วันนี้เป็นวันที่เขาจะได้ถอดสายน้ำเกลือและเก็บข้าวเก็บของออกจากโรงพยาบาลหลังจากอาศัยอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ นี้มาเป็นเวลาสองเดือนเต็ม
ด้วงในชุดไปรเวทเสื้อยืดกางเกงขายาวตัวใหม่เอี่ยมตรวจทานตัวเองหน้ากระจกห้องน้ำก่อนจะเปิดประตูออกมากะพูดคุยปรึกษาอาการตนเองกับพยาบาลสักครู่แล้วค่อยถือถุงเสื้อผ้ากลับ
“เหมาะกับเรามากครับ”
“ขอบคุณที่อุตส่าห์ซื้อให้น้องนะ”
ด้วงยิ้มมุมปากก่อนจะรีบเดินไปคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าในมือเจ้าพี่แล้วจึงเดินออกมา เขารู้ว่าบางทีมันอาจเสียมารยาทไปสักหน่อยแต่เขาอยากสร้างระยะห่างระหว่างตัวเขากับพี่ไกรให้มากที่สุดเพราะเจ้าตัวแต่งงานจดทะเบียนสมรสแล้ว น่าเสียดายไม่น้อยที่ช่วงเวลานั้นเขายังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลด้วยว่าหลังสลบคาเตียงเพราะหายใจไม่ออกไปคราวนั้นก็โดนเลื่อนวันออกไปอีก จนในที่สุดวันนี้ก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตใหม่เสียที
พี่ไกรหลังจากเรื่องราววันนั้นก็มาหาเขาน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แต่พอใกล้จะกลับอีกฝ่ายก็มาถี่หรือมาแทบทุกเย็น เพราะช่วงที่ห่างไปนั้นอีกฝ่ายต้องตระเตรียมงานแต่งให้โอ่อ่าสมฐานะ ทว่าคิดอีกทีเขาก็ดีใจที่ไ
ไกรวิชญ์เคยคิดว่าช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาที่เศร้าที่สุดในชีวิต บิดาและภรรยาเขาเสียไปในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันเนื่องด้วยเหตุรถชนใจกลางเมืองหลวงขณะออกไปซื้อของ แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับตอนที่เขาเสียมารดาไปในวัยเด็กนายตำรวจอนาคตไกลเจ้าภาพพิธีศพสวมชุดดำทางการยืนต้อนรับแขกญาติพี่น้องของทั้งสองคนเข้ามาเคารพศพ เขามองน้องชายและลูกในวัยสิบกว่าขวบนั่งด้วยกันโดยที่กันต์กำลังนอนร้องไห้เศร้าโศกเสียใจอยู่บนตักของคุณอาตลอดมาเป็นพี่เลี้ยงที่ดูแลกันต์จนหย่านมก่อนจะยกเลิกสัญญาจ้างกันไป กระนั้นผู้เป็นแม่กลับไม่ดูดำดูดีปล่อยให้คนอื่นในบ้านเลี้ยงเป็นส่วนใหญ่ แล้วพาตัวเองไปออกงานสังคมลุงแดง คุณน้ามาลีและด้วงจึงเป็นสามคนที่คอยประคบประหงมกันต์แทนเขาที่งานล้นมือตลอดเวลาไกรวิชญ์ชำเลืองมองไปยังป้ายชื่อหน้าโลงสีขาวสะอาดก่อนจะได้อ่านชื่อภรรยาที่อยู่ใกล้สายตามากที่สุด‘กุหลาบ’ คือชื่อของหล่อนอย่างนั้นเหรอ... เขาในฐานะสามีมาตระหนักถึงนามของภรรยาเอาตอนที่เจ้าตัวจากไป ช่างน่าขายหน้าเสียจริง นึกแล้วก็แค่นหัวเราะ เขาที่พยายามบอกตัวเองไม่ให้เอาอย่างบิดา ทว่าตลอดมาตัวเขาเ
จากกระดาษที่คุณอุ่นเคยจดชื่อและแผนที่วิทยาลัยที่จะไปทำการบรรยายพิเศษไว้ให้ เขาตั้งใจว่าจะพาน้องกันต์ไปชมด้วยกัน อย่างไรเสียมันก็เป็นเสาร์ที่โรงเรียนมัธยมปิดวันหยุด ทั้งเขายังจะได้ใช้เวลาร่วมกับหลานรักอีกด้วยคุณอาในชุดไปรเวทสีสว่างตัดผิวเดินสะพายกระเป๋าเดินคู่หลานชายวัยสิบสามย่างสิบสี่บนทางเดินอิฐปู เมื่อหยิบกระดาษใบน้อยขึ้นมาดูจึงพอทราบว่าระยะทางเหลืออีกไม่ไกลหลังลงสถานีปลายทาง อาจารย์เจ้าที่แม้จะพูดภาษาไทยได้แต่เขียนไทยยังไม่คล่องก็อุตส่าห์พยายามและวาดรูปให้คนอ่านเข้าใจง่าย ทั้งยังมีตัวอักษรยึกยือมุมขวาล่างเขียนไว้ว่า ‘หวังว่าเราจะได้เจอกันนะครับ’ แม้ทีแรกจะต้องเพ่งสมาธิอ่านเพราะประโยคนั้นไม่ได้เขียนโดยเจ้าของภาษา แต่เขาก็รู้สึกปลื้มที่อาจารย์เจ้าพยายามตวัดเขียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าดูจากรอยยางลบกับรอยยับของกระดาษ แผนที่อันนี้คงถูกตระเตรียมมาเป็นอย่างดีเพียงเพื่อมาชวนเขาไปดูการบรรยายภาคเช้า ช่างน่าเอ็นดูเหลือเกินในกระดาษเขียนถึงเส้นทางและระยะเวลาการเดินไว้อย่างละเอียด‘๕ นาที เห็นอาคานสีขาว’ด้วงยกยิ้มมุมปากหัวเราะในลำคอ
จบการบรรยายภาคบ่าย เนื่องจากคนน้อยลงไปกว่าครึ่งเวลาที่ใช้ไปจึงมีประสิทธิภาพและไม่เกินแผนที่วางเอาไว้ กันต์แม้ฟังอะไรไม่ออกแต่เนื่องจากเป็นหัวข้อเดียวกันจึงพยายามจับคำจำไว้ในหัวและบอกว่าจะเอาไปถามอาจารย์ดูว่ามันแปลว่าอะไรหลานชายเปิดใจจนความคิดเขาเริ่มโอนอ่อน ทีแรกเขาคิดไว้ว่าหลังจากจบการบรรยายนี้ในหนึ่งสัปดาห์นั้นเขาจะลองไปหาครูคนอื่น ๆ มาสัมภาษณ์เผื่อไว้เป็นตัวเลือก ทว่าปฏิเสธไม่ได้ว่าความจริงแล้วเขาเทใจไปให้ใคร ให้ตายสิ เขาไม่อยากดูเป็นคนลำเอียงเลือกที่รักมักที่ชังเลยจบการบรรยายแน่นอนว่าคุณอุ่นอาสาตัวเองนำทางเขาไปส่งยังหน้าวิทยาลัย ระหว่างทางก็บรรยายที่นี่ให้ฟัง แต่ไม่ใช่เพราะตนเรียนจบจากที่นี่หรือเป็นอาจารย์ของที่นี่ ทว่าเพราะก่อนหน้านั้นนอกจากเจ้าตัวจะเตรียมการบรรยายแล้วยังสอบถามพื้นที่ประวัติและนักเรียนของที่นี่เพื่อเตรียมมาเป็นมัคคุเทศก์ให้พวกเขา สมเป็นคุณอุ่นจริง ๆ“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วเราไปทานมื้อเย็นด้วยกันเลยไหมครับ?”เนื่องจากเส้นทางเดินเป็นการเดินกลับกึ่งเที่ยวมากกว่าจึงค่อนข้างกินเวลา จนตอนนี้ก็สามเกือบสี่โมงแล้ว แต่ว่าหากรีบเดิน
“พวกเราขึ้นไปพักกันที่นั่นกันก่อนดีไหมครับ?”“ครับ? เอ่อ...”ด้วงคิดไม่ตก ฝนก็ยิ่งตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ ใจจริงจะนั่งรอจนกว่าฝนจะหยุดก็ได้แต่เขาไม่ได้มาคนเดียว ด้านนอกก็ชักหนาวขึ้นมาแล้ว แม้กันต์จะไม่ได้แสดงอาการไอจามแต่มันอาจส่งผลให้ได้ไข้ อย่างน้อยถ้าได้ล้างเนื้อล้างตัว... ทว่าเขาลึก ๆ ก็ยังไม่ค่อยสนิทใจกับคุณอุ่นถึงขนาดจะขึ้นห้องเจ้าตัวด้วยนี่สิ ยิ่งมีเด็กมาด้วยยิ่งแล้วใหญ่*ฟึบ* ในขณะที่คุณอากำลังขอเวลาคิดสะระตะ แผ่นหลังก็รู้สึกถึงความอบอุ่นขึ้นมา เมื่อเงยหน้าหันหลังไปมองจึงเห็นว่าอาจารย์ที่นั่งข้าง ๆ สละเสื้อทับมาคลุมไหล่ให้เขาอย่างไม่อายสายตาคนอื่น ไม่สิ จะบอกว่าคนอื่นไม่ได้ เพราะหน้าร้านตอนนี้ก็มีเพียงพวกเขานั่งกันอยู่สามคน ทั้งแม่ค้าฝั่งตรงข้ามก็วิ่งหอบข้าวของหนีฝนกันไปหมดแล้ว“คุณสวมไว้เถอะนะครับ คือผม...กลัวสายตาตัวเองมัน...เอ่อ...”เจ้าตัวเขยิบเข้ามาพูดใกล้ ๆ เพราะฝนตกดังพายุเข้า ทำให้เขาได้ยินประโยคนั้นชัดเจนแจ่มแจ้ง จึงได้หันมาดูเสื้อผ้าตัวเอง ลืมไปเลยว่าใส่เสื้อสีขาว ด้วยว่าเป็นผู้ชายปกติต่อให้จะเลอะหรือเปลือยท่อนบน
ด้วงรีบเช็ดหน้าเช็ดตาตรวจทานความเรียบร้อยเมื่อเห็นแสงไฟจากสถานีปลายทาง ก่อนจะยื่นมือไปแตะไหล่หลานชายเบา ๆ เป็นการปลุก หากงัวเงียขนาดนี้สงสัยเขาคงต้องหารถเจ๊กพากลับบ้านรวดเดียวเลยกระมัง ไหน ๆ ก็ฟ้ามืดแล้วด้วย หวังว่าเวลานี้ยังมีคนรับงานอยู่นะ“กันต์นั่งรออาตรงนี้สักครู่นะ”“อือ...ครับ”เขาเองก็เริ่มเพลียแล้วเหมือนกัน คงต้องรีบหารถสักหน่อย แต่เขาไม่อยากให้กันต์นั่งรออยู่คนเดียวเลย จำได้ว่าเจ้าแผนมันอยู่กะนี้เป็นวันสุดท้ายพอดี น่าจะพอฝากฝังได้กระมัง“เอ้า นั่นด้วงไม่ใช่เหรอ มาทำอะไรที่สถานีดึกป่านนี้ล่ะ”นั่นไม่ใช่แผนผู้เป็นเพื่อนสนิท แต่เป็นนายตำรวจพูนที่เดินเข้ามาทักทาย คล้ายว่าเจ้าตัวก็จะตามหาเจ้าแผนไม่ต่างกัน“ผมพึ่งกลับจากธุระน่ะครับ”“ตัวเปียกมาเชียว พายุเขามาเหรอ?”“ครับ”“กำลังจะกลับบ้านใช่ไหม? ให้พี่พาไปส่งดีไหมล่ะ”ว่าแล้วพี่พูนก็ชี้ไปยังรถตำรวจที่จอดอยู่หน้าสถานีพอดี วันนี้เขาออกลาดตระเวนโดยการยืมรถราชการเพราะขี้เกียจเดิน แต่เพราะแบบนั้นทั้งสน.จึงฝากเขาขับวนเป็นวงกว้างตั้งแต่บ่ายจรดเย็น กว่าจ
ระยะหลังมานี้เนื่องจากคดีสุดท้ายที่ทำอยู่ไร้ซึ่งความคืบหน้า หลังจากระบุรูปพรรณสัณฐานของหัวหน้าชุมโจรได้แล้วก็ไม่มีเบาะแสอะไรเข้ามาถึงมืออีกเลยแม้จะส่งสายสืบลงพื้นที่แล้วก็ตามผู้กำกับการตื่นขึ้นมาจากภวังค์นิทราหลังปล่อยจิตคิดฟุ้งซ่าน ตลอดเวลาเขาพยายามทำงานให้เสร็จที่สน.เพื่อจะได้กลับบ้านตัวเปล่าไม่ต้องขนเอกสารไปทำที่บ้านเพื่อแยกชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว ทว่าเพราะเป็นเช่นนั้นหากงานที่สน.ยังไม่เสร็จดีตามกำหนดการที่ตั้งไว้เขาจึงต้องกลับดึก ๆ ดื่น ๆ บางครั้งก็เกือบสามทุ่มกว่าเขาจะได้ก้าวเท้าออกจากสน.เพราะระหว่างสะสางงานค้าง ก็มีเหล่าชาวบ้านผู้ประสบปัญหาวิ่งเข้ามาแจ้งความประปราย ดีที่มันเป็นแนวทางข้อพิพาทที่พวกเขาเคยผ่านประสบการณ์กันมาบ้างแล้วจึงสามารถจับกุมโจรขโมยและผ่านมันไปได้ภายในไม่กี่วัน ทว่ากลับต้องมีเรื่องน่าหนักใจขึ้นมาแทนที่เสียงโวยวายของหญิงมีอายุแว่วมาจากทางหน้าประตูสำนักงานตำรวจ เขาจำได้ว่าเคยรับเรื่องและมอบหมายให้สารวัตรไปทำเก็บผลงานแล้วแต่ทำไมเขายังได้ยินเสียงเดิมอยู่อีก ไม่หรอก แค่เพราะเจ้าหล่อนมาบ่อยกว่าคนอื่นเสียมากกว่าเขาจึงคุ้นเคย
‘คุ...ณ...รวีเสียงเบาหวิวแว่วมาจากที่ไหนสักแห่งชวนให้คิ้วเรียวกระตุกเล็กน้อย ทว่าไม่อาจดังพอจะดึงสติเจ้าของร่างออกมาจากภวังค์ฝันได้‘คุณดลรวี...’“คุณดลรวีครับ!”“เฮือก!”ด้วงสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงดังลั่นข้างหู เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็คล้ายว่าม่านตายังไม่สามารถเปิดรับแสงได้เต็มที่ทั้งภาพที่เห็นมันยังพร่ามัวชวนให้มึนหัว ด้วงรู้ว่าตนเองเผลอหลับในเวลางานจึงรีบจัดแจงท่านั่งให้กลับมาปกติก่อนจะสัมผัสได้ถึงเนื้อผ้านุ่มที่มาแตะบริเวณปลายจมูก“ผมเห็นคุณเลือดกำเดาไหลเลยรีบเข้ามา คุณเป็นอะไรมากไหมครับ รู้สึกไม่ดีตรงไหนรึเปล่า?”อาจารย์ชาวญี่ปุ่นเข้ามาวางกระเป๋าสัมภาระนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นโดยไม่กลัวเปื้อนเศษดินเศษฝุ่นประคองผ้าขาวซับเลือดให้นายสถานีที่รักอย่างไม่นึกรังเกียจดันกิทีแรกเมื่อลงรถไฟหลังกลับมาจากทริปเที่ยวแถวเขตวิทยาลัยก็นึกคิดถึงคุณดลรวีตามปกติ ทว่าเมื่อมาชะเง้อมองหา นั่งรอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นเจ้าตัวเดินถือธงออกมา เขาจึงเข้าไปถามไถ่คุณแผนผู้เพื่อนก่อนจะได้ความว่าเจ้าตัวกำลังพักอยู่ในห้องนี
กว่าพวกเขาจะเดินทางมาถึงรวมแวะพักทานมื้อเช้าก็ปาไปบ่ายกว่า กินข้าวเที่ยงสายแบบนี้ทำเอาเขารู้สึกผิดต่อน้องกันต์ทีเดียว เพราะจดหมายฉบับนั้นแม่จึงรู้ได้ทันทีว่าทำไมเขาถึงได้หนีมาเรือนหลังนี้เป็นเรือนหลังเก่าซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของก้องภัชรกุลมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษรวมไปถึงทิวทัศน์ที่นาสุดลูกหูลูกตานี้ด้วย ในตอนที่มาครั้งแรกเขาไม่เชื่อสายตาตัวเองเท่าไรนักว่าพื้นที่กว้างขวางนี้จะเป็นของก้องภัชรกุลทั้งหมด แต่ก็ไม่นับเป็นเรื่องเกินความคาดหมายเท่าไรนักหรอกด้วงอาสาเก็บกระเป๋าเข้าห้องนอนและบอกให้หลานชายลงไปช่วยคุณย่าถือกับข้าวกับปลาออกมาจากครัวท้ายเรือนบ้านหลังนี้ไม่เหมือนบ้านพักทหาร เพราะทำจากไม้สีเข้มและมีหลังคาทรงจั่วตรงข้ามกับพระนครที่มีความตะวันตกแฝงเข้ามาด้วย เครื่องเรือนอะไรล้วนเป็นของมีอายุมากกว่าเจ็ดสิบปี แต่ยังคงมันเงาเพราะถูกดูแลเป็นอย่างดีจากฝีมือแม่และคนใช้ที่พี่ไกรส่งมาดูแลแม่ หรือก็คือลูกสาวอีกคนหนึ่งของลุงแดง“พี่ชม ไปช่วยแม่ในครัวเถอะจ้ะ เดี๋ยวตรงนี้ฉันทำเอง”“ได้เลยจ้า”พี่ชมพู่
“ตื่นมาก็ทำงานเลยหรือ?”องค์กษัตริย์ไถ่ถามมเหสี ที่เคยนอนด้วยกันปกติจะเป็นเขาที่ออกมาทันทีหลังแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จเนื่องจากมีราชกิจกับเหล่าเสนาบดี แต่วันนี้เนื่องจากเป็นวันดีที่จะได้ไปส่งมเหสีขึ้นเกี้ยวกลับไปเยี่ยมมารดาพวกเขาจึงตื่นสายหน่อยและให้เวลาส่วนตัวแก่มเหสีคนใหม่ จึงมาอาบน้ำด้วยตัวเอง“ข้าไม่คิดว่าท่านจะทำได้จึงมีงานวังหลังเหลืออยู่”“เช่นนั้นเจ้าก็เลือกสนมรองขึ้นมาช่วยงานสิ งานบัญชีเยอะเช่นนี้เจ้าทำคนเดียวไม่ไหวหรอก”“หากข้าเลือกขึ้นมาแล้วท่านสัญญาได้ไหมว่าจะปันเวลาให้พวกนาง”เขาไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบเดิมซ้ำสอง อย่างไรพระสนมส่วนใหญ่ถึงบางรายอาจไม่แสดงออกแต่ลึก ๆ ทุกคนล้วนต้องการความรักจากองค์จักรพรรดิทั้งสิ้น“ข้าทำไม่ได้มเหสี”“เช่นนั้นก็สมควรแล้วที่ข้าจำต้องตื่นแต่เช้ามาทำงานแต่เพียงผู้เดียว”ว่าแล้วอดีตพระสนมจึงวางพู่กันลงลุกขึ้นจากเบาะรองนั่งเดินตรงไปยังส่วนอาบน้ำโดยไม่แม้แต่จะสบตาพระสวามีผู้ทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองได้ปิ่นปักผมหงส์กนกมาครองแม้วันนี้พวกเขาจะมีนัดไปเยี่ยมมารดาแต่ก็ยังคงตื่
“ท่านพี่ ท่านพี่เพคะ ท่านพี่ว่าปิ่นปักผมชิ้นนี้เข้ากับน้องไหมเพคะ?”เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงในชุดผ้าแพรยาวสีสันสดใสพร้อมด้วยสองมวยผมที่จับมักเป็นมวยกลมตกแต่งด้วยดอกไม้หยกห้อยระย้าประดับกรอบหน้างามอย่างคุณหนูลูกสาวขุนนางใหญ่ เธอหยิบปิ่นปักผมดอกกล้วยไม้ขึ้นมาทาบศีรษะกล่าวถามเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันที่ปลอมตัวเป็นคนรวยเข้ามาเดินเล่นในชุมชนในกลางเมืองเด็กหนุ่มผมหยักศกสีน้ำตาลผินใบหน้าแววตาเหยียดมองคู่หมั้นที่ติดสอยห้อยตามเขามาด้วย ทำเอาเสียอารมณ์ไม่ใช่น้อย แทนที่จะได้เดินดูทุกข์ราษฎรแล้วเอาไปเขียนรายงานส่งท่านอาจารย์กลายเป็นต้องมาดูแลประคบประหงมลูกคุณหนูเสียอย่างนั้น“กระจกก็มีเจ้าไม่ส่องดูเอาเองล่ะ”ไร้ซึ่งความเห็นใจ เด็กหนุ่มตอบเสียงแข็งเดินสะบัดก้นหนีจนองครักษ์ซึ่งติดตามมาด้วยถึงกับทำตัวไม่ถูกเฉกเช่นเดียวกับพระคู่หมั้นที่ยืนตัวแข็งทื่อไปแล้วองค์รัชทายาทในวัยสิบสองขวบปีเดินกระชับปีกหมวกคล้องลูกปัดหลบเลี่ยงมายังตรอกซอกซอยหนึ่งโดยมีองครักษ์ในชุดชาวบ้านเดินติดสอยห้อยตามมาคุ้มครองด้วย‘เดินถัดจากตลาดมานิดเดียวก็เจอศพคนตายแล้ว’
ชนชั้นในสถานที่อันปวงประชาภายนอกรั้วมองเข้ามาล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันถึงสิ่งปลูกสร้างอันประณีตงดงาม สวนดอกไม้อันเขียวชอุ่มและอาหารเลิศรสที่สามัญชนแม้เฝ้าเก็บเงินมาทั้งชีวิตก็ไม่สามารถลิ้มลองจานของโอรสสวรรค์ได้ท่ามกลางความอู้ฟู่โอฬารเหล่านั้น ภาพสวยหรูที่ใครต่อใครซึ่งพรายกระซิบกันมาผ่านกำแพงสูงกลับถูกสกัดด้วยมุมมืดของวังหลวงแห่งนี้พระราชโอรสได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นกษัตริย์เมื่อพระราชบิดาสิ้นอายุขัย พระคู่หมั้นเข้าพิธีอภิเษกสมรสและได้ครอบครองปิ่นปักผมหงส์กนกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระมารดาแห่งแผ่นดิน ทั้งสองปกครองเคียงคู่กันมาจนให้กำเนิดองค์รัชทายาท เป็นที่รักใคร่เอ็นดูต่อเหล่านางกำนัลน้อยใหญ่พระราชโอรสชาญฉลาดนัก ใฝ่เรียนใฝ่รู้ทุกสิ่งรอบตัวเป็นอาจิณ กระนั้นยังคงไว้ซึ่งประกายสดใสในแววตาเปล่งปลั่ง ประหนึ่งดวงตะวันน้อยที่ค่อย ๆ เจริญเติบโตและกลายมาเป็นที่พึ่งพิงของผืนฟ้าจนมาวันหนึ่ง ท่ามกลางโต๊ะไม้สักลายมังกรวางเรียงรายด้วยจานอาหาร เมื่อพระมเหสีได้ตักเนื้อข้าวเสวยเข้าไปเพียงคำเดียว เสียงช้อนเงินซึ่งค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีดำร่วงหล่น
"กันต์มาทำงานใกล้บ้านไม่ได้เหรอ อาไม่อยากให้เราไปอยู่ที่ไหนนาน ๆ เลย”“ผมไปอยู่นั่นแค่ปีเดียว เดี๋ยวก็ได้ย้ายมาศูนย์พระนครแล้วครับ”จนแล้วจนรอดคุณอาที่เลี้ยงดูหลานชายมาตั้งแต่ยังแบเบาะจนยามนี้มีงานมีการทำก็ยังเป็นห่วงแล้วเป็นห่วงอีก กลับมาบ้านครั้งหนึ่งก็จัดอาหารชุดใหญ่เอาไว้ให้เสียอลังการ พอจะกลับไปวิทยาลัยอาเจ้าก็เอาของกินใส่ปิ่นโตมาให้ทั้งยังหาอาหารที่เก็บได้นาน ๆ จัดใส่กระเป๋าเอาไว้ กลัวว่าหลานชายจะไม่มีอะไรกินเมื่ออยู่ที่นั่นตอนนี้กันต์ธีร์โตเป็นหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาได้พ่อ กำลังเรียนต่อชั้นป.โทจากทุนที่ได้มาทันทีหลังจบป.ตรี ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นหนึ่งในนักวิจัยพรรณพืชของวิทยาลัยแม้เป็นที่ภาคภูมิใจของคนในครอบครัว ทว่าคุณอาไม่ชอบใจเท่าไรที่ที่เรียนที่ทำงานไกลจากบ้านเหลือเกิน เขาอดใจรอหลานเรียนจบ หวังจะได้กลับมาเห็นหน้าค่าตาทุกวันเหมือนวันวานกลายเป็นต้องเหินห่างกันเหมือนเดิมไปอีกหนึ่งปีเสียได้“เดี๋ยวผมจะพยายามกลับมาให้ได้ทุกสัปดาห์นะครับ”“มันจะไม่รบกวนเราไปใช่ไหมกันต์?”เดินทางครั้งหนึ่งนอกจากจะมีค่าใช้จ่ายแล้วยั
กันต์ธีร์ × อาจารย์น้ำหวานคุณอานายสถานีในวัยสามสิบสี่ย่างสามสิบห้านั่งปักผ้าเตรียมทำถุงหอมให้พี่ชายคนรักและกันต์ธีร์ที่จะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์นี้ โดยมีพี่ชายนั่งกกกอดอยู่ด้านหลังซุกไซ้ใบหน้าไปมาตามกิจวัตรอยู่บนเตียงนุ่ม แทนที่จะเรียกว่าเอือมระอาให้เรียกว่าชินชาเสียมากกว่า ทว่าอย่างไร ณ จุดจุดนี้อ้อมกอดของพี่ก็ไม่ได้ทำให้เขาปักผ้าลำบากขึ้นมากนักหรอกเห็นว่ามหาวิทยาลัยกันต์ธีร์อยู่ไกลจึงจำต้องไปอาศัยพักหอในที่ทางมหาวิทยาลัยจัดเอาไว้ให้ ดีที่เจ้าตัวเก่งพอจะได้ทุนการศึกษา ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จึงไม่ได้หนักหนาอะไรมาก เผลอ ๆ อาจราคาพอกันกับสมัยมัธยมเลยกระมังทว่าแม้จะผ่านมาครบหนึ่งปีที่หลานชายที่รักต้องออกไปใช้ชีวิตคนเดียวก็ยังมีเรื่องที่คุณอาคนนี้กังวลใจอยู่ไม่หาย“เฮ้อ...”“ถ้าเหนื่อยก็พักก่อนก็ได้ครับ ค่อยเย็บใหม่วันพรุ่งนี้”“น้องไม่ได้เหนื่อยเรื่องนั้น น้องแค่เป็นห่วงน้องกันต์”“กันต์โตเป็นหนุ่มแล้ว ปล่อยให้เขามีชีวิตเป็นของตัวเองบ้างก็ได้ ไว้มีปัญหาพี่เชื่อว่ากันต์จะมาบอก
“ด้วง เรามาโกนหนวดให้พี่ได้ไหมครับ?”ไกรวิชญ์ในทุกอาทิตย์มักจะเข้ามาอ้อนขอน้องชายถึงสิ่งนี้เป็นประจำ บางครั้งด้วงก็งงงวยว่าทำไมเจ้าพี่เมื่อก่อนก็จัดการเคราบนหน้าได้เองตามปกติแต่ทำไมหลังจากที่เขาโกนให้ครั้งแรกถึงได้ติดอกติดใจนัก“พี่เตรียมของไว้นะ เดี๋ยวผมตามเข้าไป”ด้วงซึ่งอาสาเช็ดโต๊ะทานอาหารหลังมื้อเช้าเสร็จบอกดังนั้นก่อนจะเห็นพี่ไกรเดินเข้าห้องอย่างอารมณ์ดี หากเทียบตัวตนของพี่ไกรวิชญ์เมื่อปีที่เรื่องราวเกิดขึ้นล้านแปดแล้วเหมือนเป็นคนละคนตอนนั้นเขามองหน้าพี่แทบไม่ติดคล้ายจะมีรังสีความน่ากลัวแผ่ออกมาตลอด คุยกันครั้งหนึ่งต้องมีทะเลาะเบาะแว้งไม่ลงรอย แต่มาเดี๋ยวนี้พี่เจ้าแค่มองหน้าเขาก็ยิ้มร่า มักจะชอบวิ่งเข้าหามาช่วยเขาไม่ว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องเล็กแค่ไหน จนบางครั้งก็เหมือนได้เห็นภาพซ้อนของกันต์ธีร์ในวัยเยาว์อย่างไรอย่างนั้น คิดแล้วก็ขำกับตัวเอง นี่เขาเห็นพี่มีนิสัยเหมือนเด็กเล็กอย่างนั้นหรือด้วงคิดสะระตะก่อนเดินไปพาดตากผ้าขี้ริ้วกับระเบียงด้านนอก จัดแจงเก้าอี้ให้เข้าที่แล้วจึงพาตัวเองเดินเข้าห้องนอนไปทำตามที่พี่เจ้าร้องขอไว้
“ไอ้ไกร ยังหมัดหนักเหมือนเดิมเลยนะ”“ขอบคุณครับ”ไกรวิชญ์รู้สึกว่าตัวเองห่างหายจากการซ้อมมวยมานานจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่มาเห็นจะเป็นเมื่อต้นปีที่แล้วก่อนที่จะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นจนเขาไม่มีเวลามากพอจะมาให้เวลากับการฝึกซ้อมที่นี่เป็นลานอเนกประสงค์ซึ่งตำรวจในพื้นที่หากมีเวลาก็จะมานั่งสังสรรค์พักผ่อนจากการทำงานในกรณีวันไหนไม่อยากกลับไปเจอหน้าเมีย (ไอ้พูนที่ก๊งเหล้าประจำนั้นเป็นคนบอกมา) ทว่าสำหรับเขาแล้วที่นี่เหมือนเป็นที่ออกกำลังเสียมากกว่า แถมทำไมเขาจะไม่อยากกลับเจอหน้าคนรักเล่าไกรวิชญ์ซึ่งปลดเสื้อเครื่องแบบออกเหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวเปื้อนเหงื่อเดินกลับมานั่งพักบนแคร่ไม้ไผ่พลางถอดผ้าพันข้อมือ เขาค่อนข้างภาคภูมิใจมากที่วันนี้ข้อนิ้วเขาไม่ได้รับบาดเจ็บจนถลอกจากการต่อยถุงทราย ทั้งยังสภาพการณ์ดีขึ้นเยอะ แบบนี้ด้วงก็ไม่ต้องมาสละเวลานั่งทายาให้แล้ว“โอ๊ย ๆ ปวดไหล่จังเว้ย ไอ้ไกรเอ็งเมื่อก่อนมาซ้อมทุกวันเลยดิ”พูนเดินกลับมาจากลานหลังลองวัดฝีมือกับชาวบ้านในวงท่านหนึ่ง เพราะอยากรู้ว่าตัวเองอยู่ในระดับไหน แต่เอาเข้าจริงเขาที่ถนัดลอบเร้นม
ย้อนกลับไปวันที่ทุกคนจะไม่อยู่บ้านเนื่องจากคุณแม่ที่กลับมาอยู่บ้านหลักสักพักก็คิดจะย้ายกลับมาอย่างเต็มตัว ยิ่งไปกว่านั้นก็อยากพาเจ้าหมึกมาพระนครด้วย ทั้งกันต์ธีร์นัดกับเพื่อนว่าจะไปนอนค้างคืนเล่นอะไรตามประสาในช่วงวันศุกร์-เสาร์ ทำให้เขาและพี่ไกรเหลือกันอยู่สองคนในบ้าน เพราะลุงแดงก็อาสาตามไปช่วยขนสัมภาระกับพี่ชมพู่เมื่อรู้ดังนั้นพวกเขาเลยตกลงกันว่าจะออกไปเที่ยวกันสองคน พี่ไกรจึงเสนอว่าจะพาไปขับรถเล่นหลังจากปล่อยรถนอนในอู่มานานหลายปีจนต้องมีล้างทำความสะอาดไล่ฝุ่นกันนิดหน่อย เมื่อลองเปิดปิดใช้งานเครื่องยนต์ก็ยังสามารถทำงานได้ดีเหมือนเดิมพี่ไกรบอกว่าจะกลับมาขับรถให้มากขึ้น เวลาพาครอบครัวไปไหนมาไหนจะได้ไม่ต้องรอระบบขนส่งสาธารณะไกรวิชญ์ในชุดพร้อมเที่ยวเปิดประตูหน้าคนขับเข้ามาในรถ เมื่อเห็นว่าเครื่องปรับอากาศทำงานได้ดีไม่ร้อนอบอ้าวเขาจึงเดินขึ้นไปตามด้วงให้ลงมา“ไปวันเดียวเอง เราขนอะไรไปเยอะจัง”“ผมไม่ชินเลย ไปกันแค่สองคน”ปกติหากไปเที่ยวจะไปกันทั้งครอบครัว หรืออย่างน้อยก็จะมีกันต์ธีร์มาด้วยอีกคนเสมอ แต่ครั้งนี้เพราะเป็นครั้งแรกมัน
ด้วงเข้าใจดีว่าพี่ชายเป็นตำรวจก็มีล้มลุกคลุกคลานบ้างเวลาไล่ตามโจรผู้ร้ายน้องชายในชุดเครื่องแบบนายสถานีพึ่งเลิกงานมาหมาด ๆ นั่งมองพี่ชายบนเตียงคนไข้ตาเขม็งโดยที่ไกรวิชญ์ไม่สามารถปฏิเสธข้อกล่าวหาได้เป็นพี่พูนที่เอาความมาเล่าสู่กันฟังกับเจ้าแผนและเขาที่สถานีรถไฟ เห็นว่าคราวนี้งานไม่ยากเย็นอะไรเพราะได้ข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ ตัวพี่เองไม่ต้องลงไปอยู่ในสนามรบเองก็ได้ ทั้งพี่พูนเห็นว่าช่วงนี้พี่ไกรมีปัญหาด้านสายตา เริ่มมองระยะไกลๆ ไม่ค่อยชัด จะเอื้อมหยิบเอกสารที่อยู่ห่างออกไปสักหน่อยก็หยิบผิด ๆ ถูก ๆ เพ่งสายตามองนานเป็นนาทีก็ยังอ่านตัวอักษรบนกระดานไม่ออกซึ่งพี่พูนก็ปรามแล้วแต่พี่ไกรก็ยังดื้อแพ่งจับปืนไปลงพื้นที่โดยเมินคำเตือนเหล่านั้นจนได้กระสุนฝังหน้าขามาจนได้ แบบนี้เขาขอหยิกให้เนื้อเขียวหน่อยเถอะ“หายแล้วพี่ไปตัดแว่นใส่เลยนะ”“ไว้ค่อยรอช่างมาตัดให้แม่รอบหน้า-“ไม่ต้องเลย แล้วก็พากันต์ไปด้วย เผื่อมันส่งต่อทางพันธุกรรม”“ครับ...”ไกรวิชญ์เย็นวันนั้นกลับมาบ้านขากะเผลกจนต้องให้น้องชายช่วยประคอง ทั้งที่เมื่อก่อนสมัยยี