ด้วงยังคงอยู่ในชุดนอนเพราะวันนี้กะจะออกสายสักหน่อยเนื่องจากวันก่อนเขาอยู่กะดึกแทนคุณลุงที่ป่วยจึงได้ใช้เวลาช่วงเช้ามาระหว่างการทำข้อตกลง
“เรื่องสารวัตรคนนั้น พี่จะทำยังไงเหรอ?”
ด้วงพูดเพื่อเปิดบทสนทนาทำลายความเงียบขณะเจ้าพี่เดินออกมาจากห้องน้ำ อย่างไรเมื่อวันแรกที่พี่เข้าโรงพยาบาลพระนครนอกจากพี่พูนจะคาบข่าวเรื่องอาการของเจ้าตัวแล้ว ยังบอกเรื่องที่ว่าใครปองร้ายเจ้าพี่อยู่ด้วย เพราะเมื่อขอความร่วมมือ ให้ตำรวจภาคพื้นที่ตรวจสอบหญ้าและน้ำที่ม้าของพี่กินเข้าไปในวันนั้นก็ผมว่ามียาซึ่งเป็นพิษต่อม้าอยู่
นอกจากนั้นสายบังเหียนที่ไม่ควรจะขาดง่าย ๆ ดันมาขาดกลางคันก็เพราะมีคนเอามีดไปเฉือน และทั้งหมดเมื่อสืบจากพยานแวดล้อมมาจนเมื่อวานนี้ทั้งหมดให้การต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นสารวัตรคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนร่วมงานของพี่มีโอกาสเป็นผู้กระทำสูง
“พี่ติดต่อทนายดำเนินเรื่องให้แล้ว”
“ทำไมเขาต้องขนาดนี้ด้วย พี่เกือบเอาชีวิตไม่รอดเลยนะ”
ด้วงมองเจ้าพี่ที่ถอดเฝือกแขนแล้วกำลังแต่งเนื้อแต่งตัวสวมเครื่องแบบตำรวจจัดแต่งผมอยู่หน้ากระจก แขนทั้งสองข้างรวมทั้งข้
เนื่องจากตลอดมาสน.ของพวกเรารับแต่งานหนัก ๆ เข้ามากันทั้งนั้น วันนี้จึงเหมือนเป็นวันสรุปรวบยอดผลงานทั้งหมดที่ทำเพื่อส่งไปให้สำนักงานใหญ่ประเมินไหนตอนกลางวันยังมีเรื่องแปลก ๆ ของชาวบ้านที่เข้ามาร้องทุกข์ใส่ร้ายคนอื่นว่าเป็นปอบมาขโมยไก่อีก เป็นเรื่องวุ่นวายเพราะต่างคนต่างตีกันไม่เลิกกลางสน. กว่าจะจัดการอะไรเสร็จก็ปาไปสองทุ่มเศษ สุดท้ายกว่าเขาจะพาตัวเองเข้าบ้านมาได้ก็ปาไปสามทุ่มตรง อยากนอนกอดด้วงจะตายอยู่แล้ว!’ไกรวิชญ์หอบร่างกายอันเหนื่อยอ่อนของตัวเองขึ้นมายังชั้นสอง เพราะทานมื้อเย็นเป็นของฝากจากเพื่อนตำรวจมาแล้วจึงสามารถอาบน้ำเข้านอนได้เลยทันที ดูจากการที่ไม่มีไฟออกมาจากร่องประตูบานเลื่อน ป่านนี้ทุกคนในบ้านคงเข้านอนกันหมดแล้วกระมังคุณพ่อตำรวจเดินเข้าไปเปิดไฟกลางบ้านให้มองเห็นอะไรได้ชัด ๆ วางกระเป๋าบนโต๊ะทานข้าว วกกลับมาล็อกกลอนประตูระหว่างชั้นสองกับระเบียง กะจะจุดตะเกียงเดินไปปิดไฟอีกครั้ง ทว่าเมื่อทั้งบ้านมีเพียงแสงตะเกียง เขากลับสังเกตเห็นว่าหลังบานประตูห้องนอนเขายังมีแสงลอดออกมาอยู่ ป่านนี้แล้วด้วงยังไม่เข้านอนอีกหรือไรไกรวิชญ์เดินถือตะเกี
ไกรวิชญ์อดทนมาตลอด ไม่ใช่แค่ตอนที่น้องชายเปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าวับ ๆ แวม ๆ ทว่าตั้งแต่วันแรกที่ได้นอนเตียงเดียวกัน เขาไม่อยากเป็นตาแก่ตัณหากลับในสายตาด้วงจึงควบคุมอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของตัวเองมาเสมอมา ไหนจะเรื่องในอดีตที่เป็นปมฝังใจ แม้จะไม่ถึงขั้นถูกกระทำชำเราแต่เพียงแค่รู้ว่าร่างกายตัวเองมีคนจ้องจะเอาเปรียบอยู่ ด้วงก็คงเสียความรู้สึกไปไม่ใช่น้อย และเขาไม่อยากเป็นคนคนนั้นในวันที่เขาเปิดประตูเข้ามาแล้วพบว่าด้วงไม่ได้สวมกางเกง ทั้งยังสะลึมสะลือตื่นขึ้นมานั่งคุดคู้บอกต้อนรับเขาเป็นสิ่งที่น่ารักน่าชังเกินจะบรรยาย ทว่าเขารู้ตัวเองดีว่าหากมองไปมากกว่านี้มันจะไม่จบแค่กล่าวราตรีสวัสดิ์แล้วเข้านอนแน่ ๆ เขาจึงรีบโผเข้าไปคว้าผ้าห่มมาห่อตัวน้องชายเอาไว้มิดชิด ปิดตาสนิทไม่ให้มันไปแทะโลมสัดส่วนโค้งเว้าใต้เสื้อตัวบาง จัดแจงหากางเกงกันหนา
สองเต้าเต่งตึงจากการบีบเคล้นด้วยแรงมหาศาล แต่งแต้มด้วยรอยขบเม้มฝังเขี้ยวมากเกินจะบรรยาย การที่เขาติดใจมันมากถึงขนาดนี้คงเพราะทุกครั้งที่ได้ลิ้มรสเหมือนตัวเองกำลังได้กัดกินก้อนแป้งนุ่มหยุ่นอย่างไรอย่างนั้น“อ๊ะ!”นั่นส่งผลให้ไม่ว่าจะเป็นการลากนิ้วผ่านหรือแตะเบา ๆ ไปยังยอดอกชูชัน เจ้าของร่างบนตักจึงเปล่งเสียงครางหวานออกมาให้สดับฟังได้ตลอดเวลาไกรวิชญ์ตลอดการนั่งฟังน้องชายอธิบายใช่ว่าจะกักเก็บอารมณ์ได้มิดชิดเพราะมันไปรวมกันยังส่วนกลางกายจนครั้งนี้มันบ
“อือ...อื้อ...”ไอร้อนจากอากาศนอกหน้าต่างชวนให้คนที่ยังนอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่มต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ทว่าเมื่อหรี่ตาขึ้นมองบรรยากาศแวดล้อมห้องยังคงมืดสนิท แต่สิ่งที่ทำให้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลากลางวันคงจะเป็นแสงที่เล็ดลอดเข้ามาผ่านรูหน้าต่างด้วงในตอนนี้รู้สึกปวดเนื้อปวดตัวมากกว่าเมื่อคืนหลังร่วมเตียงกันเสร็จใหม่ ๆ เสียอีก แต่มันก็ใช่จะทำให้เขาเดินไม่ได้แต่ถ้าเลือกได้ก็ขอนอนอยู่เฉย ๆ จนกว่าจะหายปวดดีกว่าเมื่อคืนเขาไม่ได้ส่องกระจกตรวจสภาพตัวเองชัด ๆ เพราะกว่าจะจบคืนเขาก็ง่วงงุนจนคิดอยากจะนอนลูกเดียว ทว่าหากให้เดาบนผิวส่วนที่คันยุบยิบไม่หยุดมาตั้งแต่ตื่นคงจะเต็มไปด้วยรอยฝังเขี้ยวของพี่ไกรเป็นแน่ด้วยนิสัยอยากรู้อยากเห็นด้วงจึงมุดตัวเข้าไปในผ้าห่มเพื่อลองกดนิ้วไปตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย“อึก!”เจ็บ...ทุกตรงเลยด้วงพลิกตัวเพราะความเมื่อยล้าบริเวณหลัง พอได้นอนคว่ำแบบนี้แล้วค่อยสบายขึ้นมาหน่อยถึงแผลช่วงอกจะถูกทับจนคันขึ้นมาบ้างก็ตามตอนนี้พี่ไกรไม่อยู่ในห้อง และเขาได้ยินเสียงพูดคุยระหว่างสองย่าหลานแว่วเข้ามา กัน
ฤดูหนาววนมาบรรจบกันอีกครั้งในอีกหลายปีต่อมา อากาศในย่านครึกครื้นของพระนครยังคงอุดมไปด้วยลมเย็นและไอแห้งผากชวนให้นายสถานีในเครื่องแบบสีกากีและผ้าพันคอสีม่วงแก่รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาโดยพลันเมื่อรถไฟที่เข้ามาพาลมแรงมาด้วยด้วงกระชับผ้าพันคอผืนใหม่ของปีนี้ให้ชิดขึ้น ตลอดช่วงเวลาตั้งแต่แม่มาลีย้ายข้าวของกลับมาอยู่บ้านที่เมืองหลวงอย่างเต็มตัว นอกจากจะพกเสื้อผ้า สัมภาระ และแมวมาด้วยแล้วยังมีงานอดิเรกใหม่นั่นคือการถักไหมพรม เจ้าหล่อนชื่นชอบในการนั่งตากพัดลมเชยชมธรรมชาติรอบบ้านไปพร้อมกับการนั่งฟังวิทยุและถักเส้นไหมพรมเป็นข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ มากในตอนแรกสิ่งที่ถักได้ก็เป็นสิ่งของเครื่องใช้เครื่องแขวนเล็ก ๆ เช่นที่รองแก้ว ปลอกคอแมว ที่ห้อยพวงกุญแจ แต่เดี๋ยวนี้เจ้าหล่อนมีฝีมือมากขึ้นทั้งยังได้ทำความรู้จักกับสมาคมแม่บ้านในชุมชนตำรวจจึงได้แบ่งปันประสบการณ์ในครัวเรือนกัน จนตอนนี้หญิงเจ้าสามารถถักไหมพรมทำเป็นเสื้อทั้งตัวได้แล้วด้วงที่ได้รับมันมาพร้อมกับผ้าพันคอผืนใหม่คิดจะใส่มาสถานีเพื่อกันหนาว แต่คิดอีกทีมันคงจะเกะกะรุงรังน่าดูเพราะมันยาวลงมาปิดต้นขาไม่ต่าง
ดันกิ × เจียมดันกิจำได้เป็นแม่นเหมาะว่าเมื่อราว ๆ หนึ่งปีก่อนซึ่งเป็นช่วงที่เขาย้ายตัวเองจากการเป็นสายสืบรายการลับที่ต่างจังหวัดในประเทศไทยเข้ามายังพระนคร นอกจากจะต้องตะบี้ตะบันหางานทำในสภาวะที่คนไทยต่างก็รังเกียจคนญี่ปุ่นที่เข้ามารุกรานอยู่นั้นเองในที่สุดเขาก็ได้เข้าสู่รอบสัมภาษณ์การเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาภาษาต่างประเทศ เอกภาษาญี่ปุ่น ประจำวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเขตใกล้เคียงทว่ารู้แต่ที่อยู่ตอนที่ส่งจดหมายไปสมัครไป แต่ไม่รู้วิธีการเดินทางมันก็เท่านั้น เขาได้แต่เดินอย่างสิ้นหวัง เขาว่าก็สื่อสารภาษาไทยได้พอสมควรจากการสอนส่วนตัวตามบ้านเศรษฐีและการตระเวนชิมอาหารไปทั่วทุกสารทิศ แต่ทำไมพอได้ยินสำเนียงแปร่งหูแม่ค้ารายทางจำต้องทำหน้าขยะแขยงหอบข้าวหอบของหนีกันเป็นแถว หรือว่าเขาหล่อไม่พอหรือเปล่า หรือว่าเขาแต่งตัวไม่เนียนพอจะเป็นครู หรือจริง ๆ แล้วมีชาวบ้านสืบรู้มาว่าเขาเป็นทหารก่อนจะเอามาบอกปากต่อปากคุณครูชาวญี่ปุ่นผู้อาภัพนั่งเหี่ยวหดอยู่ยังขั้นบันไดที่ไหนสักแห่ง เพราะเขาเหนื่อยเกินกว่าจะเงยหน้าขึ้นมองป้าย หรือถึงมองก็อ่านไม่
ย้อนไปเมื่อคราวที่เขาตกลงปลงใจจะมานอนร่วมห้องกับพี่ไกรและยกห้องนอนของตัวเองให้เป็นห้องนอนส่วนตัวของแม่มาลีอย่างเต็มตัว เขานั้นจำต้องเก็บข้าวเก็บของทำความสะอาดครั้งใหญ่และตรวจทานทุกอย่างภายในห้องให้สะอาดพร้อมใช้แม่เขาก็ดีอกดีใจมีห้องนอนเป็นของตัวเองหลังจากต้องนอนห้องเขาบ้างห้องหลานชายบ้างแล้วแต่อารมณ์ว่าวันไหนอยากนอนกับลูก วันไหนอยากนอนกับหลานทว่าแม่เจ้าผู้มีประสบการณ์มากกว่าเมื่อรู้วันที่เขาจะเข้าไปนอนกับพี่ก็บอกเคล็ดลับนู่นนี่ตามฉบับอดีตภรรยานายตำรวจให้เขาฟังจนเขินหน้าแดงไปหมด ตอนนั้นเขายังไม่ได้คิดไปถึงเรื่องราวแบบนั้นเลยเสียด้วยซ้ำ นี่แม่อยากทำให้เขาหมกมุ่นลามกหรือไรด้วงในช่วงสายของวันเสาร์ทยอยยกสัมภาระ กล่องรวมของกระจุกกระจิกและชุดเครื่องอาบน้ำส่วนตัวย้ายเข้าห้องจนมาถึงการขนย้ายเสื้อผ้าซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายและง่ายเป็นอันดับแรก เพราะก็มีแค่ชุดทำงานชุดนอนกับชุดสุภาพอีกไม่กี่ชุดเดินเวียนสองสามรอบก็หมดตู้ จนเมื่อคราวเขาจะพับเก็บผ้าขนหนูสำรองใช้ ณ ลิ้นชักชั้นล่างของตู้เสื้อผ้าก็บังเอิญไปเห็นเข้ากับกล่องปริศนาบางอย่างซ่อนเอาไว้ยังด้านในสุดด้
การกลับมาของคุณแม่ทำให้สถานการณ์ทางบ้านเปลี่ยนไปหลายอย่าง จากทุกสิ้นปีพวกเขาจะเดินทางไปเยี่ยมเจ้าหล่อนโดยแวะพักทานอาหารกลางวันในร้านใหญ่แทนมื้อพิเศษทีเดียว ทว่าคราวนี้สิ้นปีมาถึง แทนที่จะกลับบ้านนาทุกคนในบ้านลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ว่าอยากไปเที่ยวต่างจังหวัดกระนั้นก็เลือกลำบากว่าจะไปจังหวัดไหน เพราะบ้านนี้ไม่ค่อยเที่ยว มากที่สุดก็เป็นด้วงที่คอยพาน้องกันต์ไปเที่ยวรอบเมือง จนเมื่อกันต์ธีร์รู้มาว่าเพื่อนตัวเองทำโรงแรมอยู่ชลบุรี เมื่อนั้นทุกคนจึงเตรียมเสื้อกันหนาวไปเที่ยวกันอย่างพร้อมเพรียง เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้ที่นั่นจะอากาศหนาวสักแค่ไหนกันเชียวต้องขอบคุณเส้นสายของกันต์ธีร์ที่โทรศัพท์ประสานกับเพื่อนให้จนพวกเขาได้ตารางการท่องเที่ยวและร้านอาหารมากมายมาอยู่ในกำมือโดยไม่ต้องหาเองให้วุ่นวาย เนื่องจากการเข้าพักโรงแรมต้องไปลงพื้นที่อย่างเดียวจึงจะรู้ หากสุ่มโดนที่ไร้คุณภาพแล้วละก็มันคงเป็นฝันร้ายตลอดการท่องเที่ยวเลยเชียวหากเป็นจังหวัดใกล้เคียงไกรวิชญ์คงขับรถไฟเองแต่คราวนี้เล่นไปไกล พวกเขาจึงพากันถือกระเป๋ามาขึ้นรถไฟ“พี่ มื้อเช้าจะซื้อของบนรถไฟกินไห
“ตื่นมาก็ทำงานเลยหรือ?”องค์กษัตริย์ไถ่ถามมเหสี ที่เคยนอนด้วยกันปกติจะเป็นเขาที่ออกมาทันทีหลังแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จเนื่องจากมีราชกิจกับเหล่าเสนาบดี แต่วันนี้เนื่องจากเป็นวันดีที่จะได้ไปส่งมเหสีขึ้นเกี้ยวกลับไปเยี่ยมมารดาพวกเขาจึงตื่นสายหน่อยและให้เวลาส่วนตัวแก่มเหสีคนใหม่ จึงมาอาบน้ำด้วยตัวเอง“ข้าไม่คิดว่าท่านจะทำได้จึงมีงานวังหลังเหลืออยู่”“เช่นนั้นเจ้าก็เลือกสนมรองขึ้นมาช่วยงานสิ งานบัญชีเยอะเช่นนี้เจ้าทำคนเดียวไม่ไหวหรอก”“หากข้าเลือกขึ้นมาแล้วท่านสัญญาได้ไหมว่าจะปันเวลาให้พวกนาง”เขาไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบเดิมซ้ำสอง อย่างไรพระสนมส่วนใหญ่ถึงบางรายอาจไม่แสดงออกแต่ลึก ๆ ทุกคนล้วนต้องการความรักจากองค์จักรพรรดิทั้งสิ้น“ข้าทำไม่ได้มเหสี”“เช่นนั้นก็สมควรแล้วที่ข้าจำต้องตื่นแต่เช้ามาทำงานแต่เพียงผู้เดียว”ว่าแล้วอดีตพระสนมจึงวางพู่กันลงลุกขึ้นจากเบาะรองนั่งเดินตรงไปยังส่วนอาบน้ำโดยไม่แม้แต่จะสบตาพระสวามีผู้ทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองได้ปิ่นปักผมหงส์กนกมาครองแม้วันนี้พวกเขาจะมีนัดไปเยี่ยมมารดาแต่ก็ยังคงตื่
“ท่านพี่ ท่านพี่เพคะ ท่านพี่ว่าปิ่นปักผมชิ้นนี้เข้ากับน้องไหมเพคะ?”เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงในชุดผ้าแพรยาวสีสันสดใสพร้อมด้วยสองมวยผมที่จับมักเป็นมวยกลมตกแต่งด้วยดอกไม้หยกห้อยระย้าประดับกรอบหน้างามอย่างคุณหนูลูกสาวขุนนางใหญ่ เธอหยิบปิ่นปักผมดอกกล้วยไม้ขึ้นมาทาบศีรษะกล่าวถามเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันที่ปลอมตัวเป็นคนรวยเข้ามาเดินเล่นในชุมชนในกลางเมืองเด็กหนุ่มผมหยักศกสีน้ำตาลผินใบหน้าแววตาเหยียดมองคู่หมั้นที่ติดสอยห้อยตามเขามาด้วย ทำเอาเสียอารมณ์ไม่ใช่น้อย แทนที่จะได้เดินดูทุกข์ราษฎรแล้วเอาไปเขียนรายงานส่งท่านอาจารย์กลายเป็นต้องมาดูแลประคบประหงมลูกคุณหนูเสียอย่างนั้น“กระจกก็มีเจ้าไม่ส่องดูเอาเองล่ะ”ไร้ซึ่งความเห็นใจ เด็กหนุ่มตอบเสียงแข็งเดินสะบัดก้นหนีจนองครักษ์ซึ่งติดตามมาด้วยถึงกับทำตัวไม่ถูกเฉกเช่นเดียวกับพระคู่หมั้นที่ยืนตัวแข็งทื่อไปแล้วองค์รัชทายาทในวัยสิบสองขวบปีเดินกระชับปีกหมวกคล้องลูกปัดหลบเลี่ยงมายังตรอกซอกซอยหนึ่งโดยมีองครักษ์ในชุดชาวบ้านเดินติดสอยห้อยตามมาคุ้มครองด้วย‘เดินถัดจากตลาดมานิดเดียวก็เจอศพคนตายแล้ว’
ชนชั้นในสถานที่อันปวงประชาภายนอกรั้วมองเข้ามาล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันถึงสิ่งปลูกสร้างอันประณีตงดงาม สวนดอกไม้อันเขียวชอุ่มและอาหารเลิศรสที่สามัญชนแม้เฝ้าเก็บเงินมาทั้งชีวิตก็ไม่สามารถลิ้มลองจานของโอรสสวรรค์ได้ท่ามกลางความอู้ฟู่โอฬารเหล่านั้น ภาพสวยหรูที่ใครต่อใครซึ่งพรายกระซิบกันมาผ่านกำแพงสูงกลับถูกสกัดด้วยมุมมืดของวังหลวงแห่งนี้พระราชโอรสได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นกษัตริย์เมื่อพระราชบิดาสิ้นอายุขัย พระคู่หมั้นเข้าพิธีอภิเษกสมรสและได้ครอบครองปิ่นปักผมหงส์กนกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระมารดาแห่งแผ่นดิน ทั้งสองปกครองเคียงคู่กันมาจนให้กำเนิดองค์รัชทายาท เป็นที่รักใคร่เอ็นดูต่อเหล่านางกำนัลน้อยใหญ่พระราชโอรสชาญฉลาดนัก ใฝ่เรียนใฝ่รู้ทุกสิ่งรอบตัวเป็นอาจิณ กระนั้นยังคงไว้ซึ่งประกายสดใสในแววตาเปล่งปลั่ง ประหนึ่งดวงตะวันน้อยที่ค่อย ๆ เจริญเติบโตและกลายมาเป็นที่พึ่งพิงของผืนฟ้าจนมาวันหนึ่ง ท่ามกลางโต๊ะไม้สักลายมังกรวางเรียงรายด้วยจานอาหาร เมื่อพระมเหสีได้ตักเนื้อข้าวเสวยเข้าไปเพียงคำเดียว เสียงช้อนเงินซึ่งค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีดำร่วงหล่น
"กันต์มาทำงานใกล้บ้านไม่ได้เหรอ อาไม่อยากให้เราไปอยู่ที่ไหนนาน ๆ เลย”“ผมไปอยู่นั่นแค่ปีเดียว เดี๋ยวก็ได้ย้ายมาศูนย์พระนครแล้วครับ”จนแล้วจนรอดคุณอาที่เลี้ยงดูหลานชายมาตั้งแต่ยังแบเบาะจนยามนี้มีงานมีการทำก็ยังเป็นห่วงแล้วเป็นห่วงอีก กลับมาบ้านครั้งหนึ่งก็จัดอาหารชุดใหญ่เอาไว้ให้เสียอลังการ พอจะกลับไปวิทยาลัยอาเจ้าก็เอาของกินใส่ปิ่นโตมาให้ทั้งยังหาอาหารที่เก็บได้นาน ๆ จัดใส่กระเป๋าเอาไว้ กลัวว่าหลานชายจะไม่มีอะไรกินเมื่ออยู่ที่นั่นตอนนี้กันต์ธีร์โตเป็นหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาได้พ่อ กำลังเรียนต่อชั้นป.โทจากทุนที่ได้มาทันทีหลังจบป.ตรี ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นหนึ่งในนักวิจัยพรรณพืชของวิทยาลัยแม้เป็นที่ภาคภูมิใจของคนในครอบครัว ทว่าคุณอาไม่ชอบใจเท่าไรที่ที่เรียนที่ทำงานไกลจากบ้านเหลือเกิน เขาอดใจรอหลานเรียนจบ หวังจะได้กลับมาเห็นหน้าค่าตาทุกวันเหมือนวันวานกลายเป็นต้องเหินห่างกันเหมือนเดิมไปอีกหนึ่งปีเสียได้“เดี๋ยวผมจะพยายามกลับมาให้ได้ทุกสัปดาห์นะครับ”“มันจะไม่รบกวนเราไปใช่ไหมกันต์?”เดินทางครั้งหนึ่งนอกจากจะมีค่าใช้จ่ายแล้วยั
กันต์ธีร์ × อาจารย์น้ำหวานคุณอานายสถานีในวัยสามสิบสี่ย่างสามสิบห้านั่งปักผ้าเตรียมทำถุงหอมให้พี่ชายคนรักและกันต์ธีร์ที่จะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์นี้ โดยมีพี่ชายนั่งกกกอดอยู่ด้านหลังซุกไซ้ใบหน้าไปมาตามกิจวัตรอยู่บนเตียงนุ่ม แทนที่จะเรียกว่าเอือมระอาให้เรียกว่าชินชาเสียมากกว่า ทว่าอย่างไร ณ จุดจุดนี้อ้อมกอดของพี่ก็ไม่ได้ทำให้เขาปักผ้าลำบากขึ้นมากนักหรอกเห็นว่ามหาวิทยาลัยกันต์ธีร์อยู่ไกลจึงจำต้องไปอาศัยพักหอในที่ทางมหาวิทยาลัยจัดเอาไว้ให้ ดีที่เจ้าตัวเก่งพอจะได้ทุนการศึกษา ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จึงไม่ได้หนักหนาอะไรมาก เผลอ ๆ อาจราคาพอกันกับสมัยมัธยมเลยกระมังทว่าแม้จะผ่านมาครบหนึ่งปีที่หลานชายที่รักต้องออกไปใช้ชีวิตคนเดียวก็ยังมีเรื่องที่คุณอาคนนี้กังวลใจอยู่ไม่หาย“เฮ้อ...”“ถ้าเหนื่อยก็พักก่อนก็ได้ครับ ค่อยเย็บใหม่วันพรุ่งนี้”“น้องไม่ได้เหนื่อยเรื่องนั้น น้องแค่เป็นห่วงน้องกันต์”“กันต์โตเป็นหนุ่มแล้ว ปล่อยให้เขามีชีวิตเป็นของตัวเองบ้างก็ได้ ไว้มีปัญหาพี่เชื่อว่ากันต์จะมาบอก
“ด้วง เรามาโกนหนวดให้พี่ได้ไหมครับ?”ไกรวิชญ์ในทุกอาทิตย์มักจะเข้ามาอ้อนขอน้องชายถึงสิ่งนี้เป็นประจำ บางครั้งด้วงก็งงงวยว่าทำไมเจ้าพี่เมื่อก่อนก็จัดการเคราบนหน้าได้เองตามปกติแต่ทำไมหลังจากที่เขาโกนให้ครั้งแรกถึงได้ติดอกติดใจนัก“พี่เตรียมของไว้นะ เดี๋ยวผมตามเข้าไป”ด้วงซึ่งอาสาเช็ดโต๊ะทานอาหารหลังมื้อเช้าเสร็จบอกดังนั้นก่อนจะเห็นพี่ไกรเดินเข้าห้องอย่างอารมณ์ดี หากเทียบตัวตนของพี่ไกรวิชญ์เมื่อปีที่เรื่องราวเกิดขึ้นล้านแปดแล้วเหมือนเป็นคนละคนตอนนั้นเขามองหน้าพี่แทบไม่ติดคล้ายจะมีรังสีความน่ากลัวแผ่ออกมาตลอด คุยกันครั้งหนึ่งต้องมีทะเลาะเบาะแว้งไม่ลงรอย แต่มาเดี๋ยวนี้พี่เจ้าแค่มองหน้าเขาก็ยิ้มร่า มักจะชอบวิ่งเข้าหามาช่วยเขาไม่ว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องเล็กแค่ไหน จนบางครั้งก็เหมือนได้เห็นภาพซ้อนของกันต์ธีร์ในวัยเยาว์อย่างไรอย่างนั้น คิดแล้วก็ขำกับตัวเอง นี่เขาเห็นพี่มีนิสัยเหมือนเด็กเล็กอย่างนั้นหรือด้วงคิดสะระตะก่อนเดินไปพาดตากผ้าขี้ริ้วกับระเบียงด้านนอก จัดแจงเก้าอี้ให้เข้าที่แล้วจึงพาตัวเองเดินเข้าห้องนอนไปทำตามที่พี่เจ้าร้องขอไว้
“ไอ้ไกร ยังหมัดหนักเหมือนเดิมเลยนะ”“ขอบคุณครับ”ไกรวิชญ์รู้สึกว่าตัวเองห่างหายจากการซ้อมมวยมานานจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่มาเห็นจะเป็นเมื่อต้นปีที่แล้วก่อนที่จะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นจนเขาไม่มีเวลามากพอจะมาให้เวลากับการฝึกซ้อมที่นี่เป็นลานอเนกประสงค์ซึ่งตำรวจในพื้นที่หากมีเวลาก็จะมานั่งสังสรรค์พักผ่อนจากการทำงานในกรณีวันไหนไม่อยากกลับไปเจอหน้าเมีย (ไอ้พูนที่ก๊งเหล้าประจำนั้นเป็นคนบอกมา) ทว่าสำหรับเขาแล้วที่นี่เหมือนเป็นที่ออกกำลังเสียมากกว่า แถมทำไมเขาจะไม่อยากกลับเจอหน้าคนรักเล่าไกรวิชญ์ซึ่งปลดเสื้อเครื่องแบบออกเหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวเปื้อนเหงื่อเดินกลับมานั่งพักบนแคร่ไม้ไผ่พลางถอดผ้าพันข้อมือ เขาค่อนข้างภาคภูมิใจมากที่วันนี้ข้อนิ้วเขาไม่ได้รับบาดเจ็บจนถลอกจากการต่อยถุงทราย ทั้งยังสภาพการณ์ดีขึ้นเยอะ แบบนี้ด้วงก็ไม่ต้องมาสละเวลานั่งทายาให้แล้ว“โอ๊ย ๆ ปวดไหล่จังเว้ย ไอ้ไกรเอ็งเมื่อก่อนมาซ้อมทุกวันเลยดิ”พูนเดินกลับมาจากลานหลังลองวัดฝีมือกับชาวบ้านในวงท่านหนึ่ง เพราะอยากรู้ว่าตัวเองอยู่ในระดับไหน แต่เอาเข้าจริงเขาที่ถนัดลอบเร้นม
ย้อนกลับไปวันที่ทุกคนจะไม่อยู่บ้านเนื่องจากคุณแม่ที่กลับมาอยู่บ้านหลักสักพักก็คิดจะย้ายกลับมาอย่างเต็มตัว ยิ่งไปกว่านั้นก็อยากพาเจ้าหมึกมาพระนครด้วย ทั้งกันต์ธีร์นัดกับเพื่อนว่าจะไปนอนค้างคืนเล่นอะไรตามประสาในช่วงวันศุกร์-เสาร์ ทำให้เขาและพี่ไกรเหลือกันอยู่สองคนในบ้าน เพราะลุงแดงก็อาสาตามไปช่วยขนสัมภาระกับพี่ชมพู่เมื่อรู้ดังนั้นพวกเขาเลยตกลงกันว่าจะออกไปเที่ยวกันสองคน พี่ไกรจึงเสนอว่าจะพาไปขับรถเล่นหลังจากปล่อยรถนอนในอู่มานานหลายปีจนต้องมีล้างทำความสะอาดไล่ฝุ่นกันนิดหน่อย เมื่อลองเปิดปิดใช้งานเครื่องยนต์ก็ยังสามารถทำงานได้ดีเหมือนเดิมพี่ไกรบอกว่าจะกลับมาขับรถให้มากขึ้น เวลาพาครอบครัวไปไหนมาไหนจะได้ไม่ต้องรอระบบขนส่งสาธารณะไกรวิชญ์ในชุดพร้อมเที่ยวเปิดประตูหน้าคนขับเข้ามาในรถ เมื่อเห็นว่าเครื่องปรับอากาศทำงานได้ดีไม่ร้อนอบอ้าวเขาจึงเดินขึ้นไปตามด้วงให้ลงมา“ไปวันเดียวเอง เราขนอะไรไปเยอะจัง”“ผมไม่ชินเลย ไปกันแค่สองคน”ปกติหากไปเที่ยวจะไปกันทั้งครอบครัว หรืออย่างน้อยก็จะมีกันต์ธีร์มาด้วยอีกคนเสมอ แต่ครั้งนี้เพราะเป็นครั้งแรกมัน
ด้วงเข้าใจดีว่าพี่ชายเป็นตำรวจก็มีล้มลุกคลุกคลานบ้างเวลาไล่ตามโจรผู้ร้ายน้องชายในชุดเครื่องแบบนายสถานีพึ่งเลิกงานมาหมาด ๆ นั่งมองพี่ชายบนเตียงคนไข้ตาเขม็งโดยที่ไกรวิชญ์ไม่สามารถปฏิเสธข้อกล่าวหาได้เป็นพี่พูนที่เอาความมาเล่าสู่กันฟังกับเจ้าแผนและเขาที่สถานีรถไฟ เห็นว่าคราวนี้งานไม่ยากเย็นอะไรเพราะได้ข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ ตัวพี่เองไม่ต้องลงไปอยู่ในสนามรบเองก็ได้ ทั้งพี่พูนเห็นว่าช่วงนี้พี่ไกรมีปัญหาด้านสายตา เริ่มมองระยะไกลๆ ไม่ค่อยชัด จะเอื้อมหยิบเอกสารที่อยู่ห่างออกไปสักหน่อยก็หยิบผิด ๆ ถูก ๆ เพ่งสายตามองนานเป็นนาทีก็ยังอ่านตัวอักษรบนกระดานไม่ออกซึ่งพี่พูนก็ปรามแล้วแต่พี่ไกรก็ยังดื้อแพ่งจับปืนไปลงพื้นที่โดยเมินคำเตือนเหล่านั้นจนได้กระสุนฝังหน้าขามาจนได้ แบบนี้เขาขอหยิกให้เนื้อเขียวหน่อยเถอะ“หายแล้วพี่ไปตัดแว่นใส่เลยนะ”“ไว้ค่อยรอช่างมาตัดให้แม่รอบหน้า-“ไม่ต้องเลย แล้วก็พากันต์ไปด้วย เผื่อมันส่งต่อทางพันธุกรรม”“ครับ...”ไกรวิชญ์เย็นวันนั้นกลับมาบ้านขากะเผลกจนต้องให้น้องชายช่วยประคอง ทั้งที่เมื่อก่อนสมัยยี