“ขอบใจนะเสี่ยวเหยา หว่านชิงฉันล่ะอิจฉาหล่อนเสียจริง ลูก ๆ หล่อนนี่มีแต่คนกตัญญูรู้ความ ไม่เหมือนคนบ้านฉันเลยหนีไปอยู่ในเมืองไม่กลับมาหาพ่อแม่” หญิงแซ่จางแม้ปากจะพูดแบบนี้ แต่ในใจของหล่อนกลับรู้สึกภูมิใจที่ลูกชายลูกสะใภ้ได้ทำงานในโรงงานทอผ้ามีเงินเดือนที่มั่นคง
“ไม่ดีขนาดที่เธอพูดหรอก ลูกกับสะใภ้หล่อนสิมีการงานที่มั่นคงทำก็คอยส่งเงินมาให้ ของหล่อนดีกว่าฉันอีก วันนี้ฉันขอตัวกลับก่อนนะ” หว่านชิงกล่าวชมหญิงวัยเดียวกันกลับไป
‘แม่ก็คือแม่ตัวจริงไรจริงพูดชมคนที่ข่มตนได้อย่างแนบเนียน’ ซูเหยานึกชมแม่ผู้บังเกิดเกล้าด้วยความนับถือ
แม่และลูกสาวหลังจากกล่าวลาภรรยาผู้ใหญ่บ้าน ก็พากันเดินกลับบ้านของตน แต่ในระหว่างที่ทั้งสองยังเดินไปไม่ไกล ซูเหยาคิดอยากจะเห็นหน้าพี่สะใภ้ เธอจึงลองกล่าวชวนแม่ขึ้นมา
“แม่คะ พวกเราไปแอบดูพี่สะใภ้สามกันดีไหม” หว่านชิงที่ได้ยินข้อเสนอของลูกสาวเธอก็พยักหน้าอย่างเต็มใจ
และตอนนี้หญิงสาวต่างวัยทั้งสองคนก็เดินมายังบริเวณไร่ข้าวโพด คนทั้งสองพยายามมองหาหญิงสาวผมสั้นตามลักษณะที่ได้รู้มา
“กลับบ้านกันค่ะแม่ ฉันจะไปเตรียมสินสอด” ซูเหยาพูดพร้อมกับนำแขนของตนคล้องไปที่ท่อนแขนผอมของหว่านชิง“ดีดี กลับบ้าน” ผู้เป็นแม่ตอบรับอย่างพอใจ หลังจากนั้นหญิงสาวต่างวัยก็เดินคุยกระหนุงกระหนิงกันเรื่อยเปื่อยตามประสาทางด้านสาวผมสั้นผู้ไม่รู้ว่า แม่สามีได้มาลองใจตนในระหว่างที่เดินกลับบ้านกับเพื่อนสาว เธอก็ได้สนทนากันถึงเรื่องคุณป้าที่เจอ“ฉันเป็นห่วงป้าคนนั้นจังเลี่ยงซู เธอว่าเขาจะไม่เป็นอะไร จริง ๆ ใช่ไหม” น้ำเสียงกังวลถามเพื่อนที่เดินข้างกัน“หล่อนคงไม่เป็นอะไรหรอกเธอก็เห็นนี่ หลังจากที่เราเดินมาไกลแล้วก็มีคนเดินเข้าไปหาเขาพอดี ฉันว่าป่านนี้ป้าคนนั้นน่าจะกลับถึงบ้านก่อนเราก็ได้”“ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดี จะว่าไปฉันก็ลืมถามชื่อป้าคนนั้นเสียด้วย หากรู้ชื่อก็พอจะถามหาข่าวของแกกับคนอื่นได้บ้าง จะบอกหน้าตาก็ไม่ได้อีกคุณป้าแกปิดหน้าเสียมิด” หนิงเหอ พูดขึ้นอย่างเสียดาย“เอาน่าหากมีวาสนาก็เจอกันเองนั่นแหละ” เลี่ยงซูบอกเพื่อนจากนั้นคนทั้งสองก็สนทนาเรื่องอื่นกันไปจนเดินมา
“เสี่ยวหนิงเพื่อนรักหากเธอได้ดีก็อย่าลืมพวกเรานะ” เลี่ยงซูแกล้งเอาใบหน้าของตนถูที่ต้นแขนของเพื่อนอย่างออดอ้อน“หล่อนไม่ต้องมาแสร้งทำตัวน่ารักเลย เป็นหล่อนขายฉันแลกอาหารไม่ใช่เหรอ” หนิงเหอแสร้งตัดพ้อ“แหม ๆ ถ้าเธอไม่ถูกใจเขามีหรือเธอจะยอมให้เขาได้โอกาสส่งแม่สื่อมา ทำไมฉันไม่มีวาสนาแบบนี้บ้าง” หญิงสาวแสร้งทำท่าปวดใจอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำให้เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากเพื่อนอีกสามคน“ยินดีด้วยนะเสี่ยวหนิง พวกเราขอให้เธอมีความสุข ฉันคิดว่าครอบครัวเขาน่าจะเป็นคนดีทีเดียวที่รีบส่งคนมาหาเธออย่างรวดเร็ว” เฟยซิ่น สาวน้อยตัวเล็กร่างอวบน้อย ๆ พูดพร้อมรอยยิ้ม“ฉันเองก็ยินดีด้วยเช่นกันและฉันเองก็คิดว่า ครอบครัวเขาเป็นคนดีที่ไม่รอให้เธอมีเรื่องเสื่อมเสียเกิดขึ้นก่อนจึงได้หาผู้แนะนำ” ลู่หลิ่นผู้สวมแว่นก็พูดขึ้นอย่างเห็นด้วย“ขอบใจทุกคนนะ ฉันไม่ลืมพวกเธอหรอก เมื่อไหร่ที่สถานที่แห่งนั้นเปิดฉันจะบอกรหัสพวกเธอและพาพวกเธอไปเอง”“ขอบใจนะ พวกฉันขอแค่ไม่อดก็พอ จะว่าไปหากเธอไม่ต้
“อาหลงนับวันฝีมือการทำอาหารของลูกยิ่งร้ายกาจ” ซูป๋อกล่าวชมลูกชายหลังจากที่คนทั้งสามกินอาหารบนโต๊ะหมดลง“ขอบคุณครับพ่อ” ผู้ที่อยากเป็นพ่อครัวยกยิ้มอย่างดีใจ“น้องสาวของลูกบอกว่า หล่อนเชื่อว่าลูกจะมีโอกาสเป็นพ่อครัวอย่างที่ลูกตั้งใจไว้อย่างแน่นอน แค่ต้องอดทนรอหน่อย ลูกอย่าเพิ่งท้อนะ” หว่านชิงที่เห็นรอยยิ้มของลูกได้กล่าวกับลูกชายคนเล็กตามที่ลูกสาวบอก“ผมเชื่อครับแม่ ตอนนี้ผมขอไปหาอาหนิงก่อนนะครับไม่รู้ว่าหล่อนจะกินอาหารหรือยัง” ซูหลงบอกกับบุพการีก่อนที่ยกตะกร้าอาหารที่คลุมผ้าเรียบร้อยเอาไว้“ลูกบอกหล่อนด้วยนะว่า พรุ่งนี้เจ็ดโมงเช้าให้ไปรอที่รถไถหน้าคอมมูน น้องสาวของลูกชวนพวกเราไปงานเปิดที่แห่งนั้น” หว่านชิงที่ได้กินของโปรดเกือบลืมเรื่องเวลานัดรีบพูดขึ้น“ได้ครับ” ซูหลงยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเรื่องการนัดหมายของตนแสดงว่าเขากับหญิงสาวจะได้แต่งงานกันแน่ ๆทางด้านซูเหยาหลังจากที่เข้าบ้านไปแล้วก็เห็นเด็กน้อยพากันนั่งคัดตัวอักษรอย่างตั้งใจ หญิงสาวยืนมองลูกน้อยทั้งสามพร้อมคิดว่า เด็กพ
“มาค่ะ แม่หอมแก้มก่อนนอน” ซูเหยานั่งคุกเข่าต่อหน้าเด็กชายตัวน้อยหอมแก้มลูกทีละคน ทางด้านลูกน้อยก็ทำแบบเดียวกันกับแม่คนสวย“แม่ครับฝันดี” เด็กชายทั้งสองหลังจากหอมแก้มนุ่มของแม่คนละข้างเสร็จ ก็ได้บอกฝันดีออกมา“ฝันดีครับ ไปค่ะคนสวยเราก็ควรไปนอนด้วยเหมือนกัน” ซูเหยาหลังจากกล่าวกับลูกชายแล้วก็หันมาพูดกับสาวน้อยของบ้านบ้างก่อนที่จะจูงมือลูกสาวตัวเล็กที่หาวออกมาไปยังห้องนอน ในขณะที่เธอกำลังจะหันหลังเดินไปยังห้องของลูกสาว ก็ได้ถูกเสียงของเด็กตัวโตเรียกเอาไว้เสียก่อน“ภรรยาครับ” มู่หานเรียกซูเหยาเสียงนุ่มหน้าละห้อย“รู้แล้วค่ะ” ซูเหยาพูดพร้อมกับส่องค้อนงาม ๆ กลับมาคืนนั้นหลังจากที่ลูกสามคนเข้าสู่นิทราอันแสนสุข ภายในห้องของสามีหนุ่มภรรยาสาว ซูเหยาก็ได้รับการปรนนิบัติจากสามีอย่างหนักหน่วง จนเธอถึงกับสั่นสะท้านให้กับการกระทำของชายหนุ่ม“ภรรยาครับผมขออีกครั้งนะครับ ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริง ๆ” มู่หานกระซิบข้างหูพร้อมขบเม้มไปที่ใบหูขาวเล็กอย่าง
“นั่นสินะ ทุกวันนี้เราอยู่กันได้อย่างสบายก็เป็นเพราะหญิงสาวคนนี้ทั้งสิ้น” ในระหว่างที่ทั้งสองสนทนาก็เดินกันไป เรื่อย ๆซูเหยาผู้อยู่ในหัวข้อสนทนาระหว่างแม่ผัวลูกสะใภ้ตระกูล หมิงได้เดินมาทันเห็นแผ่นหลังของคนทั้งคู่เข้าพอดี“สามีนั่นย่ากับแม่ของเสี่ยวหยางใช่หรือเปล่า สงสัยหนุ่มน้อยเสี่ยวหยางคงจะไปกับลูกชายของเราแล้วแน่ ๆ เด็กพวกนี้รักกันดีฉันก็เบาใจอีกหน่อยพอโรงเรียนเปิดฉันก็หวังจะให้พวกเขาได้เข้าเรียนชั้นเดียวกัน ไม่รู้ว่าเสี่ยวหยางจะต้องเริ่มเรียนใหม่หรือว่าทางโรงเรียนจะให้ต่อชั้นเดิมได้เลย...”หญิงสาวพูดเจื้อยแจ้วให้สามีฟังในเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อย มู่หานไม่เคยเอ่ยขัดภรรยาสาวแม้ว่าหญิงสาวจะพูดอะไรเขาก็เป็นผู้ฟังที่ดีเพียงอย่างเดียว มีแสดงความเห็นบ้างเป็นบางครั้ง จนพวกเขาเดินมาถึงรถไถหน้าคอมมูนที่ซูเหยาได้เหมาคันเอาไว้หนิงเหอที่มารอคนในครอบครัวซูกับซูหลงได้สักพัก เธอรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่วันนี้จะได้มาพบกับครอบครัวของชายหนุ่มที่ตนตกลงใจจะใช้ชีวิตร่วมกับเขา“สวัสดีค่ะพี่สะใภ้สาม” ซูเหยาที่
ส่วนพี่สะใภ้สามมากับฉันก็แล้วกันค่ะ มาช่วยฉันรับรายการสินค้า ส่วนแม่ พี่ถิงถิง ป้าอู๋ก็คอยช่วยหยิบของให้ลูกค้านะคะ” ซูเหยาเริ่มแจกแจงงานให้หญิงสาวของบ้านฟัง“แล้วพวกพ่อล่ะ ลูกจะให้ช่วยอะไร” ซูป๋อถามลูกสาวท่าทางกระฉับกระเฉง“หนุ่ม ๆ ก็ทำหน้าที่คอยเดินรอบ ๆ คอยดูคนที่จะขโมยสินค้าแล้วกันค่ะ และก็ช่วยยกของหนักบริการลูกค้าดีไหมคะ” ซูเหยาพูดขึ้นและทุกคนในครอบครัวก็พากันเห็นด้วย“ทุกคนหลีกทางกันด้วยครับ เจ้าของร้านบ้านซูมาแล้ว” เสียงทหารชั้นผู้น้อยคนของจ้าวเจียงที่ได้รับคำสั่งมาจาก ซิวหลานตะโกนบอกฝูงชน“ซิวหลาน หญิงสาวชุดแดงนั่นหรือเปล่าที่มียาที่เธอว่า” หญิงสาวคนหนึ่งวัยใกล้เคียงกับซิวหลานชี้นิ้วไปทางซูเหยาจากร้านฝั่งตรงข้าม ซึ่งได้เปิดเป็นร้านอาหารรัฐที่ควบคุมโดยจ้าวเจียง“ใช่แล้ว เอาไว้ให้หล่อนจัดการกับลูกค้าหน้าร้านก่อนฉันจะให้คนไปตามหล่อนมาพบ รับรองเธอได้มีลูกสมใจเหมือนฉันตอนนี้แหละ”“ได้ฉันจะรอ ว่าแต่เมื่อไหร่อาหารจะมาฉันหิวแสบท้องไปหมด
“สหายรบกวนช่วยหลีกทางให้ท่านนายพลด้วยครับ” น้ำเสียงนายทหารคนสนิทของมาเฟียอันดับหนึ่งตะโกนเสียงดังแข่งกับผู้คนที่พากันยืนคุยกันอย่างออกรส“ผมขอเวลาสักครู่นะครับ” จ้าวเจียงกล่าวกับลูกค้าที่กำลังจะสั่งสินค้า“ช...เชิญครับท่าน” ชายวัยกลางคนผู้ซึ่งรู้จักจ้าวเจียงมาบ้างกล่าวเสียงสั่น พร้อมปาดเหงื่อที่เริ่มซึมออกมาบนหน้าผาก“สวัสดีค่ะ ท่านนายพลจ้าว” ซูเหยากล่าวทักทายเจ้าของตลาดครึ่งหนึ่ง พร้อมมองไปทางเขาอย่างสงสัย ‘มีอะไรก็รีบพูดได้ไหมคะ เงินกำลังรอฉันอยู่’ เธอโอดครวญ“สวัสดีสหายซู คือคุณพอจะรู้จักพ่อครัวหรือไม่ ช่วยบอกให้คนนั้นไปหาผมที่ร้านอาหารรัฐอาคารหลังนั้นด้วย” จ้าวเจียงกล่าวขึ้นอย่างไม่อ้อมค้อม“พี่สามของฉันได้ไหม เขาทำอาหารอร่อยมากท่านนายพลจะให้เขาลองทำให้กินก่อนก็ได้ค่ะ” ซูเหยารีบเสนอตัวพี่ชายออกไปอย่างไม่ต้องคิดเยอะ“ได้ ถ้าอย่างนั้นให้สหายท่านนั้นมากับผมได้เลย” จ้าวเจียงกล่าวตอบอย่างไม่รอช้าเช่นกัน เนื่องจากเขาเชื่อใจภรรยาที่ได้ให้เขาลองมาคุยก
“พ่อครัวครับไม่ต้องห่วงครับ หมูผมได้ตุ๋นเอาไว้รอแล้ว” ชายหนุ่มที่ทำงานอยู่ในครัวกล่าวแทรกขึ้นมาเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่คนจะมาเป็นพ่อครัวพูด“ถ้าอย่างนั้นก็เยี่ยมเลยครับ ผมชื่อซูหลงไม่ทราบว่าสหายชื่ออะไร” ซูหลงกล่าวแนะนำตัวเองกับชายหนุ่มรูปร่างใกล้เคียงกัน“ผมหลินเกาครับ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยในครัว” ชายหนุ่มแนะนำตัวออกมาอย่างสุภาพ“ยินดีที่ได้รู้จักสหายหลิน” ซูหลงกล่าวออกมาอีกครั้งหลังจากที่คนทั้งสองได้ทำความรู้จักกันแล้ว ชายหนุ่มทั้งคู่ต่างก็สนทนากันเรื่องวัตถุดิบของอาหารที่ตนจะต้องทำโดยพวกเขาต่างพากันลืมเลือนนายพลหนุ่มกับผู้ช่วยที่ยังคงยืนอยู่ในครัวตอนนี้อย่างสนิท จ้าวเจียงกับทหารผู้ช่วยจึงได้พากันเดินออกมาจากห้องครัวอย่างเงียบ ๆ“อาหลินคุณช่วยแกะผักให้ผมที แกะแบบนี้นะครับ” ซูหลงกล่าวกับผู้ช่วย จากนั้นเขาก็เริ่มลงมือทำอาหารอย่างแรกโดยเริ่มจากซุปไข่ใส่มะเขือเทศจากวัตถุดิบภายในร้านและตามรายการกลิ่นซุปที่ชายหนุ่มหน้าหวานทำขึ้นมาอีกทั้งสีสันที่มีทั้งไข่สีเหลืองทองเป็นเส้นลอยวนอยู
นับตั้งแต่วันที่ซูเหยาเจรจาร่วมลงทุนกับสองมังกรเจ้าถิ่นไปพร้อมกับการจัดการสร้างฟาร์มของตนที่หมู่บ้านตงไห่ เวลาก็ผ่านมาจนกระทั่งถึงวันที่ลูกชายหญิงทั้งสามเรียนจบชั้นมัธยมปลายปีที่สาม“เสี่ยวเฉินลูกจะไปโรงเรียนทหารจริง ๆ อย่างนั้นเหรอมันลำบากมากเลยนะ” คนเป็นแม่ถามลูกชายหลังจากมื้อเย็นของบ้านที่จะได้อยู่พร้อมหน้ากันในวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะได้มาอยู่รวมกันแบบนี้อีก“ผมตัดสินใจแล้วครับผมจะทำให้ได้แม่อย่างร้องไห้สิครับเอาไว้ผมจะติดต่อกลับมาหาแม่บ่อย ๆ ดีไหมครับ” ลูกชายวัยสิบเก้าที่เห็นน้ำตาคลอหน่วยของคนเป็นแม่พูดปลอบ“แม่ไม่ได้ร้องสักหน่อยฝุ่นมันเยอะต่างหาก” คนเป็นแม่แย้งพร้อมเอาผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาของตนด้วยความเศร้าทั้งพ่อและลูกที่ได้ยินคำพูดของคนเป็นแม่พวกเขาก็ได้แต่ส่ายหน้าให้กับคนไม่ยอมรับความจริง แต่ใครจะกล้ากล่าวตามจริงดังนั้นจึงได้เปลี่ยนเรื่องกันไป“พี่ใหญ่ พี่จะต้องดูแลตัวเองให้ดีนะอย่าไปมีเรื่องกับใครโดยไม่จำเป็นล่ะ เวลากินก็ต้องกินข้าวให้หมดอย่ามัวแต่คุยรู้หรือเปล่า” คนเ
เหตุที่เขามั่นใจในคำพูดของหญิงสาวรุ่นน้องคนนี้ก็เป็นเพราะเขาเคยได้ยินเรื่องของหล่อนมามากพอสมควร ที่ไม่ว่าหล่อนจะพูดอะไรมักจะเป็นจริงตามนั้นดังนั้นพ่อของเขาจึงได้ย้ำนักหนาว่าให้เป็นมิตรกับคนบ้านซูโดยเฉพาะซูเหยาเอาไว้แล้วทุกอย่างจะดีกับตัวเอง“นับจากนี้ไปอีกสามเดือนค่ะ ฉันคิดว่าที่ดินของบ้านฉันปรับอย่างน้อยก็น่าจะสองเดือน หากได้คนเยอะและฉันยังต้องการจะให้สร้างคอกไก่ คอกหมู รวมทั้งยังต้องการให้ก่อกำแพงสูงถึงสองเมตรครึ่งด้วย วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ฉันจะหามาให้ ค่าแรงฉันให้วันละสองหยวน มีข้าวกลางวันเลี้ยงหลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือนฉันคิดว่าน่าจะยังพอมีเวลาในการซ่อมหลังคาให้ลูกบ้านแต่ละคน อีกอย่างพวกเขาจะได้มีเงินเอาไว้จับจ่ายใช้สอยซื้อของที่จำเป็นได้ด้วย” หญิงอายุน้อยกว่ากล่าวออกมารวดเดียว“จะว่าไปก็เป็นความคิดที่ดีทีเดียว เธอไม่ต้องห่วงเรื่องคนงานฉันจะหาคนที่ไม่อู้งานให้จะได้ไม่มีปัญหา” ฉีเค่อเมื่อได้ยินสิ่งที่หญิงสาวอายุน้อยกว่าพูดเขาก็เบาใจ“เอาเป็นว่าฉันจะประกาศรับสมัครคนงานให้เย็นนี้เลยเพราะงานเกี่ยวข้าวสาลีในทุ่งเสร็จพอดี
เมื่อรถจอดผู้ใหญ่ทั้งสี่กับเด็กน้อยอีกหนึ่งก็พากันลงจากรถ ชาวบ้านที่มองเห็นจิวเหลียนต่างก็พากันซุบซิบพร้อมแอบชี้ไม้ชี้มือมาทางหญิงร่างผอมคุ้นหน้า พร้อมกับกล่าวถ้อยคำที่แสดงความสงสัยจากการคาดเดาของตัวเองไปต่าง ๆ นา ๆ“นั่นจิวเหลียนใช่ไหมเธอ” ชาวบ้านคนที่หนึ่งกระซิบถามเพื่อนที่อยู่ข้างกัน“ฉันว่าใช่นะแต่ดูเหมือนว่าหล่อนจะผอมลง” ชาวบ้านที่ถูกเพื่อนถามกล่าวอย่างเห็นด้วย“แล้วผู้ชายที่อุ้มลูกชายของเสี่ยวเหยาเป็นใครล่ะ ลองได้ยืนข้างกันแบบนี้ต้องเป็นสามีใหม่หล่อนแน่ ๆ” คนที่นั่งอยู่ข้างกันกับอีกสองคนแรกกล่าวน้ำเสียงแฝงถ้อยคำไม่น่าฟังเท่าไหร่นัก“จะใช่หรือไม่ก็เรื่องของเขาเถอะ สนใจงานตัวเองกันดีกว่าไหมหากแต้มน้อยระวังจะไม่มีข้าวกินนะ” อดีตเมียผู้ใหญ่บ้านกล่าวก่อนที่เธอจะลุกขึ้นยืนเพื่อเดินไปหาผู้มาเยือน“สวัสดีค่ะป้าจาง” ซูเหยาค้อมหัวกล่าวทักผู้ที่เดินมาหาตนด้วยความสุภาพ“สวัสดีค่ะป้าจาง” สองแม่ลูกก็ได้กล่าวทักทายตามซูเหยาออกมาเช่นกัน“ดีฮับ” คนเป็นเด็กชายอายุ
“เหลืออีกไม่เยอะแล้วป้าทำได้นะ” จิวเหลียนกล่าวแย้งด้วยความเกรงใจ“ให้หล่อนทำเถอะค่ะฝีมือหลานสาวพี่อร่อยมาก ส่วนพี่ก็ล้างมือแล้วออกไปด้านนอกกับฉันเถอะเราจะได้คุยกัน” คนเป็นแม่ที่เข้าใจได้ถึงความเกรงใจนี้จึงได้พูดแทนลูกสาวออกมา“ได้ถ้าอย่างนั้นป้าคงต้องรบกวนผิงน้อยแล้ว” จิวเหลียนที่ไม่กล้าขัดซูเหยาจึงได้เดินไปล้างมือก่อนที่จะเดินตามเจ้าบ้านหญิงออกไปเมื่อคนทั้งสองเดินออกมาแล้วซูเหยาจึงได้ชักชวนให้หญิงสาวที่แก่กว่านั่งลง ก่อนที่เธอจะนำสิ่งที่ตัวเองคิดไว้มาอธิบายให้หญิงผู้นี้ฟัง“นี่เป็นรูปแบบที่ฉันคิดไว้ ฉันอยากให้พี่ลองดูค่ะ ตรงนี้ฉันจะปลูกเป็นพืชระยะสั้น ส่วนตรงนี้เราก็ทำเป็นพื้นที่เลี้ยงไก่ไข่ ส่วนด้านนี้ฉันคิดว่าน่าจะขุดบ่อเลี้ยงปลา ด้านนี้เลี้ยงหมูที่ดินพวกนี้ฉันโทรคุยกับพ่อแม่และพี่ชายแล้ว พวกเขาไม่มีปัญหาที่จะขายต่อให้ส่วนเรื่องคนงานวันนี้ฉันจะพาพี่เข้าไปในหมู่บ้าน พี่กับ เออโถวคงจะต้องอดทนกับคำคนสักหน่อยนะคะ พอเหตุการณ์อะไรอยู่ตัวแล้วก็น่าจะดีขึ้น พวกเราไม่ได้ไปขอข้าวพวกเขากินดังนั้น
“พี่ทำอะไร เดี๋ยวฉันก็อายุสั้นกันพอดีขอบใจแต่ปากก็พอแล้วจะยืนโค้งตัวทำไมกัน” ซูเหยาที่ยังไม่ชินกับอะไรแบบนี้รีบลุกขึ้นยืนก่อนจะมาจับหัวไหล่ทั้งสองข้างของผู้หญิงที่ผอมกว่าตนให้หล่อนเลิกคำนับ“ได้ต่อไปฉันจะไม่โค้งแบบนี้อีก” จิวเหลียนพูดเมื่อเธอยืนตัวตรงแล้ว“ดีแล้วกลับไปนั่งลงเถอะเราจะได้คุยกันต่อ” คนที่อายุน้อยกว่าพูดก่อนที่เธอจะกลับมานั่งที่เดิมของตัวเอง“ว่าแต่ที่พี่มาหาฉันวันนี้มีเรื่องอื่นอีกหรือเปล่าพูดออกมาเถอะหากฉันช่วยได้จะได้ช่วย” เจ้าบ้านสาวที่เห็นว่าสองแม่ลูกยังไม่พูดอะไรอีกจึงได้เป็นฝ่ายเปิดปากของตนก่อน“คือว่าฉันอยากขอความช่วยเหลือจากอาสะใภ้รองเรื่องอาชีพให้แม่ค่ะ และก็เรื่องที่อยู่ด้วยแม่ของฉันหล่อนไม่ยอมกลับไปอยู่บ้านมู่เนื่องจากกลัวคนนินทาเรื่องเออโถว” คนเป็นทั้งลูกและหลานพูดออกมาด้วยความรู้สึกลำบากใจหญิงสาววัยเข้าเลขสามนิ่งคิดตามที่หลานสาวบอกพลางเอานิ้วชี้เคาะไปที่พนักเก้าอี้อย่างที่ตนชอบทำในช่วงเวลาที่กำลังใช้ความคิด‘ฉันต้องการทำร้านสำหรับขายสินค้าทุกอย่างอย
“ตกลงแม่เองก็อยากจะไปขอบคุณซูเหยาเรื่องของลูกด้วย แม่ติดค้างหล่อนมากเหลือเกิน” คนเป็นแม่ตอบรับอย่างรวดเร็วดังนั้นหลังมื้ออาหารเย็นจบลงมู่ฟางจึงได้พาแม่กับเออโถวจูงจักรยานไปเก็บไว้ที่โรงงานก่อน และทั้งสามก็พากันมาเดินขึ้นรถรางเพื่อจะไปยังบ้านเทียนที่ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงปิดภาคเรียนของพี่น้องทั้งสาม แม้จะปิดเรียนแต่พวกเขาก็ยงคงตั้งใจทำแบบฝึกหัดที่แม่หามาให้อย่างตั้งใจใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งคนทั้งสามก็ได้มายืนอยู่หน้าประตูบ้านเทียน ในเวลานี้อากาศเริ่มเย็นมากขึ้นทำให้ จิวเหลียนห่อไหล่ของตนเอามือกอดอกยามที่ลมพัดมาทหารยามที่เห็นหน้ามู่ฟางชัดเจนจึงได้ปล่อยให้หญิงสาวเข้ามาด้านใน แม้จะแปลกใจในการที่หลานเจ้าบ้านนำพาคนแปลกหน้ามาด้วยอีกสองคน แต่พวกเขาคิดว่าอาจจะเป็นคนงานใหม่ของนายหญิงก็เป็นได้ อีกทั้งท่าทีของทั้งสองก็ดูไม่ได้มีพิรุธ“โอ้โหสวย” ทันทีที่เดินผ่านประตูรั้วบ้านเข้ามายังด้านในผู้ใหญ่หัวใจเด็กถึงกับตะโกนที่เห็นสภาพตัวบ้านและลานด้านหน้า“เออโถวเบา ๆ” จิวเหล
เมื่อคนเป็นลูกเห็นรอยยิ้มอันเบ่งบานของผู้เป็นแม่ก็ทำให้เธอยิ้มตามบุคคลอันเป็นที่รักด้วยเช่นกัน เออโถวเห็นทั้งสองยิ้มเขาเองก็ยิ้มตามออกมา“แม่คะ แม่มาที่นี่นานหรือยังแล้วตอนนี้แม่ทำอะไรอยู่” หญิงสาววัยยี่สิบถามคนเป็นแม่ด้วยความใคร่รู้“ประมาณอาทิตย์ที่แล้วตอนที่แม่นั่งรถมาแม่ได้ยินข่าวเรื่องที่ลูกสอบได้อันดับหนึ่งด้วย แม่ดีใจด้วยนะลูกของแม่เก่ง จริง ๆ” คนเป็นแม่ตอบพร้อมพูดเรื่องที่ตนได้ยินออกมาคนเป็นลูกที่กำลังจับมือของแม่อยู่ยิ้มเขินพลางแกว่งมือของแม่ไปมาด้วยความอาย จิวเหลียนที่เห็นท่าทางของลูกสาวหล่อนก็ได้แต่หัวเราะน้อย ๆ ด้วยรู้สึกเอ็นดู จากเด็กหญิงในวันวานที่ตอนนี้เติบใหญ่ขึ้นมากแล้ว แต่นิสัยเรื่องขี้อายนี้ยังคงเดิมเออโถวมองสองคนด้วยความไม่เข้าใจเท่าไหร่นักแต่เขาก็มีความสุขตามผู้หญิงด้านหน้าอยู่ดี แต่ตอนนี้เขาหิวมากจึงได้เรียกหญิงสาวที่มากับตนอย่างน่าสงสาร“เหลียนหิวแล้ว” คนที่เหมือนเด็กเอามือลูบท้องปรอย ๆ ทำให้สองแม่ลูกที่กำลังสนทนากันอยู่หยุดชะงักก่อนหันหน้าไปมองชายร่างใหญ่หัวใจเด็กที่ทำห
ทั้งมู่ฟางและจิวเหลียนต่างพากันตกใจกับเสียงที่ได้ยินโดยเฉพาะมู่ฟางที่เห็นสภาพของบุคคลที่แก่กว่าตนสองรอบขึ้นด้วยความตกใจ“เออโถวไม่ร้องนะ พี่สาวจะตกใจหากเธอยังร้องไห้อยู่” จิวเหลียนที่ไม่อยากจะยอมรับความจริงได้หันหน้ามาปลอบคนตัวโต และก็ได้เห็นว่าใบหน้าของลูกสาวที่มีความคล้ายกับตนซีดเผือดหล่อนจึงได้เดินเข้าไปกอดหญิงสาวคนนั้นเอาไว้แน่นอย่างปลอบประโลม มู่ฟางที่ได้เขามาอยู่ในอ้อมกอดของแม่เธอก็สูดจมูกของตนเพื่อหวังกลั้นน้ำตาเอาไว้เออโถวได้หยุดร้องไห้นานแล้วคงเหลือเพียงเสียงสะอื้น เบา ๆ กับตาอันแดงเรื่อที่ยังคงมีน้ำตาคลอหน่วยอยู่เล็กน้อยจ้องมองหญิงสาวทั้งสองไม่วางตา“แม่ขอโทษ แม่ขอโทษที่แม่ทิ้งลูกไป แม่ขอโทษแม่นึกว่าลูกจะเกลียดแม่ไปแล้ว” จิวเหลียนกล่าวออกมาซ้ำ ๆ น้ำตาที่เริ่มแห้งเหือดไปแล้วจึงได้ไหลออกมาจนเปียกเสื้อของคนเป็นลูก“หนูกับพี่ไม่เคยเกลียดแม่เลย อาสะใภ้รองบอกว่าแม่คงมีเหตุจำเป็นสักวันหากแม่ยังมีชีวิตอยู่ยังไงแม่ก็ต้องกลับมาเพราะแม่รักพวกเรามาก” คนเป็นลูกที่ยัง
“เหลียนถึงแล้ว” ชายร่างใหญ่หัวใจเด็กพูดกับคนที่เดินมาเคียงกัน ซึ่งในมือของชายคนนี้มีขนมแป้งทอดอยู่ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็จับมือคนที่เป็นภรรยาในนามแน่นบริเวณที่คนทั้งสองยืนอยู่นั้นอดีตเคยเป็นร้านขายเนื้อสัตว์ซึ่งปัจจุบันได้ถูกเจ้าของทิ้งร้างทำให้ด้านหน้ายังพอมีที่นั่งหรือยืนหลบแดดได้ อีกทั้งยังอยู่ห่างจากโรงงานลับของ ซูเหยาไม่ไกล หากว่าลูก ๆ ของเธอผ่านมายังไงก็ย่อมมองเห็นจิวเหลียนได้ยึดเอาที่แห่งนี้มารอเพื่อจะได้เจอหน้าลูกทุกวันตั้งแต่วันแรกที่หล่อนมาถึง แต่ความกล้าที่จะไปเผชิญหน้ากับลูกนั้นยังไม่มีหากมองเพียงเผิน ๆ คนที่เดินผ่านไปมาก็จะคิดว่าชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่ฝ่ายหญิงรูปร่างเล็กแม้จะมีผ้าคลุมหน้าแต่งกายมิดชิดคู่นี้อาจจะมาหาญาติหรือใครสักคน แต่คงไม่มีใครคิดว่าหล่อนจะเป็นแม่ของหญิงสาวที่สอบได้อันดับหนึ่งเป็นแน่เวลานี้มู่ฟางเองก็กำลังจะออกมาจากโรงงานเพื่อจะกลับไปดูปู่ที่บ้านด้วยความเป็นห่วง เนื่องจากพรุ่งนี้อาสะใภ้รองให้เป็นวันหยุดเมื่อหล่อนเปิดประตูออกมาหญิงสาวที่กำลังจูงจักรยานอยู่ในมือ