“ท่างป้อกับท่างยุงมาแย้ว” เหลียนฮวาร้องตะโกนอย่างดีใจ นางและท่านอาเจียวลู่นั่งเล่นรอพวกเขาอยู่ หลังช่วยพวกท่านป้าเตรียมอะไรๆเสร็จ
“หืม อยู่กับพวกป้าๆลุงๆ ดื้อหรือไม่ ต้องลำบากเจ้าแล้วนะเจียวลู่” เจียหมิงเอ่ยหยอกล้อบุตรสาว มองหน้ากลมๆที่มีเหงื่อผุดเล็กน้อย น่าจะเพราะวิ่งเล่นกับเจียวลู่จนเหนื่อย
“งื้ออ นุม่ายดื้อ” เหลียนฮวายู่ปากส่ายหน้าปฏิเสธดุกดิก
“น้องไม่ดื้อเลยขอรับพี่รอง” เจียวลู่กล่าวย้ำคำพูดหลานสาว แล้วหันไปส่งยิ้มให้พี่ใหญ่ของตน
“นั่นหรือคนที่เจ้าบอกว่าได้รับอภิสิทธิจากท่านแม่ทัพ” เสียงพูดคุยกันของเหล่าทหารบางคนดังลอยมาให้ได้ยิน
“ใช่ ๆ เจ้าดูสิปกติทหารธรรมดาอย่างเราๆจะเอาเด็กเข้ามายังค่ายได้ที่ไหน”
“อะแฮ่ม พวกเจ้ามายืนอะไรตรงนี้ มาๆไปนั่งกินข้าวกับพวกเรา” กู้หานกระแอ่มเสียงดัง จนคนที่ยืนมองซุบซิบอยู่หนีแตกกระเจิง ก่อนจะเอ่ยปากชวนครอบครัวหลี่
“ข้ากำลังไปตักพอดี เจียวลู่กับเหลียนเอ๋อร์กินอะไรกันหรือยัง” เจียหมิงหันไปถามน้องชายคนเล็กและบุตรสาวที่กอดขาเขาไว้ไม่ไปไหนคล้ายคิด
ยามฟ้าสาง“ต่อไปนี้จะเป็นการสาธิตการยิงธนู เพื่อคัดเลือกพลธนูจำนวน 200 นาย” เป่ยหวงประกาศเสียงดัง เมื่อคืนเขาได้ประชุมกับหัวหน้ากองร้อยคนอื่นแล้ว ซึ่งทุกคนต่างเห็นด้วยที่จะลองให้ฝึกธนู เพราะสังเกตเห็นนายทหารหลายคนเหมือนกันที่ไม่เหมาะกับการจับดาบ แต่ก็เข้าใจได้เพราะทุกคนเป็นทหารเกณฑ์ที่มาจากชาวบ้านธรรมดา ไม่ได้เป็นหทารที่ผ่านการคัดเลือกโดยตรง “แบ่งเป็น 20 กลุ่ม กลุ่มละ 100 คน โดยแต่ละกลุ่มจะมีหัวหน้าทีมเพื่อช่วยดูแล เริ่มได้” สิ้นสุดเสียง ความชุลมุนก็บังเกิด เพราะทหารเกณฑ์ต่างก็พากันไปรวมกับคนที่รู้จัก บ้างก็ไม่ได้อยากฝึกธนู เบียดเสียด เดินชนกันให้วุ่น“หยุดก่อน !!!” ทุกคนชะงักเมื่อได้ยินเสียงเข้มของท่านแม่ทัพ“ข้าอภัยที่ต้องเปลี่ยนกติกาใหม่ เจียหมิงเจ้าขึ้นมานี่” เป่ยหวงที่เห็นความวุ่นวายแล้วได้แต่ส่ายหน้า จึงตัดสินใจเอ่ยเรียกชายหนุ่มที่คิดว่าจะช่วยเขาได้ แถมยังเป็นผู้ออกความคิดนี้“ขะ ข้าหรือขอรับ” เจียหมิงที่เข้าแถวกับทหารเกณฑ์ พูดไม่ออกเสียง ทำท่าชี้มาที่ตน เป่ยหวงพยักหน้าว่าใช่ ทำให้ชายหนุ่มก้าวขึ้นไปยังด้านบน
สนามฝึกดาบ“ถุ้ย ไอ้อ้วนอย่างเจ้านะหรือจะเป็นคู่ซ้อมข้า” เสียงด่าทอ พลางถ่มน้ำลายใส่ชายร่างอ้วนผิวดำคล้ำที่ล้มอยู่กับพื้น หลายคนมองพากันหัวเราะเยาะ“ขะ ข้าแค่ต้องการคู่ซะ...”“ไป ไปไกลๆพวกข้า ข้าไม่จับคู่กับคนตัวอ้วนอย่างเจ้าให้เสียเวลาหรอก” เสียงไล่ส่งอย่างตัดรำคาญ ทำให้ชายที่อยู่กับพื้นทำหน้าเศร้าใจ เนื่องจากไม่มีใครอยากจับคู่กับเขาเลย แล้วแบบนี้เขาจะได้ลองฝึกสู้กับคนได้อย่างไร“รูปร่างอ้วน ซ้ำยังอ่อนแอเช่นนี้อยู่รอดในสงครามได้เกินวันก็นับว่าปาฏิหาริย์แล้ว” เสียงดูถูกดังไล่หลัง ชายร่างอ้วนเดินห่อไหล่ ตัดสินใจหอบร่างตัวเองไปนั่งคนเดียวอยู่มุมหนึ่งใต้ต้นไม้“ฮึก ฮึก ถะ ถ้าข้าเลือกได้ก็ไม่อยากเกิดมามีร่างกายเช่นนี้” เขาร้องไห้ในสิ่งที่อัดอั้นมานาน รูปร่างเขาทั้งอ้วน ทั้งมีกลิ่นใครๆก็ไม่อยากคบ เขามีอายุ 15 ปี พอดี เดิมทีเป็นเพียงลูกชายของร้านขายขนมปัง เพราะบ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยถึงขนาดซื้อเนื้อให้กินได้บ่อย ทำได้กินแต่ขนมปังแข็งๆ บางวันดีหน่อยซื้อได้แค่เ
และแล้วก็ถึงวันเดินทาง“เคลื่อนทัพได้!!!” ทหารทั้งหมดเคลื่อนพลสู่สนามรบ ความรู้สึกเต็มไปด้วยความหลากหลาย คนในเมืองหลวงต่างออกกันมาดูกองทัพที่กำลังมุ่งหน้าไปอย่างตื่นตาตื่นใจ หารู้ไม่ว่าคนที่ทุกคนพากันมองแล้วส่งเสียงหัวเราะมีความสุขเนื่องจากเป็นภาพที่ไม่เคยเห็นอยู่นั้น แท้จริงแล้วข้างในพวกเขากลับกำลังร่ำไห้ สั่นกลัว บางคนแอบเช็ดน้ำตา หันกลับไปมองกำแพงเมืองที่พวกเขาพึ่งเดินออกมาอย่างเศร้าใจ อย่างไม่รู้ชะตากรรมว่าจะมีโอกาสกลับมาอีกหรือไม่“เหลียนเอ๋อร์เมื่อยไหมลูก ให้พ่ออุ้มดีไหม” เจียหมิงถามบุตรสาวที่เดินเคียงข้างไปพร้อมกับเขา แม้ก้าวเล็กๆจะก้าวได้สั้น ทว่านางกลับก้าวได้ไวทันความเร็วผู้ใหญ่ ไม่ร้องงอแง ไม่บ่นว่าเหนื่อยสักนิด“หรือจะขี่หลังลุงก็ได้นะ” เหยาฉือถามหลานสาวอย่างสงสาร“ม่าย นุจะเดินเองเจ้าก่ะ” เหลียนฮวายังรู้สึกสบายมาก นางจะต้องไม่ทำตัวเป็นภาระทุกคนเด็ดขาด แม้จะสามารถไปนั่งรถม้ากับพวกพ่อครัวแม่ครัวได้ แต่นางก็อยากลงมาเดินกับท่านพ่อ ท่านลุงด้วยตั
“ท่านแม่ทัพ แฮ่ก พวกศัตรูมีเยอะเกินไปขอรับ” อี้ฟ่านพูดปนหอบเหนื่อย เนื่องจากพวกมันเข้ามาไม่ขาดสาย“ต้านเอาไว้ก่อน อย่าให้พวกมันฝ่าไปทัพหลังเราได้” เป่ยหวงเค้นเสียงพูด แม้จะยากลำบากเพราะต้องโจมตีและตั้งรับพร้อมกัน แม้พวกมันไม่ได้มีฝีมือที่สูงนัก แต่พอเข้ามากันทีละหลายคนก็หนักเอาเรื่อง“ฮ่าๆ พวกแกไม่รอดแน่” ทหารลั่วคนหนึ่งหัวเราะสะใจฉั้วะ“รอดไม่รอดก็รอดู“อัก”“แต่แกคงไม่ได้อยู่ดู” เป่ยหวงมองร่างของมันที่ไม่มีหัว เพราะเขาฟันคอมันทันทีที่พูดจบ“พวกเราบุกกก ฆ่ามันให้ได้!!” เสียงทหารลั่วยังดาหน้ากันหน้ามาเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหมดฉับ ฉั้วะ“เราถอยไปตั้งหลักก่อนไหมขอรับ” เฟยจินถาม เพราะเขาสามคนที่แนวหน้ากับศัตรูหลายร้อยเกรงว่าจะหมดแรงเอาก่อน“ได้ พวกระ…” ระหว่างสั่งถอยนั่นเอง ทหารฝั่งศัตรูคนหนึ่งร่างกายสูงใหญ่แต่งกายไม่เหมือนทหารลั่วทั่วไปลอบเข้าโจมตีด้านหลังในช่วงที่อีกฝ่ายโดนรุม
“มาช่วยตรงนี้ที” เสียงตะโกนดังขึ้น ท่ามกลางหมอและผู้ช่วยหลายคนต่างพากันวิ่งให้วุ่น ทว่าก็ดูเหมือนจะไม่เพียงพอ เพราะผู้บาดเจ็บมีจำนวนเยอะกว่า“อะ โอ้ย ระ เรียกหมอที ขะ ข้าจะตายไหม” เสียงของชายคนหนึ่งที่โดนฟันแขนร้องด้วยความกลัว“รอก่อน อีกไม่นานหมอก็มา” เหยาฉือกล่าวปลอบ เขาใช้ผ้ากดแผลซับเลือดเอาไว้แทนหมอและผู้ช่วยที่ยังไม่สามารถปลีกตัวจากทหารที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสมาได้“ปะ เป็นไงบ้างขอรับ” เจียหมิงที่วิ่งหน้าตื่นเข้ามาสอบถามอาการภายในกระโจมที่ตั้งรองรับสำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ“แย่เชียวล่ะ หมอฝั่งนั้นรักษาเสร็จหรือยัง” ระหว่างพูดก็เดินใช้ผ้าห้ามเลือดช่วยคนเจ็บคนอื่น ตอนนี้มือของเขามีสีแดงฉานเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด“ยังขอรับ ตรงนั้นมีคนได้รับบาดเจ็บหนักอยู่ ต้องรีบรักษาด่วน” ชายหนุ่มบอก สภาพของเจียหมิงก็ไม่ต่างจากพี่ชาย อาภรณ์เปื้อนเลือดจากการที่ไปช่วยคนอื่นขนย้ายร่างคนเจ็บ หลังจากไปหยุดดูจุดที่หมอคนหนึ่งกำลังรักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนัก ถึงขั้นแขนขาด
“เหลียนเอ๋อร์ จะไปไหนงั้นรึ” เจียหมิงถามบุตรสาวที่แต่งชุดผู้ชาย เกล้าผมสูง แถมยังทาสิ่งที่นางเรียกว่าครีมเปลี่ยนสีผิวให้คล้ำ หากมองดูผ่านๆนึกว่าหนุ่มน้อยหน้าใสเรื่องราวที่ผ่านมามีหลายอย่างเกิดขึ้น สงครามได้กินเวลาถึง 7 ปี ทั้งสองแคว้นทำศึกผลัดกันรุกผลัดกันรับ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแคว้นลั่วเสียมากกว่าที่เข้าโจมตี แต่ก็ถูกกองทัพทหารเกณฑ์ที่สู้ไม่ถอยโจมตีกลับไปได้ทุกครั้ง ทว่าแคว้นลั่ว ยังคงเดินหน้าโจมตีเรื่อยๆ จากแต่ก่อนเดือนละครั้ง ทุกวันนี้เหลือเพียงปีละครั้ง เพราะต่างฝ่ายต่างเสียกำลังพลไปมาก สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจมาถึงทุกวันนี้อีกอย่างคือหลังจากสงครามจบลง ในวันรุ่งขึ้นศพของทหารทุกคนกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย พวกมันน่าจะนำศพของพวกทหารกลับไปด้วย แต่ที่เริ่มมาเอะใจได้คือช่วงหลังๆพวกมันเอาศพของทหารทางฝั่งเรากลับไปด้วยนี่สิ คล้ายศพคือสิ่งมันต้องการจากสงครามครั้งนี้มากกว่า เรื่องนี้เขายังไม่ได้ปรึกษาใครเพราะคิดว่าอาจคิดมากไปเอง“ข้าจะไปล่าสัตว์กับเหล่าต้าเจ้าค่ะ” เหลียนฮวาที่คุ้นเคยป่าแถบนี้ไม่น้อยเอ่ยบอก&l
“ซีฮันไปดักทางนั้น!”“ได้ มันผ่านข้าไม่ได้แน่”“พี่ชายหลวนล่อมันมาทางนี้เจ้าค่ะ” เหลียนฮวาตะโกนบอกชายอายุเยอะมากสุดอู๊ด อู๊ด“เหลียนเอ๋อร์ระวังด้วย” เจียวลู่ที่ทำหน้าที่ดักมันไว้อีกทางตะโกนบอกด้วยความเป็นห่วงฟ้าวววว ฉึกกอิ๊ดดดดดดดดด ตุ้บ เสียงหมูป่ากรี๊ดร้องด้วยความเจ็บปวด หลังจากถูกเหลียนฮวาใช้หน้าไม้ที่มีศรเป็นแท่งเหล็กยิงเข้าที่ขาข้างหนึ่งไม่ให้มันวิ่งหนี“มันยังไม่ตาย” ทหารในกลุ่มอีกคนตะโกน“โจมตีที่หัวมันเจ้าค่ะ” ที่นางไม่ลงมือเองเพราะจะฝึกให้พวกเขาทำงานกันเป็นทีมฉึก อู๊ดด“เฉียดไปนิด” เหล่าหลวนขว้างมีดสั้นออกไป ทว่ากลับไม่โดนจุดตาย แต่เจ้าหมูป่าก็บาดเจ็บไม่น้อย“ข้าขอลองขอรับ” เจียวลู่ถือดาบยาวที่เหลียนฮวามอบให้วิ่งเข้าไป“ระวังนะท่านอา” เหลียนฮวาตะโกนบอกเนื่องจากมันยังไม่ตายดี อาจจะยังมีแรงเหลืออยู่ขวับบบ ฉึกอิ๊ดดดดดดด ไม่
“เฮ้อ ถึงสักที” และแล้วก็ถึงที่หมาย ทุกคนทยอยเดินลงจากเรือ สาวใช้บ่นด้วยความเหน็ดเหนื่อย ใช้เวลาเกือบวันกว่าจะมาถึง นางหิ้วของใช้ กำลังเอ่ยปากชวนองค์หญิงไปหาที่พัก ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ย กลับต้องเปลี่ยนเป็นถามสิ่งที่สงสัยแทน “องค์หญิง องค์หญิงจะไปไหนเจ้าคะ”“เรียนคุณชายท่านนี้ ไม่คิดว่าเราจะเป็นเพื่อนกันได้หรือเจ้าคะ” ซิงเหยียนพูดเสียงหวาน คราวนี้นางเปิดผ้าคลุมให้เห็นหน้า ใบหน้างดงามของนางปรากฎสู่สายตา นางเชื่อว่าไม่ว่าใครก็ไม่อาจปฏิเสธได้“พูดจบหรือยัง หลีกทาง” ทว่ากลับโดนเสียงเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ตอกกลับจนนางเกือบหน้าหงายอีกรอบ หน้าสวยหวานชะงักงัน นางทำผิดตรงไหน ใบหน้าเช่นนี้เสด็จพ่อมักชมบ่อยๆว่าใครต่างก็ต้องตกหลุมรัก เหตุใดถึงไม่ได้ผลกับคนผู้นี้“ขะ ข้า…”“ว้าว ใบหน้างดงามภายใต้ผ้าคลุมเป็นเช่นนี้เองหรือ” เสียงชายหนึ่งในสามคนก่อนหน้าพูดอย่างเพ้อฝัน“มากับเราดีกว่าไหมจ๊ะน้องสาว พวกเราจะพาชมรอบเมือง หึหึ”&l
“อุแว้ อุแว้”“ที่รักเหนื่อยไหม ขอบคุณที่คลอดบุตรให้พี่อีกคนนะ” หยางหลงเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากให้คนรักที่หน้าซีดเซียว“ไม่เลยเจ้าค่ะ แค่เห็นหน้าลูกๆกับพี่ ข้าก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง” เหลียนฮวาที่มีประสบการณ์จากการคลออบุตรครั้งแรกถึงสองคน ครั้งนี้จึงคลอดง่ายมาก หมอหลวงที่เดินทางจากแคว้นเว่ยโดยเฉพาะอุ้มเด็กน้อยตัวอวบอ้วนเข้ามา“ขอแสดงความยินดีกับชินอ๋องและพระชายา เป็นเด็กทารกเพศชาย ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์เพคะ” หมอหญิงส่งเด็กทารกให้แก่ชินอ๋อง หยางหลงรับมาด้วยความทะนุถนอม“อีกแล้ว ข้าอุ้มท้องเขามา 9 เดือนนะเจ้าคะ” เหลียนฮวาพูดอย่างน้อยใจ เมื่อบุตรลายคนที่สามไม่มีส่วนไหนเหมือนนางเช่นเดียวกัน นี่น้ำเชื้อเขาแรงมากเลยหรือ ลูกออกมาสามคน หน้าตาเหมือนเขาทุกคน“ฮ่าๆ คนที่สี่ต้องเหมือนเจ้าอย่างแน่นอน” หยางหลงพูดด้วยรอยยิ้ม เหลียนฮวาได้แต่อ้าปาก
แคว้นฉินพระราชวัง“ฮื่อ ฮื่อ” เสียงเด็กน้อยร่ำไห้อยู่ข้างเตียงของหญิงนางหนึ่ง“แค่ก ๆ ขะ ข้าไม่น่า คะ คลอดเด็กอย่างเจ้าออกมาเลย” องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยใบหน้าโกรธแค้น ตัวนางซูบผอมเหลือแต่กระดูก อันเนื่องจากคลอดเด็กลูกครึ่งผีดิบที่กัดกินชีวิตนางตั้งแต่อยู่ในครรภ์ นางหวังให้ลูกของนางเติบโตมาแข็งแกร่งเหมือนพ่อ ทว่าเด็กออกมากลับเป็นผู้หญิง นอกจากอ่อนแอแถมยังไร้ประโยชน์ทำไมกันนะ ชีวิตของนางถึงไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง ตั้งแต่มีพระสวามี เขาก็ทิ้งนางให้อยู่ท่ามกลางผีดิบ ดีที่ยังมีคนรับใช้หลงเหลือไว้ให้อยู่ แต่รอบตัวก็เต็มไปด้วยผีดิบ ไม่มีใครสามารถออกจากแคว้นได้เลย มีครั้งหนึ่งที่แม่ทัพของเคยคิดออกจากแคว้น ทว่ายังไปได้ไม่ไกล ต่างโดนเหล่าผีดิบเข้ามากัดกินทั้งเป็น หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าออกไปนอกแคว้นอีกเลย“ท่างแม่…”“ยะ อย่า แ
4 ปีต่อมา“เสี่ยวชุน เสี่ยวเฉินลงมาจากต้นไม้เดี๋ยวนี้!!” เหลียนฮวาตะโกนบอกบุตรชายตัวแสบวัยสามขวบทั้งสอง อุ้มท้องมา 9 เดือน แต่ไม่มีส่วนใดได้นางมาเลย เด็กๆถอดแบบพี่หยางมาทั้งหมด ชอบปีนต้นไม้เหมือนใครก็ไม่รู้? แถมยังหลบหนีพี่เลี้ยงเก่งเป็นที่หนึ่ง“ปี้ชายลงไปก่อนซี่” เสี่ยวชุนหรือเว่ยชุนหวงเอ่ยบอกพี่ชายที่คลอดก่อนตนเพียง 5 วินาที ร่างกลมป้อมอวบอัด ทว่ากลับว่องไวกว่าคนเป็นพี่บุ้ยปากให้พี่ชายลงจากต้นไม้ก่อน“เจ้าเปงน้องก็ต้องลงก่อง” เสี่ยวเฉินหรือเว่ยเฉินอี้กล่าวบอกผู้เป็นน้อง ทั้งสองเกี่ยงกันลงก่อนเนื่องจากยังดูพวกท่านตาฝึกซ้อมยังไม่เสร็จ“ลง มา พร้อม กัน” เหลียนฮวาจำต้องเน้นเสียงทีล่ะคำบอกบุตรชาย ไม่งั้นก็ยังเกี่ยงกันไม่เลิก บุตรชายของนางทั้งสองชื่นชอบการต่อสู้เป็นพิเศษ หากเห็นทหารหรือบรรดาตาๆตัวเองฝึกก็จะรีบขอตามไปดูอย่างไวพวกเด็กๆจะเรียกพ่อของนางว่าต
“เหนื่อยหรือไม่” หยางหลงเอ่ยถามเจ้าสาวของตนหลังคืนแต่งงานผ่านพ้นไป คนรักที่กลายมาเป็นภรรยาและคู่ชีวิตของเขานับแต่นี้เหลียนฮวานั่งตัวเกร็งอย่างทำอะไรไม่ถูก นางกำลังเผชิญกับคืนเข้าหอเป็นครั้งแรก“…”“เหตุใดไม่คุยกับพี่้เล่า” หยางหลงค่อยๆเปิดผ้าคลุมเจ้าสาวเชยคางมนมาสบตา ทั้งสองสบตากันอย่างลึกซึ้ง“ตะ ต้องดื่มเหล้าก่อนมงคลเจ้าค่ะ” เหลียนฮวาที่ไม่รู้จะหาข้ออ้างอันใดมาเอ่ยจึงมองไปที่กาใส่เหล้ามงคลเอาไว้“จริงสิ เป็นขนบธรรมเนียมของที่นี่” หยางหลงยิ้มกริ่มก่อนจะค่อยๆเทเหล้ามงคลจากกาน้ำสองจอดและยกขึ้นมาถือไว้“ดื่มเถิด” เขายื่นให้คนรักหนึ่งแก้วและถือไว้เองหนึ่งแก้ว ทั้งสองคล้องแขนกันก่อนจะยกขึ้นดื่มพร้อมกัน ทั้งกลิ่นทั้งรสชาติของเหล้ามีความแรงจนเหลียนฮวาต้องนิ่วหน้า นางรีบกลืนภายในอึกเดียว ไม่นานหน้
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ” ฮ่องเต้สวรรค์มองบุตรสาวด้วยสายตาไม่พอใจนัก“เจ้ารู้ความผิดที่ก่อหรือไม่เทพธิดาเหมยลี่” น้ำเสียงดังก้องกังวาลไปทั่วชั้นฟ้า“ไม่เพคะ” เทพธิดาเหมยลี่เชิดหน้าไม่ยอมแพ้“เจ้า!!!”“ลูกไม่คิดว่าการที่พวกเรารักกันจะผิดตรงไหน”“แม้จะไม่มีบัญญัติว่าห้ามรักต่างฐานันดร แต่เจ้าก็ทำผิดกฎสวรรค์ เจ้ากำลังตั้งครรภ์!!!” ฮ่องเต้สวรรค์แทบลมจับ สั่งให้ทูตสวรรค์หรือที่เรียกทหารในโลกมนุษย์พาธิดากลับมาและนำไอ้ชายที่มันล่อลวงบุตรสาวของเขามารับโทษ“ตั้งครรภ์ จริงสิ เสด็จพ่อทรงมีหลานแล้วเพคะ นางจะเป็นเทพธิดาตนใดมาเกิดกันนะ” เหมยลี่พูดไปยิ้มไป สายใยแม่ลูกทำให้รู้ว่าในครรภ์ของนางเป็นเพศหญิง พลางลูบหน้าท้องแบนราบของตน“ช่างเรื่องนั้นก่อน เจ้าต้องได้รับโทษ” ฮ่องเต้สวร
“พี่หยาง ผักที่เราปลูกงอกแล้วเจ้าค่ะ” เหลียนฮวากล่าวอย่างตื่นเต้น เป็นล็อตสองที่ทดลองปลูก แถมผักที่ปลูกยังเป็นชนิดใหม่“หืม งอกเร็วมาก ยังไม่ถึงเดือน” หยางหลงรีบเข้ามาดูต้นผักตามคนรักชี้บอก วันนี้พ่อตาและคนอื่นไม่อยู่ต้องไปทำภารกิจ“เพราะดินที่เราหมั่นบำรุงมั้งเจ้าคะ”ฟอดดด“เพราะเราช่วยกันปลูกต่างหาก” ขายหนุ่มแอบหอมแก้มแฟนสาวเร็วๆ แล้วส่งยิ้มกระชากใจหลังจากกลับจากแคว้นเว่ยมีประกาศอย่างเป็นทางการเรื่องว่าที่พระชายาองค์ชายห้า เล่นเป็นข่าวดัง พูดถึงกันอยู่พักใหญ่เพราะว่าที่พระชายาเป็นคนต่างแคว้นแถมยังเป็นสามัญชน ทว่าทั้งคู่กลับไม่มีใครสนใจ พากันเดินทางไปแคว้นจ้าวสลับกับแคว้นเว่ย ไปๆมาๆระหว่างสองแคว้น แถมยังหวานกันยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากไม่ต้องปกปิดตัวตนอีกต่อไป“ครั้งหน้าหากผักในโรงปลูกผักโตกว่า
“อื้มม พะ พอก่อนเจ้าค่ะ แฮ่กๆ” เหลียนฮวาหลบชายคนรักที่ตะบมจูบอย่างหื่นกระหาย“เราไม่ได้สกินชิพกันมาหลายวันแล้วนะ” หยางหลงเอ่ยอย่างงอนๆ ไม่ว่าจะเดินไปไหนระหว่างพวกเขามักมีสายตาจับจ้อง ทั้งยังส่งเสียงทักทายมาให้ตลอด พอจะอยู่กันสองคนก็จะมีสายตาจับผิดของพ่อตามองมาอยู่เสมอ ทำให้เขาแทบปลีกตัวอยู่กันสองต่อสองไม่ได้เลย“ก็ใครใช้ให้พี่เป็นคนดังล่ะเจ้าคะ” เหล่าทหารหลายคนที่อยากขับรถแบบเขา จึงพากันเข้ามาพูดคุยขอให้เขาช่วยสอนขับรถ ทั้งยังพูดถึงแต่เรื่องรถ ความชอบของพวกผู้ชายหนีไม่พ้นพวกนี้เลยจริงๆ“พี่สอนพ่อตากับลุงแม่ทัพขับแล้ว พวกเขาไม่ไปถามทั้งสองบ้าง” หยางหลงพูดน้องใจอย่างไม่จริงจังนัก“คิกคิก ก็ไม่มีใครขับได้ผาดโผนเท่าพี่นี่นา” เหลียนฮวาหัวเราะขำ พวกทหารติดใจความเร็วของรถเครื่อง พอกลับไปนั่งรถม้าเริ่มพากันบ่นว่าช้าบ้าง อืดบ้าง ทั้งที่พอนั่งรถเครื่องก็พากัน
ณ พระราชวัง“พวกเจ้าจะทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้!!!” จ้าวฮ่องเต้ตะโกนลั่นอย่างไม่พอพระทัย เหล่าแม่ทัพต่างพากันจับกุมเขาและขุนนางฝ่ายสนับสนุน ใช้สายตาไม่พอใจมองไปทางแม่ทัพเลี่ยงจินที่เดิมทีมีหน้าที่ปกป้องเขา แต่กลับเข้าร่วมกับแม่ทัพคนอื่น“ฮ่องเต้ที่ละทิ้งประชาชน มิอาจดำรงอยู่ต่อไปได้หรอกพะย่ะค่ะ” เลี่ยงจินเป็นคนตอบ เขาตัดสินใจได้ทันทีหลังจากได้พูดคุยกับแม่ทัพเป่ยหวงและลู่จือ สิ่งที่แม่ทัพลู่จือพบเจอไม่สมควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง“คะ ใคร ใครรายงานพวกเจ้า ข้าปิดประตูเมืองเพียงแค่รอสถานการณ์คลี่คลายเท่านั้น หากดีขึ้น...”“ฝ่าบาทมั่นใจว่าเป็นเช่นนั้นหรือพะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางที่ส่งจดหมายแจ้งแก่แม่ทัพเป่ยหวง พร้อมทั้งถือหลักฐานเดินเข้ามายังท้องพระโรง“พวกเจ้า ไม่จริง ข้าเพียงแค่ทำตามคำแนะนำของราชครู!!” จ้าวฮ่องเต้ที่เห็นหลักฐานในมือขุนนางกลับทำตาโตกล่าวถึ
“นะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ออกไป” เยว่เล่อกล่าวออกมาอย่างสับสนพร้อมสั่งพวกมัน เขามองผีดิบที่พากันรุมเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่สนคำสั่งของเขา“เป็นอะไรไหมขอรับท่านแม่ทัพ”“ฮะ ฮุ่ยหมิง แค่กๆ” เป่ยหวงตื่นตะลึงกับภาพที่เห็น ฮุ่ยหมิงตัวเป็นๆยืนอยู่ตรงหน้า หรือเป็นเพียงภาพความฝันกันแน่ ทว่าสีตาของเขากลับเหมือนพวกคนคลั่ง“ข้าเองขอรับ” ฮุ่ยหมิงพยุงร่างของแม่ทัพขึ้น คิดว่าจะหนักแต่ผิดคาดตัวของท่านแม่ทัพเบากว่าที่คิด“จะ เจ้าจริงๆหรือ” เป่ยหวงถามขึ้นดวงตาพร่ามัวที่ใกล้จะปิด เขากลัวจะเป็นแค่ความฝันเท่านั้น หากเฟยจินมาอยู่ตรงนี้ด้วยอีกฝ่ายคงดีใจไม่น้อย“ขอรับ” สิ้นสุดคำตอบของเขา เป่ยหวงสลบไปทันที ฮุ่ยหมิงใช้มือเช็คลมหายใจแล้วเป่าปากอย่างโล่งอก โชคดีที่ท่านแม่ทัพสลบไปเท่านั้นผลักก