจริงๆ“พี่สอนพ่อตากับลุงแม่ทัพขับแล้ว พวกเขาไม่ไปถามทั้งสองบ้าง” หยางหลงพูดน้องใจอย่างไม่จริงจังนัก“คิกคิก ก็ไม่มีใครขับได้ผาดโผนเท่าพี่นี่นา” เหลียนฮวาหัวเราะขำ พวกทหารติดใจความเร็วของรถเครื่อง พอกลับไปนั่งรถม้าเริ่มพากันบ่นว่าช้าบ้าง อืดบ้าง ทั้งที่พอนั่งรถเครื่องก็พากัน
ณ พระราชวัง“พวกเจ้าจะทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้!!!” จ้าวฮ่องเต้ตะโกนลั่นอย่างไม่พอพระทัย เหล่าแม่ทัพต่างพากันจับกุมเขาและขุนนางฝ่ายสนับสนุน ใช้สายตาไม่พอใจมองไปทางแม่ทัพเลี่ยงจินที่เดิมทีมีหน้าที่ปกป้องเขา แต่กลับเข้าร่วมกับแม่ทัพคนอื่น“ฮ่องเต้ที่ละทิ้งประชาชน มิอาจดำรงอยู่ต่อไปได้หรอกพะย่ะค่ะ” เลี่ยงจินเป็นคนตอบ เขาตัดสินใจได้ทันทีหลังจากได้พูดคุยกับแม่ทัพเป่ยหวงและลู่จือ สิ่งที่แม่ทัพลู่จือพบเจอไม่สมควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง“คะ ใคร ใครรายงานพวกเจ้า ข้าปิดประตูเมืองเพียงแค่รอสถานการณ์คลี่คลายเท่านั้น หากดีขึ้น...”“ฝ่าบาทมั่นใจว่าเป็นเช่นนั้นหรือพะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางที่ส่งจดหมายแจ้งแก่แม่ทัพเป่ยหวง พร้อมทั้งถือหลักฐานเดินเข้ามายังท้องพระโรง“พวกเจ้า ไม่จริง ข้าเพียงแค่ทำตามคำแนะนำของราชครู!!” จ้าวฮ่องเต้ที่เห็นหลักฐานในมือขุนนางกลับทำตาโตกล่าวถึ
“นะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ออกไป” เยว่เล่อกล่าวออกมาอย่างสับสนพร้อมสั่งพวกมัน เขามองผีดิบที่พากันรุมเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่สนคำสั่งของเขา“เป็นอะไรไหมขอรับท่านแม่ทัพ”“ฮะ ฮุ่ยหมิง แค่กๆ” เป่ยหวงตื่นตะลึงกับภาพที่เห็น ฮุ่ยหมิงตัวเป็นๆยืนอยู่ตรงหน้า หรือเป็นเพียงภาพความฝันกันแน่ ทว่าสีตาของเขากลับเหมือนพวกคนคลั่ง“ข้าเองขอรับ” ฮุ่ยหมิงพยุงร่างของแม่ทัพขึ้น คิดว่าจะหนักแต่ผิดคาดตัวของท่านแม่ทัพเบากว่าที่คิด“จะ เจ้าจริงๆหรือ” เป่ยหวงถามขึ้นดวงตาพร่ามัวที่ใกล้จะปิด เขากลัวจะเป็นแค่ความฝันเท่านั้น หากเฟยจินมาอยู่ตรงนี้ด้วยอีกฝ่ายคงดีใจไม่น้อย“ขอรับ” สิ้นสุดคำตอบของเขา เป่ยหวงสลบไปทันที ฮุ่ยหมิงใช้มือเช็คลมหายใจแล้วเป่าปากอย่างโล่งอก โชคดีที่ท่านแม่ทัพสลบไปเท่านั้นผลักก