“พวกท่านมายืนทำอะไรหน้าบ้านข้า” เจียหมิงและบุตรสาวหยอกล้อพูดคุยกันระหว่างกลับมาหลังจากขายปลา ทั้งคู่อารมณ์ดีไม่น้อยเพราะได้มาหลายเหรียญ ครั้นพอถึงหน้าบ้าน ชายหนุ่มกลับต้องขมวดคิ้วยุ่น น้ำเสียงไม่พอใจเมื่อมีคนมายืนด้อมๆมองๆอยู่หน้าบ้านตน“อ้าว ลูกเลี้ยงข้ามาพอดี เข้าไปคุยกันอย่างในสิ” นางจ้านที่ข่มความไม่พอใจไว้แสร้งพูดเสียงหวาน นางรึอุสส่าห์มารอตั้งนาน จะกลับก็ไม่ได้เกรงจะเสียหน้า แต่เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางอีกฝ่ายที่ส่งมาให้ นางแทบจะหลุดคำด่าใส่ แต่ก็ทำได้เพียงฝืนยิ้มกลับไป“ข้าถามว่าพวกท่านมายืนทำอะไรตรงนี้ขอรับ” เจียหมิงเอ่ยเสียงแข็งขึ้น ไม่ใส่ใจกับคำกล่าวของแม่เลี้ยง เพราะไม่คิดว่าคนอย่างนางจะมาดี“กะ แก แฮ่ม พอดีข้ามาแนะนำคุณหนูลี่หลินให้นะ นางถึงวัยออกเรือน อีกทั้งยังงดงามไม่น้อย เจ้าก็เป็นหม้าย น่าจะเหงา...” นางจ้านเลือดขึ้นหน้าเมื่อได้ยินลูกเลี้ยงของตนเสียงแข็งใส่ ทว่าพอนึกได้ว่าที่มาวันนี้จุดประสงค์อื่นจึงพยายามระงับความโกรธลง“ข้าไม่สน เชิญพวกท่านกลับไป” เจียหมิงแทบอยากปิดหูไม่อยากให้บุตรสาวได้ยินเรื่องพวกนี้ มองแม่เลี้ยงด้วยสายตาแข็งกร้าว เรื่องครานี้จะมีใครเป็นตัวตั้งตัวตี
“โดนใครดักตีมาล่ะ” เมื่อทั้งคู่กลับถึงบ้าน จางหมิ่นเข้ามาก็เจอกับซิงอีที่นั่งผลัดแป้ง นางเหล่มองพี่ชายพร้อมเอ่ยทัก แวบเดียวก็หันมาสนใจกระจกตรงหน้าต่อ คล้ายไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร“เรื่องของข้า อย่ามายุ่ง!!” จางหมิ่นตะโกนตอบอย่างหงุดหงิด เพราะยังคิดไม่ตกว่าจะหาเงินจากไหน หรือเขาจะลองโกหก ขอเงินจากท่านแม่ดี “แล้วนี่แม่ไปไหน” เสียงห้วนๆถามกลับ“พาแม่สื่อไปบ้านพี่รอง” ซิงอีพูด พร้อมทาปากสีชาด วันนี้นางมีนัดไปเที่ยวกับสหาย“แม่สื่ออะไร” จางหมิ่นถามอย่างสงสัย ไม่เห็นเคยได้ยินท่านแม่เอ่ยมาก่อน“ก็ตระกูลคุณหนูลี่อะไรสักอย่างนี่แหล่ะ สนใจพี่เจียหมิง จึงให้ท่านแม่พาแม่สื่อไปพูดคุย” ซิงอีพูดอย่างรำคาญที่วันนี้พี่ชายถามมาก ทุกครั้งก็ไม่เห็นสนใจเรื่องอะไรนอกจากตัวเอง“คุณหนูลี่ใช่คนจากตระกูลเถียน เศรษฐีร่ำรวยเจ้าของตลาดนั่นไหม” จางหมิ่นขมวดคิ้ว“น่าจะใช่ ข้าก็ไม่แน่ใจ” ซิงอีทำท่าครุ่นคิดกรอดด ทำไมแกถึงได้สิ่งดีๆไปตลอด ความอิจฉาแทบปะทุอก เขาจะต้องคุยกับท่านแม่ให้รู้เรื่อง เหตุใดต้องสนับสนุนมัน ทั้งที่เขา
“องค์หญิงรีบหนีไปพะย่ะค่ะ” องครักษ์คุ้มกันตะโกนบอกองค์หญิงที่สติแทบไม่อยู่กับตัว นางทั้งแตกตื่นและหวาดกลัวกับสถานการณ์ตรงหน้า“ฮึก ตะ แต่เรา…” องค์หญิงทำสีหน้าสับสน นางไม่เคยออกนอกวัง ไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน หันมองรอบกายก็เจอแต่ป่ากับศพองครักษ์และนางกำนัล ป่าตรงนี้เป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างแคว้นลั่วและแคว้นจ้าว ที่ถ้าแคว้นฉินจะมายังแคว้นจ้าว ต้องผ่านตรงนี้เท่านั้น เพราะพื้นที่อื่นจะติดกับแม่น้ำ หากไม่เดินทางด้วยรถม้าก็ต้องนั่งเรือ ซึ่งทางเรืองบประมาณการเดินทางก็จะสูงกว่า องค์หญิงที่ไม่เคยถูกสนใจอย่างนาง ก็ต้องได้นั่งรถม้าอยู่แล้วเคล้ง เคล้ง“กระหม่อมจะรีบตามท่านไปแน่นอน โปรดรักษาชีวิตก่อน!!” องครักษ์ที่กำลังต่อสู้อยู่ เมื่อพูดจบก็ฟันคอศัตรู ทว่าต่อให้ฆ่าไปอย่างไรพวกมันก็เข้าโจมตีเรื่อยๆ“ฮะ ฮึก ระ รีบตามเรามาให้ไวล่ะ” องค์หญิงหันหลังตอบกลับทั้งน้ำตาแควกกนางฉีกอาภรณ์ราคาหลายหมื่นเหรียญทิ้งอย่างไม่ใยดี แม้จะเป็นองค์หญิงแต่นางก็ไม่ได้ถูกดูแลโดยข้าหลวงที่มีประสบการณ์มากนัก นิสัยส่วนตัวบางอย่างเลยเหมือ
“เจ้าหรือนางกันแน่ เจ้าเด็กแสบ” มีหรือคนเป็นพ่อจะไม่รู้ทัน บุตรสาวเขานี่แหละหิวมากๆเสียเอง เขาส่ายหน้าอ่อนใจแต่ก็จูงมือบุตรสาว ชักชวนคนมาใหม่ พลางเดินไปเตรียมก่อไฟใต้ร่มไม้“ท่านก็มาสิ บุตรสาวบอกว่าท่านหิวมากๆไม่ใช่หรือ” เจียหมิงหันมาบอกหญิงสาวที่อายุน่าจะน้อยกว่าตนที่ยืนนิ่งอยู่ เขาลอกเลียนคำพูดบูตรสาว แอบเห็นว่านางจ้องบุตรสาวเขาตาไม่กะพริบ คงโดนบุตรสาวเขาตกไปอีกคนแล้ว“ขะ ขอบคุณเจ้าค่ะ” อันหนิงทำสีหน้าเลิ่กลัก แปลกใจสองพ่อลูกที่ดูไม่กังวลกับการอยู่กับคนแปลกหน้า แม้ช่วงแรกๆจะมีท่าทีระแวง อีกทั้งนางพึ่งรู้ว่าสามัญชนทั่วไป พาลูกเข้าป่าลึกตั้งแต่เด็กอายุยังไม่ถึง 5 หนาว ช่างเป็นความรู้ใหม่สำหรับผู้เป็นองค์หญิงโดยแท้“ขะ ขอโทษนะที่ถาม แต่มันกะ กินได้จริงหรือ” อันหนิงมองก้อนกลมๆที่ถูกเผาจนไหม้อย่างไม่แน่ใจ นางเสียมารยาทที่เอ่ยถามเช่นนี้ แต่นางไม่เคยเห็นมันมาก่อน“ได้ก่ะ กิงแบบเน้ ฟู่วๆ งับ ง่ำๆ” เด็กน้อยถือมันเผาที่ท่านพ่อปอกเปลือกออกจนเห็นผิวนวลเหลืองหอมน่ากิน พอเป่าให้ความร้อนคลายลง ปากเล็กๆก็อ้ากว้างงับเข้าไปคำโต หลับตาริ้มรสค
ปัง“ไม่มีใครรอดอีกแล้วงั้นรึ!!!” ห่าวซวนตบโต๊ะประชุมเกิดเสียงดังลั่น หลังม้าเร็วมารายงานว่าหน่วยสอดแนมที่ส่งไปไม่มีใครรอดกลับมาอีกแล้ว หลังจากเหตุการณ์คราก่อนที่แม่ทัพเยว่เล่อซึ่งนำกองทัพไปปราบปรามกลับมาด้วยสภาพสะบักสะบอม พร้อมเล่าถึงเหตุการณ์ทหารทุกคนตายทั้งหมดจากฝีมือพวกทหารแคว้นลั่วที่มีฝีมือเรื่องที่เกิดขึ้นกลายเป็นข่าวใหญ่ที่เบื้องบนสั่งปิดข่าวไว้แทบไม่มิด แต่จะให้ประชาชนรู้ว่าหนึ่งในกองทัพของแคว้นจ้าวพ่ายแพ้ไม่ได้ เพราะนั่นอาจทำให้ความเชื่อมั่นต่อราชวงศ์ลดลง เจ้าหน้าที่ทุกคนพยายามปิดข่าวกันแทบตาย ห่าวซวนเครียดจนหัวแทบระเบิด ผมสีดำแกมขาวยุ่งเหยิง ทว่าเจ้าตัวไม่คิดจะใส่ใจต่อมาห่าวซวนลองเปลี่ยนวิธีโดยใช้หน่วยสอดแนมไปสืบแทน เพื่อเลี่ยงการสูญเสียจำนวนทหารที่นับวันยิ่งมีน้อยลง ทว่าจากรายงานวันนี้ก็ยังไม่มีใครรอดกลับมาสักคน เขาอยากจะรู้จริงๆว่าเป็นเพราะพวกแคว้นลั่วมีทหารฝีมือเหนือชั้นกว่าแคว้นจ้าวจริงๆ หรือมันรู้การเคลื่อนไหวแล้วชิงจัดการก่อนกันแน่“จะ ขออนุญาต มะ แม่ทัพใหญ่ มะ มีเจ้าหน้าที่ทางการมาพบขะ ขอรับ” ท
“คาราวะแม่ทัพใหญ่” เป่ยหวงประสานมือกล่าวทักทาย“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ห่าวซวนสีหน้าอึกอักยามพบหน้าแม่ทัพเป่ยหวง เขาละอายแก่ใจไม่น้อยที่เป็นคนส่งอีกฝ่ายมาประจำตำแหน่งครูฝึกค่ายฝึกทหารใหม่ด้วยตัวเอง แม้จะเป็นคำสั่งเบื้องบนก็ตาม“ก็ดีขอรับ” เป่ยหวงตอบรับสั้นๆเพราะไม่เห็นถึงสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายเดินทางมาที่ค่ายทหารใหม่ ซึ่งไกลจากค่ายหลักไม่น้อย“ข้าจะไม่อ้อมค้อม เป่ยหวงแม่ทัพแห่งแดนตะวันออกโปรดรับคำสั่ง” ห่าวซวนไม่รีรอที่จะประกาศเจตนาที่มาวันนี้ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรอนาน“ขอรับ”“นับแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าจะกลับไปประจำยังตำแหน่งเดิม ทำหน้าที่สืบสาวหนอนบ่อนไส้และป้องกันการรุกรานจากแคว้นลั่ว”“เป่ยหวงแม่ทัพแห่งแดนตะวันออกน้อมรับคำสั่ง” เป่ยหวงขมวดคิ้วงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ก็ก้มหน้ารับคำสั่ง จากนั้นถามสิ่งที่ค้างคาใจ “เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ”“ก่อนอื่นเราต้องขออภัย ทั้งแม่ทัพแดนเหนือและตะวันตกต่างก็รู้สึกผิดต่อเจ้า…”“ข้ายังไม่เข้าใจ” พวกเขาขอโทษเรื่องอะไร เขางงไปหมดแล้ว มองสีหน้าแม่ทัพใหญ
“เจียหมิงเจ้ามาสมัครเป็นพ่อครัวที่ค่ายเถอะ ถ้าจะทำอร่อยขนาดนี้” กู้หานพูดทีเล่นทีจริง เขากินจานที่อีกฝ่ายแนะนำว่าปลาราดพริกคำโตอย่างเอร็ดอร่อย ไม่เคยกินอาหารที่ทำจากปลารสชาติเช่นนี้จากพ่อครัวคนไหนมาก่อน ทั้งเผ็ดร้อน หอมกลิ่นเครื่องเทศ พอทานกับข้าวร้อนๆ อร่อยจนเขาตักซ้ำไม่หยุด “ใช่ๆ ปลาพวกนี้มันมีกลิ่นคาวไม่ใช่หรือ เจ้าทำเช่นไรถึงไม่มีกลิ่นคาวเลยสักนิด” อี้ฟ่านสนใจอาหารจานนี้ไม่ต่างกัน ปลาตัวใหญ่ไม่พอ ทั้งน้ำราดยังอร่อยถูกใจเขานัก “ข้าลองใส่สมุนไพรไปหน่ะ มีคนเคยบอกว่าสมุนไพรช่วยลดกลิ่นคาวปลา ลองผิดลองถูกจนพบสมุนไพรที่ถูกต้อง” เจียหมิงเหล่มองบุตรสาวที่กินปลาราดพริกแบบไม่เผ็ดที่เขาแกะเหลือแค่เนื้อให้นางโดยเฉพาะ นางกินเงียบๆ ไม่สนผู้ใดอีกตามเคย ส่วนคนเป็นพ่อนี่เหงื่อออกเล็กน้อยเพราะต้องหาคำมาอธิบายพวกเขา “เจ้านี่สุดยอดเลย อื้อหือ จานนี้ก็อร่อย” กู้หานเอ่ยชมทั้งคนทั้งอาหาร หลับตาพริ้มลิ้มรสกระต่ายป่าผัดเผ็ด เคล็ดลับความอร่อยอีกอย่างน่าจะเป็นการทำให้พวกเนื้อสัตว์ไม่มีกลิ่นคาวนี่แหล่ะ “โอ้ เจ้าลองเนื้อทอด
“นี่ๆ เจ้าได้ยินประกาศหรือยัง” เสียงซุบซิบนินทาดังไปทั่ว หลังมีประกาศเป็นราชโองการออกมา นั่นหมายถึงไม่มีใครสามารถขัดได้ ชาวบ้านหลายคนพากันร้องห่มร้องไห้ ตีระฆังร้องทุกข์ ขอคัดค้าน เนื่องจากในบ้านมีเสาหลักเป็นผู้ชายเพียงคนเดียว หากต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ชีวิตคนที่เหลือต้องพบเจอความยากลำบาก บางบ้านมีบุตรชายหลายคน เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ถึงขั้นต่อยตีกันเสียงดังว่าใครจะเป็นคนไป บางบ้านมีลูกรักลูกชัง การเลือกจึงไม่ใช่เรื่องยากเสียงคร่ำครวญยังดังต่อเนื่อง ชาวบ้านหลายคนสีหน้าอมทุกข์ นับตั้งแต่มีประกาศออกมา เหยาฉือและเจียมิงก็กำลังเผชิญปัญหานั้นเช่นเดียวกัน “ป้อจ๋า นุจะไปด้วย” เหลียนฮวาเบะปากน้ำตาซึม หลังท่านพ่อจะต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร นางได้ยินคนคุยกันว่าจะต้องส่งไปครอบครับละหนึ่งคน ซึ่งพวกเราแยกบ้านออกมาแล้ว ดังนั้นท่านพ่อต้องเข้าร่วมกองทัพอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าสิ่งที่ทำให้นางร้อนใจยิ่งกว่าคือการที่ท่านพ่อตัดสินใจจะพานางไปฝากเลี้ยงไว้กับบ้านเดิม“พ่อขอโทษเหลียนเอ๋อร์ แต่กองทัพอันตรายเกินไป พ่อพาลูกไปด้วยไม่ได้” เจีย
“แคว้นเว่ยเล็กที่สุด ทำไมจึงร่ำรวยที่สุดล่ะ” หยางหลงถามแม่นมที่เล่ามาถึงตรงนี้ หลังจากเขาขอให้นางเล่าเรื่องราวของแคว้นทั้งหมด“เพราะแคว้นขุดพบเหมืองทองเพคะ ห้าในสิบส่วนของแคว้นเป็นทอง แคว้นเราจึงมั่งคั่งที่สุด แต่เราขาดแคลนหลายอย่าง ใต้พื้นดินเต็มไปด้วยทองก็จริงแต่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก…”“…”“ดังนั้น จึงต้องนำเข้าสินค้าจากแคว้นต้ากับแคว้นเทียนที่อยูใกล้เราและยังเป็นแคว้นใหญ่อันดับหนึ่งและสามอีกด้วยเพคะ” แม่นมที่อยู่มานาน ครูพักรักจำมาจากผู้อื่นอีกที เนื่องจากหญิงแคว้นเว่ยไม่สามารถเข้ารับการศึกษาได้ จะมีเพียงชายที่ถึงวัยกำหนด และมีกำลังเพียงพอต่อการจ่ายค่าเล่าเรียนเท่านั้นถึงมีโอกาสได้ร่ำเรียน“อืมม แบบนี้นี่เอง” หยางหลงวิเคราะห์ตาม ความจริงเขาพอรู้อยู่แล้วว่าแคว้นเว่ยต้องมีบางอย่างที่แคว้นอื่นไม่มี ถึงทำให้ร่ำรวยกว่าแคว้นต้าที่เป็นแคว้นใหญ่อันดับหนึ่งแต่ไม่คิดว่าจะเป็นทอง แสดงว่าทองของคนยุคนี้มีราคาสูงมากสินะ“แล้วสินค้าชนิดใดที่ส่วนใหญ่พวกเขาแลกเปลี่ยนกัน” หยางหลงถามต่อ การรู้ความเป็นไปของบ้านเมืองรอบแคว้
“อึก ที่นี่ที่ไหนกัน” เฟลิกซ์ตื่นขึ้นมาอีกทีในที่แปลกประหลาด รอบตัวเขาเต็มไปด้วยความมืดมิด ทว่าแสงสลัวจากแสงจันทร์ที่สาดส่องทำให้ยังคงเห็นภายในห้องนอน เตียงขนาดใหญ่ รอบห้องกลับว่างเปล่า“อะ โอ้ย…” พอขยับตัวลุกขึ้น ความเจ็บปวดบริเวณศีรษะแล่นเข้ามารวดเร็วจนกุมหัวร้องออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่“องค์ชายตื่นแล้วหรือเพคะ” จู่ๆเสียงของหญิงนางหนึ่งวิ่งพรวดเข้ามาหน้าตาแตกตื่นระคนเป็นห่วง นางจุดตะเกียง รีบเข้าไปดูอาการองค์ชาย“บอกมาที่นี่ที่ไหน แล้วคุณเป็นใคร” เฟลิกซ์ยังคงกุมหัวที่เจ็บไว้ ท่าทีระแวงมองคนแปลกหน้า ถามเสียงดังลั่น ทว่าสิ่งที่เขาพึ่งรู้สึกตัวอีกอย่างคือเสียงที่เปล่งออกมาไม่ใช่เสียงของเขา ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาดูด้วยท่าทีแตกตื่น แขนขาเล็กนี่มันอะไรกัน เขามาอยู่ที่ไหนกันแน่ ความทรงจำล่าสุดที่พอจะนึกออกคือเขานอนหลับแล้วฝันไป ในฝันนั้นช่างมีความสุขเหลือเกิน เขาได้พบกับท่านแม่ นางบอกว่าเขาจะได้พบกับคนที่ตามหา หรือว่า“ฮื่อ เจ้าชายเพคะ จำแม่นมไม่ได้หรือ ใครก็ได้ตามหมอหลวงมาดูองค์ชายที” ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นแม่นมร้องอย่างแตกต
ศตวรรษ 3053“สังหารมันซะ” เซนท์ หรือเฟลิกซ์ ซัลลิแวนสั่งเสียงเหี้ยม ดวงตาสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์นิ่งเฉยแม้จะสั่งฆ่าคนเวลาผ่านไปอีก 1 ปี นับจากที่ลุงโรเบิร์ต บิดาของคนรักได้ส่งอาวุธมาให้ หลังจากนั้นเขาได้ทำสงครามกับจักรวรรดิไซเนียอย่างเต็มกำลัง ข่าวคราวจากโลกสีน้ำเงินขาดหายไปถ้านับระยะเวลาทั้งหมดก็เป็นเวลา 1 ปี แล้ว คล้ายขาดการติดต่อโดยสิ้นเชิง วันเวลาผันผ่านไปช่างยาวนานสำหรับเขา วันแล้ววันเล่าที่รอเวลากลับไปหาคนรักชายหนุ่มจับจี้เรืองแสงที่ใส่ไว้ติดตัวตลอดซึ่งเป็นของสำคัญที่เขาต้องนำไปคืนคนรัก รวมถึงแหวนตกทอดของเสด็จแม่ที่ท่านให้ไว้ก่อนสวรรคต เพื่อนำไปมอบให้เจ้าของของมัน และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง สงครามจบลงโดยที่จักรวรรดิซีอัสเป็นฝ่ายชนะสงครามโดยเขากำลังสั่งให้ทหารลงมือสังหารจักรพรรดิของไซเนียและผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ แม้จะชดเชยให้กับทหารที่เสียไปไม่ได้ก็ตาม“ระ เรามาเจรจากันดีหรือไม่” เสียงสั่นกลัวพยายามเรียกร้องการเจรจา“ไม่จำเป็น”
“ฮึก ฮึก” เจียวลู่หลังจากกลับจากร่ำลาพี่ใหญ่และทุกคน แอบมานั่งร้องไห้หลังครัวคนเดียว จุดเดิมที่เขาเคยนั่งกินปลาที่พี่ใหญ่แอบย่างให้กิน เขาคิดถึงพี่ใหญ่ พี่ใหญ่เป็นคนเดียวที่ดีกับเจียวลู่จากใจจริงในบ้านหลังนี้เรื่องเกิดขึ้นหลังจากที่เจียวลู่แอบไปได้ยินว่าจางหมิ่นติดเงินพนันในตอนที่พวกผู้คุมบ่อนมาตามทวงหนี้ถึงหน้าบ้าน ช่วงนั้นไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากเจียวลู่และจางหมิ่น เจียวลู่จึงได้ยินเรื่องราวทั้งหมด และโดนจางหมิ่นขู่ว่าถ้านำเรื่องไปบอกใครจะจัดการเขา เด็กน้อยที่กลัวว่าจะโดนพี่สามตี จึงปิดปากเงียบ วันต่อมาจางหมิ่นตัดสินใจขอเงินนางจ้านโดยอ้างว่านำไปลงทุน นางจ้านที่เห็นดีเห็นงามกับบุตรชายให้เงินที่พึ่งได้รับมาหมาดๆไปทั้งหมด เรื่องราวเหมือนจะจบลงแค่ตรงนั้นทว่าผ่านไปเกือบเดือนจางหมิ่นกลับไปเล่นพนันอีก จนกระทั่งพวกคุมบ่อนตามมาทวงอีกรอบ คราวนี้เรื่องเลยแดงขึ้น เนื่องจากตอนนั้นทุกคนอยู่บ้านกันหมด ยกเว้นเหยาฉือที่โดนนางจ้านไล่ออกจากบ้านไปแล้ว ด้วยเงินที่ค้างไว้หลายเหรียญเงิน พวกเขาไม่สามารถหามาจ่ายได้ พวกคุมบ่อนเลยจะ
“ขะ ข้าขอเวลาอีกนิด เงินจำนวนนี้ข้าต้องแบ่งจ่ายให้กับพนักงาน” เถ้าแก่ใช้จุดบอดตอนหันหลังให้พวกมัน รีบยื่นตั๋วเงิน พร้อมรับค่าธรรมเนียมมาอย่างรวดเร็ว พลางกล่าวออกไปนับตั้งแต่โดนเจ้าถิ่นเข้ามาหาเรื่อง ยอดลูกค้าก็ตกลงอย่างเห็นได้ชัด กำไรที่ได้ก็ต้องแบ่งจ่ายให้พวกมัน ทำให้บางครั้งต้องติดค่าแรงพนักงานไว้ ผัดผ่อนหลายครั้ง ควักเงินส่วนตัวออกมาจ่ายก็หลายหน จะแจ้งทางการก็กลัวอิทธิพลของพวกมันชายชราอย่างเขาทำการค้าแลกเปลี่ยนตั๋วเงินด้วยความสุจริตมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี เกรงว่าจะนำความเดือดร้อนไปสู่ลูกหลาน พวกเขาออกเรือน แยกย้ายไปสร้างครอบครัวกันหมดแล้ว ไม่มีคนหนุนหลัง มีแต่สองมือที่สร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนต่อกรกับคนเลวพวกนี้ได้ นอกจากกล้ำกลืนฝืนทนจ่ายให้จบๆ“เห็นพวกข้าเป็นคนการกุศลงั้นรึ จ่ายมาเร็วๆ!!!” ชายร่างสูงใหญ่ตะคอกเสียงดัง มันไม่สนเหตุผล ข้ออ้างร้อยแปดอะไรทั้งนั้น วันนี้ต้องได้เงินกลับไปมอบให้กับนายท่าน“คนอย่างพวกเจ้ารู้จักคำว่ากุศลด้วยรึ” เจียหมิงตัดสินใจโพล่งออกไป แม้จะดูเสียมารยาท แต่อดไ
“อาหย่อยยยย” เหลียนฮวาตะโกนด้วยความสุขใจ จับแก้มกลมหลับตาพริ้ม ลิ้มรสอาหารที่ท่านพ่อท่านลุงผลัดกันป้อน โรงเตี๊ยมแห่งนี้อาหารช่างเป็นเลิศ นางมองอาหารหลายจานที่ทยอยนำมาเสิร์ฟ อาหารปรุงสุกอย่างไรก็ดีกว่าอาหารสำเร็จรูปแบบในโลกก่อนนางอยู่แล้ว เสียดายบอทเต้กับโรบอทไม่จำเป็นต้องกินอาหาร ถ้าทั้งสองได้มาชิมคงจะคิดไม่ต่างกัน“โรบอทแค่เห็นเจ้านายกินก็มีความสุขแล้วขอรับ” เสียงแว่วของโรบอทดังผ่านความคิด ส่วนบอทเต้ไปปฏิบัติภารกิจที่นายท่านมอบหมายไว้อยู่ ท่านพ่อบอกว่าพวกเราไม่ต้องกลัวสายตาสงสัยของคนในหมู่บ้านอีกแล้ว สามารถใช้เงินที่หามาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้อย่างเต็มที่ ส่วนท่านลุงเองก็มีเงินเก็บเยอะขึ้น เพราะไม่ต้องมีปลิงคอยสูบเงินแถมยังออกล่าสัตว์เกือบทุกวันกับท่านพ่อ นอกจากนี้ยังมีอาชีพเสริมเป็นนายหน้านำของในมิตินางไปขาย นางแบ่งปันเงินแต่ล่ะส่วนที่ได้มาให้เท่ากันทุกคนทุกวันนี้ในกระเป๋าผ้าใบใหญ่ที่ท่านพ่อซื้อให้ยังนอนอยู่ในมิติ ซึ่งเต็มไปด้วยเหรียญหนักอึ้งจนยกไม่ไหว ต้องให้พ่อกับลุงช่วยยก หลังกินข้าวเสร็จ พวกเราจะไปโรงเตี๊ยมสำหรับแลกเงินกันต
“ว้าว คนเยอะมักเจ้าก่ะ” เมื่อมาถึง ทั้งสามคนตื่นเต้น มองผู้คนในเมืองหลวงที่แต่งตัวดูดี พ่อค้าแม่ค้าข้างทาง ของขายมีเยอะจนเลือกไม่ถูก หลายคนดูเหมือนมาจากตระกูลชนชั้นสูงรถม้ามีตราสัญลักษณ์เฉพาะตระกูลวิ่งขวักไขว่ไปมา“เหลียนเอ๋อร์อยู่ใกล้ๆพ่อกับลุงเจ้าไว้นะ” เจียหมิงที่ลายตา เพราะไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี คล้ายบ้านนอกเข้ากรุงอย่างไงอย่างงั้น“จะ เจียหมิงเราจะไปทางไหนดี” เหยาฉือสับสน ไม่เคยมาเมืองหลวงมาก่อน“อืม ข้าก็ไม่แน่ใจ คิดว่าเราไปหาอะไรกินก่อนดีกว่า” เจียหมิงก็ใช่ว่าจะรู้ทาง เขาพาทุกคนสุ่มเดินไปตามทางเรื่อยๆ หากเจอร้านอาหารค่อยแวะปรึกษากันอีกครั้ง “เดี๋ยว พวกเจ้าจะเข้ามาในร้านไม่ได้” ในที่สุดพวกเขาก็เจอโรงเตี๊ยมอาหารขนาดกลางแห่งหนึ่ง ตัดสินใจพากันเดินเข้าไปหาอะไรกิน ทว่าหญิงที่คาดว่าเป็นเสี่ยวเอ้อร์เอ่ยดักทั้งสามไว้ สายตาดูถูกมองผู้มาใหม่หัวจรดเท้า แอบชะงักชั่วครู่เมื่อกี้นางรู้สึกได้ถึงสายตากดดันจากเด็กน้อย แต่สลัดความคิดลง สงสัยจะตาฝาดไปเอง“เอ่อ ที่นี่ไม่ใช่ร้านอาหารหรือขอรับ” เจียหมิงถามอย่างสงสัย ไม่
“เก็บของเสร็จหรือยัง” และแล้ววันเวลาก็ผ่านไป โรบอทกับบอทเต้ได้ฝึกและให้ความรู้แก่นายท่านพวกมันจนมั่นใจว่าวิชาที่มอบให้จะช่วยให้พวกเขาชนะศัตรูได้ ทั้งดาบ ธนู หอก ปืน หน้าไม้ โรบอทรับหน้าที่ฝึกให้จนชำนาญ ส่วนบอทเต้ได้มอบความรู้ด้านกลยุทธ์ แผนการและวิธีทำอาวุธใช้เอง ไม่เว้นแม้แต่ตัวอักษรของโลกใบนี้บอทเต้ก็สามารถสอนได้บัดนี้นับว่าท่านพ่อและท่านลุงของนางพร้อมสำหรับการรบแล้ว ทุกวันพวกเขาจะฝึกกันถึง 3 รอบ บริเวณหลังบ้าน เพื่อไม่ให้ใครเห็น เรียกว่าเวลาเกือบเดือนที่ผ่านมานี้แทบไม่มีใครเห็นตัวท่านพ่อกับท่านลุง เนื่องจากเก็บตัวเงียบ ส่วนนางก็ไม่ออกไปเล่นที่ไหน แม้เสี่ยวหยวนจะมาชวนหลายครั้งเหลียนฮวาที่ถูกห่อตัวด้วยผ้าหนาๆคล้ายเสี่ยวเหมา แก้มแดงปลั่งเพราะอากาศหนาว นางสะพายกระเป๋าผ้าที่มีเสบียงของตัวเองไว้ด้านหลัง ส่วนท่านพ่อท่านลุงมีจำพวกของใช้ เสื้อผ้าในถุงผ้าขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน“เสดแย้ว” เหลียนฮวาชูมืออย่างดีใจ เหมือนได้ออกไปผจญภัยกับทุกคน โรบอทกับบอทเต้นางให้เข้าไปในมิติแล้ว เกรงว่าถ้าคนอื่นมาเห็นเข้าจะพากันตกใจ แล้วแห่มาบ้านนางไม
“แฮ่กๆ ละ ลุงต้องทำ อะ อีกกี่ครั้ง” หลี่เหยาฉือเหงื่อเปียกชุ่มเอ่ยถามหลานสาวเสียงหอบ เสื้อผ้าของเจียหมิงที่ใส่อยู่แนบลู่ติดไปกับตัว หลานสาวปลุกเขาตั้งแต่เช้าให้มาทำท่าแปลกๆที่เรียกว่าออกกำลังกาย“อีกยี่สิบครั้งเจ้าก่ะ ห้ามหยุดน้า” เหลียนฮวาให้ท่านลุงของนางทำท่าซิทอัพเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อ ลดไขมันบริเวณหน้าท้อง ท่าต่อไปต้องเพิ่มกล้ามแขน ส่วนท่านพ่อของนางทำครบแล้ว เพราะลดเหลือวันละเซ็ต ตอนนี้น่าจะไปส่งจดหมายให้ทางการอยู่“อ่า ฮึบ แฮ่กๆ”“18 19 20 เย้ ท่างยุงเก่งที่สุด แปะๆ” เด็กน้อยกะโดดโลดเต้นผิดกับเทรนเนอร์สุดโหดเมื่อสักครู่“แฮ่กๆ ท่าต่อไป จัดมาเลย ลุงไหว” เหยาฉือที่บ้ายอ พอโดนหลานชมเก่งที่สุดก็มีแรงฮึดสู้ ไม่หวั่นแม้จะเหนื่อยแค่ไหน เข้าทางเด็กน้อยที่รอคำนี้อยู่แล้ว เวลาหนึ่งเดือนท่านพ่อและท่านลุงของนางต้องมีซิกแพ็ค เฮ้ย มีกล้ามเนื้อ แข็งแรงพอที่จะจับปืน จับดาบต่อสู้กับพวกศัตรูได้อย่างไม่แพ้ใคร ครึ่งเดือนผ่านไปเคล้ง เคล้ง! “ย๊า เจียหมิง เจ้าอย่าได้ออมแรง” เสียงชายผิ