ณ ลานประลอง แคว้นเว่ย
“องค์ชายอย่าฝืนตัวเองนะเพคะ หากไม่ไหวให้รีบยกมือ” แม่นมส่งสายตาห่วงใย กล่าวย้ำกับองค์ชายอยู่แบบนั้น นางลงมือเย็บชุดที่สวมใส่ให้องค์ชายด้วยตนเอง ชุดที่ทำจากผ้าไหมชั้นดี ฉีกขาดได้ยาก ป้องกันผู้สวมใส่ได้ไม่มากก็น้อย นางรู้มาอีกว่าการประลองจะมีทั้งแบบมีอาวุธและมือเปล่า แบ่งเป็นแต่ละคู่ เพื่อหาผู้ชนะ ซึ่งแม่ทัพรับบทเป็นผู้จัดงานด้วยตนเอง โดยมีประธานเป็นฮ่องเต้
“ข้าเข้าใจแล้วแม่นม ขอบคุณสำหรับชุดนี้ มันพอดีตัวข้าเลย” หยางหลงมองชุดสีดำที่สวมใส่ทะมัดทะแมง เคลื่อนไหวง่าย “ว่าแต่บุคคลนั้นใช่มารดาข้าหรือไม่” หยางหลงส่งสายตาไปยังแท่นผู้ชมด้านบน มีฮ่องเต้นั่งตรงกลาง ซ้ายขวาเป็นฮองเฮา พระสนมในแต่ละลำดับขั้น
“เพคะ เป็นพระสนมที่สวมอาภรณ์ดอกโบตั๋น” แม่นมเอ่ยบอกน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก เนื่องจากหลังองค์ชายห้าฟื้นครานั้น หรือไม่ว่าครั้งไหนๆ พระสนมหลันก็ไม่เคยย่างกายมาให้องค์ชายได้เห็นหน้าเลย คล้ายตัดขาดกันสิ้นเชิง นางไม่อยากเห็นองค์ชายของนางต้องเสียพระทัยอีกแล้ว จึงเลี่ยงที่จะไม่เอ่ยถึงมารดาผู้ให้กำเนิ
“เหลือเราสองคนแล้วสินะ” หยางหลงมองชายที่ลอบโจมตีเขาคนนั้นด้วยสายตาเรียบนิ่ง เขาไม่มองว่าการกระทำอีกฝ่ายขี้ขลาดที่โจมตีทีเผลอ กลับมองว่าอีกฝ่ายฉลาดเสียด้วยซ้ำ เพราะในสนามรบศัตรูมันไม่เลือกว่าจะโจมตีเราตอนไหน ขาดความระมัดระวังไปเสี้ยววิก็อาจถึงแก่ชีวิตได้“กระหม่อมล่วงเกินพระองค์แล้ว” ชายผิวเข้มยกมือขออภัยที่ล่วงเกินไปก่อนหน้า การต่อสู้นี้ทำให้เขาได้ปลดปล่อยความเป็นตัวเอง ทั้งที่เคยดูถูกตัวเองตลอดว่าเหตุใดร่างกายถึงไม่เหมือนคนอื่น ทำไมเขาถึงมีผิวสีเข้ม ร่างใหญ่กว่าเด็กทั่วไป ถึงขั้นเก็บตัวไม่ออกไปพบคนภายนอกมาตลอด ตอนแรกที่ท่านตาบอกว่าจะมีการจัดการแข่งขัน เขาแทบไม่สนใจด้วยซ้ำว่าใครจะลงแข่ง หรือการแข่งขันจะเป็นยังไง ทว่าพอได้ลองเข้าร่วมกลับพบผู้คนที่น่าสนใจเต็มไปหมดโดยเฉพาะองค์ชายห้าที่มีสีตาแปลกประหลาด ทว่าพระองค์กลับไม่เคยทำหน้าเศร้าหรือใช้สายตาดูถูกตัวเองให้เขาเห็นเลย สายตาพระองค์ที่จ้องมองด้านหน้าช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ สายตาที่จ้องมองศัตรูอย่างไม่หวั่นเกรง เขาอยากเป็นแบบนั้นบ้าง พอรู้ตัวอีกทีก็เผลอโจมตีองค์ชายเสียแล้ว
“บอกรางวัลที่้เจ้าต้องการมา” “ลูกไม่รู้ว่าภายภาคหน้าจะเกิดอันใดขึ้น ดังนั้นลูกขอเก็บรางวัลนี้ไว้ก่อนได้หรือไม่พะย่ะค่ะ” หยางลงคิดเผื่ออนาคตที่ไม่แน่ไม่นอน “ฮ่าๆ ดี ในเมื่อเจ้ากล้าขอ เราก็กล้าให้” เว่ยฮ่องเต้ทรงเกษมสำราญยิ่ง หัวเราะเสียงดังอย่างถูกใจ บุตรชายคนที่ห้าแท้จริงคือมังกรซ่อนเกล็ดหรือพระองค์คาดหวังไว้สูงกันแน่ เมื่อครั้งอดีตยังไม่กล้าแม้แต่จะสบตาใคร มาตอนนี้กลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง คล้ายกับคนละคน เห็นทีเขาควรแสดงความใจกว้างอีกหน่อยชดเชยที่ผ่านมาเคยละเลย แม้จะทราบดีว่าชดเชยอย่างไรก็ไม่อาจพอ “ขอบพระทัย...” “นอกจากนี้การต่อสู้ของเจ้าช่างถูกใจเรายิ่งนัก ขันทีจงรับคำสั่ง องค์ชายห้ามีวิชาต่อสู้ที่แปลกใหม่ สร้างความพอใจให้เรา มอบดาบปลิดอาชา ทอ
“ท่างอา เยาแอบไปดูท่างป้อกันมั้ยเจ้ากะ” เหลียนฮวาที่นั่งๆนอนๆ ไม่มีอะไรทำแล้ว ป้องปากกระซิบถามเจียวลู่น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ ตอนนี้พ่อครัวแม่ครัวคนอื่นยังวุ่นกับการเตรียมอาหารให้กองทัพ“ตะ แต่ว่า...” เจียวลู่ลังเล เขาอายุมากกว่าควรจะเอ่ยปากห้าม ทว่าพอโดนสายตาออดอ้อนมองมา ใจกลับอ่อนยวบ“นะนะนะ เยาไปแป๊บเดียว” เหลียนฮวาเขย่าแขนขอร้อง คนอื่นไม่มีเวลามาสนใจพวกเราหรอก เพราะยังมีหน้าที่ที่ต้องทำ ส่วนนางก็ใช่ว่าจะเป็นเด็ก?ไม่รู้ประสาเสียหน่อยนี่ นางรู้ว่าอะไรควรไม่ควร“เจ้าจำกฎของที่นี่ได้ใช่หรือไม่” เจียวลู่เตือนความจำหลานสาว“จำด้าย แต่เราก็ไม่ได้เดินเพ่นพ่านนี่ เราเดินแบบมีเป้าหมาย คิกคิก” เหลียนฮวาตอบพลางปิดปากหัวเราะคิกคัก การกระทำช่างน่าเอ็นดูนักในสายตาเจียวลู่“เฮ้อ ก็ได้ แต่ไม่นานนะ ประเดี๋ยวพวกท่านป้าจะเป็นห่วง” เจียวลู่ใจอ่อนในที่สุด ส่วนท่านป้าที่หมายถึงคือแม่ครัวที่เอ่ยสอนว่าอะไรควรทำไม่ควรทำในค่ายแห่งนี้ เจียวลู่นึกถึงกฎตามที่พวกเขาบอกอย่างแรกเลยคือห้ามเดินเพ่นพ่าน ทว่ามายังไม่ถึงวันเหลียนเอ๋อร์กลับชวนเขาไปแอบดูพวกท่านพ
“พวกท่านได้ยินเสียงเด็กกันหรือไม่” เหล่าชายระดับหัวหน้าในกองทัพพากันหันมองรอบๆยามได้ยินเสียงนุ่มฟูเล็กๆแว่วมาตามลม แต่ในกองทัพมีเด็กอยู่ด้วยหรือ หลายคนพากันหันมองรอบๆ เป็นเสียงเด็กไม่ผิดแน่ ไม่คิดว่าตัวเองหูแว่วไปเองแน่นอน ว่าแต่อะไรคือลุงหมวกสาน ทุกคนหันมองหน้ากันอย่างงุนงง“ท่างยุงงช่วยนุด้วยยย” เสียงเล็กเรียกซ้ำ นั่นทำให้เป่ยหวงจับทิศทางของเสียงได้ทันที เขาใช้สายตามองขึ้นไปยังต้นไม้ใหญ่แล้วเจอลูกลิงคนหนึ่งเกาะอยู่บนนั้น เท้ายาวๆเก้าไปยังต้นตอของเสียงทันที ท่ามกลางหัวหน้ากองคนอื่นที่ตามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น“นะ นี่เจ้าขึ้นไปทำอะไรบนนั้น” เป่ยหวงถึงกับหมดคำพูด หวังว่านี่จะไม่ใช่บุตรสาวของเจียหมิงหรอกนะ แต่แก้มกลมๆ แขนขาปล้องเป็นมัดนั่นปฏิเสธไม่ได้เลยว่าไม่ใช่นาง จนหลงลืมไปว่าเหตุใดเด็กที่เจอกันล่าสุดครั้งยังเป็นทารก ถึงยังจำเขาได้ ทั้งยังมีเด็กอีกคนอายุราวๆ ไม่เกิน 12 ปี ยืนคล้ายรอรับอยู่ด้านล่างอีก คงเป็นน้องชายคนเล็กของเจียหมิงตามที่กู้หานรายงาน“ช่วยนุก่องงงซี่” เหลียนฮวาทำปากยื่นให้รีบช่วยนางก่อน เพราะมือกลม
“ตายแล้ว ท่านแม่ทัพเหตุใดถึงมากับเด็กๆได้เจ้าคะ” เสียงแม่ครัวร้องทักอย่างตกใจ พวกนางมัวแต่ยุ่งกับงานในครัว จนหลงลืมเลยว่ามีเด็กๆอยู่ด้วย เงยหน้ามาอีกทีก็ไม่เห็นพวกเขาเสียแล้ว พวกเขาเป็นเด็กดีจึงคิดว่าน่าจะไปเล่นอยู่ไม่ไกลแถวนี้“ไม่มีอะไรหรอกท่านป้า แค่พบเห็นเด็กชอบเที่ยวระหว่างทางหน่ะ” เป่ยหวงกล่าวยิ้มๆ พลางวางร่างกลมป้อมลงพื้น “เอาล่ะ เราพูดคุยกันว่าอย่างไงนะ”“เจียวลู่จะช่วยงานพวกท่านป้าขอรับ” เจียวลู่เอ่ยนำ หลังจากก่อนหน้าท่านลุงบอกว่าจะไม่บอกใครเรื่องที่พวกเขาเดินเพ่นพ่าน แต่ต้องรับปากว่าจะช่วยงานทุกคน“นุก็จะช่วยด้วย” เหลียนฮวาพูดตาม ส่งสายตาปริบๆ“ว๊ายย น่ารักกันจริงเชียวลูกเอ้ย” ป้าๆลุงๆพากันอุทานอย่างเอ็นดู กุลีกุจอจูงมือเด็กๆเข้าไปยังด้านใน เป่ยหวงพอเห็นว่าเด็กอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่แล้วก็เดินไปยังสนามฝึกต่อ เหลียนฮวาและเจียวลู่มองงานที่เป็นบทลงโทษของตัวเอง แต่จะเรียกบทลงโทษก็ไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะงานที่แม่ครัวพ่อครัวมอบให้ล้วนเป็นงานเล็กๆน้อยๆ อย่างเช่นล้างผัก และหยิบจับของนิดหน่อย เด็กน้อยช่วยทุกคนอย่างมีความสุขและ
“ท่างป้อกับท่างยุงมาแย้ว” เหลียนฮวาร้องตะโกนอย่างดีใจ นางและท่านอาเจียวลู่นั่งเล่นรอพวกเขาอยู่ หลังช่วยพวกท่านป้าเตรียมอะไรๆเสร็จ“หืม อยู่กับพวกป้าๆลุงๆ ดื้อหรือไม่ ต้องลำบากเจ้าแล้วนะเจียวลู่” เจียหมิงเอ่ยหยอกล้อบุตรสาว มองหน้ากลมๆที่มีเหงื่อผุดเล็กน้อย น่าจะเพราะวิ่งเล่นกับเจียวลู่จนเหนื่อย“งื้ออ นุม่ายดื้อ” เหลียนฮวายู่ปากส่ายหน้าปฏิเสธดุกดิก“น้องไม่ดื้อเลยขอรับพี่รอง” เจียวลู่กล่าวย้ำคำพูดหลานสาว แล้วหันไปส่งยิ้มให้พี่ใหญ่ของตน“นั่นหรือคนที่เจ้าบอกว่าได้รับอภิสิทธิจากท่านแม่ทัพ” เสียงพูดคุยกันของเหล่าทหารบางคนดังลอยมาให้ได้ยิน“ใช่ ๆ เจ้าดูสิปกติทหารธรรมดาอย่างเราๆจะเอาเด็กเข้ามายังค่ายได้ที่ไหน”“อะแฮ่ม พวกเจ้ามายืนอะไรตรงนี้ มาๆไปนั่งกินข้าวกับพวกเรา” กู้หานกระแอ่มเสียงดัง จนคนที่ยืนมองซุบซิบอยู่หนีแตกกระเจิง ก่อนจะเอ่ยปากชวนครอบครัวหลี่“ข้ากำลังไปตักพอดี เจียวลู่กับเหลียนเอ๋อร์กินอะไรกันหรือยัง” เจียหมิงหันไปถามน้องชายคนเล็กและบุตรสาวที่กอดขาเขาไว้ไม่ไปไหนคล้ายคิด
ยามฟ้าสาง“ต่อไปนี้จะเป็นการสาธิตการยิงธนู เพื่อคัดเลือกพลธนูจำนวน 200 นาย” เป่ยหวงประกาศเสียงดัง เมื่อคืนเขาได้ประชุมกับหัวหน้ากองร้อยคนอื่นแล้ว ซึ่งทุกคนต่างเห็นด้วยที่จะลองให้ฝึกธนู เพราะสังเกตเห็นนายทหารหลายคนเหมือนกันที่ไม่เหมาะกับการจับดาบ แต่ก็เข้าใจได้เพราะทุกคนเป็นทหารเกณฑ์ที่มาจากชาวบ้านธรรมดา ไม่ได้เป็นหทารที่ผ่านการคัดเลือกโดยตรง “แบ่งเป็น 20 กลุ่ม กลุ่มละ 100 คน โดยแต่ละกลุ่มจะมีหัวหน้าทีมเพื่อช่วยดูแล เริ่มได้” สิ้นสุดเสียง ความชุลมุนก็บังเกิด เพราะทหารเกณฑ์ต่างก็พากันไปรวมกับคนที่รู้จัก บ้างก็ไม่ได้อยากฝึกธนู เบียดเสียด เดินชนกันให้วุ่น“หยุดก่อน !!!” ทุกคนชะงักเมื่อได้ยินเสียงเข้มของท่านแม่ทัพ“ข้าอภัยที่ต้องเปลี่ยนกติกาใหม่ เจียหมิงเจ้าขึ้นมานี่” เป่ยหวงที่เห็นความวุ่นวายแล้วได้แต่ส่ายหน้า จึงตัดสินใจเอ่ยเรียกชายหนุ่มที่คิดว่าจะช่วยเขาได้ แถมยังเป็นผู้ออกความคิดนี้“ขะ ข้าหรือขอรับ” เจียหมิงที่เข้าแถวกับทหารเกณฑ์ พูดไม่ออกเสียง ทำท่าชี้มาที่ตน เป่ยหวงพยักหน้าว่าใช่ ทำให้ชายหนุ่มก้าวขึ้นไปยังด้านบน
สนามฝึกดาบ“ถุ้ย ไอ้อ้วนอย่างเจ้านะหรือจะเป็นคู่ซ้อมข้า” เสียงด่าทอ พลางถ่มน้ำลายใส่ชายร่างอ้วนผิวดำคล้ำที่ล้มอยู่กับพื้น หลายคนมองพากันหัวเราะเยาะ“ขะ ข้าแค่ต้องการคู่ซะ...”“ไป ไปไกลๆพวกข้า ข้าไม่จับคู่กับคนตัวอ้วนอย่างเจ้าให้เสียเวลาหรอก” เสียงไล่ส่งอย่างตัดรำคาญ ทำให้ชายที่อยู่กับพื้นทำหน้าเศร้าใจ เนื่องจากไม่มีใครอยากจับคู่กับเขาเลย แล้วแบบนี้เขาจะได้ลองฝึกสู้กับคนได้อย่างไร“รูปร่างอ้วน ซ้ำยังอ่อนแอเช่นนี้อยู่รอดในสงครามได้เกินวันก็นับว่าปาฏิหาริย์แล้ว” เสียงดูถูกดังไล่หลัง ชายร่างอ้วนเดินห่อไหล่ ตัดสินใจหอบร่างตัวเองไปนั่งคนเดียวอยู่มุมหนึ่งใต้ต้นไม้“ฮึก ฮึก ถะ ถ้าข้าเลือกได้ก็ไม่อยากเกิดมามีร่างกายเช่นนี้” เขาร้องไห้ในสิ่งที่อัดอั้นมานาน รูปร่างเขาทั้งอ้วน ทั้งมีกลิ่นใครๆก็ไม่อยากคบ เขามีอายุ 15 ปี พอดี เดิมทีเป็นเพียงลูกชายของร้านขายขนมปัง เพราะบ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยถึงขนาดซื้อเนื้อให้กินได้บ่อย ทำได้กินแต่ขนมปังแข็งๆ บางวันดีหน่อยซื้อได้แค่เ
“อุแว้ อุแว้”“ที่รักเหนื่อยไหม ขอบคุณที่คลอดบุตรให้พี่อีกคนนะ” หยางหลงเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากให้คนรักที่หน้าซีดเซียว“ไม่เลยเจ้าค่ะ แค่เห็นหน้าลูกๆกับพี่ ข้าก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง” เหลียนฮวาที่มีประสบการณ์จากการคลออบุตรครั้งแรกถึงสองคน ครั้งนี้จึงคลอดง่ายมาก หมอหลวงที่เดินทางจากแคว้นเว่ยโดยเฉพาะอุ้มเด็กน้อยตัวอวบอ้วนเข้ามา“ขอแสดงความยินดีกับชินอ๋องและพระชายา เป็นเด็กทารกเพศชาย ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์เพคะ” หมอหญิงส่งเด็กทารกให้แก่ชินอ๋อง หยางหลงรับมาด้วยความทะนุถนอม“อีกแล้ว ข้าอุ้มท้องเขามา 9 เดือนนะเจ้าคะ” เหลียนฮวาพูดอย่างน้อยใจ เมื่อบุตรลายคนที่สามไม่มีส่วนไหนเหมือนนางเช่นเดียวกัน นี่น้ำเชื้อเขาแรงมากเลยหรือ ลูกออกมาสามคน หน้าตาเหมือนเขาทุกคน“ฮ่าๆ คนที่สี่ต้องเหมือนเจ้าอย่างแน่นอน” หยางหลงพูดด้วยรอยยิ้ม เหลียนฮวาได้แต่อ้าปาก
แคว้นฉินพระราชวัง“ฮื่อ ฮื่อ” เสียงเด็กน้อยร่ำไห้อยู่ข้างเตียงของหญิงนางหนึ่ง“แค่ก ๆ ขะ ข้าไม่น่า คะ คลอดเด็กอย่างเจ้าออกมาเลย” องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยใบหน้าโกรธแค้น ตัวนางซูบผอมเหลือแต่กระดูก อันเนื่องจากคลอดเด็กลูกครึ่งผีดิบที่กัดกินชีวิตนางตั้งแต่อยู่ในครรภ์ นางหวังให้ลูกของนางเติบโตมาแข็งแกร่งเหมือนพ่อ ทว่าเด็กออกมากลับเป็นผู้หญิง นอกจากอ่อนแอแถมยังไร้ประโยชน์ทำไมกันนะ ชีวิตของนางถึงไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง ตั้งแต่มีพระสวามี เขาก็ทิ้งนางให้อยู่ท่ามกลางผีดิบ ดีที่ยังมีคนรับใช้หลงเหลือไว้ให้อยู่ แต่รอบตัวก็เต็มไปด้วยผีดิบ ไม่มีใครสามารถออกจากแคว้นได้เลย มีครั้งหนึ่งที่แม่ทัพของเคยคิดออกจากแคว้น ทว่ายังไปได้ไม่ไกล ต่างโดนเหล่าผีดิบเข้ามากัดกินทั้งเป็น หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าออกไปนอกแคว้นอีกเลย“ท่างแม่…”“ยะ อย่า แ
4 ปีต่อมา“เสี่ยวชุน เสี่ยวเฉินลงมาจากต้นไม้เดี๋ยวนี้!!” เหลียนฮวาตะโกนบอกบุตรชายตัวแสบวัยสามขวบทั้งสอง อุ้มท้องมา 9 เดือน แต่ไม่มีส่วนใดได้นางมาเลย เด็กๆถอดแบบพี่หยางมาทั้งหมด ชอบปีนต้นไม้เหมือนใครก็ไม่รู้? แถมยังหลบหนีพี่เลี้ยงเก่งเป็นที่หนึ่ง“ปี้ชายลงไปก่อนซี่” เสี่ยวชุนหรือเว่ยชุนหวงเอ่ยบอกพี่ชายที่คลอดก่อนตนเพียง 5 วินาที ร่างกลมป้อมอวบอัด ทว่ากลับว่องไวกว่าคนเป็นพี่บุ้ยปากให้พี่ชายลงจากต้นไม้ก่อน“เจ้าเปงน้องก็ต้องลงก่อง” เสี่ยวเฉินหรือเว่ยเฉินอี้กล่าวบอกผู้เป็นน้อง ทั้งสองเกี่ยงกันลงก่อนเนื่องจากยังดูพวกท่านตาฝึกซ้อมยังไม่เสร็จ“ลง มา พร้อม กัน” เหลียนฮวาจำต้องเน้นเสียงทีล่ะคำบอกบุตรชาย ไม่งั้นก็ยังเกี่ยงกันไม่เลิก บุตรชายของนางทั้งสองชื่นชอบการต่อสู้เป็นพิเศษ หากเห็นทหารหรือบรรดาตาๆตัวเองฝึกก็จะรีบขอตามไปดูอย่างไวพวกเด็กๆจะเรียกพ่อของนางว่าต
“เหนื่อยหรือไม่” หยางหลงเอ่ยถามเจ้าสาวของตนหลังคืนแต่งงานผ่านพ้นไป คนรักที่กลายมาเป็นภรรยาและคู่ชีวิตของเขานับแต่นี้เหลียนฮวานั่งตัวเกร็งอย่างทำอะไรไม่ถูก นางกำลังเผชิญกับคืนเข้าหอเป็นครั้งแรก“…”“เหตุใดไม่คุยกับพี่้เล่า” หยางหลงค่อยๆเปิดผ้าคลุมเจ้าสาวเชยคางมนมาสบตา ทั้งสองสบตากันอย่างลึกซึ้ง“ตะ ต้องดื่มเหล้าก่อนมงคลเจ้าค่ะ” เหลียนฮวาที่ไม่รู้จะหาข้ออ้างอันใดมาเอ่ยจึงมองไปที่กาใส่เหล้ามงคลเอาไว้“จริงสิ เป็นขนบธรรมเนียมของที่นี่” หยางหลงยิ้มกริ่มก่อนจะค่อยๆเทเหล้ามงคลจากกาน้ำสองจอดและยกขึ้นมาถือไว้“ดื่มเถิด” เขายื่นให้คนรักหนึ่งแก้วและถือไว้เองหนึ่งแก้ว ทั้งสองคล้องแขนกันก่อนจะยกขึ้นดื่มพร้อมกัน ทั้งกลิ่นทั้งรสชาติของเหล้ามีความแรงจนเหลียนฮวาต้องนิ่วหน้า นางรีบกลืนภายในอึกเดียว ไม่นานหน้
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ” ฮ่องเต้สวรรค์มองบุตรสาวด้วยสายตาไม่พอใจนัก“เจ้ารู้ความผิดที่ก่อหรือไม่เทพธิดาเหมยลี่” น้ำเสียงดังก้องกังวาลไปทั่วชั้นฟ้า“ไม่เพคะ” เทพธิดาเหมยลี่เชิดหน้าไม่ยอมแพ้“เจ้า!!!”“ลูกไม่คิดว่าการที่พวกเรารักกันจะผิดตรงไหน”“แม้จะไม่มีบัญญัติว่าห้ามรักต่างฐานันดร แต่เจ้าก็ทำผิดกฎสวรรค์ เจ้ากำลังตั้งครรภ์!!!” ฮ่องเต้สวรรค์แทบลมจับ สั่งให้ทูตสวรรค์หรือที่เรียกทหารในโลกมนุษย์พาธิดากลับมาและนำไอ้ชายที่มันล่อลวงบุตรสาวของเขามารับโทษ“ตั้งครรภ์ จริงสิ เสด็จพ่อทรงมีหลานแล้วเพคะ นางจะเป็นเทพธิดาตนใดมาเกิดกันนะ” เหมยลี่พูดไปยิ้มไป สายใยแม่ลูกทำให้รู้ว่าในครรภ์ของนางเป็นเพศหญิง พลางลูบหน้าท้องแบนราบของตน“ช่างเรื่องนั้นก่อน เจ้าต้องได้รับโทษ” ฮ่องเต้สวร
“พี่หยาง ผักที่เราปลูกงอกแล้วเจ้าค่ะ” เหลียนฮวากล่าวอย่างตื่นเต้น เป็นล็อตสองที่ทดลองปลูก แถมผักที่ปลูกยังเป็นชนิดใหม่“หืม งอกเร็วมาก ยังไม่ถึงเดือน” หยางหลงรีบเข้ามาดูต้นผักตามคนรักชี้บอก วันนี้พ่อตาและคนอื่นไม่อยู่ต้องไปทำภารกิจ“เพราะดินที่เราหมั่นบำรุงมั้งเจ้าคะ”ฟอดดด“เพราะเราช่วยกันปลูกต่างหาก” ขายหนุ่มแอบหอมแก้มแฟนสาวเร็วๆ แล้วส่งยิ้มกระชากใจหลังจากกลับจากแคว้นเว่ยมีประกาศอย่างเป็นทางการเรื่องว่าที่พระชายาองค์ชายห้า เล่นเป็นข่าวดัง พูดถึงกันอยู่พักใหญ่เพราะว่าที่พระชายาเป็นคนต่างแคว้นแถมยังเป็นสามัญชน ทว่าทั้งคู่กลับไม่มีใครสนใจ พากันเดินทางไปแคว้นจ้าวสลับกับแคว้นเว่ย ไปๆมาๆระหว่างสองแคว้น แถมยังหวานกันยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากไม่ต้องปกปิดตัวตนอีกต่อไป“ครั้งหน้าหากผักในโรงปลูกผักโตกว่า
“อื้มม พะ พอก่อนเจ้าค่ะ แฮ่กๆ” เหลียนฮวาหลบชายคนรักที่ตะบมจูบอย่างหื่นกระหาย“เราไม่ได้สกินชิพกันมาหลายวันแล้วนะ” หยางหลงเอ่ยอย่างงอนๆ ไม่ว่าจะเดินไปไหนระหว่างพวกเขามักมีสายตาจับจ้อง ทั้งยังส่งเสียงทักทายมาให้ตลอด พอจะอยู่กันสองคนก็จะมีสายตาจับผิดของพ่อตามองมาอยู่เสมอ ทำให้เขาแทบปลีกตัวอยู่กันสองต่อสองไม่ได้เลย“ก็ใครใช้ให้พี่เป็นคนดังล่ะเจ้าคะ” เหล่าทหารหลายคนที่อยากขับรถแบบเขา จึงพากันเข้ามาพูดคุยขอให้เขาช่วยสอนขับรถ ทั้งยังพูดถึงแต่เรื่องรถ ความชอบของพวกผู้ชายหนีไม่พ้นพวกนี้เลยจริงๆ“พี่สอนพ่อตากับลุงแม่ทัพขับแล้ว พวกเขาไม่ไปถามทั้งสองบ้าง” หยางหลงพูดน้องใจอย่างไม่จริงจังนัก“คิกคิก ก็ไม่มีใครขับได้ผาดโผนเท่าพี่นี่นา” เหลียนฮวาหัวเราะขำ พวกทหารติดใจความเร็วของรถเครื่อง พอกลับไปนั่งรถม้าเริ่มพากันบ่นว่าช้าบ้าง อืดบ้าง ทั้งที่พอนั่งรถเครื่องก็พากัน
ณ พระราชวัง“พวกเจ้าจะทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้!!!” จ้าวฮ่องเต้ตะโกนลั่นอย่างไม่พอพระทัย เหล่าแม่ทัพต่างพากันจับกุมเขาและขุนนางฝ่ายสนับสนุน ใช้สายตาไม่พอใจมองไปทางแม่ทัพเลี่ยงจินที่เดิมทีมีหน้าที่ปกป้องเขา แต่กลับเข้าร่วมกับแม่ทัพคนอื่น“ฮ่องเต้ที่ละทิ้งประชาชน มิอาจดำรงอยู่ต่อไปได้หรอกพะย่ะค่ะ” เลี่ยงจินเป็นคนตอบ เขาตัดสินใจได้ทันทีหลังจากได้พูดคุยกับแม่ทัพเป่ยหวงและลู่จือ สิ่งที่แม่ทัพลู่จือพบเจอไม่สมควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง“คะ ใคร ใครรายงานพวกเจ้า ข้าปิดประตูเมืองเพียงแค่รอสถานการณ์คลี่คลายเท่านั้น หากดีขึ้น...”“ฝ่าบาทมั่นใจว่าเป็นเช่นนั้นหรือพะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางที่ส่งจดหมายแจ้งแก่แม่ทัพเป่ยหวง พร้อมทั้งถือหลักฐานเดินเข้ามายังท้องพระโรง“พวกเจ้า ไม่จริง ข้าเพียงแค่ทำตามคำแนะนำของราชครู!!” จ้าวฮ่องเต้ที่เห็นหลักฐานในมือขุนนางกลับทำตาโตกล่าวถึ
“นะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ออกไป” เยว่เล่อกล่าวออกมาอย่างสับสนพร้อมสั่งพวกมัน เขามองผีดิบที่พากันรุมเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่สนคำสั่งของเขา“เป็นอะไรไหมขอรับท่านแม่ทัพ”“ฮะ ฮุ่ยหมิง แค่กๆ” เป่ยหวงตื่นตะลึงกับภาพที่เห็น ฮุ่ยหมิงตัวเป็นๆยืนอยู่ตรงหน้า หรือเป็นเพียงภาพความฝันกันแน่ ทว่าสีตาของเขากลับเหมือนพวกคนคลั่ง“ข้าเองขอรับ” ฮุ่ยหมิงพยุงร่างของแม่ทัพขึ้น คิดว่าจะหนักแต่ผิดคาดตัวของท่านแม่ทัพเบากว่าที่คิด“จะ เจ้าจริงๆหรือ” เป่ยหวงถามขึ้นดวงตาพร่ามัวที่ใกล้จะปิด เขากลัวจะเป็นแค่ความฝันเท่านั้น หากเฟยจินมาอยู่ตรงนี้ด้วยอีกฝ่ายคงดีใจไม่น้อย“ขอรับ” สิ้นสุดคำตอบของเขา เป่ยหวงสลบไปทันที ฮุ่ยหมิงใช้มือเช็คลมหายใจแล้วเป่าปากอย่างโล่งอก โชคดีที่ท่านแม่ทัพสลบไปเท่านั้นผลักก