“องค์ชาย พวกเราแอบออกมาเยี่ยงนี้จะไม่เป็นไรหรือพะย่ะค่ะ” องครักษ์กระซิบถาม ตอนนี้เขาและองค์ชายอยู่ในชุดทะมัดทะแมง มีผ้าคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า โดยเฉพาะหยางหลงนอกจากมีผ้าคลุมทั้งตัว ยังมีผ้าคลุมบางๆ สีดำคลุมทั้งหน้า คล้ายคนลึกลับ
“เจ้าทำตัวให้เป็นธรรมชาติหน่อย เดิมทีพวกเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเราอยู่แล้ว อย่าได้กังวล” หยางหลงพูด พลางมองสำรวจรอบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามายังตลาดแห่งนี้ เคยได้ยินว่าท้ายตลาดมีร้านลับขายข่าวอยู่ ซึ่งเป็นจุดประสงค์ที่แอบออกมา
“พวกท่านมาทำอะไร” ชายร่างยักษ์หน้าประตูถามขึ้น หรี่มองสำรวจผู้มาใหม่อย่างหวาดระแวง แม้จะแต่งกายประหลาด ทว่ากลิ่นอายกลับดูน่าเกรงขาม
“ข้าต้องการซื้อข่าว” หยางหลงเอ่ยเสียงเรียบ ไม่มีความเกรงกลัวต่อรังสีที่อีกฝ่ายแผ่ออกมา
“เชิญเข้ามาด้านใน” ผู้คุ้มกันแห่งสำนักขายข่าวไม่อาจมองข้ามได้ แม้อีกฝ่ายจะดูน้ำเสียงแหบเล็ก ตัวยังไม่สูงเท่าไหร่ น่าจะอายุยังน้อยอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ที่นี่มีกฎไม่เลือกปฏิบัติ ดังนั้นแม้จะเป็นเด็กหากมีเงิน สำนักขายข่าวของพวกเขาก็ไม่เก
“องค์ชายเกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ องค์ชาย แฮ่กๆ...”“เสียงดังเอะอะอันใด เจ้ามีเรื่องอะไรงั้นรึ” แม่นมที่นั่งคุมนางกำนัลทำความสะอาดเครื่องเรือนอยู่ หันมาเอ็ดนางกำนัลนางหนึ่งที่ทำหน้าตื่นตกใจ ร้องเรียกเสียงดัง แม้องค์ชายจะไม่ค่อยถือยศนายบ่าว แต่ก็อดส่ายหน้าเหนื่อยใจกับนางกำนัลพวกนี้ไม่ได้ เห็นองค์ชายใจดีหน่อย มารยาทเริ่มบกพร่องขึ้นทุกวัน“แม่นมเกิดเรื่องใหญ่ แฮ่กๆ ละ แล้วเจ้าค่ะ เมื่อกี้ข้าได้ยินพวกนางกำนัลหลวงพูดคุยกัน” นางกำนัลหอบหายใจจากการวิ่งหน้าตั้งเข้ามารายงาน“ค่อยๆพูดค่อยๆจาก็ได้ องค์ชายห้าไม่อยู่หรอก”“ตะ แต่ว่าเราจะทำยังไงดีแม่นม พวกนั้นคุยกันให้แซ่ดว่าฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้แม่ทัพจัดการประลองขึ้นแทนการล่าสัตว์”“ปกติก็มีทุกปีไม่ใช่หรือ” แม่นมแย้งอย่างไม่ใส่ใจ ถ้าปีนี้จะเปลี่ยนเป็นการประลองก็ไม่เห็นแปลก ใครๆก็รู้ฮ่องเต้ทรงชื่นชอบความตื่นเต้น ท้าทายไม่น้อย และผู้ชนะก็คงเป็นองค์ชายหนึ่งเหมือนเดิม“ที่สำคัญฮ่องเต้มีกฎใหม่ว่าการประลองไม่จำกัดอายุนี่สิเจ้าคะ!!” นางกำนัลพูดอย่างเป็นกังวล เ
“มารายงานตัวใช่หรือไม่”“ขอรับ / ขอรับ”“นำจดหมายเรียกตัวออกมา แล้วเดินไปรวมกับคนอื่นทางนั้น” ทหารเอ่ยบอก“ขอบคุณขอรับ”“เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป เด็กเข้าไปไม่ได้!” ทหารคนเดิมเรียกไว้เมื่อเห็นชายทั้งสองพาเด็กอีกคน พาเดินเข้าไปด้วย“แต่ว่า...”“อ้าวเจียหมิง มากันแล้วหรือ” อี้ฟ่านและกู้หานที่ออกมาต้อนรับสหาย พวกเขานัดกันมารอต้อนรับคราแรกจะทำให้อีกฝ่ายแปลกใจเสียหน่อย ทว่าดูเหมือนสหายใหม่ของพวกเขาจะมีเรื่องกันก่อน พวกเขาจึงพากันเดินออกมา“อี้ฟ่าน กู้หาน!” เจียหมิงเรียกชื่อสหายที่ไม่พบกันนาน แววตาเต็มไปด้วยความยินดี ไม่คิดว่าจะได้เจอที่จุดรายงานตัว ไหนทั้งสองเล่าว่าได้ไปประจำการอยู่ที่ค่ายฝึกทหาร“อ๊า ท่างยุงทหาร!” เหลียนฮวาจำได้ นางร้องเรียกน้ำเสียงสดใส เรียกแววตาเอ็นดูจากผู้เข้ามาใหม่ ทั้งสองยิ้มตอบรับ แก้มกลมกระเพื่อมขึ้นลงยามส่ายตัวดุกดิก เหมือนสามวันมานี้นางจะน้ำหนักขึ้นเพราะอยู่ดีกินดี ได้รับการเอาอกเอาใจจากทั้งท่านพ่อและท่านลุง“นี่เป็นคำสั่งท่านแม่ทัพเป่ยหวง เจ้าไป
ณ ลานประลอง แคว้นเว่ย“องค์ชายอย่าฝืนตัวเองนะเพคะ หากไม่ไหวให้รีบยกมือ” แม่นมส่งสายตาห่วงใย กล่าวย้ำกับองค์ชายอยู่แบบนั้น นางลงมือเย็บชุดที่สวมใส่ให้องค์ชายด้วยตนเอง ชุดที่ทำจากผ้าไหมชั้นดี ฉีกขาดได้ยาก ป้องกันผู้สวมใส่ได้ไม่มากก็น้อย นางรู้มาอีกว่าการประลองจะมีทั้งแบบมีอาวุธและมือเปล่า แบ่งเป็นแต่ละคู่ เพื่อหาผู้ชนะ ซึ่งแม่ทัพรับบทเป็นผู้จัดงานด้วยตนเอง โดยมีประธานเป็นฮ่องเต้“ข้าเข้าใจแล้วแม่นม ขอบคุณสำหรับชุดนี้ มันพอดีตัวข้าเลย” หยางหลงมองชุดสีดำที่สวมใส่ทะมัดทะแมง เคลื่อนไหวง่าย “ว่าแต่บุคคลนั้นใช่มารดาข้าหรือไม่” หยางหลงส่งสายตาไปยังแท่นผู้ชมด้านบน มีฮ่องเต้นั่งตรงกลาง ซ้ายขวาเป็นฮองเฮา พระสนมในแต่ละลำดับขั้น“เพคะ เป็นพระสนมที่สวมอาภรณ์ดอกโบตั๋น” แม่นมเอ่ยบอกน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก เนื่องจากหลังองค์ชายห้าฟื้นครานั้น หรือไม่ว่าครั้งไหนๆ พระสนมหลันก็ไม่เคยย่างกายมาให้องค์ชายได้เห็นหน้าเลย คล้ายตัดขาดกันสิ้นเชิง นางไม่อยากเห็นองค์ชายของนางต้องเสียพระทัยอีกแล้ว จึงเลี่ยงที่จะไม่เอ่ยถึงมารดาผู้ให้กำเนิ
“เหลือเราสองคนแล้วสินะ” หยางหลงมองชายที่ลอบโจมตีเขาคนนั้นด้วยสายตาเรียบนิ่ง เขาไม่มองว่าการกระทำอีกฝ่ายขี้ขลาดที่โจมตีทีเผลอ กลับมองว่าอีกฝ่ายฉลาดเสียด้วยซ้ำ เพราะในสนามรบศัตรูมันไม่เลือกว่าจะโจมตีเราตอนไหน ขาดความระมัดระวังไปเสี้ยววิก็อาจถึงแก่ชีวิตได้“กระหม่อมล่วงเกินพระองค์แล้ว” ชายผิวเข้มยกมือขออภัยที่ล่วงเกินไปก่อนหน้า การต่อสู้นี้ทำให้เขาได้ปลดปล่อยความเป็นตัวเอง ทั้งที่เคยดูถูกตัวเองตลอดว่าเหตุใดร่างกายถึงไม่เหมือนคนอื่น ทำไมเขาถึงมีผิวสีเข้ม ร่างใหญ่กว่าเด็กทั่วไป ถึงขั้นเก็บตัวไม่ออกไปพบคนภายนอกมาตลอด ตอนแรกที่ท่านตาบอกว่าจะมีการจัดการแข่งขัน เขาแทบไม่สนใจด้วยซ้ำว่าใครจะลงแข่ง หรือการแข่งขันจะเป็นยังไง ทว่าพอได้ลองเข้าร่วมกลับพบผู้คนที่น่าสนใจเต็มไปหมดโดยเฉพาะองค์ชายห้าที่มีสีตาแปลกประหลาด ทว่าพระองค์กลับไม่เคยทำหน้าเศร้าหรือใช้สายตาดูถูกตัวเองให้เขาเห็นเลย สายตาพระองค์ที่จ้องมองด้านหน้าช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ สายตาที่จ้องมองศัตรูอย่างไม่หวั่นเกรง เขาอยากเป็นแบบนั้นบ้าง พอรู้ตัวอีกทีก็เผลอโจมตีองค์ชายเสียแล้ว
“บอกรางวัลที่้เจ้าต้องการมา” “ลูกไม่รู้ว่าภายภาคหน้าจะเกิดอันใดขึ้น ดังนั้นลูกขอเก็บรางวัลนี้ไว้ก่อนได้หรือไม่พะย่ะค่ะ” หยางลงคิดเผื่ออนาคตที่ไม่แน่ไม่นอน “ฮ่าๆ ดี ในเมื่อเจ้ากล้าขอ เราก็กล้าให้” เว่ยฮ่องเต้ทรงเกษมสำราญยิ่ง หัวเราะเสียงดังอย่างถูกใจ บุตรชายคนที่ห้าแท้จริงคือมังกรซ่อนเกล็ดหรือพระองค์คาดหวังไว้สูงกันแน่ เมื่อครั้งอดีตยังไม่กล้าแม้แต่จะสบตาใคร มาตอนนี้กลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง คล้ายกับคนละคน เห็นทีเขาควรแสดงความใจกว้างอีกหน่อยชดเชยที่ผ่านมาเคยละเลย แม้จะทราบดีว่าชดเชยอย่างไรก็ไม่อาจพอ “ขอบพระทัย...” “นอกจากนี้การต่อสู้ของเจ้าช่างถูกใจเรายิ่งนัก ขันทีจงรับคำสั่ง องค์ชายห้ามีวิชาต่อสู้ที่แปลกใหม่ สร้างความพอใจให้เรา มอบดาบปลิดอาชา ทอ
“ท่างอา เยาแอบไปดูท่างป้อกันมั้ยเจ้ากะ” เหลียนฮวาที่นั่งๆนอนๆ ไม่มีอะไรทำแล้ว ป้องปากกระซิบถามเจียวลู่น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ ตอนนี้พ่อครัวแม่ครัวคนอื่นยังวุ่นกับการเตรียมอาหารให้กองทัพ“ตะ แต่ว่า...” เจียวลู่ลังเล เขาอายุมากกว่าควรจะเอ่ยปากห้าม ทว่าพอโดนสายตาออดอ้อนมองมา ใจกลับอ่อนยวบ“นะนะนะ เยาไปแป๊บเดียว” เหลียนฮวาเขย่าแขนขอร้อง คนอื่นไม่มีเวลามาสนใจพวกเราหรอก เพราะยังมีหน้าที่ที่ต้องทำ ส่วนนางก็ใช่ว่าจะเป็นเด็ก?ไม่รู้ประสาเสียหน่อยนี่ นางรู้ว่าอะไรควรไม่ควร“เจ้าจำกฎของที่นี่ได้ใช่หรือไม่” เจียวลู่เตือนความจำหลานสาว“จำด้าย แต่เราก็ไม่ได้เดินเพ่นพ่านนี่ เราเดินแบบมีเป้าหมาย คิกคิก” เหลียนฮวาตอบพลางปิดปากหัวเราะคิกคัก การกระทำช่างน่าเอ็นดูนักในสายตาเจียวลู่“เฮ้อ ก็ได้ แต่ไม่นานนะ ประเดี๋ยวพวกท่านป้าจะเป็นห่วง” เจียวลู่ใจอ่อนในที่สุด ส่วนท่านป้าที่หมายถึงคือแม่ครัวที่เอ่ยสอนว่าอะไรควรทำไม่ควรทำในค่ายแห่งนี้ เจียวลู่นึกถึงกฎตามที่พวกเขาบอกอย่างแรกเลยคือห้ามเดินเพ่นพ่าน ทว่ามายังไม่ถึงวันเหลียนเอ๋อร์กลับชวนเขาไปแอบดูพวกท่านพ
“พวกท่านได้ยินเสียงเด็กกันหรือไม่” เหล่าชายระดับหัวหน้าในกองทัพพากันหันมองรอบๆยามได้ยินเสียงนุ่มฟูเล็กๆแว่วมาตามลม แต่ในกองทัพมีเด็กอยู่ด้วยหรือ หลายคนพากันหันมองรอบๆ เป็นเสียงเด็กไม่ผิดแน่ ไม่คิดว่าตัวเองหูแว่วไปเองแน่นอน ว่าแต่อะไรคือลุงหมวกสาน ทุกคนหันมองหน้ากันอย่างงุนงง“ท่างยุงงช่วยนุด้วยยย” เสียงเล็กเรียกซ้ำ นั่นทำให้เป่ยหวงจับทิศทางของเสียงได้ทันที เขาใช้สายตามองขึ้นไปยังต้นไม้ใหญ่แล้วเจอลูกลิงคนหนึ่งเกาะอยู่บนนั้น เท้ายาวๆเก้าไปยังต้นตอของเสียงทันที ท่ามกลางหัวหน้ากองคนอื่นที่ตามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น“นะ นี่เจ้าขึ้นไปทำอะไรบนนั้น” เป่ยหวงถึงกับหมดคำพูด หวังว่านี่จะไม่ใช่บุตรสาวของเจียหมิงหรอกนะ แต่แก้มกลมๆ แขนขาปล้องเป็นมัดนั่นปฏิเสธไม่ได้เลยว่าไม่ใช่นาง จนหลงลืมไปว่าเหตุใดเด็กที่เจอกันล่าสุดครั้งยังเป็นทารก ถึงยังจำเขาได้ ทั้งยังมีเด็กอีกคนอายุราวๆ ไม่เกิน 12 ปี ยืนคล้ายรอรับอยู่ด้านล่างอีก คงเป็นน้องชายคนเล็กของเจียหมิงตามที่กู้หานรายงาน“ช่วยนุก่องงงซี่” เหลียนฮวาทำปากยื่นให้รีบช่วยนางก่อน เพราะมือกลม
“ตายแล้ว ท่านแม่ทัพเหตุใดถึงมากับเด็กๆได้เจ้าคะ” เสียงแม่ครัวร้องทักอย่างตกใจ พวกนางมัวแต่ยุ่งกับงานในครัว จนหลงลืมเลยว่ามีเด็กๆอยู่ด้วย เงยหน้ามาอีกทีก็ไม่เห็นพวกเขาเสียแล้ว พวกเขาเป็นเด็กดีจึงคิดว่าน่าจะไปเล่นอยู่ไม่ไกลแถวนี้“ไม่มีอะไรหรอกท่านป้า แค่พบเห็นเด็กชอบเที่ยวระหว่างทางหน่ะ” เป่ยหวงกล่าวยิ้มๆ พลางวางร่างกลมป้อมลงพื้น “เอาล่ะ เราพูดคุยกันว่าอย่างไงนะ”“เจียวลู่จะช่วยงานพวกท่านป้าขอรับ” เจียวลู่เอ่ยนำ หลังจากก่อนหน้าท่านลุงบอกว่าจะไม่บอกใครเรื่องที่พวกเขาเดินเพ่นพ่าน แต่ต้องรับปากว่าจะช่วยงานทุกคน“นุก็จะช่วยด้วย” เหลียนฮวาพูดตาม ส่งสายตาปริบๆ“ว๊ายย น่ารักกันจริงเชียวลูกเอ้ย” ป้าๆลุงๆพากันอุทานอย่างเอ็นดู กุลีกุจอจูงมือเด็กๆเข้าไปยังด้านใน เป่ยหวงพอเห็นว่าเด็กอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่แล้วก็เดินไปยังสนามฝึกต่อ เหลียนฮวาและเจียวลู่มองงานที่เป็นบทลงโทษของตัวเอง แต่จะเรียกบทลงโทษก็ไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะงานที่แม่ครัวพ่อครัวมอบให้ล้วนเป็นงานเล็กๆน้อยๆ อย่างเช่นล้างผัก และหยิบจับของนิดหน่อย เด็กน้อยช่วยทุกคนอย่างมีความสุขและ
“อุแว้ อุแว้”“ที่รักเหนื่อยไหม ขอบคุณที่คลอดบุตรให้พี่อีกคนนะ” หยางหลงเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากให้คนรักที่หน้าซีดเซียว“ไม่เลยเจ้าค่ะ แค่เห็นหน้าลูกๆกับพี่ ข้าก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง” เหลียนฮวาที่มีประสบการณ์จากการคลออบุตรครั้งแรกถึงสองคน ครั้งนี้จึงคลอดง่ายมาก หมอหลวงที่เดินทางจากแคว้นเว่ยโดยเฉพาะอุ้มเด็กน้อยตัวอวบอ้วนเข้ามา“ขอแสดงความยินดีกับชินอ๋องและพระชายา เป็นเด็กทารกเพศชาย ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์เพคะ” หมอหญิงส่งเด็กทารกให้แก่ชินอ๋อง หยางหลงรับมาด้วยความทะนุถนอม“อีกแล้ว ข้าอุ้มท้องเขามา 9 เดือนนะเจ้าคะ” เหลียนฮวาพูดอย่างน้อยใจ เมื่อบุตรลายคนที่สามไม่มีส่วนไหนเหมือนนางเช่นเดียวกัน นี่น้ำเชื้อเขาแรงมากเลยหรือ ลูกออกมาสามคน หน้าตาเหมือนเขาทุกคน“ฮ่าๆ คนที่สี่ต้องเหมือนเจ้าอย่างแน่นอน” หยางหลงพูดด้วยรอยยิ้ม เหลียนฮวาได้แต่อ้าปาก
แคว้นฉินพระราชวัง“ฮื่อ ฮื่อ” เสียงเด็กน้อยร่ำไห้อยู่ข้างเตียงของหญิงนางหนึ่ง“แค่ก ๆ ขะ ข้าไม่น่า คะ คลอดเด็กอย่างเจ้าออกมาเลย” องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยใบหน้าโกรธแค้น ตัวนางซูบผอมเหลือแต่กระดูก อันเนื่องจากคลอดเด็กลูกครึ่งผีดิบที่กัดกินชีวิตนางตั้งแต่อยู่ในครรภ์ นางหวังให้ลูกของนางเติบโตมาแข็งแกร่งเหมือนพ่อ ทว่าเด็กออกมากลับเป็นผู้หญิง นอกจากอ่อนแอแถมยังไร้ประโยชน์ทำไมกันนะ ชีวิตของนางถึงไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง ตั้งแต่มีพระสวามี เขาก็ทิ้งนางให้อยู่ท่ามกลางผีดิบ ดีที่ยังมีคนรับใช้หลงเหลือไว้ให้อยู่ แต่รอบตัวก็เต็มไปด้วยผีดิบ ไม่มีใครสามารถออกจากแคว้นได้เลย มีครั้งหนึ่งที่แม่ทัพของเคยคิดออกจากแคว้น ทว่ายังไปได้ไม่ไกล ต่างโดนเหล่าผีดิบเข้ามากัดกินทั้งเป็น หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าออกไปนอกแคว้นอีกเลย“ท่างแม่…”“ยะ อย่า แ
4 ปีต่อมา“เสี่ยวชุน เสี่ยวเฉินลงมาจากต้นไม้เดี๋ยวนี้!!” เหลียนฮวาตะโกนบอกบุตรชายตัวแสบวัยสามขวบทั้งสอง อุ้มท้องมา 9 เดือน แต่ไม่มีส่วนใดได้นางมาเลย เด็กๆถอดแบบพี่หยางมาทั้งหมด ชอบปีนต้นไม้เหมือนใครก็ไม่รู้? แถมยังหลบหนีพี่เลี้ยงเก่งเป็นที่หนึ่ง“ปี้ชายลงไปก่อนซี่” เสี่ยวชุนหรือเว่ยชุนหวงเอ่ยบอกพี่ชายที่คลอดก่อนตนเพียง 5 วินาที ร่างกลมป้อมอวบอัด ทว่ากลับว่องไวกว่าคนเป็นพี่บุ้ยปากให้พี่ชายลงจากต้นไม้ก่อน“เจ้าเปงน้องก็ต้องลงก่อง” เสี่ยวเฉินหรือเว่ยเฉินอี้กล่าวบอกผู้เป็นน้อง ทั้งสองเกี่ยงกันลงก่อนเนื่องจากยังดูพวกท่านตาฝึกซ้อมยังไม่เสร็จ“ลง มา พร้อม กัน” เหลียนฮวาจำต้องเน้นเสียงทีล่ะคำบอกบุตรชาย ไม่งั้นก็ยังเกี่ยงกันไม่เลิก บุตรชายของนางทั้งสองชื่นชอบการต่อสู้เป็นพิเศษ หากเห็นทหารหรือบรรดาตาๆตัวเองฝึกก็จะรีบขอตามไปดูอย่างไวพวกเด็กๆจะเรียกพ่อของนางว่าต
“เหนื่อยหรือไม่” หยางหลงเอ่ยถามเจ้าสาวของตนหลังคืนแต่งงานผ่านพ้นไป คนรักที่กลายมาเป็นภรรยาและคู่ชีวิตของเขานับแต่นี้เหลียนฮวานั่งตัวเกร็งอย่างทำอะไรไม่ถูก นางกำลังเผชิญกับคืนเข้าหอเป็นครั้งแรก“…”“เหตุใดไม่คุยกับพี่้เล่า” หยางหลงค่อยๆเปิดผ้าคลุมเจ้าสาวเชยคางมนมาสบตา ทั้งสองสบตากันอย่างลึกซึ้ง“ตะ ต้องดื่มเหล้าก่อนมงคลเจ้าค่ะ” เหลียนฮวาที่ไม่รู้จะหาข้ออ้างอันใดมาเอ่ยจึงมองไปที่กาใส่เหล้ามงคลเอาไว้“จริงสิ เป็นขนบธรรมเนียมของที่นี่” หยางหลงยิ้มกริ่มก่อนจะค่อยๆเทเหล้ามงคลจากกาน้ำสองจอดและยกขึ้นมาถือไว้“ดื่มเถิด” เขายื่นให้คนรักหนึ่งแก้วและถือไว้เองหนึ่งแก้ว ทั้งสองคล้องแขนกันก่อนจะยกขึ้นดื่มพร้อมกัน ทั้งกลิ่นทั้งรสชาติของเหล้ามีความแรงจนเหลียนฮวาต้องนิ่วหน้า นางรีบกลืนภายในอึกเดียว ไม่นานหน้
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ” ฮ่องเต้สวรรค์มองบุตรสาวด้วยสายตาไม่พอใจนัก“เจ้ารู้ความผิดที่ก่อหรือไม่เทพธิดาเหมยลี่” น้ำเสียงดังก้องกังวาลไปทั่วชั้นฟ้า“ไม่เพคะ” เทพธิดาเหมยลี่เชิดหน้าไม่ยอมแพ้“เจ้า!!!”“ลูกไม่คิดว่าการที่พวกเรารักกันจะผิดตรงไหน”“แม้จะไม่มีบัญญัติว่าห้ามรักต่างฐานันดร แต่เจ้าก็ทำผิดกฎสวรรค์ เจ้ากำลังตั้งครรภ์!!!” ฮ่องเต้สวรรค์แทบลมจับ สั่งให้ทูตสวรรค์หรือที่เรียกทหารในโลกมนุษย์พาธิดากลับมาและนำไอ้ชายที่มันล่อลวงบุตรสาวของเขามารับโทษ“ตั้งครรภ์ จริงสิ เสด็จพ่อทรงมีหลานแล้วเพคะ นางจะเป็นเทพธิดาตนใดมาเกิดกันนะ” เหมยลี่พูดไปยิ้มไป สายใยแม่ลูกทำให้รู้ว่าในครรภ์ของนางเป็นเพศหญิง พลางลูบหน้าท้องแบนราบของตน“ช่างเรื่องนั้นก่อน เจ้าต้องได้รับโทษ” ฮ่องเต้สวร
“พี่หยาง ผักที่เราปลูกงอกแล้วเจ้าค่ะ” เหลียนฮวากล่าวอย่างตื่นเต้น เป็นล็อตสองที่ทดลองปลูก แถมผักที่ปลูกยังเป็นชนิดใหม่“หืม งอกเร็วมาก ยังไม่ถึงเดือน” หยางหลงรีบเข้ามาดูต้นผักตามคนรักชี้บอก วันนี้พ่อตาและคนอื่นไม่อยู่ต้องไปทำภารกิจ“เพราะดินที่เราหมั่นบำรุงมั้งเจ้าคะ”ฟอดดด“เพราะเราช่วยกันปลูกต่างหาก” ขายหนุ่มแอบหอมแก้มแฟนสาวเร็วๆ แล้วส่งยิ้มกระชากใจหลังจากกลับจากแคว้นเว่ยมีประกาศอย่างเป็นทางการเรื่องว่าที่พระชายาองค์ชายห้า เล่นเป็นข่าวดัง พูดถึงกันอยู่พักใหญ่เพราะว่าที่พระชายาเป็นคนต่างแคว้นแถมยังเป็นสามัญชน ทว่าทั้งคู่กลับไม่มีใครสนใจ พากันเดินทางไปแคว้นจ้าวสลับกับแคว้นเว่ย ไปๆมาๆระหว่างสองแคว้น แถมยังหวานกันยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากไม่ต้องปกปิดตัวตนอีกต่อไป“ครั้งหน้าหากผักในโรงปลูกผักโตกว่า
“อื้มม พะ พอก่อนเจ้าค่ะ แฮ่กๆ” เหลียนฮวาหลบชายคนรักที่ตะบมจูบอย่างหื่นกระหาย“เราไม่ได้สกินชิพกันมาหลายวันแล้วนะ” หยางหลงเอ่ยอย่างงอนๆ ไม่ว่าจะเดินไปไหนระหว่างพวกเขามักมีสายตาจับจ้อง ทั้งยังส่งเสียงทักทายมาให้ตลอด พอจะอยู่กันสองคนก็จะมีสายตาจับผิดของพ่อตามองมาอยู่เสมอ ทำให้เขาแทบปลีกตัวอยู่กันสองต่อสองไม่ได้เลย“ก็ใครใช้ให้พี่เป็นคนดังล่ะเจ้าคะ” เหล่าทหารหลายคนที่อยากขับรถแบบเขา จึงพากันเข้ามาพูดคุยขอให้เขาช่วยสอนขับรถ ทั้งยังพูดถึงแต่เรื่องรถ ความชอบของพวกผู้ชายหนีไม่พ้นพวกนี้เลยจริงๆ“พี่สอนพ่อตากับลุงแม่ทัพขับแล้ว พวกเขาไม่ไปถามทั้งสองบ้าง” หยางหลงพูดน้องใจอย่างไม่จริงจังนัก“คิกคิก ก็ไม่มีใครขับได้ผาดโผนเท่าพี่นี่นา” เหลียนฮวาหัวเราะขำ พวกทหารติดใจความเร็วของรถเครื่อง พอกลับไปนั่งรถม้าเริ่มพากันบ่นว่าช้าบ้าง อืดบ้าง ทั้งที่พอนั่งรถเครื่องก็พากัน
ณ พระราชวัง“พวกเจ้าจะทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้!!!” จ้าวฮ่องเต้ตะโกนลั่นอย่างไม่พอพระทัย เหล่าแม่ทัพต่างพากันจับกุมเขาและขุนนางฝ่ายสนับสนุน ใช้สายตาไม่พอใจมองไปทางแม่ทัพเลี่ยงจินที่เดิมทีมีหน้าที่ปกป้องเขา แต่กลับเข้าร่วมกับแม่ทัพคนอื่น“ฮ่องเต้ที่ละทิ้งประชาชน มิอาจดำรงอยู่ต่อไปได้หรอกพะย่ะค่ะ” เลี่ยงจินเป็นคนตอบ เขาตัดสินใจได้ทันทีหลังจากได้พูดคุยกับแม่ทัพเป่ยหวงและลู่จือ สิ่งที่แม่ทัพลู่จือพบเจอไม่สมควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง“คะ ใคร ใครรายงานพวกเจ้า ข้าปิดประตูเมืองเพียงแค่รอสถานการณ์คลี่คลายเท่านั้น หากดีขึ้น...”“ฝ่าบาทมั่นใจว่าเป็นเช่นนั้นหรือพะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางที่ส่งจดหมายแจ้งแก่แม่ทัพเป่ยหวง พร้อมทั้งถือหลักฐานเดินเข้ามายังท้องพระโรง“พวกเจ้า ไม่จริง ข้าเพียงแค่ทำตามคำแนะนำของราชครู!!” จ้าวฮ่องเต้ที่เห็นหลักฐานในมือขุนนางกลับทำตาโตกล่าวถึ
“นะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ออกไป” เยว่เล่อกล่าวออกมาอย่างสับสนพร้อมสั่งพวกมัน เขามองผีดิบที่พากันรุมเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่สนคำสั่งของเขา“เป็นอะไรไหมขอรับท่านแม่ทัพ”“ฮะ ฮุ่ยหมิง แค่กๆ” เป่ยหวงตื่นตะลึงกับภาพที่เห็น ฮุ่ยหมิงตัวเป็นๆยืนอยู่ตรงหน้า หรือเป็นเพียงภาพความฝันกันแน่ ทว่าสีตาของเขากลับเหมือนพวกคนคลั่ง“ข้าเองขอรับ” ฮุ่ยหมิงพยุงร่างของแม่ทัพขึ้น คิดว่าจะหนักแต่ผิดคาดตัวของท่านแม่ทัพเบากว่าที่คิด“จะ เจ้าจริงๆหรือ” เป่ยหวงถามขึ้นดวงตาพร่ามัวที่ใกล้จะปิด เขากลัวจะเป็นแค่ความฝันเท่านั้น หากเฟยจินมาอยู่ตรงนี้ด้วยอีกฝ่ายคงดีใจไม่น้อย“ขอรับ” สิ้นสุดคำตอบของเขา เป่ยหวงสลบไปทันที ฮุ่ยหมิงใช้มือเช็คลมหายใจแล้วเป่าปากอย่างโล่งอก โชคดีที่ท่านแม่ทัพสลบไปเท่านั้นผลักก