“อ้าว แค่กๆ เจ้ากลับมาแล้วหรือ” นายทหารที่นอนพักรวมกันเอ่ยทัก
“ใช่ นอนต่อเถอะ” หยางหลงบอกทหารที่ดูป่วยเมื่อเห็นอีกฝ่ายตื่นมาพอดี เขาตัดสินใจกลับมาตั้งหลักก่อน เพราะมันเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายของเขา ไม่คาดว่าแคว้นลั่วกำลังเลี้ยงดูซอมบี้เช่นนี้ พวกมันอาจคิดว่าสามารถควบคุมได้ แต่เชื่อได้เลยว่าอีกไม่นานจะต้องแพ้ภัยตัวเอง ขนาดมนุษย์หรือสัตว์ยังมีวิวัฒนาการ แล้วคิดว่าไอ้พวกสัตว์ประหลาดพวกนี้มันจะไม่วิวัฒนาการหรือ หากมันหลุดรอดออกสู่ภายนอก ทั่วทั้งผืนแผ่นดินนี้จะต้องลุกเป็นไฟ ไม่เว้นแม้แต่แคว้นเว่ยที่อยู่ห่างไกลออกไป เขานอนคิดทั้งคืน
เช้าต่อมา
หยางหลงตื่นเช้าเพื่อออกมาสำรวจอีกรอบ คราวนี้จะลองเข้าไปกระโจมอื่นดู แต่ช่วงกลางวันคนพลุกพล่านอาจจะไม่เหมาะจะเข้าไปสำรวจเท่าไหร่ เขาต้องรอโอกาส
“หทารคนนั้น ยะ หยุดก่อน!” หยางหลงหันมองนายทหารที่เอ่ยเรียกเขาไว้ ในมือมีโซ่ล่ามชายหญิงสองคนที่กำลังสั่นกลัว
เหมือนว่าโอกาสนั้นจะมาเร็วกกว่าที่คิด
“ขอรับ” หยางหลงก้
“ท่านพ่อ ท่านลุงปลอดภัยกลับมานะเจ้าคะ” เหลียนฮวากล่าวบอกทั้งสอง หลังได้รับข่าวจากท่านลุงหมวกสานว่าพวกศัตรูกำลังเคลื่อนพลเข้ามาคาดว่าน่าจะโจมตีคืนนี้ ทุกคนจึงเตรียมตัวตั้งรับกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด“ขอบใจลูก”“ลุงจะระวังตัวอย่างดี ไม่ต้องเป็นห่วงหลานรัก” เหยาฉือลูบหัวบุตรสาวอย่างเอ็นดู หลังทุกคนเตรียมตัวเข้าสู่สนามรบ“ฝากดูแลน้องด้วยล่ะเจียวลู่” ที่บอกว่าฝากดูแล หมายถึงดูแลไม่ให้บุตรสาวของเขาไปเข้าร่วมสนามรบด้วยนะสิ จากที่ได้ยินพวกทหารแอบคุยกันเห็นว่าบุตรสาวเขาเข้าร่วมหลายครั้งแล้ว นางก็ช่างฉลาดเสียจริงเลือกพื้นที่ตรงที่ไม่มีเขาหรือพี่ใหญ่อยู่ สงสัยจะกลัวโดนพากลับไปยังที่ปลอดภัย“เจียวลู่จะดูแลอย่างดีขอรับ” ชายหนุ่มตอบกลับน้ำเสียงหนักแน่น“เหลียนเอ๋อร์ เจ้าก็รออยู่ตรงนี้” เจียวลู่เอ่ยบอกหลานสาวที่ชะเง้อมองหลังเห็นพี่ใหญ่พี่รองเดินไปพ้นสายตา พลางทำท่าจะเดินออกไปจากที่ซ่อน“ท่านอา ข้าอยากตามไปช่วยพวกเขา” เหลียนฮวาหันมาทำส
“คราวนี้ได้มากี่ร่าง” ฮั่วหมิงถามทหารที่ตามไปเก็บร่างผู้เสียชีวิต“ราวๆ สามสิบขอรับ”“เหตุใดจึงได้มาแค่นั้น?” ฮั่วหมิงขมวดคิ้วสงสัย จำนวนเท่านี้ยังไม่พอสำหรับอาหารผีดิบหนึ่งอาทิตย์เลยด้วยซ้ำ“เพราะจู่ๆไอ้พวกแคว้นจ้าวก็หยุดโจมตีแล้วเปลี่ยนเป็นจับทหารของเราเป็นเชลยแทนขอรับ”“ว่าอย่างไรนะ!!”กรอดดดแม่ทัพฮั่วหมิงกำหมัดแน่น แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับหยามหน้ากัน สู้ให้พวกมันฆ่ากันเองให้ตายเสียยังดีกว่า อย่างน้อยก็ยังนำศพพวกมันกลับมาทำประโยชน์ต่อได้“เรียนท่านแม่ทัพ ท่านหมอผีมาขอพบขอรับ”“ให้อาจารย์เข้ามา” ฮั่วหมิงสะบัดมือไล่พวกทหารที่เหลือออกไปทั้งหมด“คาราวะท่านอาจารย์” ฮั่วหมิงมองอาจารย์ตัวเองที่แก่ลงหลายสิบปี“ฮะ ฮั่วหมิง แค่กๆ” ชายชราเดินเข้ามาช้าๆ“เชิญนั่งขอรับ”“อีกไม่นาน กะ กองทัพผีดิบ แค่ก ของเราก็พร้อมแล้ว” เสียงสั่นเครือจากการแก่ชราของหมอผีฮั่วเฉิงกล่าวขึ้น ใบหน้าเหี่ยวย่นฉีกยิ้มอย่างยินดี“จริงหรือขอรับท่านอาจารย์ แผนเราใกล้...” ฮั่วหมิงดีใจไม่แพ้กัน อีกไม่ช้
“โธ่เว้ยย อัก แค่กๆ ไอ้ตัวกลายพันธุ์บัดซบ!!!” ฮั่วหมิงเค้นเสียงอย่างแค้นเคือง เขาหอบร่างบาดเจ็บหนักของตัวเองเดินไปตามทาง ระหว่างทางเขาได้ประมือกับผีดิบตาสีแดง มันว่องไว ทั้งยังมีถึงสองตัว จึงพลาดโดนมันโจมตีซ้ำรอยเดิมผลัก โครม“อึก บ้าชิบ” เขาสะดุดเท้าของใครบางคนจนล้ม สายตาเหลือบไปมองดวงตาเบิกโพลง“กุนซืออู๋หยาง!” เขาครางชื่อแผ่วเบาอย่างไม่เชื่อสายตา อีกฝ่ายอยู่ในสภาพที่เครื่องในโดนกัดกินจนไม่เหลือ ไม่ไกลกันพบร่างคนรับใช้สนิทของท่านอาจารย์นอนตายอยู่ คาดว่าพวกเขากำลังจะหนีแต่ไปไม่รอด ตาเหลือกอย่างคนตายตาไม่หลับย้อนกลับไปในคืนก่อนหน้า“เสียงดังเอะอะโวยวายอะไรกัน” ฮั่วหมิงที่นั่งให้พวกสาวๆนวดตัวอยู่นั้นเอ่ยถามอย่างหงุดหงิดที่มีคนมาเสียงดังขัดจังหวะ “เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ พวกผีดิบกำลังอาระวาด”“มันจะเป็นไปได้อย่างไร มันถูกขะ...”แฮร่ กรร
“องค์ชาย พวกเราจะไปไหนพะย่ะค่ะ” ตงฉางถามชายหนุ่มที่โตขึ้นจากเมื่อ 7 ปีก่อน มองแผ่นหลังที่เดินนำอย่างไม่หวั่นกลัว ทุกย่างก้าวช่างเต็มไปด้วยความหนักแน่น เด็ดเดี่ยว และน่าเกรงขามเขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นถึงองค์ชายด้วยความบังเอิญเมื่อสองปีที่แล้ว ไม่คิดจะเปิดเผย เพราะอีกฝ่ายคงมีเหตุผลให้ปกปิดตัวตน เขาจึงยังพูดคุยอย่างปกติ แต่ก็แอบเกร็งๆอยู่บ้างตอนแรกคิดว่าชีวิตของเขาและองครักษ์จะต้องมาจบลงในที่แห่งนี้ เขาเห็นพวกตัวประหลาดที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนจู่ๆพยายามเข้ามาโจมตีกรงขัง อาจเป็นความโชคดีที่พวกมันยังเข้ามาไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะยื้อไว้ได้นานแค่ไหน เสียงกรี๊ดร้องทั้งด้านในและด้านนอกดังไปทั่วจนถอดใจระหว่างสถานการณ์เริ่มสิ้นหวังกลับได้ยินเสียงอันคุ้นเคยเอ่ยเรียก ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเสียงพระองค์ก่อนตาย ทว่าพอเงยหน้ากลับพบองค์ชายตัวเป็นๆมายืนอยู่ตรงหน้า เป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกเหมือนเห็นแสงสว่างในความมืดมิด“ท่าเรือ” หยางหลงตอบสั้นๆ เขาจำทางไปยังท่าเรือได้ สายตามองรอบๆ เละเทะไม่ต่างกัน มีรอยคราบเลือดเต็มไปหมด
“ท่านแม่ทัพ แล้วเราควรทำอย่างไรกับคนพวกนี้ดี” เจียหมิงถามขึ้น“เหลียนเอ๋อร์ เจ้าว่าอย่างไร” ทุกคนนั่งประชุมกันอยู่ โดยเป่ยหวงได้ให้เหลียนฮวาเข้าร่วมด้วย เพราะนางเป็นคนมาบอกเรื่องราวครั้งนี้“ข้าคิดว่าควรให้พวกเขากลับไปด้วยเจ้าค่ะ อย่างน้อยก็ฐานะเชลยศึก เพราะหากให้กลับไปไม่รู้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดหรือไม่” เหลียนฮวาครุ่นคิด“ข้าเห็นด้วยกับความคิดเหลียนเอ๋อร์ขอรับ” อี้ฟ่านกล่าว“ข้าด้วย”“ข้าด้วยขอรับ” เสียงกู้หาน เฟยจิน ก่อนคนอื่นๆจะเริ่มออกความคิดเห็น“เอาล่ะๆ ข้าจะส่งจดหมายไปบอกทางฝั่งแม่ทัพใหญ่ หลังจากนี้เราจะเก็บของเตรียมตัวกลับไปรวมกับทุกคน” เป่ยหวงกล่าวสรุป เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเมื่อตอนดึกระหว่างแคว้นลั่วโจมตี จู่ๆเหลียนเอ๋อร์นางก็เข้ามาร่วมต่อสู้เพื่อคุยกับเขาให้ได้ เขาจึงปลีกตัวออกมาคุยนางบอกเล่าถึงเรื่องราวที่เจอมีทั้งคำพูดและคำเตือนจากชายแปลกหน้าคนนั้น เขาคิดว่ามันประจวบเหมาะกับเมื่อ 9 ปีก่อนพอดี ตอนที่รู้ว่าพวกมัน
พระราชวังแคว้นลั่ว“อะ อ๊ากกกก ปะ ปีศาจ” เสียงกรี๊ดร้องดังลั่นไปทั่วทุกหนแห่ง เมื่อมีปีศาจบุกเข้ามายังเมืองหลวง ทหาร องครักษ์ไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้เลย เมื่อปีศาจที่พวกเขาพูดถึงมาเยือน พื้นที่นั้นจะเต็มไปด้วยเลือด เสียงร้องขอความช่วยเหลือจากทั่วทุกสารทิศ นางกำนัล ข้ารับใช้หญิงชายต่างหนีอลม่าน พระราชวังลุกเป็นไฟแฮร่ กรร“ยะ อย่าเข้ามานะ กรี๊ดดดด”“แงงง แงงง ข้ากลัว” เหล่าองค์ชาย องค์หญิงส่งเรียกร้องไห้จ้าด้วยความหวาดกลัว สถานการณ์ต่างตกอยู่ในความโกลาหล เมื่อมีศพของพวกทหารนางกำนัลที่ตายไปแล้วลุกขึ้นมากัดกินคนอื่นต่อ“จะ เจ้าต้องการอะไร” ลั่วฮ่องเต้กล่าวด้วยท่าทีสั่นกลัว เหลือบมองทหารองครักษ์ที่แปรเปลี่ยนเป็นพวกมันอย่างตื่นตระหนก ในหัวเต็มไปด้วยคำถามพวกมันหลุดออกมาจากกรงขังได้อย่างไร พวกหมอผีและแม่ทัพฮั่วหมิงมัวทำอะไรกันอยู่ สายตาสบเข้ากับดวงตาของตัวประหลาด เยว่เล่อแสยะยิ้มก่อนเอ่ย“บัลลังก์” พูดสั้นๆทว่าเ
ดาวสีน้ำเงิน ในศตวรรษ 3050 หรือยุคที่เทคโนโลยีมาถึงขีดสูงสุดเกินกว่าจินตนาการไว้ รถสามารถเหาะได้ เพราะนวัตกรรมสุดล้ำ มนุษย์ไม่ต้องทำงานบ้านเองมีเอไอทำให้ทุกอย่าง ขนส่งสินค้าข้ามประเทศภายในไม่กี่นาที อาหารส่วนใหญ่เป็นอาหารอัดเม็ด มีแบบแคปซูลให้เลือก เพราะพื้นดินเต็มไปด้วยสารพิษทำให้เพาะปลูกได้ยาก ที่อยู่อาศัย สิ่งอำนวยความสะดวก ทุกอย่างล้วนเป็นนวัตกรรมสมัยใหม่ ทว่ามีเพียงประชากรที่เริ่มลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากมลพิษทางอากาศ อีกทั้งเมื่อก่อนยังมีการทำสงครามต่างดวงดาว กฎของการทำสงครามคือจะไม่โจมตีประชากรดวงดาว หากจะรบกันต้องส่งกองกำลังทหารของแต่ละฝ่ายไปอวกาศ หากไม่อยากสู้รบก็มักจะหาข้อยุติด้วยการทำสนธิสัญญาระหว่างดวงดาว ครืด ครืด “วันนี้เจ้านายจะรับอะไรดีครับ” เสียงหุ่นยนต์ทำหน้าที่เสมือนพ่อบ้านแต่ล้ำยิ่งกว่าเพราะถูกสร้างให้มีความคล้ายมนุษย์แม้กระทั่งความคิด มันเดินเข้ามาถามเจ้านายของตนที่กำลังเตรียมตัวออกไปข้างนอกด้วยท่าทางเร่งรีบ “ฉันจะสายแล้ว เอาแค่แคปซูลอาหารมาให้ก็พอ” โมนิก้า ลูกสาวคนเดียวของผู้บัญชาการกองทัพสูงสุดหรือนายพลโรเบิร์ตโต้ หญิงสา
“พี่เซนท์จะพาหนูไปไหนเหรอคะ” โมนิก้ามองแฟนหนุ่มอย่างสงสัย เขาพาเธอออกมาหลังจากจบงาน “ไปดินเนอร์ครับ” ชายหนุ่มหันมาบอกพร้อมส่งยิ้มไปให้แฟนสาว เซนท์เป็นชื่อที่ท่านแม่ตั้งให้เขา ส่วนเฟลิกซ์เป็นชื่อทางการ เขาชอบให้เธอเรียกเขาด้วยชื่อเล่นที่แม่ตั้งให้มากกว่า วันนี้เขาเลือกที่จะขับรถเองเพราะอยากอยู่กับเธอให้นานที่สุด ก่อนที่เขาต้องออกไปทำสงคราม ใช่แล้ว สงครามระหว่างมหาอำนาจ ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อดวงดาวสีน้ำเงินแห่งนี้ “พี่มีอะไรจะบอกหนูมั้ย สีหน้าพี่ไม่ค่อยดีเลย” โมนิก้าจับท่าทางแปลกๆของคนรัก ที่แสดงผ่านทางสีหน้าได้ จึงเอียงคอถาม เพราะปกติเขามีอะไรก็จะบอกเธอ “พี่แค่คิดว่าเมื่อไรเราจะได้แต่งงาน พี่อยากให้เราอยู่ใกล้กันตลอดเวลา” เฟลิกซ์ยังไม่บอกความจริง แต่สิ่งที่เขาพูดออกไปก็มาจากใจเขาจริงๆเช่นเดียวกัน “หูย พูดแบบนี้หนูก็เขินแย่สิคะ เดี๋ยวก็เก็บเสื้อผ้าไปอยู่ด้วยเลยนี่” โมนิก้าเขินหน้าเดง ก่อนจะพูดกลบเกลื่อนทีเล่นทีจริง แม้จะเอะใจว่านี่อาจไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริง แต่ก็ไม่เป็นไร เธอเชื่อมั่นในตัวเขา เพราะตลอดที่คบกันซึ่
พระราชวังแคว้นลั่ว“อะ อ๊ากกกก ปะ ปีศาจ” เสียงกรี๊ดร้องดังลั่นไปทั่วทุกหนแห่ง เมื่อมีปีศาจบุกเข้ามายังเมืองหลวง ทหาร องครักษ์ไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้เลย เมื่อปีศาจที่พวกเขาพูดถึงมาเยือน พื้นที่นั้นจะเต็มไปด้วยเลือด เสียงร้องขอความช่วยเหลือจากทั่วทุกสารทิศ นางกำนัล ข้ารับใช้หญิงชายต่างหนีอลม่าน พระราชวังลุกเป็นไฟแฮร่ กรร“ยะ อย่าเข้ามานะ กรี๊ดดดด”“แงงง แงงง ข้ากลัว” เหล่าองค์ชาย องค์หญิงส่งเรียกร้องไห้จ้าด้วยความหวาดกลัว สถานการณ์ต่างตกอยู่ในความโกลาหล เมื่อมีศพของพวกทหารนางกำนัลที่ตายไปแล้วลุกขึ้นมากัดกินคนอื่นต่อ“จะ เจ้าต้องการอะไร” ลั่วฮ่องเต้กล่าวด้วยท่าทีสั่นกลัว เหลือบมองทหารองครักษ์ที่แปรเปลี่ยนเป็นพวกมันอย่างตื่นตระหนก ในหัวเต็มไปด้วยคำถามพวกมันหลุดออกมาจากกรงขังได้อย่างไร พวกหมอผีและแม่ทัพฮั่วหมิงมัวทำอะไรกันอยู่ สายตาสบเข้ากับดวงตาของตัวประหลาด เยว่เล่อแสยะยิ้มก่อนเอ่ย“บัลลังก์” พูดสั้นๆทว่าเ
“ท่านแม่ทัพ แล้วเราควรทำอย่างไรกับคนพวกนี้ดี” เจียหมิงถามขึ้น“เหลียนเอ๋อร์ เจ้าว่าอย่างไร” ทุกคนนั่งประชุมกันอยู่ โดยเป่ยหวงได้ให้เหลียนฮวาเข้าร่วมด้วย เพราะนางเป็นคนมาบอกเรื่องราวครั้งนี้“ข้าคิดว่าควรให้พวกเขากลับไปด้วยเจ้าค่ะ อย่างน้อยก็ฐานะเชลยศึก เพราะหากให้กลับไปไม่รู้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดหรือไม่” เหลียนฮวาครุ่นคิด“ข้าเห็นด้วยกับความคิดเหลียนเอ๋อร์ขอรับ” อี้ฟ่านกล่าว“ข้าด้วย”“ข้าด้วยขอรับ” เสียงกู้หาน เฟยจิน ก่อนคนอื่นๆจะเริ่มออกความคิดเห็น“เอาล่ะๆ ข้าจะส่งจดหมายไปบอกทางฝั่งแม่ทัพใหญ่ หลังจากนี้เราจะเก็บของเตรียมตัวกลับไปรวมกับทุกคน” เป่ยหวงกล่าวสรุป เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเมื่อตอนดึกระหว่างแคว้นลั่วโจมตี จู่ๆเหลียนเอ๋อร์นางก็เข้ามาร่วมต่อสู้เพื่อคุยกับเขาให้ได้ เขาจึงปลีกตัวออกมาคุยนางบอกเล่าถึงเรื่องราวที่เจอมีทั้งคำพูดและคำเตือนจากชายแปลกหน้าคนนั้น เขาคิดว่ามันประจวบเหมาะกับเมื่อ 9 ปีก่อนพอดี ตอนที่รู้ว่าพวกมัน
“องค์ชาย พวกเราจะไปไหนพะย่ะค่ะ” ตงฉางถามชายหนุ่มที่โตขึ้นจากเมื่อ 7 ปีก่อน มองแผ่นหลังที่เดินนำอย่างไม่หวั่นกลัว ทุกย่างก้าวช่างเต็มไปด้วยความหนักแน่น เด็ดเดี่ยว และน่าเกรงขามเขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นถึงองค์ชายด้วยความบังเอิญเมื่อสองปีที่แล้ว ไม่คิดจะเปิดเผย เพราะอีกฝ่ายคงมีเหตุผลให้ปกปิดตัวตน เขาจึงยังพูดคุยอย่างปกติ แต่ก็แอบเกร็งๆอยู่บ้างตอนแรกคิดว่าชีวิตของเขาและองครักษ์จะต้องมาจบลงในที่แห่งนี้ เขาเห็นพวกตัวประหลาดที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนจู่ๆพยายามเข้ามาโจมตีกรงขัง อาจเป็นความโชคดีที่พวกมันยังเข้ามาไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะยื้อไว้ได้นานแค่ไหน เสียงกรี๊ดร้องทั้งด้านในและด้านนอกดังไปทั่วจนถอดใจระหว่างสถานการณ์เริ่มสิ้นหวังกลับได้ยินเสียงอันคุ้นเคยเอ่ยเรียก ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเสียงพระองค์ก่อนตาย ทว่าพอเงยหน้ากลับพบองค์ชายตัวเป็นๆมายืนอยู่ตรงหน้า เป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกเหมือนเห็นแสงสว่างในความมืดมิด“ท่าเรือ” หยางหลงตอบสั้นๆ เขาจำทางไปยังท่าเรือได้ สายตามองรอบๆ เละเทะไม่ต่างกัน มีรอยคราบเลือดเต็มไปหมด
“โธ่เว้ยย อัก แค่กๆ ไอ้ตัวกลายพันธุ์บัดซบ!!!” ฮั่วหมิงเค้นเสียงอย่างแค้นเคือง เขาหอบร่างบาดเจ็บหนักของตัวเองเดินไปตามทาง ระหว่างทางเขาได้ประมือกับผีดิบตาสีแดง มันว่องไว ทั้งยังมีถึงสองตัว จึงพลาดโดนมันโจมตีซ้ำรอยเดิมผลัก โครม“อึก บ้าชิบ” เขาสะดุดเท้าของใครบางคนจนล้ม สายตาเหลือบไปมองดวงตาเบิกโพลง“กุนซืออู๋หยาง!” เขาครางชื่อแผ่วเบาอย่างไม่เชื่อสายตา อีกฝ่ายอยู่ในสภาพที่เครื่องในโดนกัดกินจนไม่เหลือ ไม่ไกลกันพบร่างคนรับใช้สนิทของท่านอาจารย์นอนตายอยู่ คาดว่าพวกเขากำลังจะหนีแต่ไปไม่รอด ตาเหลือกอย่างคนตายตาไม่หลับย้อนกลับไปในคืนก่อนหน้า“เสียงดังเอะอะโวยวายอะไรกัน” ฮั่วหมิงที่นั่งให้พวกสาวๆนวดตัวอยู่นั้นเอ่ยถามอย่างหงุดหงิดที่มีคนมาเสียงดังขัดจังหวะ “เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ พวกผีดิบกำลังอาระวาด”“มันจะเป็นไปได้อย่างไร มันถูกขะ...”แฮร่ กรร
“คราวนี้ได้มากี่ร่าง” ฮั่วหมิงถามทหารที่ตามไปเก็บร่างผู้เสียชีวิต“ราวๆ สามสิบขอรับ”“เหตุใดจึงได้มาแค่นั้น?” ฮั่วหมิงขมวดคิ้วสงสัย จำนวนเท่านี้ยังไม่พอสำหรับอาหารผีดิบหนึ่งอาทิตย์เลยด้วยซ้ำ“เพราะจู่ๆไอ้พวกแคว้นจ้าวก็หยุดโจมตีแล้วเปลี่ยนเป็นจับทหารของเราเป็นเชลยแทนขอรับ”“ว่าอย่างไรนะ!!”กรอดดดแม่ทัพฮั่วหมิงกำหมัดแน่น แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับหยามหน้ากัน สู้ให้พวกมันฆ่ากันเองให้ตายเสียยังดีกว่า อย่างน้อยก็ยังนำศพพวกมันกลับมาทำประโยชน์ต่อได้“เรียนท่านแม่ทัพ ท่านหมอผีมาขอพบขอรับ”“ให้อาจารย์เข้ามา” ฮั่วหมิงสะบัดมือไล่พวกทหารที่เหลือออกไปทั้งหมด“คาราวะท่านอาจารย์” ฮั่วหมิงมองอาจารย์ตัวเองที่แก่ลงหลายสิบปี“ฮะ ฮั่วหมิง แค่กๆ” ชายชราเดินเข้ามาช้าๆ“เชิญนั่งขอรับ”“อีกไม่นาน กะ กองทัพผีดิบ แค่ก ของเราก็พร้อมแล้ว” เสียงสั่นเครือจากการแก่ชราของหมอผีฮั่วเฉิงกล่าวขึ้น ใบหน้าเหี่ยวย่นฉีกยิ้มอย่างยินดี“จริงหรือขอรับท่านอาจารย์ แผนเราใกล้...” ฮั่วหมิงดีใจไม่แพ้กัน อีกไม่ช้
“ท่านพ่อ ท่านลุงปลอดภัยกลับมานะเจ้าคะ” เหลียนฮวากล่าวบอกทั้งสอง หลังได้รับข่าวจากท่านลุงหมวกสานว่าพวกศัตรูกำลังเคลื่อนพลเข้ามาคาดว่าน่าจะโจมตีคืนนี้ ทุกคนจึงเตรียมตัวตั้งรับกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด“ขอบใจลูก”“ลุงจะระวังตัวอย่างดี ไม่ต้องเป็นห่วงหลานรัก” เหยาฉือลูบหัวบุตรสาวอย่างเอ็นดู หลังทุกคนเตรียมตัวเข้าสู่สนามรบ“ฝากดูแลน้องด้วยล่ะเจียวลู่” ที่บอกว่าฝากดูแล หมายถึงดูแลไม่ให้บุตรสาวของเขาไปเข้าร่วมสนามรบด้วยนะสิ จากที่ได้ยินพวกทหารแอบคุยกันเห็นว่าบุตรสาวเขาเข้าร่วมหลายครั้งแล้ว นางก็ช่างฉลาดเสียจริงเลือกพื้นที่ตรงที่ไม่มีเขาหรือพี่ใหญ่อยู่ สงสัยจะกลัวโดนพากลับไปยังที่ปลอดภัย“เจียวลู่จะดูแลอย่างดีขอรับ” ชายหนุ่มตอบกลับน้ำเสียงหนักแน่น“เหลียนเอ๋อร์ เจ้าก็รออยู่ตรงนี้” เจียวลู่เอ่ยบอกหลานสาวที่ชะเง้อมองหลังเห็นพี่ใหญ่พี่รองเดินไปพ้นสายตา พลางทำท่าจะเดินออกไปจากที่ซ่อน“ท่านอา ข้าอยากตามไปช่วยพวกเขา” เหลียนฮวาหันมาทำส
“อ้าว แค่กๆ เจ้ากลับมาแล้วหรือ” นายทหารที่นอนพักรวมกันเอ่ยทัก“ใช่ นอนต่อเถอะ” หยางหลงบอกทหารที่ดูป่วยเมื่อเห็นอีกฝ่ายตื่นมาพอดี เขาตัดสินใจกลับมาตั้งหลักก่อน เพราะมันเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายของเขา ไม่คาดว่าแคว้นลั่วกำลังเลี้ยงดูซอมบี้เช่นนี้ พวกมันอาจคิดว่าสามารถควบคุมได้ แต่เชื่อได้เลยว่าอีกไม่นานจะต้องแพ้ภัยตัวเอง ขนาดมนุษย์หรือสัตว์ยังมีวิวัฒนาการ แล้วคิดว่าไอ้พวกสัตว์ประหลาดพวกนี้มันจะไม่วิวัฒนาการหรือ หากมันหลุดรอดออกสู่ภายนอก ทั่วทั้งผืนแผ่นดินนี้จะต้องลุกเป็นไฟ ไม่เว้นแม้แต่แคว้นเว่ยที่อยู่ห่างไกลออกไป เขานอนคิดทั้งคืนเช้าต่อมาหยางหลงตื่นเช้าเพื่อออกมาสำรวจอีกรอบ คราวนี้จะลองเข้าไปกระโจมอื่นดู แต่ช่วงกลางวันคนพลุกพล่านอาจจะไม่เหมาะจะเข้าไปสำรวจเท่าไหร่ เขาต้องรอโอกาส“หทารคนนั้น ยะ หยุดก่อน!” หยางหลงหันมองนายทหารที่เอ่ยเรียกเขาไว้ ในมือมีโซ่ล่ามชายหญิงสองคนที่กำลังสั่นกลัวเหมือนว่าโอกาสนั้นจะมาเร็วกกว่าที่คิด“ขอรับ” หยางหลงก้
“เดี๋ยว เจ้าไม่ได้ตัวคนมารึ” ทหารหน้าค่ายถามขึ้น“ขะ ขอ แค่กๆ ขออภัยขอรับ แค่กๆ” หยางหลงแสร้งไอเพื่อให้ดูเหมือนว่าตัวเองป่วย คนที่นายทหารคนนี้พูดถึงน่าจะหมายถึงชายหนุ่มหรือหญิงสาว“ไปๆ จะไปไหนก็ไป” นายทหารไล่อีกฝ่ายอย่างตัดรำคาญ ไม่ใช่คนแรกที่ป่วยกระออดกระแอดเช่นนี้ เพียงแต่พวกป่วยบ่อยมักจะอยู่ในค่ายไม่ได้นาน เดี๋ยวก็มีเจ้าหน้าที่คนอื่นมาพาตัวมันไป หยางหลงเดินก้มหน้าเข้ามายังค่าย สายตาแอบสำรวจรอบๆ มีทหารเดินขวักไขว่ แต่สิ่งที่น่าแปลกอีกอย่างคือภายในค่ายมีกระโจมขนาดใหญ่ตั้งอยู่หลายจุดด้วยกัน ทั้งที่ปกติค่ายหทารจะเคลียร์พื้นที่ให้ว่างเพื่อใช้ในการฝึก หรือรวมตัว“มาทำอะไรที่นี่” เขากำลังก้าวเดินเข้าไปยังกระโจมหลังหนึ่ง กลับถูกเรียกตัวไว้“เอ่อ...”“กระโจมนี้ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะเข้าไปได้ กลับไปทำหน้าที่ต่อได้แล้ว” พูดบอกเสียงเข้ม เขาต้องคอยเฝ้าไว้ เพราะกันการสอดรู้สอดเห็นของพวกทหารในค่ายแบบนี้“ขะ ขอรับ” หยางหลงแส
“เฮ้อ ถึงสักที” และแล้วก็ถึงที่หมาย ทุกคนทยอยเดินลงจากเรือ สาวใช้บ่นด้วยความเหน็ดเหนื่อย ใช้เวลาเกือบวันกว่าจะมาถึง นางหิ้วของใช้ กำลังเอ่ยปากชวนองค์หญิงไปหาที่พัก ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ย กลับต้องเปลี่ยนเป็นถามสิ่งที่สงสัยแทน “องค์หญิง องค์หญิงจะไปไหนเจ้าคะ”“เรียนคุณชายท่านนี้ ไม่คิดว่าเราจะเป็นเพื่อนกันได้หรือเจ้าคะ” ซิงเหยียนพูดเสียงหวาน คราวนี้นางเปิดผ้าคลุมให้เห็นหน้า ใบหน้างดงามของนางปรากฎสู่สายตา นางเชื่อว่าไม่ว่าใครก็ไม่อาจปฏิเสธได้“พูดจบหรือยัง หลีกทาง” ทว่ากลับโดนเสียงเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ตอกกลับจนนางเกือบหน้าหงายอีกรอบ หน้าสวยหวานชะงักงัน นางทำผิดตรงไหน ใบหน้าเช่นนี้เสด็จพ่อมักชมบ่อยๆว่าใครต่างก็ต้องตกหลุมรัก เหตุใดถึงไม่ได้ผลกับคนผู้นี้“ขะ ข้า…”“ว้าว ใบหน้างดงามภายใต้ผ้าคลุมเป็นเช่นนี้เองหรือ” เสียงชายหนึ่งในสามคนก่อนหน้าพูดอย่างเพ้อฝัน“มากับเราดีกว่าไหมจ๊ะน้องสาว พวกเราจะพาชมรอบเมือง หึหึ”&l