ค่ำคืนนั้นซือซิงเพิ่งจะได้รู้ว่าการนอนหลับอย่างเป็นสุขนั้นมีอยู่จริง โดยที่เธอยังไม่รู้ว่ายามเช้าหลังจากที่เธอลืมตาตื่น ไม่ทันที่ฟ้าจะสว่าง ได้มีมารมาผจญถึงหน้าบ้าน
“ออกมาเดี๋ยวนี้นังสะใภ้ตัวดี หนอยแกกล้ามากเลยนะปีกกล้าขาแข็งนักใช่ไหม คอยดูฉันจะให้ลูกชายฉันหย่ากับแก ดูสิถ้าแกถูกหย่าแกจะถูกตราหน้าว่ายังไง” เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของฉินเจียวดังแผดร้องอยู่ด้านนอกประตูบ้าน
ซือซิงตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาเธอก็รู้สึกว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นเพียงความฝัน และตอนนี้เธอได้ตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับความจริงเสียแล้ว
ซือซิงนั่งกอดผ้าห่ม โดยมือของเธอขยุ้มผ้าห่มจับแน่นอยู่ที่อกอย่างหวาดหวั่น ใบหน้าของเธอในยามนี้ไร้ซึ่งสีเลือดเพราะความวิตก
เหงื่อมากมายไหลรินตั้งแต่หน้าผากไหลลงมาตามลำคอ ภายในเสื้อของเธอที่ทำมาจากผ้าป่าน ที่เก่าแล้วเก่าอีกเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
‘เธอควรจะทำอย่างไรดี ถึงจะหลีกเลี่ยงเสียงที่เธอได้ยินแบบนี้ได้กัน เธอไม่อยากกลับไปบ้านหลังนั้น ที่เป็นเหมือนนรกสำหรับเธออีกแล้ว’ ซือซิงคิดวนไปวนมาอย่างว้าวุ่นใจ
‘วันนี้พี่อาจจะปกป้องเธอได้ แต่ถ้าเธอไม่ลุกขึ้นมาสู้ด้วยตัวเองมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ’ คำพูดของซูเหยาได้วิ่งเข้ามาในหัวของซือซิง
ยามนี้ดวงตาของซือซิงได้เกิดเป็นประกายสว่างวาบ คล้ายคนที่ตัดสินในเรื่องสำคัญบางอย่าง
ซือซิงได้สูดจมูกของตนเอาอากาศเข้าปอดลึก เพื่อเป็นการเรียกกำลังใจให้กับตนเอง หลังจากนั้นเธอก็พับผ้าห่มและเก็บที่หลับนอนที่แสนอบอุ่นให้เรียบร้อย
‘ได้เวลาแล้วซือซิง เธอจะต้องทำให้ได้ ไม่อย่างนั้นเมื่อไหร่เธอถึงจะหลุดพ้นกันล่ะ’ ซือซิงพูดกับตัวเอง
หลังจากนั้นเธอก็เอามือที่เต็มไปด้วยรอยแผล ที่มีทั้งเก่าใหม่มากมายลูบผมที่แห้งกร้านเหมือนกับไม้กวาดยาวจนถึงสะโพก
และได้จัดการถักเปียสองข้างอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเธอจัดเสื้อผ้าที่ซักหลายครั้งจนสีซีดและเต็มไปด้วยรอยปะชุน จัดเสื้อเสร็จก็จัดกางเกงขายาวที่มีสภาพไม่ต่างจากเสื้อแม้แต่น้อย
ก้มดูรองเท้าที่ตนใส่ก็เป็นเพียงร้องเท้าผ้า ที่ขาดจนเห็นหัวแม่เท้าที่ทะลุถุงเท้าออกมา เธอมองดูเท้าของตนด้วยความสมเพชตัวเอง
ทั้งๆ ที่เธอและสามีทำงานหนักมาตลอดหลายปี ข้าวก็กินไม่เคยอิ่ม ได้กินเพียงน้ำใสๆ จากการต้มข้าวที่เหลือ กับข้าวก็มีเพียงผักดองเค็มๆ แห้งเหี่ยว เธอจะไม่ทนอีกแล้ว ดังนั้นเธอจะต้องสู้อย่างที่พี่สะใภ้ว่ากันสักตั้ง
“ออกมาเดี๋ยวนี้นะ นังสะใภ้อกตัญญู บ้านฉันให้ข้าวให้น้ำแกกิน แต่นี่คือสิ่งที่แกตอบแทนฉันอย่างนั้นเหรอ” เสียงด่าทอจากฉินเจียวยังคงส่งเสียงดังไม่หยุดอยู่อย่างนั้น
“ให้ข้าวให้น้ำอย่างนั้นเหรอคะ ข้าวต้มที่มีแต่น้ำ นับเมล็ดข้าวได้ กับผักดองเหี่ยวๆ แบบนั้น มันเป็นบุญคุณกับฉันมากเลยอย่างนั้นเหรอ” ซือซิงที่ได้ตัดสินใจพูดประชดเสียงดังอย่างไม่แยแส
“กะ..แกจะฆ่าฉันหรือไงหา จะเปิดประตูก็ไม่ให้สุ้มให้เสียงทำให้ฉันถึงกับจะล้ม เจ้าข้าเอ้ยมาดูนังลูกสะใภ้ใจดำมันจะฆ่าแม่สามี” ฉินเจียวที่ยังไม่ทันจะล้มได้ร้องตะโกนแหกปากของตนเสียงดัง
โดยที่ตอนนี้เธอได้แกล้งลงไปนั่งกับพื้น พร้อมกับหยิกตัวเองเพื่อให้น้ำตาไหล ซือซิงเมื่อเห็นสิ่งที่แม่สามีทำ เธอก็รู้สึกตกใจด้วยความหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง เธอยืนมองแม่สามีด้วยใบหน้าซีดเผือด พร้อมกับกัดเล็บที่สกปรกของตนอย่างคนขลาดเขลา
ถึงแม้ที่ดินแห่งนี้จะอยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน แต่อย่าได้ดูถูกพลังเสียงแห่งการทำลายล้างของฉินเจียวเป็นอันขาด
เพราะในตอนนี้ได้มีชาวบ้านพากันออกมาจากบ้านและได้เดินเข้ามามุงดู สิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นเรื่องสร้างความบันเทิงให้แก่ตน
ยุคนี้เป็นยุคที่ความบันเทิงใดๆ ไม่ได้เข้ามามีบทบาทมากนัก ดังนั้นการที่บ้านไหนมีเรื่อง ก็มักจะเรียกความอยากรู้อยากเห็นของชาวบ้านอยู่เสมอ
ซือซิงที่ได้ยินเสียงชาวบ้านซุบซิบนินทา และชี้ไม้ชี้มือมายังเธอ อาการวิตกกังวลของเธอก็ได้กลับมาอีกหน
‘ทำยังไงดี เธอควรทำยังไง’ ซือซิงกัดเล็บของตัวเองและหันซ้ายหันขวาเหมือนคนที่ไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจทำอะไรต่อไป
“แม่คะ ถ้าหล่อนไม่อยากกลับเราก็อย่าไปบังคับเลยค่ะ พวกเราอุตส่าห์หวังดีกลัวว่าหล่อนอยู่ข้างนอกจะลำบาก จึงได้มาตาม
แต่ในเมื่อหล่อนไม่เห็นความหวังดีของแม่สามี แล้วยังจะผลักแม่ให้ล้มลงอีก หล่อนช่างนิสัยแย่จริงๆ” เสียงจิวเหลียนที่เข้ามาทำท่าช่วยพยุงแม่สามีให้ลุกขึ้นจากพื้น
ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จออกมา ชาวบ้านก็ต่างวิจารณ์กันไป บางคนก็เชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อ โดยเฉพาะคนที่รู้นิสัยใจคอแม่ผัวลูกสะใภ้มหาประลัยคู่นี้ดี
ซือซิงเมื่อได้ยินสิ่งที่จิวเหลียนกล่าวหา เธอรู้สึกโกรธมาก และคำพูดของซูเหยาก็ได้กลับเข้ามาวิ่งวนอยู่ในหัวของเธออีกครั้ง
“เธอโกหก ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย แม่สามีเขาแกล้งล้มลงไปเองต่างหาก หยุดใส่ร้ายฉันได้แล้ว กลัวว่าฉันจะลำบากอย่างนั้นเหรอ
ฉันอยู่ที่นั่นก็ไม่ได้เคยรู้จักคำว่าสบายอยู่แล้ว ถ้าคนมีตาที่ดีดูก็ลองมองดูสภาพเธอกับสภาพฉันดูสิ เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่อีก
ถ้าหากว่าอยู่ที่นี่แล้วฉันจะตกนรกก็ปล่อยฉันไปเถอะ เพราะอยู่ที่บ้านมู่ฉันก็ไม่เคยได้ขึ้นสวรรค์เหมือนกัน พวกคุณมาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเถอะ
ถ้าลูกชายของคุณจะเป็นฝ่ายหย่าขาดจากฉัน ฉันก็ยินยอมเพราะตลอดสี่ปีที่ฉันแต่งเข้าบ้านมู่ ไม่เคยมีวันไหนที่ฉันได้ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วมีความสุขเลยสักวัน
งานบ้านทุกอย่างฉันต้องเป็นคนทำทั้งหมด เสร็จจากงานบ้านยังไม่ทันที่ข้าวจะได้เข้าปาก ก็ต้องไปเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่พอจะมากินข้าวก็เหลือแต่น้ำต้มข้าวใสๆ
ฉันเบื่อแล้ว พอกันทีกับความกตัญญูโง่ๆ ของตัวเอง ที่ไม่ว่าจะทำดีมากเท่าไหร่ มากแค่ไหน พวกคุณก็ไม่เห็นค่า มีแต่คิดว่าฉันโง่ พวกคุณพากันออกไป ออกไปให้หมด” เสียงซือซิงพูดออกมาเสียงดังอย่างคนที่ไม่มีอะไรจะต้องเสียอีกแล้ว
“ชื่อเสียงอย่างนั้นเหรอ ฉันไม่ต้องการหรอก ฉันต้องการแค่กินอิ่ม นอนหลับ ทำงานให้ได้เงินที่สามารถเก็บเอาไว้ได้เองไม่ต้องส่งให้ใคร” ซือซิงร้องไห้พร้อมกับพูดในสิ่งที่อยู่ในใจออกมา อีกคำรบด้วยอาการสะอึกสะอื้น“พวกคุณคงได้ยินสิ่งที่น้องสะใภ้ของฉันพูดแล้วนะคะ ฉันหวังว่าพวกคุณคงไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเธออีกอ๋อคุณสามารถถามลูกชายของคุณได้เลยว่าจะเอายังไง” ซูเหยาที่มากับครอบครัวได้สักพักแล้ว เดินเข้ามายืนข้างซือซิงแล้วพูดออกมา“ผมไม่หย่า แล้วผมก็ต้องการจะแยกบ้านด้วย” มู่อันที่ได้พยุงพ่อของตนเดินเข้ามาพร้อมกับมู่หานที่พยุงพ่อของตนอยู่อีกด้านพูดขึ้นเสียงดัง“แก.. แกมันเป็นหมาป่าตาขาว เห็นเมียดีกว่าแม่ ได้ถ้าแกอยากแยกแกก็ออกไปแต่ตัว ข้าวของอะไรฉันก็จะไม่แบ่งให้ แล้วพวกแกก็อย่าซมซานกลับมาก็แล้วกันอ๋อแล้วก็เอาพ่อขี้โรคของแกไปด้วย หนอยมีเงินพากันไปหาหมอ แต่ไม่นึกถึงคนที่บ้านว่าจะมีกินไม่มีกิน” ฉินเจียวพูดเสียงดังอย่างคนเห็นแก่ตัว“มันจะเกินไปแล้วนะฉินเจียว มู่จางนั่นเป็นสามีของหล่อนนะ ห
มู่หาน มู่อัน ได้พามู่จางเดินมาถึงบ้านผู้ใหญ่ฉีอัน ทางด้านฉินเจียวก็ได้ให้จิวเหลียนไปตามมู่ปิงมาเป็นพยานในครั้งนี้ด้วยจิวเหลียนผู้ที่ชื่นชอบเห็นหายนะของผู้อื่น เธอจึงได้รีบเดินพุงกระเพื่อมกลับบ้านไปตามคำสั่งของแม่สามีตนทันที“สามีคุณอยู่ที่ไหนคะ” เสียงจิวเหลียนที่ดัดเรียกสามีของตนเพื่อให้ดูอ่อนหวานได้ดังขึ้นเมื่อเธอได้เดินเข้าไปในบ้านที่แบ่งเป็นตะวันออกและตะวันตกบ้านหลังนี้เป็นบ้านดินก็จริง แต่จัดว่าเป็นบ้านที่ใหญ่และดีกว่าผู้คนในหมู่บ้าน เนื่องจากสมัยก่อนพ่อของมู่จางเป็นชาวประมงที่หาของทะเลยากๆ ได้เขาจึงได้นำเงินมาซื้อที่ดินและปลูกบ้านห้าห้องหลังนี้เอาไว้ ส่วนที่ดินก็แบ่งให้กับลูกทั้งสอง โดยที่ดินและบ้านมอบให้กับมู่จาง เนื่องจากแม่ของมู่จางไม่พอใจลูกชายคนโตที่หัวแข็ง“คุณมีอะไร เรียกผมทำไม คนกำลังจะนอน” เสียงอันเกียจคร้านดังขึ้นจากคนที่นั่งบนเก้าอี้ไม้โยก ที่หันหน้าไปทางต้นแปะก๊วยที่ใบกำลังร่วงหล่น“เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นนะสิคะ แม่สามีให้ฉันมาตามคุณไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน” จิวเหลียนก็จีบปากจีบคอพูดออกมาอีก
ด้านนอกที่ติดกับลำธารเล็กๆ กลุ่มของซูเหยาได้นำเสื่อผืนใหญ่มาปูอยู่ใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาอย่างร่มรื่น อากาศในช่วงนี้มีความเย็นอยู่บ้างในช่วงเช้า แต่พอช่วงบ่ายก็จะมีแดดออก ทำให้อากาศแปรเปลี่ยนเป็นอุ่นสบาย“น้องสะใภ้นี่ฝีมือดีจริงๆ อย่างนี้ตัดเสื้อผ้าขายได้สบายเลย” ซูเหยาพูดชมซือซิงออกมาจากใจ หลังจากที่เธอได้วาดแบบเสื้อผ้าประยุกต์ เพื่อที่จะเข้ากับคนยุคนี้ออกมาให้ซือซิงเย็บ“พี่สะใภ้กล่าวชมเกินจริงไปแล้วค่ะ นั่นเป็นเพราะแบบที่พี่เอาออกมาให้ฉันดูต่างหาก ก็เลยทำให้เสื้อตัวนี้ออกมาสวย“เธอไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอก ตามที่อาเหยาว่าไว้ไม่ผิดหรอกจ้ะ ฝีเข็มของเธอสวยงามและยังเท่ากันด้วย แล้วยังเย็บเร็วอีกต่างหาก” ฟางหรงพูดชมออกมา พรางลูบเสื้อที่สำเร็จตัวนี้ด้วยความหลงไหล“ใช่ฉันเองก็เห็นด้วยกับทั้งสองคนนะ ต่อให้แบบสวยถ้าคนทำไม่มีความละเอียดประณีตความงามก็จะขาดไป” ลี่มี่ก็กล่าวออกมาบ้างเช่นกันหว่านชิงที่ได้เห็นลูกสาวและลูกสะใภ้เข้ากันได้ เธอก็ถึงกับน้ำตาซึม ‘ขอบคุณนะคะเจ้าแม่ ที่ช่วยให้อาเหยาได้กลายเป
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปพ่อว่าเราไปสร้างบ้านให้กับมู่อันก่อนก็แล้วกัน ในระหว่างสร้างบ้านก็ล้อมรั้วไปด้วยเลย ทุกคนมีความเห็นว่ายังไง” ซูป๋อถามกับคนที่นั่งอยู่ด้วยกันหลังกินข้าวกลางวัน“พ่อคะ พรุ่งนี้ฉันว่าจะพาน้องสะใภ้และน้องสามีไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลค่ะ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้พ่อก็สร้างบ้านของพ่อหรือพี่ใหญ่ พี่รองไปก่อนก็ได้ดีไหมคะ” ซูเหยาบอกกับทุกคน“พี่สะใภ้ครับผมไม่ได้ป่วยอะไรนะครับ หรือว่าซือซิงจะป่วย” มู่อันถามขึ้นด้วยความตกใจ พร้อมกับหันมองไปทางซือซิงด้วยสายตาแห่งความเป็นห่วง“ฉะ..ฉันไม่ได้เป็นอะไรค่ะ แค่พี่สะใภ้บอกว่าให้ไปตรวจร่างกายว่าระ..เราจะมีลูกได้ไหม” ซือซิงพูดเสียงเบาออกมาด้วยใบหน้าแดงก่ำจากการเขินอาย“อะ..เอ่อ” มู่อันอึกๆ อักๆ ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงจางๆ ตัดกับใบหน้าคล้ำแดดของเขา‘คนยุคนี้น่ารักกันจริงๆ แฮะ พูดเรื่องเกี่ยวกับในห้องหับแบบนี้ก็ถึงกับหน้าแดงกันเสียแล้ว’ ซูเหยาที่มองท่าทางทั้งสองคนคิดในใจ“ซูเหยาผมขอบคุณคุณมากนะครับ ที่ใส่ใจเรื่องของน้องชายและน้
“ไม่ทราบว่าคุณตัดขายหรือเปล่าคะ เอ่อคือขอโทษค่ะคุณพอจะไปหาที่นั่งคุยกับฉันหน่อยได้ไหม ฉันชื่อซิวหลาน แซ่ลู่ค่ะ” ซิวหลานรีบแนะนำตัวออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม‘แซ่ลู่ ชื่อซิวหลาน นะ ...นี่ไม่ใช่ว่าเธอจะเป็นภรรยาของท่านนายพลมาเฟีย จ้าวเจียง ผู้ที่เป็นบุคคลลึกลับเบื้องหลังตลาดมืดตามที่นิยายได้กล่าวไว้หรอกหรือโอ้เหยาหนอเหยาครั้งนี้เธอช่างได้กำไรอย่างมหาศาล เธอจะต้องรีบผูกสัมพันธ์เมียของลาสบอสของเรื่องให้ได้’ ซูเหยายืนนิ่งไปชั่วครู่ เมื่อได้ยินชื่อของหญิงสาวคนนี้“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ ฉันชื่อซูเหยา” ซูเหยากล่าวแนะนำตัวเองออกมาอย่างแย้มยิ้มเมื่อสองสาวต่างแนะนำตัวเองกันเรียบร้อย พวกเขาจึงได้พากันมานั่งอยู่ตรงเก้าอี้สาธารณะที่สวนของโรงพยาบาล“เสี่ยวเหยา เธอมีแบบให้พี่ดูไหมจ๊ะ” ซิวหลานถามกับซูเหยาออกมาด้วยความสนิทสนม เมื่อพวกเธอคุยกันไปได้สักพักแล้วได้รู้ว่าซูเหยาอายุน้อยกว่าตนถึงห้าปี“มีสิคะพี่ วันนี้ฉันพกมาแค่สองสามแบบเท่านั้น ซึ่งเป
คุณหมอเฉินได้ทำการตรวจให้กับสามีภรรยาคู่นี้อีกครั้ง ฝ่ายสามียังไม่เท่าไหร่ แต่กับภรรยาถ้าอยากตั้งครรภ์มันค่อนข้างจะยากลำบากเล็กน้อย กับสถาณการณ์ที่อาหารยังไม่ค่อยมีพอหมอเฉินแม้จะทราบถึงอาการภายในของหญิงสาวที่อายุน้อยกว่าตนตรงหน้าเป็นอย่างดี แต่เธอก็ไม่ได้แสดงสีหน้าหนักใจหรือวิตกกังวลอะไรออกมาให้คนไข้เห็น“คุณทั้งสองออกไปรอด้านนอกก่อนนะคะ แล้วฉันรบกวนคุณช่วยเรียกพี่สะใภ้ของคุณเข้ามาด้วย” หมอเฉินกล่าวกับคนทั้งสองอย่างสุภาพที่เธอเรียกซูเหยาเข้ามานั้น เป็นเพราะเธอคิดว่าผู้หญิงคนนั้นอาจจะช่วยหาของบำรุงน้องสะใภ้ของตนได้“สวัสดีค่ะหมอเฉิน คุณหมอต้องการคุยกับฉันเรื่องน้องสะใภ้ใช่ไหมคะ” ซูเหยาเมื่อเดินเข้าห้องตรวจมาแล้วเธอก็ถามขึ้นอย่างไม่อ้อมค้อมทันที“ใช่ค่ะ โชคดีที่น้องสะใภ้ของคุณอายุยังน้อยอยู่ แต่ว่าปัญหาภายในและเรื่องของการขาดสารอาหารรุนแรงก็มีผลมากเช่นกันถ้าอยากให้เธอตั้งครรภ์ คุณจะต้องหาสิ่งเหล่านี้มาบำรุงหล่อน ที่ฉันไม่ได้บอกกับน้องสะใภ้ของคุณไปตามตรง ก็เพ
ซือซิงที่นั่งอยู่ข้างกันก็พยักหน้าเห็นด้วย พร้อมกับน้ำตาไหลอาบแก้มด้วยความตื้นตัน“ไม่ต้องร้องไห้แล้ว พวกเธอนี่ยังไงกัน ร่างกายเป็นน้ำกันหรือไง เช็ดน้ำตาซะ แล้วน้องสะใภ้เธอเอายาห่อนี้ไปต้มนะ ต้มจากสามส่วนให้เหลือหนึ่งส่วนกินเช้าเย็นและก็ต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ งานหนักก็ไม่ต้องทำ ต่อไปนี้ไม่มีใครมาใช้เธอได้อีกแล้ว เธอทั้งสองต้องกินให้ดี นอนให้ดี แล้วเด็กน้อยตัวขาวอวบจะมาหาเอง” ซูเหยาพูดให้คนทั้งสองนึกภาพตาม“ถ้าไม่ทำเราจะเอาเงินที่ไหนมากินมาใช้ล่ะครับ จะให้กินกับพี่อย่างเดียวได้ยังไง ผมไม่ยอมหรอก” มู่อันพูดเสียงดังแย้งคำพูดของซูเหยา‘เออนะ ผิดเองที่เธอพูดไม่ละเอียด แต่การที่เห็นอาการของคนตรงหน้าก็แสดงว่าเธอน่าจะช่วยคนไม่ผิดจริงๆ’“เธอไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้น ที่พี่พูดหมายความว่างานทำได้แต่ไม่ใช่ว่าหนักจนร่างกายไม่ได้พักเหมือนแต่ก่อน เข้าใจไหม” ซูเหยาอธิบายออกมาอีกครั้ง“แล้วฉันจะทำงานอะไรได้ล่ะคะ หนังสือก็เรียนมาน้อย&
เมื่อคนลากรถรู้ว่าพวกเธอจะไปที่ไหนเขาถึงกับตกใจ เพราะไม่คิดว่าคนที่แต่งตัวดูดีอย่างซูเหยาจะไปเยือนสถานที่แบบนั้น แต่ในเมื่อเขาจ้างและจ่ายเงิน คนลากก็มีหน้าที่คือพาไปซูเหยาที่ได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายและการแต่งหน้าของตนแล้ว ในยามนี้กลับเป็นสาวเปรี้ยวยุคหกศูนย์ไปเสียแล้ว ชนิดที่ว่ารับรองไม่มีใครสามารถทำตามเธอได้แน่นอนเมื่อลงจากรถลาก มู่อันก็ไปเดินข้างซือซิง ซูเหยาซึ่งได้ใส่ชุดกี่เพ้าสีแดงเพลิง ได้ก้าวเดินนำหน้าคนทั้งสองอย่างมุ่งมั่นไปข้างหน้า โดยที่ไม่สนใจสายตาของคนที่มองทางเธอเลยสักคนสายตาที่มองมาที่เธอมีทั้งหญิงและชาย ผู้ชายบางคนมองด้วยสายตาหยาบโลน ส่วนผู้หญิงก็มองมาอย่างอิจฉา บางคนมองด้วยความสงสัยซือซิงและมู่อันที่เห็นท่าทางการเดินของพี่สะใภ้ พวกเขาก็อดที่จะก้มมองตัวเองไม่ได้ ทำไมพวกเขาถึงได้ทำตัวขี้ขลาดแบบนี้กัน“พี่มู่อัน ฉันต้องการเป็นอย่างพี่สะใภ้ ที่เดินอย่างไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด” ซือซิงพูดกับสามีออกมาด้วยความมุ่งมั่นมู่อันเองก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงสูดเอาลมเข้าปอดของตัวเองลึกๆ เพื่อเ
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว
“ผมขอโทษครับคุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า” เสียงอันอ่อนนุ่มของเทียนเฟยกล่าวกับหญิงสาวผมทองร่างบางสวมแว่นตากรอบหนาออกมาอย่างรู้สึกผิด“ฉันเองก็ต้องขอโทษคุณเช่นกันที่เดินมาชนคุณก่อน” หญิงสาวคนนั้นกล่าวออกมาด้วยความเสียใจไม่แพ้กันเทียนเฟยหลังจากที่เก็บหนังสือเรียนของตัวเองแล้ว เขาก็ได้มาช่วยหญิงสาวคนนี้เก็บของที่กระจัดกระจายเพื่อส่งคืนให้เจ้าของ“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” หญิงสาวผมทองกล่าวตอบชายหนุ่มเสียงเบาด้วยความอาย“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ ถ้าหากว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้วผมขอตัวก่อน” เทียนเฟยบอกกับหญิงสาวหลังจากที่เขาดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วใกล้ถึงเวลาเรียนของตนหญิงสาวผมทองจึงได้แต่มองตามทุกการก้าวเดินของชายหนุ่มต่างสัญชาติด้วยความประทับใจ ที่คนผู้นั้นอาจจะจำหล่อนไม่ได้จากเหตุการณ์หลายวันก่อนที่เธอได้ถูกคนรังแกในขณะที่เธอกำลังจะตอบโต้คนพวกนั้น แต่ว่าได้มีชายหนุ่มคนนี้เข้ามาช่วยเอาไว้ก่อนมิเชลไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้มาเจอกับชายหนุ่มคนนี้อีกครั้งด้วยความบังเอิญ เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่เหมาะสมกับเขาไม่ว่าจะเป็นด้วยรูปลั
ส่วนมู่ฟางก็ได้เจอกับพี่ชายของตนที่มาพร้อมกับชายหนุ่มที่เธอเป็นคนตรวจร่างกายให้เป็นคนสุดท้ายก่อนพัก“สหายกับพี่ชายของฉันสนิทกันอย่างนั้นหรือคะถึงได้มาด้วยกัน” คนเป็นน้องสาวถามกับชายคนนี้ออกมาหลังจากที่เธอเดินมาหาพี่ชายของตนแล้ว“คือว่าใช่ครับพวกเราสนิทกันมาก” คนเป็นครูฝึกโอบไหล่นักเรียนของตนแน่นก่อนตอบหญิงสาวพร้อมรอยยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของพี่ชาย ชื่อมู่ฟาง” หญิงสาวที่อายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมก้มหัวของ ตนลงทางด้านเทียนเฉินที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับน้องสาวและว่าที่น้องเขย เขาก็ได้แต่นั่งยิ้มมองไปทางพี่สาวพี่ชายอย่างอารมณ์ดี“พี่ชายฉันสงสัยอยู่เล็กน้อยทำไมสหายทหารถึงเรียกพี่มู่ฟางว่าพี่สะใภ้กันคะ” เทียนผิงที่รู้สึกสงสัยจึงได้ถามกับพี่ชายของตนออกมาตงหยางกับสหายที่นั่งอยู่ด้วยกันอีกสองคนที่กำลังกินข้าวอยู่แสดงสีหน้าประหลาดออกมาพลางเฉไฉทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนี้อย่างพร้อมเพรียง“คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ...” เทียนเฉินเอามือป้องปากกระซิบไปที่หูของน้องน้
ภายในโรงพยาบาลทหารที่เป็นสถานที่ทำงานของสองสาวเทียน มู่ ทั้งสองสาวต่างก็จัดว่าเป็นดอกไม้งามของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ทุกคนต่างก็เป็นที่รู้กันดีว่าคุณหมอเทียนผิงนั้นมีคู่หมายเป็นผู้กองหน้าน้ำแข็งประจำหน่วยพยัคฆ์ทำให้หล่อนหมดความสนใจจากทหารคนอื่นไปทั้งหมด ยกเว้นมู่ฟางที่มักมีทหารหนุ่มต่างหาคนมาเป็นแม่สื่อ เพื่อต้องการติดต่อกับหญิงสาว แต่หญิงสาวคนนี้ก็ถูกคนเป็นพี่ชายหวงอยู่ไม่น้อย“อาซือ นายว่าฉันเป็นคนยังไงพอจะเป็นน้องเขยของนายได้หรือเปล่า” หนึ่งในสหายร่วมรบถามขึ้นกับเพื่อนของตนหลังฝึกซ้อมช่วงเย็น“ฉันเห็นนะไม่สำคัญหรอกเพราะคนที่จะต้องตัดสินใจคือน้องสาวของฉัน นายก็เห็นว่าวัน ๆ น้องของฉันทำแต่งานเคยมองใครที่ไหนกัน” คนเป็นพี่ชายพูดแบ่งรับแบ่งสู้“นายหวงน้องสาวก็บอกมาเถอะ แต่ว่านายก็เห็นพวกเราอยู่ทุกวัน นายไม่เลือกหนึ่งในพวกเราเป็นน้องเขยจริง ๆ เหรอ” สหายอีกคนที่อยู่ด้วยกันกล่าวพร้อมเสนอตัวเอง“พวกพี่ชายก็อย่าตื้อพี่ซือมากเลยครับ พี่สาวฟางของผมยังไม่ชอบใครต่างหาก ถ้าหากว่าเธอถูกใจพวกพ